Skip to content

A Will Eternal 999

บทที่ 999 รบครึ่งเทพ

ภาพนี้ทำให้นักพรตสองฝ่ายที่อยู่บนพื้นดินพากันกลั้นหายใจ ต่อให้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ก็ยังคิดไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะแข็งแกร่งจนทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่อได้ถึงระดับนี้!

“นี่…นี่มันเป็นไปไม่ได้!!” วิญญาณต้นกำเนิดของเฉินเห้อเทียนสั่นเทา ในสมองมีเสียงดังอึงอลไม่หยุด แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะวิเคราะห์ได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคือครึ่งเทพ แต่ในสายตาของเขา อย่างมากสุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังต้องเป็นรองราชาผียักษ์และบุรพาจารย์ซิงคงอยู่หนึ่งระดับ หากสู้กันตัวต่อตัวอาจจะแยกไม่ได้ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ แต่ต้องไม่มีทาง…รับมือกับวิชาอภินิหารของครึ่งเทพสองคนในเวลาเดียวกันโดยที่ยังปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนเช่นนี้!

ต้องรู้ว่าคนที่จะมีคุณสมบัติขัดขวางการต่อสู้ของครึ่งเทพสองคนย่อมต้องไม่ได้เป็นแค่ครึ่งเทพทั่วไปเท่านั้น นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิธีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้ขัดขวางซึ่งเป็นวิธีที่หยาบกระด้างอย่างถึงที่สุด!

ป๋ายเจิ้นเทียนเองก็สูดลมหายใจดังเฮือกด้วยสีหน้าตะลึงลานเช่นกัน ยิ่งรู้จักครึ่งเทพดีเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้มากขึ้นเท่านั้น

“เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร แค่ไม่เจอกันไม่กี่ปีเอง…” ป๋ายเจิ้นเทียนพึมพำ ความคิดที่ซับซ้อนหลากหลายอย่างมารวมตัวกันจนสมองวุ่นวายไม่หยุด สุดท้ายกลายมาเป็นความขมขื่น

ทุกคนของสำนักสยบธารเองที่แม้จะไม่เข้าใจอะไรมากนัก ทว่าบุรพาจารย์ธาราเทพก็ยังมองออกถึงต้นสายปลายเหตุ ยามนี้หัวใจเขาก็มีคลื่นลูกยักษ์ถาโถมเช่นเดียวกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนมีพลังการต่อสู้ของครึ่งเทพ เดิมทีนี่ก็ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อมากพออยู่แล้ว

ยิ่งได้มาเห็นภาพนี้ เขาจึงยิ่งยากจะเชื่อทุกสิ่งที่สายตาเห็นเข้าไปอีก เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขาแล้ว ตอนนี้คนที่ตะลึงลานมากที่สุดกลับเป็นราชาผียักษ์และครึ่งเทพซิงคง โดยเฉพาะราชาผียักษ์ที่ตอนนี้ลูกตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า เขาชี้ไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วร้องอุทานเสียงหลง

“เจ้าเด็กคนนี้…ทำจู่ๆ เจ้าถึงได้เปลี่ยนมาเป็นแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!!”

บุรพาจารย์ครึ่งเทพของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่แม้ว่าจะไม่สนิทสนมกับ

ป๋ายเสี่ยวฉุนเท่าราชาผียักษ์ แต่จะอย่างไรซะป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถือเป็นนักพรตของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราในนาม นับตั้งแต่ตอนนั้นที่อีกฝ่ายกลายมาเป็นคนฟ้า เขาก็จับตามองป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว

ยามนี้คลื่นที่ถาโถมขึ้นมาในใจของเขาก็ไม่น้อยไปกว่าใคร สีหน้าของเขาเคร่งเครียด หรี่ตาพินิจมองป๋ายเสี่ยวฉุนที่จู่ๆ ก็เดินมาถึงขั้นที่เขาจำเป็นต้องให้ความสำคัญอย่างห้ามไม่ได้!

ความเร็วในการฝึกตนของอีกฝ่ายทำให้เขาตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด นี่อยู่เหนือหลักการทั่วไปอย่างสิ้นเชิง!

“เขาไม่ใช่ครึ่งเทพ!” ม่านตาของบุรพาจารย์ซิงคงหดตัวเข้าหากัน แม้เขาจะตกใจ แต่ในฐานะที่เป็นครึ่งเทพ สายตาของเขาจึงเฉียบคมอย่างยิ่ง พลังการต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเขาคือครึ่งเทพ แต่เขากลับไม่มีวิญญาณเทพ นี่ก็คือช่องโหว่ที่ใหญ่ที่สุด

ไม่เพียงแค่บุรพาจารย์ซิงคงเท่านั้นที่ดูออก เพราะไม่นานราชาผียักษ์ก็มองออกถึงปัญหาเช่นกัน ทว่าการค้นพบนี้ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้ความตื่นตะลึงในใจของคนทั้งสองลดน้อยลง กลับยิ่งเพิ่มมากกว่าเก่าอีกหลายเท่าตัว

“นี่เขา…ยังไม่ใช่ครึ่งเทพหรือนี่!!”

“คนฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบ…นี่จะเป็นไปได้อย่างไร คนฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบที่เคยเห็นมาในชีวิตนี้ ไม่เคยมีใครแข็งแกร่งได้ขนาดนี้มาก่อนเลย!!”

ขณะที่อารมณ์ของคนทั้งสองพลิกคว่ำคะมำหงาย ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนจะหันไปคารวะราชาผียักษ์และบุรพาจารย์ซิงคงคนละที

“พี่ผียักษ์ บุรพาจารย์ซิงคง อย่าได้สู้กันอีกเลย คนที่ตายไปมีมากพอแล้ว สงครามระหว่างแดนทุรกันดารและทงเทียนในครั้งนี้ไม่มีความหมายใดๆ เลย!!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นกล่าวด้วยน้ำเสียงขมขื่น

คำพูดของเขาที่ดังออกมาทำให้ราชาผียักษ์และบุรพาจารย์ซิงคงพากันขมวดคิ้ว ไม่ได้เอ่ยตอบรับในทันที ผ่านไปครู่หนึ่ง บุรพาจารย์ซิงคงถึงได้แค่นเสียงเย็น สายตาที่มองป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มฉายแสงคมกริบ

“สหายนักพรตป๋าย สำนักสยบธารจะไม่เข้าร่วมศึกนี้ก็ได้ เรื่องนี้ตัวข้าสามารถช่วยออกหน้าอธิบายให้ได้ จงพาสำนักสยบธารของเจ้าจากไปซะเถอะ สงครามครั้งนี้ ต่อให้เจ้ามีพลังการต่อสู้ของครึ่งเทพก็ใช่ว่าเจ้าจะบอกให้หยุดก็หยุดได้!” แม้ว่าคำพูดนี้ของบุรพาจารย์ซิงคงจะฟังดูไม่ไว้หน้ากันอยู่บ้าง แต่หากเปลี่ยนมาเป็นคนที่รู้จักเขาดีจะฟังออกว่าเขาเกรงใจอีกฝ่ายมากพอแล้ว

เขายอมรับในพลังการต่อสู้ของป๋ายเสี่ยฉุน ในฐานะที่เป็นบุรพาจารย์ครึ่งเทพของแม่น้ำสายตะวันออก เขามีสิทธิ์ที่จะไม่ให้สำนักหนึ่งเข้าร่วมกับสงคราม ในสายตาของเขา นี่ถือเป็นคำอธิบายที่เขามอบให้แก่ป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว

ขณะเดียวกันการทำเช่นนี้ก็เป็นการป้องกันไม่ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสวามิภักดิ์กับแดนทุรกันดารด้วย แทบจะขณะเดียวกันกับที่บุรพาจารย์ซิงคงเอ่ยออกมา ราชาผียักษ์ก็มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำ จุดลึกในดวงตาซ่อนความอ่อนโยนเอาไว้ เขารู้ถึงความปรารถนาดีของป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วก็เข้าใจความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นอย่างดี

แต่กระนั้นเขากลับเห็นด้วยกับคำพูดของบุรพาจารย์ซิงคง ศึกครั้งนี้หาใช่สิ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะพูดว่าหยุดก็สามารถหยุดได้

“บุญคุณความแค้นระหว่างทงเทียนและราชวงศ์จักรพรรดิขุยยืดเยื้อมานานเกินไปแล้ว เสี่ยวฉุน…ข้าผู้อาวุโสรับรู้ในเจตนาอันดีของเจ้า ไปซะเถอะ พาจื่อโม่จากไป…” ราชาผียักษ์พูดจบก็ย้ายสายตาที่ฉายความคมกริบมองไปยังบุรพาจารย์ซิงคงอีกครั้ง

คนทั้งสองมองสบตากัน ปราณสังหารก็พวยพุ่งขึ้นอีกคำรบ ขณะเดียวกันบทสนทนาของพวกเขาที่ไม่ได้ปิดบังก็ดังเข้าหูนักพรตสองฝ่ายที่ลมหายใจหอบหนักขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้ไม่ยินยอมแค่ไหน ต่อให้ขมขื่นมากเท่าไหร่ แต่พวกเขาก็ทำได้แค่แผ่ปราณสังหารที่เข้มข้นยิ่งกว่าเดิมออกมาทางดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย

เมื่อเห็นว่าสงครามครั้งนี้กำลังจะเปิดฉากขึ้นอีกครั้ง ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระเพื่อมไหว สายตาที่จนใจเปลี่ยนมาเป็นเฉียบขาด เขารู้ดีว่าหากแม้แต่สงครามของที่แห่งนี้ก็ยังมิอาจห้ามปรามได้ แล้วเขาจะไปทำให้เทียนจุนและคนเฝ้าสุสานยอมยุติสงครามได้อย่างไร

เขายิ่งเข้าใจด้วยว่าจุดยืนของเขาในเวลานี้ไม่สามารถเอนเอียงได้เลย หากเขาลำเอียงเข้าข้างไหน…เขาก็จะหมดคุณสมบัติในการช่วงชิงความยินยอมในการยุติศึกของทั้งเทียนจุนและคนเฝ้าสุสานไป

“พวกท่านอยากจะเปิดศึกต่อกัน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนก้มหน้า เสียงที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวค่อยๆ ดังออกมา

“ถ้าอย่างนั้น…ก็เอาชนะข้าให้ได้เสียก่อน จากนั้นพวกท่านคิดจะเข่นฆ่ากันแบบไหนก็เชิญตามสบาย ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่สนใจอีกเลย!”

“ทว่าหากแม้แต่ข้าก็ยังสู้ไม่ได้…เป็นถึงครึ่งเทพผู้ยิ่งใหญ่ ก็อย่าได้มาพูดถึงการฆ่าฟันอะไรต่อหน้าข้าอีก!”

“บุรพาจารย์ซิงคง มา ในเมื่อข้าเกลี้ยกล่อมท่านไม่ได้ ข้าก็คงได้แต่กำราบให้ท่านยอมแพ้เท่านั้น ส่วนพี่ผียักษ์ รอข้าจัดการบุรพาจารย์ซิงคงเสร็จเมื่อไหร่ ข้าจะมากำราบให้ท่านยอมแพ้เช่นกัน!” ระหว่างที่พูด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันหันไปมองคนทั้งสอง

ราชาผียักษ์และบุรพาจารย์ซิงคงหน้าเปลี่ยนสี เมื่อเทียบกับบุรพาจารย์ซิงคงแล้ว แม้ราชาผียักษ์จะไม่ชอบใจคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนเท่าใดนัก แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไร แค่ถลึงตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้น

ทว่าบุรพาจารย์ซิงคงกลับจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง ก่อนจะค่อยๆ หัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนี้ดังขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันพลังอำนาจของเขาที่ยิ่งแกร่งกร้าวก็ได้ระเบิดท่วมท้นท่ามกลางเสียงหัวเราะนี้ มาถึงท้ายที่สุดก็ส่งผลกระทบไปทั้งนภากาศ ท่ามกลางการบิดเบือน ท้องฟ้าที่เดิมทียังสว่างเจิดจ้า จู่ๆ กลับกลายมาเป็นราตรีมืดมิด ครั้นจึงเผยให้เห็น…ม่านฟ้าที่ดารดาษไปด้วยหมู่ดาวแปลกตาผืนหนึ่ง!

นี่ก็คือวิชาแห่งเต๋าของบุรพาจารย์ซิงคง เขาเอาท้องฟ้ามากหมู่ดาวของตนเข้ามาแทนที่นภากาศ จำแลงปณิธานของตนให้เหนือกว่าปณิธานของโลกใบนี้

“ป๋ายเสี่ยวฉุน นอกจากเทียนจุนและคนเฝ้าสุสานแล้ว ไม่เคยมีใครกล้าพูดว่าจะกำราบตัวข้าให้ยอมแพ้มาก่อน! และเมื่อครู่นี้สิ่งที่เจ้าต้านรับไปก็เป็นเพียงแค่พลังส่วนปลายของวิชาอภินิหารตัวข้าเท่านั้น”

“ท่านจะลองดูก็ได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยเนิบช้า เมื่อครู่ตอนที่เผชิญหน้ากับวิชาอภินิหารของคนทั้งสอง การฟื้นตัวของเลือดคงกระพันในร่างทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตระหนักได้แล้วว่า บางที…ตนในเวลานี้อาจแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่ตัวเขาเองคาดคิดไว้

“ดี!” บุรพาจารย์ซิงคงโกรธจัดจนหลุดหัวเราะ เขาพลันยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว การชี้ครั้งนี้ทำให้กลุ่มดาวทั่วผืนฟ้าส่องแสงสุกสกาว ดาวแต่ละดวงที่เปล่งแสงพร้อมกันจึงพร่างพราวอย่างถึงที่สุด

ขณะเดียวกันท้องฟ้าก็เหมือนจะถูกนิ้วของบุรพาจารย์ซิงคงชักนำ จึงทำให้…แสงดาวแต่ละเส้นพุ่งมารวมตัวกันในชั่วพริบตา

ท้องฟ้าทั้งผืนพลันแปรเปลี่ยน ภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้ได้แผ่พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรออกมา เป็นเหตุให้ทุกคนที่อยู่บนพื้นดินใจสั่นระรัว ราวกับว่าบัดนี้บุรพาจารย์ซิงคงที่ชี้ไปยังท้องฟ้าได้อยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง พลังแห่งทวยเทพที่เขาร่ายออกมาเพียงคนเดียวก็คล้ายจะเขย่าคลอนรากฐานโลกทั้งใบได้!

“ทวนแห่งท้องฟ้ามากหมู่ดาว!” บุรพาจารย์ซิงคงเอ่ยเสียงเรียบเฉย เมื่อคำพูดของเขาดังสะท้อน แสงดาวเหล่านั้นก็พลันพุ่งมารวมตัวกันบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ยิ่งปราณที่แผ่ออกมาแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหมือนมีแรงกดดันขุมหนึ่งกดทับลงมาจากเบื้องบน จนกระทั่ง…แสงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้นได้รวมตัวกันขึ้นมาเป็นทวนยาวขนาดมหึมาเล่มหนึ่งอยู่บนท้องฟ้า!

ทวนยาวนี้ใหญ่เกินไปจนเหมือนจะยึดครองพื้นที่ทั้งท้องฟ้าหมู่ดาวดารดาษเอาไว้ พอมือขวาของบุรพาจารย์ซิงคงลดลงชี้มาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน ทวนยาวดวงดาวก็ค่อยๆ หมุนตัวหันปลายทวนที่แหลมคมเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน!

วิฤตความเป็นความตายรุนแรงพลันระเบิดขึ้นมากลางใจของป๋ายเสี่ยวฉุน เวลาเดียวกันนั้นพื้นดินก็สั่นสะเทือน เศษหินจำนวนนับไม่ถ้วนบินขึ้นมา นักพรตทุกคนที่อยู่บนพื้นดินต่างเกิดความหวาดกลัวคล้ายวันสิ้นโลกกำลังจะมาถึง

“ดับ!” ดวงตาของบุรพาจารย์ซิงคงเปล่งแสงเย็นเยียบ ขาดคำของเขา ทวนยาวที่อยู่กลางท้องฟ้ามากหมู่ดาวก็พลันพุ่งหลาวเข้าหา…ป๋ายเสี่ยวฉุน!

ปราณที่เพิ่มขึ้นพรวดพราด พลังอำนาจที่สะท้านฟ้าทำให้ความว่างเปล่ารอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนมีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังลั่น ก่อนจะปริร้าวอย่างที่มิอาจต้านทานได้ ส่วนผิวหนังของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยุบยวบลงไป หากมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่ามีพายุหมุนลูกแล้วลูกเล่าพัดกระหน่ำติดต่อกันไม่หยุด เส้นผมของเขาปลิวสยายยุ่งเหยิง มีเพียงดวงตาของเขาเท่านั้นที่พอทวนยาวเข้ามาใกล้กลับพลันมีแสงสีเลือดลุกไหม้ราวกับไฟแห่งโลหิตที่โชติช่วง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!