Skip to content

A Will Eternal 77

บทที่ 77 งานประมูล

ไม่นานนัก บนเขาเซียงอวิ๋น ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินกระย่องกระแย่ง เส้นผมตั้งเด่ ใบหน้าดำคล้ำเล็กน้อย กะโผลกกะเผลกกลับมาในลานบ้านด้วยใจที่ยังหวาดผวา พอคิดถึงภาพเมื่อครู่ที่สายฟ้าจำนวนมากไล่กวดตามตนเอง ในใจก็ให้สั่นสะท้าน สาบานกับตัวเองทันทีว่าต่อไปจะไม่มีทางขี่กระบี่บินตอนฝนฟ้าคะนองอีกเด็ดขาด

นี่ไม่ใช่การบิน แต่เป็นการเอาชีวิตไปเสี่ยง!

ในบ้านไม้ ป๋ายเสี่ยวฉุนแยกเขี้ยวยิงฟัน เนิ่นนานถึงได้สงบจิตสงบใจลงได้ นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงมองลมฝนนอกหน้าต่าง ตบะในร่างกายของเขาค่อยๆ ไหลเวียนไปทั่วร่าง

“ยาวิเศษระดับสอง เหมาะกับพลังรวมลมปราณขั้นแปดลงไป คิดจะเพิ่มตบะให้สูงขึ้นเรื่อยๆ มีแต่หลอมยาวิเศษระดับสามเท่านั้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนเท้าคางพึมพำ

“ยาวิเศษระดับสามย่อมมีความยากสูงมากอย่างแน่นอน ต้องคุ้นเคยกับการหลอมยาวิเศษระดับสองมากๆ เสียก่อนถึงจะมั่นคง ไม่อย่างนั้นหากรากฐานไม่มั่นคง อัตราความสำเร็จย่อมมีไม่มาก” ป๋ายเสี่ยวฉุนเปิดถุงเก็บของออก มองของสะสมของตัวเองก็ถอนหายใจหนึ่งที ก่อนหน้านี้เขาอาศัยฐานะของศิษย์ผู้ทรงเกียรติรับเอาของขวัญมาไม่น้อย

เพียงแต่การหลอมยาช่วงที่ผ่านมาก็สิ้นเปลืองของสะสมไปมากจนน่ากลัวเช่นกัน แม้ว่าเวลาหลอมยาเขาจะมีนิสัยประหยัดอดออม แต่สิ่งที่สะสมเอาไว้ก็ยังคงลดไปมากโขอยู่ดี

‘เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้นา สักวันก็ต้องใช้หมดอยู่ดี’ ป๋ายเสี่ยวฉุนก้มหน้าครุ่นคิดจริงจัง

‘ตอนนี้ข้าเป็นศิษย์โอสถที่เก่งกาจมากคนหนึ่งแล้ว เอายาที่ตัวเองหลอมไปขายก็ได้นี่นา’ ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ฮึกเหิมขึ้นมาทันควัน จนเช้าตรู่วันที่สองมาถึง ด้านนอกฝนหยุดตกแล้ว เขารีบออกจากที่พักไปสืบข่าวที่ตลาดตีนเขา พอรู้ราคายาที่ขายกันแล้วก็ซื้อพืชหญ้าจำนวนมากกลับมาอีก ยังถึงขั้นเอาคะแนนคุณความดีไปแลกที่สำนักมาส่วนหนึ่งด้วย

พอกลับมาถึงหอหลอมยาก็เริ่มหลอมยาทันที

เขาไม่ได้หลอมยาระดับสอง แม้ว่าราคาจะแพงกว่า แต่ต้นทุนก็ไม่น้อย อีกอย่างป๋ายเสี่ยวฉุนรู้จักนิสัยตัวเองดี หลอมยาทีไรต้องใช้เวลานานมาก

ดังนั้นเขาจึงเลือกเอายาระดับหนึ่งที่ตัวเองคุ้นเคยที่สุด หลายวันต่อมาพอหลอมยาวิเศษแปดเก้าเม็ดสามชนิดต่างกัน แล้วก็ธูปวิเศษอีกสองดอกเสร็จถึงได้ลงไปที่ตลาดตีนเขา

ขนาดของตลาดด้านล่างชายฝั่งทิศใต้ไม่ใหญ่นัก นอกจากผู้อาวุโสรวมไปถึงลูกศิษย์ฝ่ายในของสำนักบางส่วนที่มีอำนาจพอถือครองร้านค้าได้แล้ว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นร้านของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรในเกาะตงหลิน

คล้ายเป็นเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง วันธรรมดาลูกศิษย์ฝ่ายในฝ่ายนอกของทั้งสามเขาที่อยู่ชายฝั่งทิศใต้ของสำนักธาราเทพล้วนเข้าๆ ออกๆ สถานที่แห่งนี้ จึงคึกคักเป็นอย่างมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนมาที่นี่หลายครั้งแล้ว เวลานี้กำลังเดินอยู่ในตลาดอย่างคนชินทาง เข้าไปในร้านขายยาร้านหนึ่งได้ก็กระแอมหนึ่งครั้ง ลูกจ้างในร้านยาจึงรีบเดินเข้ามาหาทันที

“ไปเรียกเถ้าแก่ร้านพวกเจ้ามา คราวนี้นอกจากข้าจะมาซื้อพืชหญ้าแล้ว ยังเอายาส่วนหนึ่งมาขายด้วย” ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งอยู่บนเก้าอี้ พูดพร้อมยิ้มแป้น

ไม่นานนัก ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมยาวสีม่วงคนหนึ่งก็รีบเดินออกมา พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าก็เผยรอยยิ้ม

“สหายนักพรตป๋าย ข้าน้อยซุนเฉินได้ยินเรื่องราวอันรุ่งโรจน์มากมายของสหายนักพรตป๋ายมานานแล้ว ไม่ได้เป็นฝ่ายไปเยี่ยมเยียนต้องขออภัย ขออภัยจริงๆ” ชายวัยกลางคนผู้นี้ยิ้มเต็มใบหน้า นั่งลงด้านข้างป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วประสานมือพลางพูด สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ เขาไม่กล้าล่วงเกิน ด้วยรู้ว่าตำแหน่งของอีกฝ่ายในสำนักสูงส่ง โดยเฉพาะฐานะลูกศิษย์ผู้ทรงเกียรติที่ถึงแม้จะมีคำสั่งร้อยปีของเจ้าสำนักขวางอยู่ แต่ตระกูลของเขาก็ยังคิดอยากเอาใจ

ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยคำพูดเกรงอกเกรงใจกับชายกลางคนผู้นี้รอบหนึ่ง ถึงได้หยิบเอาขวดยาสามขวดและธูปวิเศษอีกสองดอกนั่นออกมาวางไว้บนโต๊ะ

“สหายนักพรตซุนประเมินราคาเถอะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดคาง

ซุนเฉินหยิบยาพวกนี้ขึ้นมาดูด้วยรอยยิ้ม หลังจากมองไปทีละอย่างแล้ว สีหน้าก็เผยความตกตะลึง ยาระดับหนึ่งพวกนี้แม้ว่าจะเป็นสิ่งของระดับล่างทั้งหมด มีสารเจือปนอยู่มากถึงหนึ่งสองของแปดส่วน แต่กลับใกล้เคียงสิ่งของระดับกลาง ไม่เหมือนยาที่เขาเคยรับซื้อก่อนหน้านี้ที่เป็นสิ่งของระดับล่างเช่นเดียวกัน แต่สารเจือปนกลับมีถึงสี่ห้าของแปดส่วน

“วิถีโอสถของพี่ป๋ายลึกล้ำ ยาวิเศษพวกนี้ตระกูลซุนของข้ารับซื้อไว้หมดเลย เอาอย่างนี้แล้วกัน ราคาอยู่ที่หนึ่งร้อยยี่สิบหินวิเศษดีไหมล่ะ?” ซุนเฉินเงยหน้ามองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที ดวงตาทั้งคู่ค่อยๆ เปล่งประกาย

ป๋ายเสี่ยวฉุนตกตะลึงระคนดีใจโดยพลัน ราคานี้ก็เท่ากับว่ายาวิเศษหนึ่งเม็ดได้สี่หินวิเศษ ถือเป็นราคาที่สูงที่สุดของยาระดับล่างแล้ว

ในความเป็นจริงแล้วต้นทุนเมื่อเฉลี่ยออกมา ยาหนึ่งเม็ดก็เท่ากับหินวิเศษหนึ่งก้อนครึ่งเท่านั้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนและซุนเฉินทำธุรกิจกันด้วยความเบิกบานใจ ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างถูกคอ พอถึงท้ายที่สุดหลังจากนัดหมายกันว่าหากมียาอีกจะเอามาขายให้ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้รับหินวิเศษ แต่แลกเอาพืชหญ้าในราคาระดับเดียวกันมาแทน ถึงได้จากมาอย่างพึงพอใจ

เวลาผันผ่าน หลายเดือนผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ตลอดหลายเดือนมานี้นอกจากป๋ายเสี่ยวฉุนจะหลอมยาวิเศษระดับหนึ่งเอาไปขาย แลกเอาพืชหญ้าจำนวนมากมาแล้ว ยังค่อยๆ คุ้นชินกับการหลอมยาวิเศษระดับสองหลากหลายชนิดอย่างต่อเนื่อง

ไม่นานเขาก็ค่อยๆ หลอมยาวิเศษระดับสองได้เชี่ยวชาญมากขึ้น

ขณะเดียวกันการร่วมมือกับร้านยาตระกูลซุนก็มั่นคงมากยิ่งขึ้น ยาของเขาแทบจะถูกตระกูลซุนกว้านซื้อไปทั้งหมด วันนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในร้านยาตระกูลซุน หยิบเอายาวิเศษหลายขวดออกมา หลังจากแลกเอาพืชหญ้ามาได้แล้ว ขณะที่คุยเล่นอยู่กับซุนเฉิน ซุนเฉินก็พูดอย่างปลดปลงออกมาหนึ่งประโยค

“พี่ป๋าย ด้วยความรู้วิถีโอสถของท่าน เหตุใดถึงไม่หลอมยาวิเศษระดับสองล่ะ อีกสามเดือนให้หลังก็จะมีงานประมูลร้อยตระกูลที่หลายปีจะจัดขึ้นครั้งหนึ่ง ณ ที่แห่งนี้แล้ว หากเวลานั้นพี่ป๋ายหลอมยาวิเศษระดับสองออกมาได้ ข้าผู้แซ่ซุนสามารถจัดให้ขึ้นประมูลได้นะ ราคาก็จะเพิ่มขึ้นไม่น้อย” ซุนเฉินมองป๋ายเสี่ยวฉุน หลายเดือนมานี้ที่ได้รู้จักกัน เขาพบว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีนิสัยเปิดเผยสนุกสนาน อีกทั้งยังเป็นคนลื่นไหลไปกับทุกสถานการณ์ เมื่อคบค้าสมาคมด้วยแล้วรู้สึกเบิกบานอย่างมาก ดังนั้นจึงพูดแนะนำ

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เคยได้ยินงานชื่อประมูลร้อยตระกูลที่หลายปีจะมีหนึ่งครั้งนี้เหมือนกัน นั่นคืองานประมูลที่ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรร้อยตระกูลในเกาะตงหลินร่วมมือกันจัดขึ้น ซึ่งจัดขึ้นทั้งหมดสามสนาม สนามแรกเลือกจัดที่ตลาดชายฝั่งทิศเหนือ สนามที่สองจัดที่ตลาดชายฝั่งทิศใต้ ส่วนสนามสุดท้ายจัดขึ้นที่เมืองตงหลินซึ่งเป็นเมืองนักพรตที่ใหญ่ที่สุดในเกาะตงหลิน

ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่สำนักธาราเทพมาหลายปี ก่อนหน้านี้งานประมูลที่ว่านี้เคยจัดมาแล้วหนึ่งครั้ง แต่ตอนนั้นเขาเพิ่งได้เป็นศิษย์ฝ่ายนอก ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการขโมยกินไก่หางวิเศษ จึงไม่ได้สนใจงานประมูลนี่

ยามนี้จึงเกิดความลังเลเล็กน้อย ป๋ายเสี่ยวฉุนค่อนข้างสนใจ พอถามถึงเวลาที่จัดงานประมูลในชายฝั่งทิศใต้มาเรียบร้อยแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงบอกลาซุนเฉิน กลับมายังหอหลอมยา นั่งขัดสมาธิครุ่นคิดอยู่ตรงนั้นก็ตัดสินใจเฉียบขาด

“ซุนเฉินพูดมีเหตุผล เทียบกับการเอายาไปขายทีละนิดแบบนี้ สู้คว้าโอกาสครั้งนี้ขายราคาดีๆ ไปทีเดียวเลยดีกว่า แบบนี้จะได้สามารถแลกเอาพืชหญ้าที่มีค่ากว่าเดิมมาได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ ในสมองมียาวิเศษระดับสองลอยมา สุดท้ายก็เลือก…ยาลมปราณม่วงเพิ่มพลังที่เขาคุ้นเคยที่สุด

เมื่อตัดสินใจได้เช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงปิดด่านหลอมยาลมปราณม่วงเพิ่มพลัง เวลาผันผ่าน สองเดือนต่อมา จากการที่พืชหญ้าที่ใช้หลอมยาซึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนแลกเอามาหมดไปถึงเจ็ดแปดส่วน เขาก็หลอมยาลมปราณม่วงเพิ่มพลังออกมาได้สามขวดเต็ม แต่ละขวดมียาอยู่สิบเม็ด

โดยเฉพาะมีเม็ดหนึ่งในนั้น สีสันแตกต่างไปจากสีม่วงอ่อนของยาเม็ดอื่นอยู่ไม่น้อย มันเป็นสีม่วงเข้ม กลิ่นหอมของยาไม่เข้มข้นไม่กระจายออกมาข้างนอก

ยาเม็ดนี้ตอนที่หลอม เตาหลอมยาเบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะเทือนต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ไฟก็ยังขยายตัวออกมาด้วย

เวลานี้เขาเอายาวิเศษสีม่วงเข้มเม็ดนี้วางไว้ด้านหน้าแล้วมองดู นัยน์ตาเผยความภาคภูมิใจและตื่นเต้น

“สิ่งของระดับกลาง!! ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนในที่สุดก็หลอมยาวิเศษระดับกลางออกมาได้อีกหนึ่งเม็ดแล้ว!”

“ยาวิเศษระดับกลาง เกรงว่าในงานประมูลก็คงมีไม่เยอะนัก แต่คิดจะให้ได้ผลสะท้านสะเทือนก็ยังขาดอีกเล็กน้อย…เพราะยังไงซะงานประมูลนี้หลายปีถึงจะมีครั้งหนึ่ง ของล้ำค่าหายากมีไม่น้อย” ป๋ายเสี่ยวฉุนขบคิดอยู่ชั่วครู่ก็กัดฟันหยิบเอาหม้อกระดองเต่าออกมา เริ่มหลอมพลังจิต

หลังจากหลอมครบสามครั้ง แสงสีเงินเปล่งประกายวิบวับ ยาวิเศษไม่ได้อยู่ในระดับกลางอีกต่อไป แต่ทะลุระดับดีกลายเป็น…ระดับเยี่ยม!

สิ่งของระดับเยี่ยมเช่นนี้สร้างความตื่นตะลึงได้มากแล้ว สิ่งเจือปนมีเพียงแค่หนึ่งส่วนกว่าๆ เท่านั้น

สีหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนพึงพอใจ มองยาลมปราณม่วงเพิ่มพลังระดับเยี่ยมในมือ สีของยาเม็ดนี้ใกล้เคียงสีดำ ลายเส้นสีเงินด้านบนแม้ว่าจะสลัวลางไปแล้ว แต่ก็ยังเห็นได้ชัดเจน ทำให้เมื่อมองไปจึงสามารถมองออกถึงความไม่ธรรมดาของยาเม็ดนี้ทันที

มองยาที่อยู่ในมือป๋ายเสี่ยวฉุนพลันรู้สึกว่าตัวเองสามารถหาวิธีสร้างชื่อโด่งดังไปทั่วหล้าได้อีกวิธีหนึ่งแล้ว เขาจึงหัวเราะเสียงดังอย่างลำพองใจ หยิบเอามีดเล่มเล็กออกมา วาดรูป…เต่าน้อยสวยงามลงไปบนขวดยา

“ท่านเต่าออกท่องยุทธภพอีกครั้งแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลุกขึ้นยืนอย่างฮึกเหิม นัยน์เผยแววรอคอย

ป๋ายเสี่ยวฉุนถือยาลงจากเขา หนึ่งชั่วยามผ่านไปพอกลับมา จิตใจของเขาโปร่งโล่งสบาย สีหน้าลำพองใจ ในสมองปรากฏภาพอาการตกตะลึงที่ซุนเฉินเห็นยาลมปราณม่วงเพิ่มพลังทั้งสามขวดของตัวเองเมื่อครู่นี้ แล้วยังตอนที่เขาหยิบเอายาวิเศษระดับเยี่ยมที่ผ่านการหลอมพลังจิตสามครั้งเม็ดนั้นอีก คางของอีกฝ่ายแทบจะร่วงลงมา เบิกตากว้างอ้าปากค้างอย่างตื่นตะลึง

“แค่รองานประมูลที่จะมีในอีกหนึ่งเดือนเท่านั้นแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองป้ายหยกป้ายหนึ่งในมือ นี่คือป้ายผู้มีคุณสมบัติเข้าร่วมงานประมูล เมื่อมีของชิ้นนี้ก็สามารถเข้าร่วมงานประมูลได้

ช่วงเวลานี้หัวข้อที่คนในสำนักพูดกันก็ค่อยๆ เป็นเรื่องของงานประมูล ไม่นานลูกศิษย์ทั้งสามเขาของชายฝั่งทิศใต้จึงพากันเตรียมตัววางแผนว่าจะไปหาโชคที่งานประมูล ดังนั้นตลาดตีนเขาจึงคึกคักยิ่งกว่าที่เคยเป็น

“ข้าได้ยินศิษย์พี่ที่ชายฝั่งทิศเหนือเล่าว่างานประมูลสนามแรกที่จัดฝั่งพวกเขามีอัคคีน้ำพุเหลืองปรากฏตัวด้วย! นั่นคือของในตำนานเชียวนะ ต่อให้เป็นแค่เปลวไฟก็เรียกได้ว่าเป็นของแปลกล้ำค่า ถูกลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือคนหนึ่งจ่ายทองหนักซื้อไป”

“งานประมูลของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรร้อยตระกูลครั้งนี้ ของแปลกหายากมีไม่น้อย โดยเฉพาะยาก็ยิ่งน่าตะลึง คาดว่าน่าจะเป็นเพราะการต่อสู้ของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจฝ่ายนอกของชายฝั่งเหนือใต้ซึ่งสามสิบปีจะจัดขึ้นมาครั้งหนึ่งใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!”

“น่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้นี่แหละ การต่อสู้ของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจฝ่ายนอกของชายฝั่งเหนือใต้คือเรื่องที่ยิ่งใหญ่ของสำนักธาราเทพเราเลยนา น่าแค้นนักที่หลายปีมานี้ผู้ที่ถูกคัดเลือกสิบอันดับแรกของชายฝั่งทิศใต้เราสู้ชายฝั่งทิศเหนือไม่ได้เสียที! ไม่รู้ว่าสิบคนแรกของชายฝั่งทิศใต้เราที่ถูกคัดเลือกในครั้งนี้จะลบล้างความอัปยศครั้งก่อนๆ ไปได้หรือไม่!”

หนึ่งเดือนต่อมา การวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับงานประมูลในสำนักธาราเทพก็ยิ่งมีเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ได้ยินมาไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการต่อสู้ของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจฝ่ายนอกของชายฝั่งเหนือใต้ เขาเองก็เคยได้ยินผ่านหูมาแต่กลับไม่ได้ใส่ใจนัก

อีกหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เช้าตรู่วันนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังนั่งขัดสมาธิ พลันดวงตาทั้งคู่ก็เบิกโพลง มือขวาคลำถุงเก็บของ ในมือปรากฏแผ่นหยกแผ่นหนึ่งที่กำลังเปล่งแสง

“งานประมูลจะเริ่มขึ้นแล้ว” นัยน์ตาเขาเผยแววรอคอย รีบออกจากที่พักทะยานดิ่งลงเขาไป ตลอดทางเห็นร่างของลูกศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนไม่น้อย บนท้องฟ้ายังมีรุ้งเส้นยาวคำรามผ่านไปหลายต่อหลายเส้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนตบหน้าผากป๊าบ คิดขึ้นได้ว่าตัวเองก็บินได้เหมือนกัน ดังนั้นจึงรีบทำมุทราชี้ไป ทันใดนั้นกระบี่วิหคทองจึงปรากฏตัว เขาเหยียบย่างลงไปบนวิหคทอง กลายร่างเป็นเส้นสีทองถลาออกไปไกลกลางอากาศด้วยความรวดเร็ว

ไม่นานก็มาถึงตลาด เขายืดอกตรง เชิดหน้าเล็กๆ ขึ้นพลางเดินเข้าไปในหอประมูล

หอประมูลใหญ่มาก โถงใหญ่มีที่นั่งอยู่หลายพัน เบื้องหลังยังมีพื้นที่ขนาดใหญ่อยู่อีกหนึ่งส่วนด้วย แม้ว่าจะไม่มีที่นั่งแต่คลื่นมหาชนก็เนืองแน่น ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุน แทบจะวินาทีที่เขาเข้ามา ซุนเฉินที่รออยู่ก็เข้ามารับทันที พาเดินไปอีกทางเข้าไปยังชั้นสอง หลังจากเข้าไปในห้องเดี่ยวห้องหนึ่งแล้ว ซุนเฉินก็บอกลาแล้วจากไป

ห้องนี้ไม่ใหญ่ ตรงข้ามว่างเปล่า มีระเบียงอยู่แห่งหนึ่ง ด้านล่างคือโถงใหญ่ สามารถมองเห็นงานประมูลได้อย่างชัดเจน

สถานที่คึกคักขนาดนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก เวลานี้ไม่ได้นิ่งเฉยอยู่ในห้องอย่างนักพรตขั้นสร้างฐานรากคนอื่น แต่โผล่ตัวออกไปตรงระเบียงครึ่งหนึ่ง ด้วยเกรงว่าจะไม่มีใครรู้ว่าเป็นตนจึงกระแอมไอไม่หยุด

ไม่นานในกลุ่มคนด้านล่าง มีคนจำนวนหนึ่งมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ละคนสีหน้าเหยเก พากันดึงสายตากลับ

เพียงแต่ว่าที่นี่มีคนเยอะมาก ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะกระแอมไอแค่ไหน เสียงก็ไม่ดังออกไปไกลนัก เขามองเห็นพวกโหวเสี่ยวเม่ยและโจวซินฉีได้ไกลๆ แต่อยู่ห่างเกินไปจึงไม่ทันสังเกตเห็นเขา

ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนอยู่นาน สุดท้ายก็หมดความสนใจไปเอง เพราะการที่ยืดตัวออกไปครึ่งหนึ่งแบบนี้ก็เหนื่อยมากพอแล้ว… โดยเฉพาะเขากังวลว่าหากตนเองไม่ระวังแล้วตกลงไป…เกรงว่ายังไม่ทันถึงวันที่สอง คนมากมายของชายฝั่งทิศใต้คงรู้เรื่องนี้กันหมด

เวลาไม่นาน สถานที่แห่งนี้ก็ยิ่งมีคนเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ หลังจากผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม เสียงระฆังใสแจ๋วเสียงหนึ่งดังสะท้อน รอบด้านค่อยๆ เงียบสงบลง พริบตานั้นสายตาจำนวนไม่ถ้วนก็ล้วนไปรวมอยู่บนเวทีประมูล

ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีเขียวผู้หนึ่งเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ยืนอยู่ตรงนั้น กำมือประสานให้กับทุกคนรอบด้าน

“ข้าน้อยเฉียนซ่ง คิดว่าคงมีสหายนักพรตจำนวนไม่น้อยรู้จักข้าผู้แซ่เฉียนแล้ว งานประมูลครั้งนี้ข้าผู้แซ่เฉียนคือผู้ดำเนินงาน กติกายังคงเดิม ผู้ที่ให้ราคาสูงคือผู้ที่ได้ไป” คำพูดของเขาเรียบง่าย พูดจบก็ยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง บนเวทีประมูลพลันปรากฏประตูแสงบานหนึ่งขึ้นมา

หญิงสาวอายุน้อยผู้หนึ่งเดินออกมา ในมือถือถาดหนึ่งใบ ด้านบนวางหินก้อนหนึ่งที่ประกอบกันขึ้นมาจากก้อนเหล็กจำนวนนับไม่ถ้วนไม่เป็นระเบียบ

เมื่อสะบัดหนึ่งทีก็สาดประกายแสงห้าสีออกมา คนหลายพันรอบด้านที่มองเห็นแต่ละคนดวงตาเป็นประกาย ยิ่งเผยความตะลึงระคนดีใจ

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็มองดูอย่างตั้งใจเช่นกัน มองไม่ออกว่าเป็นอะไร แต่สีหน้าตกตะลึงระคนดีใจของคนเหล่านั้น ดูเหมือนว่านี่เป็นสิ่งของที่สุดยอดมาก

“ของประมูลชิ้นแรก เหล็กจินจิง ราคาต่ำสุดอยู่ที่สามร้อยหินวิเศษ ทุกครั้งที่ให้ราคาต้องไม่น้อยกว่าห้าสิบหินวิเศษ!” เฉียนซ่งเอ่ยปากเนิบช้า ตบะขั้นสร้างฐานรากระลอกหนึ่งผลักดันเสียงของเขาให้ดังไปทั่วด้าน

“สามร้อยห้าสิบหินวิเศษ!” มีคนเอ่ยปากอย่างรวดเร็ว

“สี่ร้อย!” แทบจะวินาทีเดียวกับที่ราคาแรกเปล่งออกไปก็มีคนแข่งให้ราคาทันที ไม่นานราคาก็ถูกตะโกนไปถึงเจ็ดร้อยหินวิเศษ และลูกศิษย์ฝ่ายในของเขาจื่อติ่งคนหนึ่งก็เป็นผู้ได้ไปครอง

ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง เขามองเหล็กก้อนนั้น ไม่เข้าใจว่าเหตุใดของชิ้นนี้ถึงราคาสูงตั้งเจ็ดร้อยหินวิเศษ ขณะเดียวกันเขาก็พบว่าหลังจากที่งานประมูลเริ่มขึ้น สถานที่แห่งนี้เหมือนจะมีค่ายกลปรากฏอยู่ สามารถทำให้เสียงของคนที่เอ่ยปากบอกราคาขยายดังออกไปไม่น้อย

“ก็แค่เหล็กพังๆ ชิ้นเดียวเท่านั้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย นั่งมองอยู่ด้านข้าง

ไม่นานของประมูลแต่ละชิ้นก็ถูกขายออกไปติดต่อกัน โดยเฉพาะเขามังกรตัวเล็กสีเขียวชิ้นหนึ่งที่เหมือนว่าถูกฟ้าผ่ามาก่อน สามารถมองเห็นสายฟ้าโค้งงอเบาบางบนนั้นได้รางๆ ของชิ้นนี้ถูกขายไปในราคาสูงถึงแปดพันหินวิเศษ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองดูถึงกับอกสั่นขวัญแขวน

จนกระทั่งงานประมูลดำเนินไปได้เกินครึ่งชั่วยาม เสียงของเฉียนซ่งก็ดังก้อง

“ที่ประมูลในตอนนี้คือยาวิเศษระดับสองหนึ่งขวด ยาลมปราณม่วงเพิ่มพลังทั้งหมดสิบเม็ด คุณสมบัติเข้าใกล้กับสิ่งของระดับกลาง สิ่งเจือปนถูกควบคุมให้อยู่ที่หนึ่งในแปด ราคาต่ำสุดคือหนึ่งร้อยหินวิเศษ ทุกครั้งที่ให้ราคาต้องไม่ต่ำกว่าสิบหินวิเศษ”

ได้ยินมาถึงตรงนี้จิตใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นสะเทือนทันที รีบโผล่ออกไปมองตาปริบๆ ในใจคำนวณผลได้ผลเสีย อยากจะให้ทุกคนแย่งกันประมูลเสียเหลือเกิน

แต่กลับไม่รู้ว่าทำไมรอบด้านถึงได้ซบเซาเล็กน้อย ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นโครมคราม แล้วก็รอไปอีกพักถึงได้มีคนให้ราคา

“หนึ่งร้อยสิบหินวิเศษ” ผู้ที่ให้ราคาคือลูกศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่ง นี่แทบจะเป็นเงินสะสมทั้งหมดของเขาแล้ว ยามนี้พอพูดจบก็มองไปรอบด้านอย่างตื่นเต้น

แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นยิ่งกว่า ยาลมปราณม่วงเพิ่มพลังขวดนี้ต้นทุนก็มากถึงห้าสิบหินวิเศษแล้ว เอาไปขายที่ตลาด ก็ขายได้สูงถึงร้อยห้าสิบ ร้อยหกสิบหินวิเศษ

ยามนี้เขาหน้าม่อยคอตก รู้สึกงงงันเล็กน้อย

ยังดีที่ขณะที่เฉียนซ่งกำลังจะเคาะราคา ในที่สุดก็มีคนให้ราคามาอีก สุดท้ายผสมเล็กผสมน้อยจึงสามารถผลักราคาไปที่หนึ่งร้อยแปดสิบหินวิเศษ

“หนึ่งร้อยแปดสิบหินวิเศษก็ไม่แล้ว ขายได้มากกว่าที่ตลาดยี่สิบกว่าหินวิเศษ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะถอนหายใจ เช็ดเหงื่อบนหน้าผากพลางปลอบใจตัวเอง ในความเป็นจริงราคานี้ถือว่าไม่น้อยแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับสิ่งของล้ำค่าก่อนหน้าเหล่านั้นจึงดูแตกต่างอย่างเลี่ยงไม่ได้

ไม่นานยาวิเศษขวดที่สองของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถูกขายออกไป ราคาสูงกว่าเล็กน้อย สองร้อยหินวิเศษ นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตกตะลึงปนดีใจนิดๆ

จนกระทั่งยาวิเศษขวดที่สามของเขาก็ถูกเอามาประมูลเหมือนกัน บรรยากาศของลูกศิษย์ขั้นรวมลมปราณค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นมา คนที่ให้ราคาก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงท้ายที่สุด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค้นพบด้วยความดีใจอย่างบ้าคลั่งว่า ยาวิเศษขวดที่สามของเขาขายได้สูงถึงราคาสองร้อยสามสิบหินวิเศษ

“หินวิเศษเจ็ดร้อยกว่าชิ้น ไม่เสียแรงที่เป็นงานประมูล พอแล้วๆ หินวิเศษพวกนี้พอที่จะให้ข้าหลอมยาวิเศษระดับสามออกมาได้แล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนที่พึงพอใจกับอะไรได้ง่ายมาก เวลานี้แม้ว่าจะมีความขัดใจก่อนหน้านี้อยู่บ้าง แต่กลับไม่คิดมาก รอคอยอยู่ในห้องอย่างเบิกบานใจ รอให้ยาวิเศษระดับเยี่ยมของตนปรากฏตัว

“ถ้าคิดอย่างนี้ ยาวิเศษระดับเยี่ยมเม็ดนั้นของข้าก็น่าจะขายได้…สามร้อยหินวิเศษน่ะสิ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลเล็กน้อย รู้สึกไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก

“สองร้อยก็ได้!” เขาพยักหน้า

เวลาค่อยๆ ผ่านไป ท่ามกลางการรอคอยของป๋ายเสี่ยวฉุน มาถึงช่วงเที่ยงวัน เฉียนซ่งที่อยู่บนเวทีประมูลมีสีหน้าแปลกประหลาดเป็นครั้งแรก มองไปที่ผู้คนรอบด้านแล้วไอแห้งๆ หนึ่งที

“ของประมูลชิ้นต่อไปที่ข้าผู้แซ่เฉียนจะหยิบออกมา น่าสนใจมาก…นั่นคือยาวิเศษระดับสองเม็ดหนึ่ง เป็นยาลมปราณม่วงเพิ่มพลังเช่นเดียวกัน แต่ว่า…ไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่นัก”

ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นขึ้นมาทันที ยืนอยู่บนระเบียงอย่างกระวนกระวายใจ ใจที่คิดคำนวณผลได้ผลเสียดุเดือดเกินสิ่งใดเปรียบ

———

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!