บทที่ 767 เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาเขยของข้าคือใคร
เสียงนั้นตื่นเต้นรื่นรมย์ประดุจคนที่เห็นความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิ ทั้งยังแฝงเร้นไว้ด้วยความเคียดแค้นที่ฝังลึกเข้ากระดูก ความแค้นนั้นลึกล้ำจนจินตนาการได้เลยว่าตระกูลเฉินเคยทรมานคนผู้นี้ด้วยวิธีการที่โหดเหี้ยมจนเกินบรรยาย เกรงว่าความเจ็บปวดที่เขาได้รับคงยากจะลบเลือนไปชั่วชีวิต
เมื่อเสียงนั้นดังก้องไปรอบด้าน พวกคนตระกูลเฉินต่างไม่มีใครสนใจ ไม่แม้แต่จะชายตามอง ยามนี้ทุกคนต่างหน้าซีดเผือด กระวนกระวายใจ เอาแต่มองประเมินป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างต่อเนื่อง
ส่วนพวกชายฉกรรจ์เกราะดำก็แค่ฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่คิดจะแยแส
มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่พอได้ยินประโยคนี้ ยิ่งได้ยินชื่อว่าซ่งเชวีย เขาก็พลันเบิกตากว้าง สีหน้าเริ่มปั้นยาก ราวกับทั้งรู้สึกขบขัน ทั้งรู้สึกเหลือเชื่อ และหากจ้องมองดีๆ จะเห็นได้ว่าในสีหน้าของเขาแฝงความปิติยินดีเอาไว้เสี้ยวหนึ่ง
“ซ่งเชวีย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอยู่ในใจ ไอแห้งๆ หนึ่งครั้งกลบเกลื่อนสีหน้าเหยเกของตัวเอง ก่อนจะแสร้งทำเป็นเงยหน้ามองไปยังลานบ้านด้านหลังราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
“ใครส่งเสียงดังโวยวาย พาตัวมานี่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดเสียงดัง ยืนเอามือไพล่หลังเชิดคางขึ้นน้อยๆ พลังอำนาจเพิ่มพูนขึ้นอีกหลายส่วน
เมื่อจบคำของเขา ไม่นานชายฉกรรจ์เกราะดำคนหนึ่งก็เดินออกมาจากลานบ้านด้านหลังพร้อมหิ้วร่างของคนผู้หนึ่งตรงดิ่งมาหาป๋ายเสี่ยวฉุน พอมาหยุดอยู่ด้านหน้าเขา ชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็โยนคนที่อยู่ในมือลงบนพื้น จากนั้นก็ยืนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น ปราณดุร้ายบนร่างของเขาปะทุเดือด ราวกับว่าแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่งคำเดียว เขาก็พร้อมสังหารคนที่อยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนทันที
ผู้ที่ถูกชายฉกรรจ์เกราะดำนี้จับมา ไม่ใช่ผู้ฝึกวิญญาณ แต่เป็นนักพรต!
เมื่อมองอย่างละเอียด นักพรตคนนี้น่าจะเป็นชายหนุ่ม เพียงแต่สภาพกระเซอะกระเซิงเกินไป เขาผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เส้นเอ็นปูดนูนเด่นชัด ใบหน้ามีแต่หนวดเครารุงรัง ทำให้เขาดูแก่กว่าอายุจริงราวกับเป็นวัยกลางคน
ยิ่งอาภรณ์ของเขาก็ยิ่งขาดวิ่นไม่เหลือดี สภาพมอมแมมยิ่งกว่าขอทาน ตลอดทั้งร่างมีคราบสกปรกเกรอะกรัง หากเพียงเท่านี้ก็ยังพอว่า แต่นี่บนร่างเขายังมีเส้นด้ายสีดำหลายเส้นแทงทะลุเรือนกาย ตรงเข้าไปรัดพันจุดตันเถียนของเขาเอาไว้
ร่างทั้งร่างอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงเหมือนคนที่สามารถตายได้ทุกเมื่อ ทว่าดวงตาของเขากลับมีประกายแห่งชีวิตชีวา ในร่างยังมีคลื่นตบะหลงเหลือ ซึ่งตบะนี้…ก็คือก่อกำเนิดช่วงต้น!!
และเส้นด้ายสีดำพวกนั้นไม่เพียงแต่ทะลุจุดตันเถียนของเขาไปเท่านั้น ขนาดทารกก่อกำเนิดของเขาก็ยังถูกแทงทะลุไปด้วยราวกับพวกมันฝังรากลงลึกอยู่ในนั้น และทุกครั้งที่เขาโคจรตบะก็จะมีปราณวิญญาณจำนวนมากไหลออกมาตามเส้นสีดำพวกนั้น…
ภาพนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงกับสูดลมหายใจดังเฮือกด้วยความตกตะลึง…
คนผู้นี้ ก็คือ…ซ่งเชวีย!!
ในฐานะที่เป็นถึงศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของสำนักธาราโลหิต ผู้กล้าแห่งสำนักสยบธาร ทั้งยังเป็นผู้พิทักษ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนเมื่อครั้งไปอยู่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา คราวนั้นที่สุสานใต้ดินถล่มลงมา การนำส่งเริ่มต้นขึ้น ไม่เพียงแต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่ถูกส่งมายังแดนทุรกันดาร นักพรตทุกคนที่อยู่ในตำหนักใต้ดินเช่นซ่งเชวีย เสินซ่วนจื่อ จ้าวหลง ฯลฯ ต่างก็ถูกส่งไปยังที่ต่างๆ ในแดนทุรกันดาร
บางคนโชคดีหน่อยก็ได้กลับไปยังกำแพงเมือง ทว่าซ่งเชวียโชคร้ายมาก…เขาดันถูกส่งมายังนครจักรพรรดิขุย ในแดนทุรกันดารที่แปลกที่แปลกทางแห่งนี้ เขาไม่ได้ปรับตัวง่ายและโชคดีอย่างป๋ายเสี่ยวฉุน
หลังถูกนำส่งมาได้ไม่นานเขาก็ถูกจับตัว กลายมาเป็นนักพรตทาส พอถูกคนขายเปลี่ยนมือไปมาก็ถูกตระกูลเฉินซื้อตัวมาในที่สุด
เพราะตอนนั้นรากฐานตบะของเขาถือว่าพอใช้ได้ อีกทั้งพรสวรรค์ของตัวเขาเองก็ไม่ธรรมดา ดังนั้นตระกูลเฉินจึงใช้เวทลับที่อำมหิตกระตุ้นให้ตบะของซ่งเชวียถูกผลักดันไปถึงก่อกำเนิดช่วงต้น
มองดูเหมือนว่าเขาฝ่าทะลุขั้น แต่มันกลับทำร้ายซ่งเชวีย ทำให้เขาเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส อีกทั้งการฝ่าทะลุขอบเขตด้วยวิธีนี้ยังมีภัยร้ายอีกมากมายซ่อนแฝง และนั่นยังไม่ได้สำคัญที่สุด ที่สำคัญที่สุดก็คือหลังจากที่ตบะของเขาถูกกระตุ้นให้สมบูรณ์เหมือนหมูที่ถูกขุนให้อ้วนท้วน ตลอดทั้งร่างของเขาก็ถูกเส้นสีดำนั้นฝังรากลึกลงไป ทุกวันจะต้องถูกบีบให้จำต้องโคจรตบะ และหากตบะถูกโคจรเมื่อไหร่ พลังวิญญาณของเขาก็จะไหลออกมาตามเส้นสีดำพวกนั้น ทำให้เขา…กลายมาเป็นหินวิเศษมีชีวิตที่มีไว้ให้ผู้ฝึกวิญญาณรุ่นเล็กของตระกูลเฉินใช้ฝึกตน!
และตัวเขาก็หมดสิ้นซึ่งภัยคุกคามใดๆ ตบะของเขาได้เพียงแค่โคจรอยู่ในร่าง มิอาจดึงออกมาใช้ภายนอก นอกจากนี้บนร่างยังถูกร่ายตราผนึกจำนวนมากเอาไว้ ทำให้เขาเจ็บปวดจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่
อีกทั้งเพื่อเร่งให้เขาฝึกตนได้อย่างรวดเร็ว พวกเด็กรุ่นเล็กของตระกูลเฉินยังทรมานเขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างของเขาที่จมอยู่กับความเจ็บปวดจำต้องปลดปล่อยพลังวิญญาณจำนวนมากกว่าเดิมออกมาโดยสัญชาตญาณ
ท่ามกลางการทรมานนี้ ซ่งเชวียถึงขั้นคิดอยากจะตายไปให้พ้นๆ แต่มีหรือที่คนตระกูลเฉินจะยอมปล่อยให้หินวิเศษที่มีชีวิตเช่นเขาตายไปได้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขารู้สึกเพียงว่าชีวิตมีแต่ความมืดมน จนกระทั่งวันนี้ที่เขาเห็นว่าเมื่อพวกชายฉกรรจ์เกราะดำมาเยือน พวกเด็กรุ่นเล็กของตระกูลเฉินที่อาศัยตนมาฝึกบำเพ็ญตบะพากันตกใจกลัวจนตัวสั่น เขาก็รู้สึกปิติยินดีอย่างถึงที่สุด ถึงได้แหงนหน้าแผดเสียงหัวเราะสะใจ
ยามนี้พอถูกโยนมาไว้ที่พื้น เขาก็หันไปมองรอบด้านทันที ครั้นจึงเห็นว่าทุกคนในตระกูลเฉินต่างก็หน้าซีดเผือด ในบรรดานั้นมีคนไม่น้อยที่เขารู้จัก และยิ่งได้เห็นชายฉกรรจ์เกราะดำจำนวนมากรวมถึงปราณบนร่างของพวกเขาก็ยิ่งทำให้เขาใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง
นี่ยังเป็นเรื่องรอง…สุดท้ายสายตาของเขามาตกอยู่บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน เขามองปราดเดียวก็มองออกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนต่างหากถึงจะเป็นจุดรวมสายตาของทุกคน
ป๋ายเสี่ยวฉุนในสายตาของเขาหน้าตาหล่อเหลาชวนมอง อาภรณ์หรูหรา โดดเด่นเป็นสง่าไร้ผู้ใดทัดเทียม ขณะเดียวกันก็เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งฐานะของเขาสูงส่งอย่างถึงที่สุด ยิ่งด้านหลังเขายังมีชายฉกรรจ์เกราะดำที่ยืนพิทักษ์ประหนึ่งองค์รักษ์ ซึ่งเพียงแค่ซ่งเชวียรับสัมผัสกับปราณบนร่างของคนผู้นั้น ในสมองเขาก็พลันเกิดเสียงดังอึงอล เสมือนมองเห็นบารมีแห่งฟ้า รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเรือลำน้อยที่เพียงแค่อีกฝ่ายต้องการ ตนก็สามารถดับสลายไปทั้งกายและจิต
“คนฟ้า!!”
“คนฟ้าคือผู้พิทักษ์ของเขา เขาคือใคร…” ลมหายใจของซ่งเชวียถี่รัว
ป๋ายเสี่ยวฉุนสร้างความกดดันให้เขาอย่างใหญ่หลวง ในสายตาของเขา นี่ก็คือบุคคลยิ่งใหญ่ที่ทำให้ตระกูลเฉินผู้มากอิทธิพลกริ่งเกรงจนตัวสั่น คือบุคคลยิ่งใหญ่ที่ต้องให้คนฟ้ามาปกป้อง
“คนผู้นี้ต้องเป็นบุคคลตำแหน่งสูงศักดิ์เพียงไม่กี่คนในแดนทุรกันดารแน่นอน อายุน้อยขนาดนี้…หรือว่าจะเป็นองค์ชาย!!” ซ่งเชวียอยู่ในนครจักรพรรดิขุยมานานหลายปี เขาจึงเข้าใจแดนทุรกันดารไม่น้อย
เวลานี้หน้าอกเขากระเพื่อมขึ้นลงเพราะหายใจหอบแรง ทว่าส่วนลึกในใจกลับเริ่มรู้สึกขมขื่น
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองซ่งเชวียก็ให้ถอนหายใจอยู่ในใจ แอบพูดกับตัวเองว่าไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่เจอกับตน ซ่งเชวียจะต้องมีสภาพอเนจอนาถเสียทุกครั้ง เขาครุ่นคิดว่าปัญหานี่ต้องไม่ได้เกิดเพราะเขาแน่นอน
มองเห็นสภาพชวนเวทนาของอีกฝ่าย ความคิดที่จะพูดเยาะเย้ยของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หายวับไป กลับกันคือในใจเกิดความรู้สึกสงสารเพราะนึกถึงความหลังในอดีต แต่เขาก็ไม่ได้ลืมตัวตนของตัวเองในเวลานี้ หลังจากเก็บเอาความคิดกลับคืนมาแล้ว เขาก็โบกมือแล้วพูดเสียงเอื่อย
“หินวิเศษที่มีชีวิตนี่ไม่เลว ส่งตัวไปที่จวนของข้า วันหน้าข้าจะใช้เขามาฝึกบำเพ็ญตน”
ขาดคำของเขา โจวอีซิงก็ลังเลไปครู่ เขาอ้าปากหมายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือสายตาตักเตือนจากป๋ายเสี่ยวฉุน
สายตานี้ทำให้โจวอีซิงใจสั่น รีบก้มหน้ารับคำ เดินเข้าหาซ่งเชวีย ทว่าซ่งเชวียที่พอได้ยินคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับคลุ้มคลั่งขึ้นมาทันใด
“แน่จริงพวกเจ้าก็ฆ่าข้าซะสิ ข้าซ่งเชวียต่อให้ตายก็ไม่ยอมเป็นหินวิเศษที่มีชีวิตอีกแล้ว!!”
เสียงร้องคำรามแหบโหยของเขาไม่ได้ทำให้โจวอีซิงลังเลแม้แต่น้อย กลับตรงไปคว้าร่างของเขาเอาไว้ ทำท่าจะหิ้วจากไป ทว่าซ่งเชวียกลับเริ่มร้อนรน เวลานี้ดวงตาของเขาแดงก่ำ จ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง ร้องคำรามเสียงดังลั่น
“ข้า…อาเขยของข้า…เขาคือป๋ายเสี่ยวฉุน!!!
ตอนนี้เขาอยู่อันดับที่หนึ่งบนกระดานจักรพรรดิหมิง หากเขากลายเป็นคนฟ้าเมื่อไหร่ เขาก็จะได้เป็นจักรพรรดิหมิง พวกเจ้ากล้าทำเช่นนี้กับข้า อาเขยของข้าต้องมาแก้แค้นให้ข้าแน่นอน ถึงเวลานั้นพวกเจ้าใครก็อย่าหวังว่าจะได้หนีรอด!” ซ่งเชวียเองก็ร้อนรนมากแล้ว เขารู้สึกว่าไม่มีอะไรที่สามารถนำมาใช้ข่มขู่บุคคลยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ได้
แต่เขาก็ไม่ยินดีจะเป็นหินวิเศษอีกครั้ง ยามนี้จึงได้แต่ยกชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุนขึ้นมาอ้าง…ส่วนเรื่องที่ชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่บนกระดานจักรพรรดิหมิงนั้น เมื่อหลายวันก่อนเขาเพิ่งได้ยินพวกเด็กรุ่นเล็กของตระกูลเฉินพูดคุยกันตอนที่ฝึกตนอยู่ข้างกายเขา และตอนนั้นในใจเขาก็รู้สึกซับซ้อนอย่างถึงที่สุด
พอคำพูดนี้ดังออกมา โจวอีซิงก็ถึงกับมือสั่น พวกคนตระกูลเฉินที่อยู่ในอารมณ์หดหู่กลับพากันสูดลมหายใจดังเฮือก หันขวับมามองซ่งเชวีย ก่อนหน้านี้ซ่งเชวียไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน หาไม่แล้วพวกเขาต้องเพิ่มมูลค่าของซ่งเชวียผู้นี้ให้สูงยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังจะสูบพลังของอีกฝ่ายให้แห้งเหือด!
ต้องรู้ว่าชื่อป๋ายเสี่ยวฉุนนี้ สำหรับแดนทุรกันดารแล้วก็คือความอัปยศอย่างหนึ่ง คนผู้นี้ยึดครองอันดับที่หนึ่งบนกระดานจักรพรรดิหมิงอย่างเหนียวแน่น คนจำนวนนับไม่ถ้วนคิดไม่ออกเลยว่าหากการประลองสิ้นสุดลง แล้วป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ได้กลายเป็นผู้สืบทอดของจักรพรรดิหมิงจริงๆ สำหรับราชวงศ์จักรพรรดิขุยแล้ว นี่จะเป็นการตบหน้าที่ดังมากแค่ไหน…
ยามนี้เมื่อประโยคของซ่งเชวียดังสะท้อนไปรอบด้าน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งมีสีหน้าแปลกประหลาด เขามองซ่งเชวียด้วยใจที่เบิกบานไม่น้อย ครุ่นคิดว่าเมื่อก่อนเวลาได้ยินตนเรียกว่าเชวียเอ๋อร์ ซ่งเชวียผู้นี้จะต้องเดือดดาลราวกับร่างจะระเบิดทุกครั้ง ทว่ามาตอนนี้เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องกลายเป็นหินวิเศษที่มีชีวิต อีกฝ่ายกลับยอมนับญาติกับตนเสียได้…
“เด็กโง่ ต่อให้ข้าไม่ใช่อาเขยของเจ้า แต่ด้วยความสัมพันธ์ของสำนักสยบธาร ข้าก็ต้องช่วยเจ้าอยู่ดี แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าและอาหญิงน้อยของเจ้ามีความสัมพันธ์กันแบบนั้น อะไรบนร่างอาหญิงน้อยเจ้าที่ข้าควรเห็น ข้าก็ได้เห็นมาหมดแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนปลงอนิจจังอยู่ในใจตัวเอง ก่อนจะเดินขึ้นหน้ามามองซ่งเชวีย แล้วก็อดไม่ได้จนต้องยกมือขึ้นลูบคลำศีรษะของอีกฝ่าย
“พาตัวไป!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง รู้สึกว่าการมาตระกูลเฉินครั้งนี้ ตนได้รับผลพลอยได้ไม่น้อย
เสียงคำรามคลั่งแค้นราวใจจะขาดของซ่งเชวียดังกังวาน แต่คราวนี้โจวอีซิงกลับระงับอาการใจสั่นของตัวเองเอาไว้ กัดฟันตบอีกฝ่ายให้สลบแล้วรีบพาตัวไป ทว่าในใจกลับกลัดกลุ้ม เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าซ่งเชวียจะมีความสัมพันธ์เช่นนี้กับป๋ายเสี่ยวฉุน…