Skip to content

A Will Eternal 777

บทที่ 777 ตำหรับหลอมไฟสิบแปดสี

“เจ้า!!” จ้าวสงหลินอึ้งไปครู่ ความเดือดดาลตีตื้นขึ้นมาเต็มอกอย่างมิอาจระงับไว้ได้อีกต่อไป แต่พอเห็นว่าต้าเทียนซือยังจากไปได้ไม่ไกล ต่อให้เขาจะโมโหเกรี้ยวกราดถึงเพียงไหนก็ไม่กล้าระเบิดอารมณ์ออกมา ทำได้เพียงหายใจฟืดฟาดฝืนข่มกลั้นเอาไว้ โกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง สีหน้าก็บิดเบี้ยว ในใจยิ่งก่นด่าอย่างบ้าคลั่ง ต่อให้เขาจะเป็นคนโง่ที่ปฏิกิริยาตอบสนองช้าเพียงใดก็ยังมองออกว่าอีกฝ่ายคิดจะปล้นกันหน้าด้านๆ

“เจ้าป๋ายฮ่าวสมควรตาย เอาวิญญาณสร้างฐานรากมาให้ข้า แต่จะให้ข้าคืนวิญญาณคนฟ้าให้กับเขา!!” จ้าวสงหลินรู้สึกเหมือนตัวเองใกล้จะระเบิดเต็มที ในใจคับแค้นถึงขีดสุด แถมอยู่ดีๆ ยังถูกขูดเลือดขูดเนื้อ ต้องรู้ว่าสำหรับเขาแล้ว วิญญาณคนฟ้าก็นับเป็นสมบัติล้ำค่าที่ได้แค่มองแต่มิอาจหามาครอบครอง

เพราะอย่างไรซะจำนวนคนฟ้าก็มีจำกัด สำหรับแดนทุรกันดารแห่งนี้

หากคิดจะเลื่อนสู่เขตคนฟ้าแล้วมีวิญญาณคนฟ้าหนึ่งดวงในครอบครอง นั่นจะทำให้เพิ่มอัตราความสำเร็จได้หลายส่วน เมื่อเป็นเช่นนี้วิธีการของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเท่ากับรีดเลือดกับปูจ้าวสงหลินโกรธจนสั่นไปทั้งตัว อารมณ์เขาในยามนี้ย่ำแย่ถึงขีดสุด…

พวกชนชั้นสูงที่อยู่รอบๆ ก็อึ้งงันกันไปหมด ตอนที่มองตามแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนไป สันหลังของพวกเขาก็พลันรู้สึกเสียววาบ เข้าใจนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นไม่ปล่อยผ่านของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างลึกล้ำ

“โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว…”

“เห็นได้ชัดว่าเขาเล่นงานจ้าวสงหลินอย่างโจ่งแจ้งโดยไม่ละอายใจ…”

“พรุ่งนี้ตอนที่เขาไปเอาคืน…ไม่ว่าอย่างไรจ้าวสงหลินก็ต้องหาวิญญาณคนฟ้ามาให้เขาให้ได้…”

ต้าเทียนซือที่ห่างออกไปไกลแม้จะหันหลังให้กับลานกว้าง ทว่าทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้านหลังตัวเอง เขากลับรับรู้อย่างชัดเจน เมื่อเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนใช้วิธีการเช่นนี้ ใบหน้าที่เดิมทีเรียบนิ่งของเขาก็ยังกระตุกยิกๆ อย่างห้ามไม่ได้

“เอาเถิด คิดซะว่าเป็นการมอบรางวัลให้เขาก็แล้วกัน” ต้าเทียนซือไม่ได้ห้ามปราม การแสดงออกของป๋ายเสี่ยวฉุนในวันนี้ทำให้เขาพอใจอย่างยิ่ง ตอนนี้จึงแค่ส่ายหัว รอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตามมาทันแล้วจึงเดินหน้าต่อไป

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าต้าเทียนซือไม่ได้เอ่ยทักท้วง เขาก็ยิ่งฮึกเหิมเข้าไปอีก เดินก้าวย่างอย่างองอาจติดตามต้าเทียนซือกลับมาถึงนอกตำหนักเทียนซือ เมื่อมาถึงที่นี่ ต้าเทียนซือไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบป้ายคำสั่งของผู้ตรวจการออกมา ต้าเทียนซือชี้นิ้วหนึ่งครั้ง พอป้ายคำสั่งนี้แผ่แสงสีดำเปล่งวูบวาบอยู่ไม่กี่ที เขาก็เอ่ยเนิบช้า

“นับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าได้ควบคุมกองทัพสามพันนาย!”

“กลับไปพักผ่อนให้ดี อีกไม่นาน…กองทัพศพหุ่นเชิดสามพันนายของเจ้าก็คงได้ออกแรงแล้ว ผลพวงที่ได้รับหลังจากนี้ เจ้าสามารถเอาไปได้เลยหนึ่งส่วน ถือเป็นของรางวัลของเจ้า” กล่าวจบ ต้าเทียนซือก็ก้าวเดินเข้าไปในตำหนัก ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เขาไม่ได้หันกลับมามอง แล้วก็ไม่ได้ถามป๋ายเสี่ยวฉุนเรื่องสมบัติที่เขาฮุบเอามาเป็นของตัวยามค้นบ้านยึดทรัพย์พระยาสวรรค์และพระยาสวรรค์เฉิน แถมยังเอ่ยปากกำหนดผลพวงที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะได้รับเวลาที่ยึดทรัพย์ในอนาคตด้วย

ของรางวัลนี้ใหญ่แค่ไหน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เคยยึดทรัพย์บ้านพระยาสวรรค์มาก่อนย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ เขาพลันลิงโลดขึ้นมาทันใด รีบกุมมือประสานเอ่ยรับเสียงดัง

“ป๋ายฮ่าวยินดีบุกน้ำลุยไฟเพื่อต้าเทียนซือ!”

เมื่อเห็นว่าต้าเทียนซือเข้าไปในตำหนักแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนที่หน้าบานเป็นกระด้งถึงได้หมุนตัวจากไปด้วยความพึงพอใจ

ไม่นานนักเขาก็พาศพหุ่นเชิดหนึ่งพันนายบินออกมาจากวังหลวง ตลอดทางที่ห้อทะยานไปยังจวนตรวจการ สีหน้าท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความโอหังวางอำนาจเกินกว่าปกติ

พวกชนชั้นสูงอย่างเหล่าเจ้าพระยาสวรรค์และพระยาสวรรค์ที่เห็นภาพนี้กัดฟันขบกรามกันกรามแทบแตก แต่กลับไม่มีใครกล้าเปิดปากหาเรื่อง

เมื่อกลับมาถึงจวนตรวจการ สิ่งแรกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนทำก็คือหยิบเอาป้ายคำสั่งขึ้นมา พอผสานรวมอำนาจจิตเข้าไป สัมผัสได้ถึงโลงศพที่ฝังอยู่ใต้ดินก็รีบเรียกพวกเขาออกมาทันที

เสียงตูมตามดังกึกก้องออกมาจากในจวนตรวจการอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่โลงศพหลายโลงจะพุ่งพรวดออกมาจากใต้ดินแล้วตั้งตระหง่านอยู่รอบจวนตรวจการ เพราะจำนวนมีมากเกินไป หลายโลงจึงจำต้องไปลอยอยู่กลางอากาศ

ทั้งหมดนั้นมีมากถึงสองพันโลง!

“ฟื้นตื่นขึ้นมาเถิด กองทัพเกราะดำของข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามด้วยความฮึกเหิม เมื่อเสียงของเขาดังออกมา โลงไม้พวกนั้นก็มีเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ ไม่นานฝาโลงสองพันโลงก็เปิดออกพร้อมกัน ก่อนที่ชายฉกรรจ์สวมเกราะดำสองพันนายจะเดินออกมาจากข้างใน

บนร่างของชายฉกรรจ์เหล่านี้มีกลิ่นอายของความเน่าเปื่อยแผ่ออกมา คนที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นถึงก่อกำเนิดช่วงกลาง อีกครั้งคราวนี้ครึ่งก้าวคนฟ้าที่อยู่ในนั้นยังมีมากถึงสี่คน!

ดวงตาทั้งคู่ของพวกเขาเปิดขึ้นแทบจะพร้อมๆ กัน ชั่วขณะที่ดวงตาเบิกโพลงนั้น ปราณดุร้ายรุนแรงระลอกหนึ่งก็ระเบิดสะท้านฟ้าสะเทือนดิน!

ทำให้เหนือจวนตรวจการมีน้ำวนสีดำลูกหนึ่งก่อตัวแล้วหมุนโคจรอย่างต่อเนื่อง ประกายสายฟ้าและพลังอำนาจที่มากไพศาลดึงดูดความสนใจจากคนรอบด้านได้ทันใด ทั้งยังทำให้คนที่มองเห็นพากันตะลึงพรึงเพริด

“กองทัพศพหุ่นเชิดของจวนตรวจการมีเพิ่มมากขึ้นอีกแล้ว!!”

“นี่คือ…สองพันนาย? บวกกับหนึ่งพันนายก่อนหน้านี้ กองทัพใหญ่ที่ป๋ายฮ่าวผู้นั้นกุมอำนาจอยู่ในมือตอนนี้มีมากถึงสามพันนายแล้ว!!”

“ศพหุ่นเชิดสามพันนาย กองกำลังกลุ่มนี้…ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก มันมากพอจะกระตุ้นให้เกิดสงครามขนาดใหญ่ได้เลยทีเดียว!!”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์พลันดังขึ้นจากรอบด้านของนครจักรพรรดิขุย ทั้งยังมีชนชั้นสูงไม่น้อยที่พอสังเกตเห็นภาพนี้ก็พากันตกตะลึง สีหน้าดำมืด รู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้มีอำนาจมากพอจะทำให้คนกริ่งเกรง

ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจจนเนื้อเต้น ดวงตาทั้งคู่ของเขาเปล่งประกาย มองศพหุ่นเชิดสองพันนายอยู่พักใหญ่ ก่อนจะโบกมือหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นศพหุ่นเชิดหนึ่งพันนายของเขาก่อนหน้านี้ก็พากันปรากฏตัว ศพหุ่นเชิดสามพันนายจัดแถวพร้อมเพรียงกัน ทำให้น้ำวนสีดำบนท้องฟ้าเหนือจวนตรวจการยิ่งขยายใหญ่

อีกทั้งเวลานี้เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปยังป้ายคำสั่งก็รู้ว่าป้ายนี้ไม่เพียงแต่มีศพหุ่นเชิดเพิ่มมาอีกสองพันนาย ทั้งยังเหมือนว่าจะมีวิชาอภินิหารอย่างหนึ่งเปิดขึ้นมาด้วย

หลังจากศึกษาเรียบร้อยแล้ว อำนาจจิตของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเคลื่อนไหว ทำให้ป้ายตรวจการนี้มีแสงสีดำเส้นหนึ่งเปล่งวาบแล้วตรงดิ่งเข้าไปหาชายฉกรรจ์เกราะดำที่ก่อนหน้านี้กลืนพิษร้ายหัวใจสตรีเข้าไป พอแสงสีดำผสานรวมเข้ากับร่างของเขา ชายฉกรรจ์เกราะดำก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง พลังอำนาจเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความรอคอยของป๋ายเสี่ยวฉุน จู่ๆ เขาก็แผดเสียงร้องคำราม

ตามหลังเสียงคำราม ปราณของเขากลับหวนคืนมาสู่ระดับเกือบคนฟ้าอย่างที่เคยเป็นอีกครั้ง ซึ่งในช่วงเวลาที่คับขัน เขาจะสามารถดูดซับปราณของศพหุ่นเชิดตนอื่นๆ มารักษาสภาวะสูงสุดของตัวเองเอาไว้ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ!

นี่ก็คือหนึ่งในของรางวัลที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้รับหลังจากที่อำนาจของป้ายตรวจการนี้เพิ่มมากขึ้น!

“ดูสิใครยังจะกล้ามาหาเรื่องข้าอีก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ รู้สึกเพียงว่าตัวเองในเวลานี้อาจไม่ถึงขั้นใต้หล้าไร้ศัตรู แต่หากคิดจะจัดการกับคนฟ้าสักคนก็ง่ายประดุจพลิกฝ่ามือ!

และเรื่องจริงก็เป็นเช่นนี้ ตอนนี้ข้างกายเขามีศพหุ่นเชิดที่เกือบเป็นคนฟ้าอยู่คนหนึ่ง มีเกราะดำครึ่งก้าวคนฟ้าอีกห้าคน และชายฉกรรจ์ก่อกำเนิดอีกเกือบสามพันคน พลังอำนาจเช่นนี้…ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงขั้นรู้สึกว่าหากสามารถพาพวกเขากลับไปยังแม่น้ำทงเทียนสายตะวันออกได้ ตนก็สามารถแข็งข้อกับสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราได้เลย

“ติดตามต้าเทียนซือนี่ดีจริงๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกบานใจอย่างถึงที่สุด ความรู้สึกไม่สบายใจที่ก่อนหน้านี้ถูกจักรพรรดิขุยจับตามองตอนที่อยู่ในวังก็หายไปเกลี้ยงอย่างไร้ร่องรอย

“ตอนนี้ข้าคือบุคคลยิ่งใหญ่ของแดนทุรกันดารแล้ว! นับเป็นตัวแปรสำคัญในเรื่องใหญ่ๆ ได้เลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึงพอใจอย่างยิ่งยวด ขณะที่กำลังเคลิบเคลิ้มก็คิดจะพาศพหุ่นเชิดสามพันนายนี้ไปเดินเล่นในนครจักรพรรดิขุยสักหนึ่งรอบเพื่อให้ทุกคนได้รู้ถึงความร้ายกาจของตัวเอง ทว่าทันใดนั้นเอง ในถุงเก็บของของเขาก็มีเสียงที่ปกปิดความดีใจไว้ไม่มิดของป๋ายฮ่าวดังมาเข้าหูของเขา

“อาจารย์ ตำรับการหลอมไฟสิบแปดสี…ในที่สุดศิษย์ก็สร้างขึ้นมาสำเร็จแล้ว!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง ในใจปลื้มปิติอย่างบ้าคลั่ง หัวเราะร่าทันใด เขารู้สึกว่าวันนี้มีแต่เรื่องดีๆ มาเยือน ไม่เพียงแต่อำนาจเพิ่มพูน ตำรับหลอมไฟสิบแปดสีที่รอคอยมานานก็ยังเสร็จสมบูรณ์ด้วย ตอนนี้ความคิดจะไปเดินเล่นจึงไม่เหลืออีกต่อไป รีบสั่งให้ศพหุ่นเชิดสามพันนายพิทักษ์อยู่รอบด้าน ส่วนตัวเองรีบเข้าไปในพื้นที่ที่ใช้สำหรับปิดด่าน พอปิดผนึกรอบด้านเรียบร้อย ป๋ายฮ่าวก็บินออกมาทันที

สีหน้าของป๋ายฮ่าวเองก็ตื่นเต้นไม่น้อย เขาส่งกระดูกแผ่นหนึ่งที่รวบรวมตำรับการหลอมไฟสิบแปดสีเอาไว้ให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดอำนาจจิตอ่านตำรับไฟนี้ ในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความพอใจและรอคอย

ผ่านไปพักใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดึงอำนาจจิตกลับมา สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วเงยหน้ามองป๋ายฮ่าว เขาเข้าใจดีว่าตำรับหลอมไฟสิบแปดสีนี้มีมูลค่ามหาศาลยากเกินบรรยายเพียงใดสำหรับแดนทุรกันดาร

และมันยังถึงขั้นมีมูลค่าสูงเกินกว่าวิญญาณคนฟ้าด้วย!

คนจำนวนนับไม่ถ้วนคิดอยากจะครอบครองมัน แต่ตำรับไฟสิบแปดสีมีอยู่แค่ในครอบครัวของอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินเท่านั้น ซึ่งตระกูลเช่นนี้ย่อมไม่มีทางมอบตำรับไฟสิบแปดสีให้ใครง่ายๆ

“ศิษย์รัก หากอาจารย์กลายเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินได้จริงๆ เจ้านับว่ามีคุณความชอบสูงสุด เจ้าบอกมาเลย เจ้าอยากได้อะไร อาจารย์ต้องหามาให้เจ้าให้ได้แน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยจริงจัง

ได้รับคำชมจากอาจารย์ มองเห็นความดีใจล้นพ้นของอาจารย์ ป๋ายฮ่าวก็รู้สึกเหมือนตัวเองได้รับการยอมรับ สำหรับเขาแล้วป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นทั้งอาจารย์ แล้วก็เป็นทั้งญาติเพียงคนเดียวของตน การที่ตนช่วยอาจารย์ได้ ทำให้เขารู้สึกดีใจมาก

“อาจารย์ ข้าไม่มีอะไรที่ต้องการเป็นพิเศษ เรื่องนี้ไว้พูดกันทีหลังเถอะ อันดับต่อไปข้าต้องการสร้างตำรับไฟสิบเก้าสีโดยอิงตามแนวความคิดนี้!”

ดวงตาของป๋ายฮ่าวเผยความเด็ดเดี่ยว เขาเชื่อว่าตัวเองต้องทำได้แน่นอน แล้วก็รอคอยที่จะได้เห็นภาพซึ่งเขย่าคลอนไปทั้งแดนทุรกันดารยามที่ไฟสิบเก้าสีปรากฏขึ้นในมือของอาจารย์ตน

“ข้าจะทำอย่างสุดความสามารถ เพื่อช่วยให้อาจารย์…กลายมาเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นฟ้า!”

ป๋ายฮ่าวสาบานอยู่กับตัวเองในใจ หลังจากคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้งก็กลับเข้าไปในสถูปวิญญาณ เพราะเขาต้องทำเวลาในการศึกษาตำรับหลอมไฟ

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองสถูปวิญญาณนั้นด้วยความซาบซึ้งใจ เขารู้ดีว่าสำหรับลูกศิษย์ของตนคนนี้ วิชาของผีนักพรตนั้นสำคัญอย่างมาก ทว่าเมื่ออยู่ในแดนทุรกันดารแห่งนี้ เขาไม่สามารถหาวิชาที่ว่านี้เจอ ท่ามกลางความเงียบงัน ป๋ายเสี่ยวฉุนได้เพียงแต่ถอนหายใจ

“จะไปหาวิชาการฝึกตนสำหรับผีนักพรตได้ที่ไหนนะ…ในเขตแม่น้ำทงเทียนมีวิชาการฝึกตนอยู่มากมาย ที่นั่นน่าจะมี” ป๋ายเสี่ยวฉุนนิ่งคิดอยู่ครู่ก็ตัดสินใจได้ หลังจากนั้นจึงนั่งทำสมาธิแล้วเริ่มทำความเข้าใจกับตำรับการหลอมไฟสิบแปดสี

หนึ่งคืนล่วงเลยผ่านไป

ตำรับการหลอมไฟสิบแปดสีนี้ซับซ้อนอย่างยิ่ง แต่ว่าหลักการเดิมของมันมีส่วนคล้ายคลึงกับวันนั้นที่ป๋ายเสี่ยวฉุนผสานรวมไฟและสามารถหลอมไฟสิบแปดสีออกมาได้เสี้ยวหนึ่ง สามารถพูดได้ว่าตำรับนี้ก่อตั้งอยู่บนรากฐานของสองวิธีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนทดลองในวันนั้น

ดังนั้นหลังจากที่ได้ทำความเข้าใจไปตลอดทั้งคืน ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มมั่นใจขึ้นมาอีกไม่น้อย พอนึกว่าหากตนหลอมออกมาได้ก็จะกลายมาเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดิน หัวใจของเขาก็เต้นรัวเร็วอย่างมิอาจห้ามได้

“แต่หากคิดจะให้หลอมออกมาได้จริงยังจำเป็นต้องทดลองอีกหลายครั้ง…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้ามองสีท้องฟ้า นึกขึ้นมาได้ว่าจ้าวสงหลินยังติดค้างวิญญาณคนฟ้าตนหนึ่งดวง ดังนั้นจึงเก็บแผ่นกระดูกแล้วลุกขึ้นยืน ยืดเส้นยืดสายเรียบร้อยก็เชิดคางขึ้น รู้สึกเพียงว่าตอนนี้อารมณ์ปลอดโปร่งโล่งสบาย และตอนนี้ก็ต้องการสำแดงอำนาจในมืออย่างถึงที่สุด

“จ้าวสงหลิน นายท่านป๋ายของเจ้ามาแล้ว!”

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังลำพองใจ เขาไม่รู้ว่าคืนนี้ราชาผียักษ์ได้ตัดสินใจทำอย่างหนึ่ง

การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากสตรีธุลีแดงรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในงานพิธีเซ่นไหว้บรรพชนให้เขาฟัง ซึ่งพอฟังจบดวงตาของราชาผียักษ์ก็พลันเป็นประกายทันที

“คนมีความสามารถ ข้ามองป๋ายฮ่าวผู้นี้ไม่ผิดไปจริงๆ เด็กคนนี้อนาคตยาวไกลสุดประมาณ ลูกเขยที่ครบเครื่องขนาดนี้ ไม่ว่าเขามีที่มาอย่างไร ข้าก็ต้องเอาเขามาเป็นลูกเขยให้จงได้!”

“แต่ด้วยนิสัยของโม่เอ๋อร์…หากพวกเขาสองคนยังเป็นอย่างนี้ต่อไปก็ไม่มีทางที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ได้เลย อีกอย่างตอนนี้จะให้พวกเขาติดต่อกันบ่อยๆ ก็ไม่ได้ด้วย” ราชาผียักษ์ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ดวงตาจะพลันโชนแสงประหลาด พอไอแห้งๆ หนึ่งครั้งก็ส่งข้อความเสียงหาสตรีธุลีแดง

หลังจากสอบถามเรื่องการฝึกบำเพ็ญตนของนางแล้ว เขาก็พลันเอ่ยขึ้นว่า

“โม่เอ๋อร์ พ่อมีวิชาอยู่อย่างหนึ่ง ขอแค่เจ้าปิดด่านฝึกตน ก็มีความเป็นไปได้ถึงเจ็ดส่วนที่จะทำให้ตบะของเจ้าเลื่อนจากคนฟ้าช่วงต้นไปเป็นคนฟ้าช่วงกลาง!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!