Skip to content

A Will Eternal 992

บทที่ 992 หวนคืนสู่พื้นที่ราบน้ำแข็ง

ราวกับว่า แผ่นดินจะทลาย!

บัดนี้นักพรตของฝั่งแดนทุรกันดารและทงเทียนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ต่อสู้กันอยู่ต่างก็จิตใจสะท้านไหว รู้สึกเหมือนว่าโลกทั้งใบจะพังทลาย ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี ตะลึงพรึงเพริดอย่างถึงที่สุด

“นี่มันเรื่องอะไรกัน!!”

“สวรรค์ เหตุใดบนท้องฟ้าถึงมีรอยแตกปรากฏขึ้นมาได้!!” นักพรตที่กำลังตะลึงลานเหล่านี้มีทั้งรวมโอสถ ก่อกำเนิดและคนฟ้า นักพรตของสำนักสยบธารก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน! แม้แต่ครึ่งเทพของสองฝ่ายก็ยังสูดลมหายใจดังเฮือก ใบหน้าเผยความเหลือเชื่อ

สตรีธุลีแดงเองก็อยู่ในสนามรบเช่นคนอื่นๆ การเปลี่ยนแปลงของนภากาศในเวลานี้ทำให้นางรับมือไม่ทัน รวมไปถึงทุกคนของฝั่งแดนทุรกันดาร ปฏิกิริยาตอบสนองแรกที่พวกเขามีต่อการเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้าในครั้งนี้ก็คือเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเทียนจุนแน่นอน

มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่รู้ความจริงของเรื่องทั้งหมดนี้ อย่างในนครจักรพรรดิขุย กลางนครสามชั้นที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินซึ่งเป็นพื้นที่ปรักหักพังแห่งหนึ่ง คนเฝ้าสุสานที่กำลังนั่งทำสมาธิลืมตาทั้งคู่ที่เหนื่อยล้าขึ้น

ความแก่ชราของเขาเห็นได้เด่นชัดเป็นพิเศษ ตลอดทั้งร่างแผ่ปราณของการร่วงโรย ราวกับว่าพลังชีวิตทั้งหมดได้แห้งขอดลงไปแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาขุ่นมัวทั้งคู่เริ่มมีประกายแห่งชีวิตชีวามารวมตัวกัน

“ในที่สุดก็ฝึกบทมิวางวาย…ได้สำเร็จ…การเลือกของเทียนจุน ข้าเองก็รู้แล้วเช่นกัน ป๋ายเสี่ยวฉุน หวังว่าหลังจากนี้ไป…เจ้าจะไม่เกลียดข้า…ข้าจำเป็นต้องทำเช่นนี้…นี่คือภารกิจของข้า คือความหมายสุดท้ายที่ข้ามีชีวิตอยู่…”

“อาจารย์…” ในแม่น้ำอเวจีที่อยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า ป๋ายฮ่าวจักรพรรดิหมิงองค์ปัจจุบันยืนทอดสายตามองไปยังท้องฟ้าทิศไกลพลางพึมพำเบาๆ

ตลอดทั้งแดนทุรกันดาร นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่งที่พลันกระจ่างแจ้งถึงต้นสายปลายเหตุของการเปลี่ยนแปลงในเวลานี้ คนผู้นี้…ก็คือจักรพรรดิขุยองค์ปัจจุบัน!

ต่อให้ถูกต้าเทียนซือกำราบเอาไว้จนกลายมาเป็นเหมือนหุ่นเชิดตัวหนึ่ง แต่อย่างไรซะเขาก็เป็นถึงจักรพรรดิขุย ในร่างมีสายเลือดของเชื้อพระวงศ์ไหลริน ตอนนี้ร่างของเขาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรกลางพระราชวังของนครจักรพรรดิขุยสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง

นั่นคือความสั่นสะเทือนที่มาจากวิชาการฝึกตนแบบเดียวกันที่อยู่ในร่าง นั่นคือความสั่นสะเทือนที่มาจากสายเลือด นั่นคือความสั่นสะเทือนจากจุดลึกของจิตวิญญาณซึ่งเกิดจากการฝึกบทมิวางวายของสายจักรพรรดิขุย!

“มีคน…ฝึกบทมิวางวายขั้นสมบูรณ์แบบได้สำเร็จหลังจากบรรพบุรุษโลหิต!” จักรพรรดิขุยสูดลมหายใจเข้าลึก ในดวงตาที่เดิมทีมีแต่ความสิ้นหวังค่อยๆ เผยให้เห็นความหวังปราฏขึ้น

ตลอดทั้งแดนทุรกันดารมีเพียงพวกเขาสามคนเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงฟ้าดินครั้งนี้ ส่วนบนเกาะทงเทียนของแผ่นดินทงเทียน เมื่อผืนฟ้าเกิดรอยปริแตก ปราณน่าตะลึงขุมหนึ่งก็พลันระเบิดจากบนเกาะแล้วพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

“บทมิวางวายขั้นสมบูรณ์แบบ…” ในตำหนักแห่งเต๋า เทียนจุนลุกขึ้นยืนช้าๆ ก่อนจะแหงนหน้าหัวเราะร่า แต่หัวเราะไปหัวเราะมา น้ำตากลับไหลออกมาจากดวงตาของเขา ทว่าความเด็ดเดี่ยวในดวงตากลับไม่ลดลงแม้แต่น้อย

“วิธีการที่ข้าไม่ต้องการใช้ กลับกลายมาวิธีที่ดีที่สุดซึ่งประจวบเหมาะกับตอนนี้พอดี…นี่คือชะตาฟ้าลิขิตงั้นหรือ คนเฝ้าสุสาน…”

และขณะเดียวกันนั้น ในภูเขาที่ตั้งสำนักสยบธาร เรือนกายของบรรพบุรุษโลหิตที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้นพลันสั่นระริกน้อยๆ อย่างที่แทบจะสัมผัสไม่ได้

หากป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ตรงนี้ เขาต้องได้ยินเสียงพึมพำประโยคนั้นที่เขาเคยนึกว่าตัวเองหูฝาดอีกครั้งแน่นอน

“ลมหายใจของวันวาน แลกมาด้วยการฟื้นตื่นของวันนี้!”

โลกทั้งใบสะเทือนเลือนลั่นอยู่เป็นนาน ส่วนในโลกสมบัติอาคม ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ลุกขึ้นยืนช้าๆ รอบกายของเขามีเศษชิ้นส่วนจากร่างกายที่แปรสภาพกระจายอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อเขาลุกขึ้นยืน โลกสมบัติอาคมทั้งใบก็สั่นไหวราวกับว่าโลกใบนี้กำลังสยบเขา

นี่ไม่ใช่ความปรารถนาของทารกหญิง แต่เป็นการกำราบอย่างหนึ่งโดยสัญชาตญาณของโลกใบนี้!

“คนฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบ…บทมิวางวายฝึกได้สำเร็จ…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนหลับตาลง สัมผัสถึงพลังชีวิตอันไร้ที่สิ้นสุดในร่างของตัวเอง ผ่านไปพักใหญ่ เมื่อดวงตาทั้งคู่ของเขาเบิกโพลง ประกายชีวิตชีวาในดวงตาของเขาก็ถึงกับทำให้โลกสมบัติอาคมใบนี้เปลี่ยนสี

“ได้เวลากลับบ้านแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ เมื่อเงยหน้าขึ้น สายตาของเขาก็ตกไปอยู่บนใบหน้าของทารกหญิง แม้ว่าขณะที่ประสานสายตากับทารกหญิง เขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่ทุกอย่างล้วนฉายชัดออกมาทางดวงตาของเขา

และป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ก็ไม่กลัวว่าทารกหญิงจะมีแผนการอะไรที่เขาไม่รู้ซ่อนอยู่อีก ตบะอันแข็งแกร่ง พลังกล้ามเนื้อที่น่าตะลึงล้วนทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมีความมั่นใจในการเผชิญหน้ากับทุกสิ่งทุกอย่าง

“ยินดีกับเจ้าด้วย…ที่ฝึกบทมิวางวายได้สำเร็จ…” ดวงตาของทารกหญิงยังคงมีความซับซ้อนหลงเหลืออยู่ เนิ่นนานนางถึงเอ่ยขึ้นเบาๆ

“ข้าจะทำตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้ ช่วงเวลาที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าสามารถใช้สมบัติอาคมของสายเหนือได้สามครั้ง หากเจ้าสามารถสังหารเทียนจุน นับแต่นี้ไปเจ้าก็คือเจ้านายของข้า!” กล่าวจบทารกหญิงก็ไม่มัวเสียเวลา ดวงตาของนางมีแสงดำมืดระเบิดออกมา พริบตานั้นโลกสมบัติอาคมทั้งใบก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พื้นดินปริแตก ประตูหินขนาดใหญ่ยักษ์บานหนึ่งผุดขึ้นมาจากใต้ดิน!

ประตูหินบานนี้มีขนาดใหญ่มโหฬารอย่างถึงที่สุด ขณะที่กำลังผุดขึ้นมาจากใต้ดิน พื้นดินของโลกสมบัติอาคมก็แตกร้าวลามไปทั่ว ไม่นานก็กลายมาเป็นความว่างเปล่า จนกระทั่งในความว่างเปล่านี้มีเหลือเพียงแค่ประตูหินน่าตื่นตะลึงบานนั้นเบานเดียว!

“ออกจากประตูบานนี้ไป ก็คือพื้นที่ราบน้ำแข็งของสายเหนือ!” ทารกหญิงเอ่ยเนิบช้า

มองประตูหินบานนั้น ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หอบรัวน้อยๆ นัยน์ตาฉายความคาดหวัง เขาอยู่ที่นี่มานานเหลือเกินแล้ว นานจนไม่รู้เรื่องภายนอกแม้แต่เรื่องเดียว ในใจจึงทั้งกังวลทั้งร้อนรุ่ม

“ไม่รู้ว่าสำนักสยบธารจะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว…และตอนนี้ทารกหญิงฟื้นตื่น ตบะของข้าฝ่าทะลุ ก็ถึงเวลาที่จะจากไปแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดร่างตรงดิ่งไปยังประตูหินเตรียมจะออกไป

ลมหายใจที่หอบรัวของใบหน้าผีเผยให้เห็นถึงความตื่นเต้น ต่อให้ตอนนี้มันจะอ่อนแอแค่ไหน แต่มันก็ยังตื่นเต้นอย่างถึงขีดสุด ขณะที่ผืนแผ่นดินพังทลาย มันก็ได้บินออกมาแล้วจ้องเขม็งไปยังประตูหิน ในใจกระหายที่จะออกไปจากโลกใบนี้ยิ่งกว่าเทียนจุนที่ต้องการไปจากโลกทงเทียนเสียอีก

เพียงแต่ว่าพลังชีวิตแปดส่วนถูกดูดเอาไป ความอ่อนแอของวิญญาณเทพทำให้เวทลับหายตัวที่มันเตรียมไว้มิอาจเอามาใช้ได้ เพราะหากมันร่ายใช้เมื่อไหร่…ก็ไม่ใช่ว่ามันจะหนีไปได้ กลับกันคือจะทำให้ร่างของตัวเองแหลกสลายด้วย

“พาข้าไปด้วย!!” ใบหน้าผีที่ร้อนใจมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วเอ่ยอ้อนวอน

“เจ้าสามารถร่ายตราผนึกทุกอย่างไว้บนร่างของข้า จะให้ข้า…ให้ข้ากลายมาเป็นวิญญาณทาสของเจ้าก็ได้ ขอแค่ออกไปแล้ว ตบะของข้าฟื้นคืน เจ้าก็จะมีวิญญาณทาสที่เป็นว่าที่เทียนจุนเพิ่มมาอีกหนึ่งดวง!!”

เมื่อคำพูดของใบหน้าผีดังออกมา ฝีเท้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ชะงักกึก หันหน้ามามองใบหน้าผี ข้อเสนอของอีกฝ่ายเขาเองก็เคยคิดมาก่อนเหมือนกัน แต่กลับล้มเลิกความคิดนั้น เพราะต่อให้ใช้วิธีกำราบทาส ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังไม่วางใจ

เพราะอย่างไรซะหากออกไปจากที่นี่ได้ ไม่มีสมบัติอาคมคอยกำราบ หลังจากที่ออกไปตบะของใบหน้าผีย่อมต้องฟื้นคืนสู่จุดสูงสุดในเร็ววัน เมื่อถึงเวลานั้น หากไม่ระวังแม้เพียงนิด เขาก็จะมีศัตรูตัวฉกาจล้ำโลกเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง

หลังจากคิดไปคิดมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เดินไปยังประตูใหญ่โดยไม่ใยดีอีกฝ่ายอีก

“ป๋ายเสี่ยวฉุน พาข้าไปด้วย!!” ใบหน้าผีร้อนใจ รีบขยับเข้าไปใกล้ แต่มันเพิ่งจะบินออกไปก็มีพลังกำราบขุมหนึ่งจากโลกสมบัติอาคมเยื้องกรายลงมา เมื่ออยู่ภายใต้สายตาของทารกหญิง เรือนกายของใบหน้าผีก็คล้ายถูกฟ้าดินกดทับ มิอาจขยับไปข้างหน้าได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว ได้แต่มองป๋ายเสี่ยวฉุนที่ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ประตูใหญ่และกำลังจะหายไปคาตาของตัวเอง

“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” ใบหน้าผีร้องคำรามด้วยเสียงร้าวรานใจ

“หุบปาก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว ยืนอยู่ข้างประตูหินแล้วหันขวับมามองใบหน้าผี

“เจ้าจะพูดอะไรข้าก็ไม่เชื่อทั้งนั้น รอข้าอยู่ที่นี่ไปเถอะ รอให้ข้าเป็นครึ่งเทพได้เมื่อไหร่ย่อมต้องปล่อยให้เจ้าออกไป”

“ข้า…เจ้า…” จิตใจใบหน้าผีใกล้จะแหลกสลายเต็มที ก่อนหน้านี้ที่มันอดทนมาหลายต่อหลายครั้งก็เพื่อหวังจะออกไปจากที่นี่ แต่ตอนนี้ทั้งๆ ที่ความหวังมารออยู่ตรงหน้า ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่ใยดีตน โดยเฉพาะความเฉียบขาดในคำพูดของอีกฝ่ายก็ยิ่งทำให้ใบหน้าผีสิ้นหวัง

“เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนสมควรตายเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง ข้าขอสาปแช่งเจ้า!!”

ท่ามกลางเสียงร้องคำรามแหบโหยของใบหน้าผี ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระแอมเบาๆ อย่างโอหังหนึ่งที ครุ่นคิดว่าคนโง่เท่านั้นถึงจะเชื่อคำพูดของใบหน้าผี ยิ่งพอคิดถึงตบะของตัวเองที่ฝ่าทะลุไปถึงขั้นคนฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบ เรือนกายแข็งแกร่งเท่าครึ่งเทพ เขาก็ฮึกเหิมเป็นกำลัง

“เฉินเห้อเทียน ข้าในตอนนี้สามารถตบเจ้าตายได้ด้วยฝ่ามือเดียว!”

“แล้วยังมีไอ้พวกคนของสายเหนือนั่นอีก รวมไปถึงครึ่งเทพด้วย ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่กลัวเจ้าอีกแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ เขาปรารถนาจะได้เห็นสายตาตื่นตะลึงยามที่คนอื่นมองตัวเองยิ่งนัก จึงรีบก้าวเท้าเดินตรงเข้าไปในประตูหิน

เมื่อเสียงอึกทึกดังก้องกังวาน ประตูหินบานใหญ่สั่นสะเทือน ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หายวับไปในบัดดล

เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่บนพื้นที่ราบน้ำแข็งของสายเหนือแล้ว ลมอบอุ่นโชยมาปะทะใบหน้า แม้จะไม่ใช่คลื่นความร้อน แต่พอโชยมาโดนตัวกลับทำให้เขารู้สึกอบอุ่นอย่างยิ่ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าฮึกเหิม โดยเฉพาะพอสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณฟ้าดินที่มาจากมหาสมุทรทงเทียน ความรู้สึกที่ไม่ได้พานพบมานานเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเปี่ยมสุข แต่พริบตาเดียวเขาก็ต้องอึ้งค้าง

“ไม่ถูกสิ ที่นี่ควรจะเป็นแม่น้ำสายเหนือไม่ใช่หรือ…ทำไมลมถึงไม่เย็นล่ะ?”

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจดังเฮือก ตอนที่กวาดสายตาไปมองรอบด้าน ดวงตาของเขาก็แทบจะถลนออกมานอกเบ้า

“บุรพาจารย์หันเหมินคงไม่ได้ส่งข้ามาผิดที่หรอกกระมัง…ที่นี่คือ…สายเหนือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเหม่อมองผืนป่ารกครึ้มที่อยู่รอบกาย ทอดสายตามองไป ตลอดทั้งผืนแผ่นดินแห่งนี้คล้ายกลายมาเป็นทวีปแห่งความเขียวชอุ่ม…

อีกทั้งบนทวีปเขียวชอุ่มแห่งนี้ยังมีบุปผาจันทรางอกงามให้เห็นอยู่เป็นระยะ นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี

“ฮวาฮวา…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!