บทที่ 779 เด็กที่น่าสงสาร
“ซ่งเชวีย?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน จากนั้นก็ตบหัวตัวเอง เขาพบว่าตัวเองดันลืมซ่งเชวียไปซะสนิท…
“ใช่แล้วขอรับ ซ่งเชวียก็คือคนที่ เอ่อ…บอกว่าตัวเองคือหลานป๋ายเสี่ยวฉุนตอนอยู่ตระกูลเฉิน” โจวอีซิงเอ่ยขึ้นเบาๆ สายตากวาดมองป๋ายเสี่ยวฉุนรอบหนึ่งก่อนจะรีบก้มหน้าลง
“เขาเองน่ะหรือ เฮ้อ หัวสมองข้านี่นะ หากเจ้าไม่พูด ข้าก็ลืมไปแล้ว”
ป๋ายเสี่ยวฉุนตำหนิตัวเอง รู้สึกว่าถึงแม้ตนจะเป็นดาวนำโชคของซ่งเชวีย ทว่าในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสของอีกฝ่ายก็เหมือนว่าตนจะละเลยลูกหลานของตัวเองไปหน่อย
“ใต้เท้ามีกิจธุระรัดตัวทุกวัน ต้องดูแลเรื่องใหญ่เกี่ยวพันกับประเทศชาติบ้านเมือง ไม่ว่าจะแผนการใดก็ล้วนเขย่าคลอนฟ้าดิน อุทิศตนรับใช้ราชสำนัก ทุ่มเทเพื่อนครจักรพรรดิขุย ข้าน้อยสมควรตาย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังมารบกวนใต้เท้า ขอใต้เท้าโปรดรักษาสุขภาพ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าน้อยเอง” โจวอีซิงรีบเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังแล้วก็รู้สึกว่าโจวอีซิงช่างเข้าใจพูดยิ่งนัก มีท่วงทำนองของตน ฟังแล้วรื่นหูสบายใจจึงพยักหน้าให้กับโจวอีซิงอย่างชื่นชม
“เอาเถิด เจ้าไปนำตัวเขามาก็แล้วกัน”
“รับบัญชา!” โจวอีซิงตอบรับเสียงดังแล้วหมุนกายจากไป
ไม่นานนัก เมื่อเขากลับมาอีกครั้ง ซ่งเชวียก็ถูกเขาหิ้วตัวมา ก่อนจะโยนโครมมาไว้ตรงหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุน เห็นได้ชัดว่าก่อนจะมาโจวอีซิงได้พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างซ่งเชวียกับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ดังนั้นซ่งเชวียในเวลานี้จึงสวมอาภรณ์ที่ไม่ขาดวิ่นสกปรกอย่างตอนอยู่ตระกูลเฉินอีกต่อไป แต่เปลี่ยนมาเป็นผ้าป่านหยาบๆ ชุดหนึ่ง บนร่างก็สะอาดสะอ้านกว่าเดิมไม่น้อย ทว่าความดึงดันและความบ้าคลั่งในดวงตาของเขากลับยังคงดุเดือดดังเดิม
“แน่จริงก็ฆ่าข้าซะสิ!! อาเขยของข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าเอาไว้แน่!!” ซ่งเชวียผุดลึกขึ้นยืนตัวตรงอย่างคนองอาจห้าวหาญ จ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง ประโยคแรกที่เปิดปากก็คือเสียงคำรามดังลั่น
เสียงคำรามนี้ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนผงะตกใจ ทว่าเนื้อหาในถ้อยความกลับทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเกือบจะหลุดยิ้มอย่างห้ามไม่ได้ เขารีบกระแอมแล้วปั้นหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินวนไปรอบตัวซ่งเชวีย สายตามองประเมินบนร่างอีกฝ่ายไม่หยุด
สายตานี้ทำให้ซ่งเชวียใจสั่น ลมหายใจก็ถี่กระชั้น เขารู้สึกว่านัยน์ตาของคนที่อยู่เบื้องหน้านี้แฝงเร้นความน่าหวาดกลัวที่เขาไม่เข้าใจ หากเป็นเพียงเท่านี้ก็ยังพอว่า แต่นี่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยังเดินขึ้นหน้าเอามือมาลูบๆ คลำๆ เขาซ้ายทีขวาทีด้วยท่าทางสนอกสนใจ นี่จึงทำให้ซ่งเชวียตัวสั่น ในสมองมีจินตนาการเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน ร่างแข็งทื่อ แต่ปากยังคงคำรามดังลั่น
“ข้าซ่งเชวียต่อให้ต้องตายก็ไม่มีทางยอมอ่อนข้อเด็ดขาด!”
“พอทีน่า จะตะโกนทำไมนักหนา ใต้เท้าอย่างข้ามีคำถามจะถามเจ้า เจ้าเป็นอะไรกับป๋ายเสี่ยวฉุน!” ลึกๆ ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะเริงร่าราวดอกไม้ผลิบาน แต่กลับจงใจเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทั้งยังเผยท่าทางที่เหมือนกับหวาดกลัวป๋ายเสี่ยวฉุนนิดๆ ด้วย
ทว่าในความเป็นจริงแล้วเขากลับรอคอยที่จะฟังคำตอบจากปากของซ่งเชวีย
ซ่งเชวียสังเกตเห็นสีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็อึ้งงันไปครู่ หากเลี่ยงความตายได้ เขาย่อมไม่อยากตาย ยามนี้ในใจจึงลิงโลดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ รีบเอ่ยปากทันใด
“ป๋ายเสี่ยวฉุนคืออาเขยของข้า!”
“เจ้าว่าอะไรนะ? ข้าฟังไม่ถนัด…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ เพื่อกลบเกลื่อนรอยยิ้มในดวงตา ทว่าสีหน้ากลับเอาจริงเอาจังอย่างถึงที่สุด
“ป๋ายเสี่ยวฉุน คืออาเขยของข้า!!!” ซ่งเชวียดวงตาเป็นประกาย แผดเสียงดังยิ่งกว่าเดิม
ป๋ายเสี่ยวฉุนเริงร่าอยู่ในใจ อาศัยเสียงกระแอมมาข่มกลั้นรอยยิ้ม ทว่าสีหน้ากลับเคร่งขรึม ความกริ่งเกรงก็แสดงออกชัดเจนยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ ทั้งยังเอ่ยถามหนึ่งประโยค
“เจ้ากำลังพูดถึงคนที่อยู่อันดับหนึ่งบนกระดานจักรพรรดิหมิง ทั้งยังตบะเลิศล้ำค้ำฟ้า ความสามารถน่าตะลึง ดึงดูดความสนใจจากหญิงสาวจำนวนนับไม่ถ้วน ทำให้บุรุษมากมายเคารพบูชา แถมยังเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งที่ตลอดทั้งแดนทุรกันดารประกาศจับ ป๋ายเสี่ยวฉุนคนนั้นน่ะหรือ?” พอป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยประโยคนี้จบ ซ่งเชวียก็ตะลึงงัน ส่วนโจวอีซิงนั้นเกือบจะยกมือขึ้นปิดหน้า พูดกับตัวเองว่านี่มันออกจะโจ่งแจ้งเกินไปหน่อยไหม…หนังหน้าคนผู้นี้ช่างหนาเสียนี่กระไร…
แต่ไม่ว่าอย่างไร ซ่งเชวียก็ไม่สามารถจินตนาการออกว่าคนที่อยู่เบื้องหน้านี้ก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน แม้จะอึ้งงัน แต่กลับเข้าใจสีหน้ากริ่งเกรงของป๋ายเสี่ยวฉุนผิดไป จึงเอ่ยขึ้นทันใด
“ป๋ายเสี่ยวฉุนคนนั้นนั่นแหละ…”
“ไหนเจ้าลองพูดให้ละเอียดๆ หน่อยสิ ป๋ายเสี่ยวฉุนคนไหน พวกเราพูดถึงคนคนเดียวกันอยู่หรือเปล่า?” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สบอารมณ์จนต้องพูดชี้แนะ ทว่ากลับทำสีหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกว่าทักษะการแสดงของตัวเองร้ายกาจอย่างมาก
“ก็คือป๋ายเสี่ยวฉุนคนที่อยู่อันดับหนึ่งบนกระดานจักรพรรดิหมิง ทั้งยังตบะเลิศล้ำค้ำฟ้า ความสามารถน่าตะลึง ดึงดูดความสนใจจากหญิงสาวจำนวนนับไม่ถ้วน ทำให้บุรุษมากมายเคารพบูชา แถมยังเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งที่ตลอดทั้งแดนทุรกันดารประกาศจับอย่างไรเล่า!!” ลมหายใจซ่งเชวียหอบหนัก
ทว่าในใจกลับรู้สึกทะแม่งๆ พิกล หลังจากพูดทวนประโยคของอีกฝ่าย เขาก็แอบรู้สึกว่าคนที่อีกฝ่ายพูดถึงกับคนที่ตัวเองพูดถึงเหมือนจะ…ไม่ใช่คนคนเดียวกัน
“สวรรค์ นี่เจ้าเป็นหลานของป๋ายเสี่ยวฉุนคนนั้นจริงๆ หรือนี่!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง สูดลมหายใจดังเฮือก แถมยังก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ยกนิ้วชี้หน้าซ่งเชวียด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
โจวอีซิงมองป๋ายเสี่ยวฉุนตาค้าง ก่อนจะรีบก้มหน้าลงต่ำ เขาทนมองต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ …
ทว่าซ่งเชวียกลับฮึกเหิม รีบพูดอย่างตื่นเต้น
“ถูกต้อง ข้าก็คือหลานของป๋ายเสี่ยวฉุน เป็นหลานชายเพียงคนเดียวของเขา ท่านผู้อาวุโสให้ความสำคัญกับข้าอย่างถึงที่สุด ทั้งยังเต็มไปด้วยความคาดหวังในตัวข้า อาหญิงของข้าคือคู่บำเพ็ญเพียรของเขา เขาต้องมาช่วยข้าแน่นอน หากเจ้ากล้าแตะต้องข้า อาเขยน้อยของข้าต้องแก้แค้นแทนข้าแน่!” เขาอึดอัดใจยิ่งนักที่ไม่สามารถพูดได้ชัดเจนกว่านี้ ความนัยที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขาคือต้องการบอกกับคนอื่นว่าตนมีความสำคัญกับป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างยิ่ง หากคิดจะจับตัวป๋ายเสี่ยวฉุนก็ห้ามฆ่าตนเด็ดขาด หมายจะใช้วิธีนี้มารักษาชีวิตตัวเองเอาไว้
ประโยคนี้คนอื่นฟังแล้วรู้สึกอย่างไรป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้ แต่พอเขาฟังแล้วกลับชื่นใจ ในใจปลอดโปร่งโล่งสบายจนถึงระดับที่ไม่อาจบรรยายได้
“นึกไม่ถึงว่าที่เจ้าพูดจะเป็นเรื่องจริง ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้มีตบะล้ำเลิศ สะท้านฟ้าสะเทือนดินผู้นั้นกลับเป็นอาเขยน้อยของเจ้าเชียวหรือนี่ …เอาเถอะๆ อีซิง เก็บตัวคนผู้นี้ไว้ในจวนตรวจการของข้า ให้เป็นคนรับใช้ไปก่อนก็แล้วกัน ส่วนทรัพยากรในการฝึกตนก็แบ่งให้เขาด้วยส่วนหนึ่ง”
“หึ มีเขาอยู่ ข้าเชื่อว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้เป็นสุดยอดผู้กล้า ทำให้คนเหลือคณนาหลงใหลจนแดนทุรกันดารของเราประกาศจับตัวผู้นั้นต้องยอมเอาตัวมาให้ข้าจับแต่โดยดีแน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยหลักการ สมเหตุสมผล กล่าวจบก็สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง
ซ่งเชวียได้ยินมาถึงตรงนี้ก็คลายใจลงได้ในที่สุด แม้ว่าความประหลาดใจจะเพิ่มมากขึ้น ทว่ายังไม่ทันได้คิดอย่างลึกซึ้งก็ถูกโจวอีซิงที่ทนฟังไม่ได้นานแล้วพาตัวกลับไป
เมื่อเห็นว่าโจวอีซิงพาซ่งเชวียจากไป ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบปิดประตูใหญ่ หลังจากปิดผนึกรอบด้านเรียบร้อย เขาก็เปล่งเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างข่มกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป
“เชวียเอ๋อร์เอ๋ย หากวันหนึ่งเจ้ารู้ตัวตนของข้า ไม่รู้ว่าเจ้าจะมีสีหน้าเช่นไร…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ยิ่งฮึกเหิม ปรารถนาอยากจะบอกซ่งเชวียให้รู้ซะเดี๋ยวนั้นว่าตัวเองคือป๋ายเสี่ยวฉุน
แต่เขาก็รู้หนักรู้เบา สำหรับซ่งเชวียเขาเองก็มีการป้องกันตัว แน่นอนว่าย่อมไม่คิดจะบอกความจริงให้อีกฝ่ายรู้ ความรู้สึกยามที่ได้ฟังอีกฝ่ายเอ่ยป้อยอตัวเองตอนที่ปิดบังตัวตนเช่นนี้ทำให้เขาสบายอุราอย่างยิ่ง ครุ่นคิดว่าวันหน้าหากอารมณ์ไม่ดีเมื่อไหร่ก็จะเรียกซ่งเชวียมาข่มขู่ดูสักหน่อย เชื่อว่าอีกฝ่ายต้องทำให้ตนกลับมาอารมณ์เบิกบานได้อย่างรวดเร็วแน่นอน
หลังจากจัดการเรื่องซ่งเชวียเสร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไพล่นึกไปถึงเสินซ่วนจื่ออย่างห้ามไม่ได้
“ก็ไม่รู้ว่าเสินซ่วนจื่ออยู่ที่ไหน…เขาก็น่าจะอยู่ในแดนทุรกันดารด้วยกระมัง” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าภารกิจของตัวเองเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง เสินซ่วนจื่อที่เคยติดตามตนอาจตกอยู่ในอันตราย ตนจำต้องหาอีกฝ่ายให้เจอแล้วช่วยเขาออกมา
เพียงแต่ว่าคิดจะหาตัวเสินซ่วนจื่อ ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไร้เบาะแส คิดอยู่นานมากเขาก็ได้แต่ถอนหายใจ เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจก่อนชั่วคราว ขณะที่กำลังจะทำความเข้าใจกับตำรับหลอมไฟสิบแปดสี สีหน้าก็พลันกระตุก พลันก้มลงมองถุงเก็บของด้วยนัยน์ตาที่ฉายแววดีใจ ครั้นจึงตบถุงเก็บของหนึ่งครั้ง หยิบเอาร่มราตรีนิรันดร์ออกมา
ตอนนั้นเพราะฝ่ามือของเฉินฮ่าวซง ร่มราตรีนิรันดร์ถึงได้พังทลายเหลือเพียงแกนร่ม และภายหลังตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนค้นบ้านตระกูลหลี่ก็ได้หนังสัตว์ลึกลับมาแผ่นหนึ่ง ซึ่งร่มราตรีนิรันดร์ได้ผสานรวมกับหนังสัตว์อยู่ในถุงเก็บของของเขา
นี่ทำให้ร่มราตรีนิรันดร์อยู่ในสภาวะซ่อมแซมตัวเอง และตอนนี้เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบเอาร่มราตรีนิรันดร์ออกมา ด้านบนก็มีแสงสีดำเปล่งวาบ หนังสัตว์นั้นค่อยๆ กลายมาเป็นผืนผ้าใหม่ของร่มราตรีนิรันดร์ หลังจากที่ทั้งสองอย่างผสานรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบ บนร่มราตรีนิรันดร์คันใหม่ก็มีคลื่นแผ่ออกมาเป็นระลอก คลื่นนี้รุนแรงกว่าก่อนหน้านั้นหลายเท่าตัว อีกทั้งดูเหมือนว่าระดับของร่มก็เพิ่มพูนขึ้นมาอีกไม่น้อย
เอามือจับด้ามร่ม ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในร่มราตรีนิรันดร์มีพลังที่น่าตะลึงแฝงอยู่ขุมหนึ่ง เขาจึงกางร่มออกด้วยใจที่ตื่นเต้น
เสียงสวบดังหนึ่งครั้ง ชั่วขณะที่ร่มราตรีนิรันดร์ถูกกางออก บนพื้นผิวของตัวร่มที่เป็นหนังสัตว์พลันปรากฏใบหน้าผีครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง เหมือนจะร้องไม่ร้องนั้นทันที
ใบหน้าผีนี้ชัดเจนยิ่งกว่าที่เคย อีกทั้งเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปยังเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นเหมือนจิตวิญญาณถูกสยบ จนต้องรีบโคจรตบะ ความรู้สึกนี้ถึงได้หายไป
“ร่มราตรีนิรันดร์ซ่อมแซมเสร็จสมบูรณ์แล้ว!”