บทที่ 771 วันเซ่นไหว้บรรพชน
“พูดมาสิ” สีหน้าต้าเทียนซือกลับคืนมาเป็นปกติ มองไม่ออกว่าอยู่ในพื้นอารมณ์ใด เขาเพียงแค่กวาดตามองผ่านร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วเอ่ยเสียงเรียบเฉย
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก รีบตอบฉับไว
“ข้าสร้างโอกาสหนึ่งให้กับต้าเทียนซือได้ โอกาสนี้จะทำให้ชนสูงศักดิ์ทั้งราชสำนักจำต้องแสดงท่าทีต่อหน้าท่านผู้อาวุโส!”
“สายตาข้าน้อยไม่เฉียบไว มองไม่ออกว่าในใจของจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์พวกนั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่สายตาของต้าเทียนซือนั้นคมกริบ บางทีอาจมองออกจากคำพูดหรือคลื่นความคิดทางจิตใจของพวกเขา” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดมาถึงตรงนี้ ในสมองก็ทำการอนุมานอย่างละเอียด แล้วก็ยิ่งค้นพบว่าแผนการนี้ของตัวเองใช้ได้ จึงอดไม่ได้ที่จะหน้าบานเป็นกระด้ง
“แผนการนี้ของข้าน้อยสามารถพูดได้ว่าฟ้าและดินต้องสั่นสะเทือน ผีและเทพต้องร่ำไห้ เทียบได้กับท่าไม้ตาย เมื่อปล่อยกระบวนท่านี้ออกไป ใจคนก็หยั่งได้กระจ่างชัด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบอกตัวเองดังป้าบ
ความภาคภูมิใจเปี่ยมล้นในหัวใจ รอให้ต้าเทียนซือถามตัวเองว่าแผนการที่ว่านี้คือแผนอะไรกันแน่
ทว่ารออยู่พักใหญ่ ต้าเทียนซือก็ยังคงมีสีหน้าเฉยชา นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดังนั้นจึงไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง เกาหัวและพูดต่อไปว่า
“แต่หากคิดจะใช้แผนการนี้ของข้า ก็จำเป็นต้องให้ชนชั้นสูงในราชสำนักอยู่กันครบทุกคน แม้แต่จักรพรรดิขุยเองก็ต้องอยู่ด้วย ถึงจะสามารถใช้แผนนี้ได้ ต้าเทียนซือ ไม่ทราบว่าช่วงนี้จะมีงานพิธีอะไรที่ต้องให้ทุกคนไปเข้าร่วมหรือไม่?”
ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงรอคอย
ทว่ากลับยังอุบแผนการเอาไว้ไม่บอกต้าเทียนซือตรงๆ
ต้าเทียนซือมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งครั้ง ก่อนจะหลับตาลง พักใหญ่ถึงได้ลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“หนึ่งเดือนให้หลังมีพิธีเซ่นไหว้บรรพชน! ในเมื่อเจ้ามั่นใจนัก วันเซ่นไหว้บรรพชนก็จงแสดงท่าไม้ตายของเจ้าให้ข้าผู้อาวุโสดูหน่อยก็แล้วกัน” ต้าเทียนซือไม่ได้ถามป๋ายเสี่ยวฉุนว่าอีกฝ่ายมีแผนการอะไรกันแน่ พอกล่าวจบก็สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้าพร่าลาย พอมองเห็นชัดอีกครั้งตัวเองก็มาอยู่นอกวังหลวงแล้ว
“นี่จะไม่ถามกันสักคำเลยหรือไง? …หรือเขารู้สึกว่าข้าพูดโม้ไปอย่างนั้นเอง?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ มองไปยังทิศทางตำหนักเทียนซือพร้อมแค่นเสียงเย็นอยู่ในใจ
“หากข้าป๋ายเสี่ยวฉุนลงมือเมื่อไหร่ แม้แต่ข้าก็ยังกลัวตัวเอง แต่ก็เอาเถอะ ถึงเวลานั้นข้าจะทำให้ต้าเทียนซือและทุกคนได้เห็นความน่ากลัวของข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนมั่นใจเต็มเปี่ยม พอนึกถึงแผนการของตัวเอง เขาก็อดไม่ได้ที่จะรอคอย ในสมองมีภาพจินตนาการลอยขึ้นมาเป็นทอดๆ อย่างห้ามไม่ได้
ยิ่งคิดอารมณ์ก็ยิ่งเบิกบาน มาถึงท้ายที่สุดเขาก็แทบจะหลุดหัวเราะออกมา เดินทางกลับจวนตรวจการพร้อมกับกองทัพศพโลหิตนับพันด้วยความรื่นรมย์ไปตลอดทาง
หลังกลับมาถึงจวนตรวจการ โจวอีซิงก็รีบตรงเข้ามารายงานผลการปฏิบัติภารกิจ ไม่นานก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนไล่ให้ไปอยู่พื้นที่อื่นของจวนตรวจการ ส่วนตัวเขาเองกลับปิดด่านอยู่ในตำหนักใหญ่ของจวน
ส่วนซ่งเชวียนั้น ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่มีเวลาไปสนใจ ในสมองของเขาเต็มไปด้วยแผนการของตัวเอง อยู่ในตำหนักใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบเอาสถูปวิญญาณออกมา พอป๋ายฮ่าวเผยกาย เขาก็รีบบอกแผนการของตัวเองให้อีกฝ่ายรู้ทันที
ป๋ายฮ่าวฟังไปฟังมาลูกตาก็แทบถลนออกมาจากเบ้า เหม่อมองอาจารย์ของตัวเองที่อยู่ตรงหน้า เนิ่นนานถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึก
“แผนนี้…อาจารย์คิดขึ้นมาเองจริงๆ หรือ?” ป๋ายฮ่าวถามอย่างไม่แน่ใจ
“แน่นอนว่าอาจารย์ต้องเป็นคนคิดขึ้นเอง เป็นไง ร้ายกาจไช่ไหมล่ะ!” เมื่อเห็นว่าป๋ายฮ่าวมีท่าทีเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งดีใจ ตบหน้าอกคุยโวเสียยกใหญ่
“แผนนี้…โหดเหี้ยมยิ่งนัก ยิ่งจักรพรรดิขุยก็อยู่ด้วยแล้วล่ะก็ เกรงว่าขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักคงแทบคลั่ง…กระนั้นประเด็นสำคัญก็ยังไม่ได้อยู่ที่แผนนี้ แต่อยู่ที่การตัดสินใจของต้าเทียนซือต่างหาก”
ป๋ายฮ่าวเอ่ยชมออกมาจากใจจริง ก่อนจะช่วยป๋ายเสี่ยวฉุนปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น นี่จึงยิ่งทำให้แผนสมบูรณ์แบบ และป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งลำพองใจ
“เวลาเดินช้ายิ่งนัก อยากให้พรุ่งนี้เป็นวันเซ่นไหว้บรรพชนเลยจริงๆ”
สีหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิม ผ่านไปพักใหญ่ถึงข่มกลั้นอารมณ์ตื่นเต้นของตัวเอง ครุ่นคิดว่าตนเพิ่งจะยึดทรัพย์พระยาสวรรค์หลี่และเฉินมาได้ ตอนนี้ชื่อเสียงของเขาข้างนอกคงเลื่องลือไม่น้อย ไม่เหมาะสมจะลงมือทำอะไรต่อ ดังนั้นจึงตัดสินใจปิดด่านไปเลยหนึ่งเดือน
โดยเฉพาะไฟสิบเจ็ดสีของเขา การที่คราวก่อนเดิมพันกับซือหม่าเทาและซุนอี้ฝานสองคน ทำให้เขาเข้าใจขอบเขตของการผสานรวมไฟมากขึ้น ภายหลังก็ได้ทดลองหลอมอีกหลายครั้ง การสั่งสมประสบการณ์จึงมีไม่น้อย และก็ถือเอาหนึ่งเดือนนี้มาฝึกหลอมให้ชำนาญมากขึ้น
หนึ่งเดือนผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ช่วงที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปิดด่าน เสียงโจษจันไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พระยาสวรรค์หลี่และพระยาสวรรค์เฉินถูกต้าเทียนซือจับตัว หรือตระกูลของพวกเขาถูกเข้าตรวจค้นและยึดทรัพย์ต่างก็ดังกระฉ่อนไปทั่วนครจักรพรรดิขุย ทั้งยังสร้างมรสุมลูกใหญ่รุนแรง
ครึกโครมกันไปทั้งนครจักรพรรดิขุย สร้างความหวั่นวิตกให้กับพระยาสวรรค์ทุกคน ต่อให้เป็นเจ้าพระยาสวรรค์เองก็ยังรู้สึกไม่ต่างกัน เพราะพวกเขาเริ่มได้กลิ่นลมคาวฝนเลือดที่ถูกปลุกระดมจากจวนผู้ตรวจการอย่างในปีนั้นลอยโชยมาอีกครั้ง
แต่อันที่จริงแล้วตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจกาจ ชนชั้นสูงในนครจักรพรรดิขุยก็เริ่มคาดเดากันได้แล้ว
เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็คาดไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะลงมือรวดเร็วขนาดนี้!
อีกทั้งความเด็ดขาดของต้าเทียนซือก็เป็นเหมือนสายฟ้าที่ฟาดผ่าลงมา เวลาไม่ถึงสองชั่วยาม พระยาสวรรค์สองคนไม่เพียงแต่เอาตัวเองไม่รอด แม้แต่ตระกูลของพวกเขาก็ยังถูกค้นและยึดทรัพย์ คนในตระกูลทุกคนถูกรวบตัวไปคุมขังทั้งหมด
และชื่อป๋ายฮ่าวนี้ก็เลื่องลือไปแปดทิศในนครจักรพรรดิขุยอีกครั้ง จนมีผู้หวังดีทำการศึกษาแล้วก็ค้นพบว่าดูเหมือนหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาเยือนนครจักรพรรดิขุย นครจักรพรรดิขุยแห่งนี้ก็เหมือนจะต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“เจ้าป๋ายฮ่าวผู้นี้…เป็นดาวอัปมงคลอย่างแท้จริง…”
“โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว ข้าเห็นป๋ายฮ่าวผู้นั้นค้นบ้านกับตาตัวเอง ทุกที่ที่ผ่าน พื้นดินถูกขุดลึกลงไปสามฉื่อ พืชหญ้าก็ยังไม่มีเว้น”
“จะโทษเจ้าป๋ายฮ่าวผู้นั้นก็ไม่ได้ ความขัดแย้งระหว่างเขาและชนชั้นสูงพวกนั้นดุเดือดขึ้นทุกครั้งที่มีการปะทะกัน จนกระทั่งถึงขั้นที่ว่าไม่เจ้าก็ข้าต้องตายกันไปข้างแล้ว”
คำวิพากษ์วิจารณ์มากมายไม่เพียงแต่ปรากฏขึ้นในนครจักรพรรดิขุย มันยังเริ่มแพร่ไปถึงนครของสี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ จนกระทั่งลุกลามไปทั่วทั้งแดนทุรกันดาร
เหล่าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่เคยมีข้อพิพาทกับป๋ายเสี่ยวฉุนในกาหลอมวิญญาณต่างก็ตกตะลึง สภาพน่าเวทนาของหลี่เทียนเซิ่งทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนโดนเองกับตัว จำต้องเก็บตัวอยู่อย่างสงบเสงี่ยม และบางคนก็ถึงขั้นถูกผู้อาวุโสในตระกูลกักบริเวณอย่างเข้มงวด ไม่อนุญาตให้ออกไปข้างนอก เพราะป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ พวกเขาได้เพียงเล่นงานอย่างลับๆ ไม่สามารถปะทะซึ่งๆ หน้าได้
เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญผวา ขณะเดียวกันก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้ร่วมชะตากรรม ทุกคนระมัดระวังตัวกันแจ และจิตสังหารที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขาไม่กล้าล่วงเกินต้าเทียนซือ จึงได้เพียงย้ายเป้าเล็งจิตสังหารนี้ไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแทน อีกทั้งสำหรับชนสูงศักดิ์ทั้งราชสำนักแล้ว แม้ปกติพวกเขาจะมีการชิงดีชิงเด่นกันเอง ทว่าในเวลาอย่างนี้กลับสมัครสมานสามัคคีกันผิดปกติ
ไม่ว่าจะมีใจเอนเอียงเข้าหาจักรพรรดิขุยหรือไม่ แต่การที่เอะอะต้าเทียนซือก็สั่งให้สังหารพระยาสวรรค์เช่นนี้ทำให้ทุกคนตึงเครียดเป็นกังวล ชนชั้นสูงบางคนพากันมาเข้าพบต้าเทียนซือ ทว่าก็มีหลายคนที่แอบคิดปลิดชีพป๋ายเสี่ยวฉุน หมายจะใช้สิ่งนี้มาโจมตีต้าเทียนซือกลับ
เพียงแต่ว่าหนึ่งเดือนมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ย่างเท้าออกจากจวน ฝูงชนที่คิดร้ายต่อเขาก็ไม่มีใครกล้าบุกเข้าไปฆ่าถึงจวนผู้ตรวจการ พวกเขาจึงได้แต่มองเวลาล่วงเลยผ่านไป และไม่นานพิธีเซ่นไหว้บรรพชนก็มาถึง
ตลอดทั้งแดนทุรกันดารให้ความสำคัญกับพิธีเซ่นไหว้บรรพชนอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นตระกูลไหนหรือชนเผ่าเล็กใหญ่เท่าไหร่ก็ล้วนเป็นแบบเดียวกัน และสำหรับราชวงศ์ขุยแล้ว การเซ่นไหว้บรรพชนก็ยิ่งเป็นพิธีฉลองที่ยิ่งใหญ่
วันเซ่นไหว้บรรพชนนี้ จักรพรรดิขุยเองก็จะปรากฏตัว ต่อให้จักรพรรดิขุยรุ่นนี้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ทว่าวันนี้เขาก็จะยังมาปรากฏตัวอยู่ในลานของพระราชวังอยู่ดี
ขณะเดียวกัน ชนสูงศักดิ์ทั้งหมดก็ย่อมต้องมาร่วมกันเซ่นไหว้บรรพชนด้วย
มีเพียงราชาสวรรค์ทั้งสี่ท่านเท่านั้นที่ไม่มา และอันที่จริงแล้วก็ไม่ใช่แค่การเซ่นไหว้บรรพชน เว้นเสียแต่ว่าเกิดเรื่องสะท้านฟ้าสะเทือนดินจนทำให้ราชวงศ์เปลี่ยนแปลงเท่านั้น หาไม่แล้วสี่ราชาสวรรค์จะไม่มีทางมาที่นครจักรพรรดิขุยเด็ดขาด
พวกเขาไม่สามารถมาได้…
เพราะอย่างไรซะความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับต้าเทียนซือก็ถือว่าดีเยี่ยมมาก นับว่าอยู่ในสภาวะที่คงสมดุล หากมานครจักรพรรดิขุยแล้วเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น จะส่งผลกระทบที่รุนแรงมาก
แม้ว่าพวกเขาไม่มา แต่ลูกหลานของพวกเขาก็จะมาปรากฏตัวอยู่ในพิธีเซ่นไหว้บรรพชนเพื่อเป็นตัวแทนของพวกเขา
เพราะพิธีเซ่นไหว้บรรพชนของราชวงศ์ขุยนั้น จะเซ่นไหว้…จักรพรรดิขุยรุ่นแรกผู้ก่อตั้งราชวงศ์ ต่อให้เวลาจะผ่านพ้นไปนานแค่ไหน ทว่าสำหรับปวงประชาของราชวงศ์ขุยแล้ว จักรพรรดิขุยรุ่นแรกก็ยังคงเป็นบุคคลสูงส่งเหนือเกินผู้ใดทัดเทียมในใจของพวกเขาอยู่ดี
ขณะเดียวกันพิธีเซ่นไหว้บรรพชนนี้ก็เหมือนจะเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิหมิงด้วย ทุกครั้งที่มีการทำพิธี ฟ้าดินจะถูกแหวกกระชาก แม่น้ำอเวจีเผยกาย หมุนคว้างกลายเป็นน้ำวนลูกใหญ่
น้ำวนนี้ใหญ่มาก ปกคลุมตลอดทั้งนครจักรพรรดิขุยไว้จนมิด ทั้งยังมีวิญญาณจำนวนมากที่จะเยื้องกรายจากฟากฟ้าลงมาอวยชัยให้กับปวงประชาในวันที่มีพิธีเซ่นไหว้นี้ ไม่ว่าใครก็ตามล้วนได้รับผลเก็บเกี่ยวเป็นดวงวิญญาณที่ร่วงลงมาจากฟ้าในวันนั้นทั้งสิ้น
ทว่าสำหรับชนชั้นสูงของราชวงศ์ขุยแล้ว แม้พวกเขาเองก็จะลงมือเก็บเอาวิญญาณเหล่านั้นมา ทว่ากลับไม่ได้ใส่ใจมากนัก แค่เก็บมาเพื่อเอาโชคเอาชัยให้กับตัวเองเท่านั้น
เมื่อวันเซ่นไหว้บรรพชนมาถึง วันนี้ตลอดทั้งนครจักรพรรดิขุยอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความเคร่งขรึม เหล่าผู้คนที่อยู่ในบ้านเรือนต่างๆ ล้วนเดินออกมาคุกเข่ากราบไหว้ท้องฟ้าอยู่บนถนน ขณะเดียวกันในพระราชวังที่อยู่บนท้องฟ้าก็มีเสียงระฆังตีกังวานสะท้อนก้องไปทั้งนคร
พระยาสวรรค์ เจ้าพระยาสวรรค์ทุกคนต่างก็สวมชุดพิธีการเดินออกมาด้วยสีหน้านิ่งสงบ ก่อนจะบินไปรวมตัวกันที่ลานกว้างนอกตำหนักวังหลวง…
เวลาเดียวกันนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เดินออกมาจากตำหนักใหญ่ที่ใช้ปิดด่าน ชั่วขณะที่เขาเดินออกมา ดวงตาเขาฉายความยินดีที่ปิดไม่มิด เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยนัยน์ตาตื่นเต้นและรอคอย
“ในที่สุดก็หลอมไฟสิบเจ็ดสีออกมาได้แล้ว และพิธีเซ่นไหว้บรรพชนนี้ก็จะเริ่มต้นขึ้นเสียที…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพรูลมหายใจยาวเหยียด ก่อนจะกระโดดผลุงบินออกไป
กองทัพศพโลหิตพันคนทะยานขึ้นฟ้าตามมาด้วย