เริ่มเขียนวันที่ 23 กันยายน 2566
อาจารย์เย็นชากับศิษย์ชั่วช้า
นิยายเรื่องนี้ เป็นภาคต่อของเรื่อง เสนาบดีเจ้าจะหนีไปไหน ภาคนี้เป็นการผจญภัยในแดนเซียนค่ะ อยากฟินสุดๆ แบบไม่ค้างคาเชิญอ่านเรื่อง เสนาบดีเจ้าจะหนีไปไหน ก่อนนะคะ
ความเดิมจาก Chapter 114
เวลาผ่านไปอีกร้อยปี มีเซียนคนหนึ่งเดินทางผ่านเขตภูเขาไฟซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงซินหยางในอดีตกาล เขายืนอยู่บนกระบี่กำลังบินผ่านภูเขาไฟ พลัน! เขาก็หยุดชะงักกลางอากาศ “หือ?”
เขารู้สึกถึงกลิ่นอายบางอย่างที่ผิดแผกไป เขาจึงร่อนกระบี่ลงไปในเขตภูเขาไฟนั้น หมอกพิษทำให้เขาต้องรีบล้วงเอาโอสถแก้พิษออกมากินไปเม็ดหนึ่ง จากนั้นก็ร่อนกระบี่ไปตามกลิ่นอายที่ผิดแผกนั้น เขาร่อนกระบี่บินวนไปรอบๆ เขตภูเขาไฟนั้นสองสามรอบแล้วก็หยุดตรงปากปล่องภูเขาไฟลูกหนึ่ง เขาร่อนกระบี่เข้าไปในปากปล่องภูเขาไฟลูกนั้น ไอร้อนทำให้เขารู้สึกร้อนจนแทบมอดไหม้เลยทีเดียว เขาจึงรีบล้วงเอาโอสถเหมันต์ออกมาแล้วรีบกินลงไป เมื่อโอสถเหมันต์เข้าไปในลำคอก็ค่อยๆ แผ่ไอเย็นออกมาทำให้รอบๆ ตัวเขาไม่ร้อนระอุอีกต่อไป
เขาร่อนกระบี่ลงไปในปล่องภูเขาไฟต่อ ค่อยๆ ลึกลงไปเรื่อยๆ กลิ่นอายที่ผิดแผกนั้นยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ “ในนี้ต้องมีของวิเศษแน่”
เขามองหาของวิเศษที่แผ่กลิ่นอายประหลาดนั้น จนกระทั่งเขาเห็นหินสีแดงฉานลูกหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ รอบๆ หินก้อนนั้นมีเปลวเพลิงหมุนวนอยู่รอบๆ หินก้อนนั้นลอยอยู่เหนือลาวาร้อนด้านล่างราวๆ สองสามเมตร ทีแรกเขาแทบมองไม่ออกเลยเพราะสีของหินก้อนนั้นกับลาวาข้างล่างเหมือนกันยิ่งนัก เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็เบิกตาโต “โอ! นี่ต้องเป็นเพลิงปฐพีแน่นอน”
“ฮ่าๆๆๆ…ข้าโชคดีจริงๆ ที่มาเจอเพลิงปฐพีที่นี่” เซียนคนนั้นหัวเราะอย่างดีใจ เขาพุ่งไปหา ‘เพลิงปฐพี’ ทันที เขาเอาถุงฟ้าดินออกมาแล้วเก็บเพลิงปฐพีเข้าไปในถุงฟ้าดิน แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามดูดเพลิงปฐพีอย่างไร เพลิงปฐพีนั้นก็ไม่มีท่าทีจะขยับเขยื้อนเลย ทำเขาประหลาดใจมาก “หือ?”
ถุงฟ้าดินใบนี้ของเขาเก็บธาตุได้ทุกธาตุ ไม่ว่าจะเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ไม้ ทอง ก็เก็บได้หมด อย่าว่าแต่เพลิงปฐพีแค่นี้เลย แม้แต่ภูเขาไฟทั้งลูกก็ยังใส่เข้าไปได้ เขาจึงยื่นมือไปจับเพลิงปฐพีก้อนนั้น พลัน! เขาก็เจ็บแปล๊บจนต้องรีบหดมือกลับมา “โอ๊ย!”
มือของเขาไหม้ดำไปทั้งมือเลยทีเดียว เขามองมือตัวเองแล้วมองเพลิงปฐพีก้อนนั้นเขม็ง “หรือว่ามันมีจิตวิญญาณ?”
เขาสะกดข่มความเจ็บที่มือไว้ก่อนแล้วแผ่พลังออกไปโอบล้อมเพลิงปฐพีก้อนนั้น พลัน! พลังของเขาก็ถูกดูดหายไป ทำเขาตกใจมาก “หือ?”
อีกทั้งยังมีแรงดึงดูดแผ่ออกมาดูดพลังของเขาเข้าไป ทำให้เขารีบถอยห่างจากเพลิงปฐพีก้อนนั้นทันที เมื่อถอยห่างไปราว 20 เมตร แรงดึงดูดนั้นก็หายไป เขามองเพลิงปฐพีก้อนนั้นอย่างไม่ยอมแพ้ เขาจะต้องเอามันกลับไปให้ได้!
ขณะนั้นเอง จิตวิญญาณของไพลินวิญญาณก็ลืมตาขึ้น มันถูกพลังเซียนปลุกให้ตื่น มันมองเห็นเซียนคนหนึ่งขี่กระบี่บินวนอยู่รอบๆ ตัวมัน มันเบิกตาโตอย่างดีใจ {โอ! อาหาร!ๆ}
เซียนคนนั้นร่อนกระบี่บินวนรอบๆ เพลิงปฐพีก้อนนั้น พอเขาบินไปใกล้ๆ มันก็มีแรงดึงดูดออกมาดูดพลังของเขาไปอีก ทำให้เขาต้องรีบถอยห่างจากมันทันที เขาคิดๆ หาวิธีเอามันกลับไป คิดไปคิดมาเขาก็นึกได้ว่าตัวเองมีระฆังเซียน เขาจึงเอาระฆังเซียนออกมาจากถุงฟ้าดิน จับปากระฆังเซียนไปทางเพลิงปฐพีก้อนนั้น ไพลินวิญญาณรู้สึกถึงแรงดึงดูด มันจึงไม่ต่อต้าน ปล่อยให้ตัวเองลอยเข้าไปในระฆังใบนั้น
“ฮ่าๆๆๆ เก็บมันได้แล้ว!” เซียนคนนั้นร้องตะโกนอย่างดีใจแล้วรีบเก็บระฆังเซียนเข้าไปในถุงฟ้าดิน จากนั้นก็รีบขี่กระบี่ออกจากปล่องภูเขาไฟที่ร้อนระอุ เพราะฤทธิ์โอสถเหมันต์กำลังจะหมดลงแล้ว ตัวเขาเต็มไปด้วยเหงื่อจนอาภรณ์สีดำชุ่มโชกเลยทีเดียว
ไพลินวิญญาณก็ดูดกลืนพลังจากระฆังเซียนอย่างเอร็ดอร่อยมาก มันดูดกลืนพลังอย่างตะกละตะกลาม เซียนชุดดำก็ขี่กระบี่ออกจากเขตภูเขาไฟแล้วมุ่งหน้ากลับแดนเซียนไป เขาอยากรีบกลับบ้านไปหลอมเพลิงปฐพีก้อนนี้เต็มแก่ หากหลอมสำเร็จขั้นพลังของเขาย่อมทะลวงสูงขึ้นไปอีกแน่นอน
ในขณะเดียวกันไพลินวิญญาณก็ดูดกลืนพลังจากระฆังเซียนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งระฆังเซียนหายไป มันเลียริมฝีปากแล้วมองไปรอบๆ ตัว มันเห็นอาวุธเซียนหลายชิ้น มันจึงตรงไปหาอาวุธเซียนเหล่านั้นแล้วดูดกลืนพลังเข้าไปอย่างตะกละตะกลาม มันโชคดีแล้ว! ฮ่าๆๆๆ…
Chapter 1
กลายเป็นเซียน
เซียนชุดดำไม่รู้เลยว่าของวิเศษในถุงฟ้าดินของตัวเองกำลังถูกดูดกลืนไปทีละอย่าง…ทีละอย่าง หากเขารู้ แน่นอนว่าเขาต้องหาทางยับยั้งอย่างสุดกำลัง
ไพลินวิญญาณดูดกลืนพลังเซียนจากอาวุธเซียนในถุงฟ้าดินไปเรื่อยๆ ตั้งแต่กระบี่เซียน ดาบเซียน หอกเซียน…เรียกว่ามันดูดกลืนพลังเซียนจากอาวุธทุกอย่างในถุงฟ้าดินจนหมดเกลี้ยงเลยทีเดียว กว่ามันจะดูดกลืนจนหมด เซียนชุดดำคนนั้นก็ร่อนกระบี่เข้าสู่แดนเซียนแล้ว
แดนเซียนนี้เป็นโลกที่เชื่อมต่อกับโลกมนุษย์ มีพลังอาคมขวางกั้นไม่ให้มนุษย์ธรรมดาเข้ามาได้ ซึ่งมนุษย์ธรรมดาทั่วไปจะมองไม่เห็นแดนเซียน มีเพียงมนุษย์ที่ฝึกฝนจนเกิดพลังเซียนแล้วถึงจะสามารถมองเห็นแดนเซียนได้
ช่วงเวลาร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ไพลินวิญญาณดูดกลืนพลังเพลิงจากภูเขาไฟเข้าไปไม่น้อยทำให้มันเกือบจะตื่นขึ้นมาได้ หากปล่อยให้มันอยู่ตรงนั้นไปอีกสักสี่ห้าปีมันก็คงตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ แต่เพราะพลังเซียนของเซียนชุดดำปลุกให้มันตื่นก่อนเวลา และตื่นขึ้นมาอย่างระแวดระวัง เพราะพลังของเซียนผู้นี้มีกลิ่นอายชั่วร้ายแฝงอยู่ กลิ่นอายแห่งความโลภ กลิ่นอายประเภทนี้หากใครมีอยู่ในตัวก็จะทำให้คนผู้นั้นเป็นคนที่มีนิสัยโลภโมโทสัน เกิดความคิดชั่วร้ายได้ง่ายมาก
ไพลินวิญญาณรู้สึกว่าเซียนคนนี้มีความคิดชั่วร้ายกับมัน ดังนั้นมันจึงยอมให้ดูดเข้าไปในระฆังเซียน แล้วมันก็ดูดกลืนพลังจากระฆังเซียนมาเป็นของมันเอง ในเมื่อคิดร้ายกับมัน มันก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจอะไรอีก หึๆๆๆ
มันดูดกลืนพลังอาวุธทุกอย่างในถุงฟ้าดินหมดแล้ว มันจึงดูดกลืนพลังจากถุงฟ้าดินต่อ ถุงฟ้าดินถูกดูดกลืนพลังก็ค่อยๆ จางหายไปทีละน้อย…ทีละน้อย จนกระทั่งถุงฟ้าดินหายไปทั้งใบ ลูกแสงสีแดงฉานก็ตกลงไปเบื้องล่างโดยที่เซียนชุดดำไม่ทันสังเกตเห็น เขายังคงขี่กระบี่มุ่งหน้าตรงไปยังถ้ำเซียนของเขาอย่างดีอกดีใจ
ลูกแสงสีแดงฉานตกลงไปในป่าทึบเบื้องล่าง ลอยละลิ่วลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพุ่งผ่านยอดไม้ลงไป ตกลงไปในทะเลสาบ เมื่อลูกแสงสีแดงฉานสัมผัสกับน้ำในทะเลสาบก็ทำให้น้ำบริเวณนั้นเดือดพล่านขึ้นมาทันที ฝูงปลาที่อยู่บริเวณนั้นรู้สึกถึงภยันตรายก็รีบแหวกว่ายหนีไปอย่างเร็วรี่ ลูกแสงสีแดงฉานตกลึกลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงพื้นทรายใต้ทะเลสาบ มันก็หยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น น้ำรอบๆ เดือดพล่านปุดๆ ไอร้อนแผ่กระจายออกไป คล้ายกับโยนแท่งเหล็กร้อนๆ ลงในน้ำนั่นแหละ
สักพักใหญ่ไอร้อนก็ค่อยๆ คลายไป ลูกแสงสีแดงก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากสีแดงฉานเป็นสีส้ม สีเหลือง แล้วก็กลายเป็นสีฟ้าคราม จากนั้นก็กลับเป็นสีน้ำเงินดังเดิม
ไพลินวิญญาณรู้สึกว่าในน้ำนี้มีพลังฟ้าดินไม่น้อยเลย มันจึงดูดพลังฟ้าดินจากในน้ำเข้าไป บาดแผลของเฉินมู่อิ๋งหายไปนานแล้ว เพียงแต่พลังฟ้าดินในร่างยังมีน้อยเกินไป ยังไม่ก่อเกิดเป็นกระดูกเซียน ไพลินวิญญาณจึงพยายามดูดพลังวิญญาณทุกอย่างเข้าไปเพื่อแปรเปลี่ยนกระดูกของเจ้านายมันให้เป็นกระดูกเซียน
มันดูดพลังฟ้าดินจากในน้ำเข้าไปเรื่อยๆ ทำให้น้ำในทะเลสาบค่อยๆ เหือดแห้งลงไปทีละนิด…ทีละนิด
เซียนชุดดำขี่กระบี่ถึงถ้ำเซียนตัวเองก็ร่อนลงหน้าถ้ำแล้วเก็บกระบี่ใส่ถุงฟ้าดิน แต่พอคลำที่เอวตัวเองกลับไม่เจอถุงฟ้าดิน ทำให้เขาคลำไปรอบๆ เอวตัวเองเลยทีเดียว “หือ? ถุงฟ้าดินของข้าล่ะ?”
เขาคลำจนทั่วแต่ก็ไม่เจอถุงฟ้าดิน สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไป “หรือว่าข้าทำตก?”
เขาคิดๆ แล้วใช้พลังโลหิตของตัวเองที่เชื่อมต่อกับถุงฟ้าดินค้นหา แต่ก็ไม่เจอแรงตอบสนองอะไรเลย ต่อให้ทำตกไว้ที่ไหนอย่างน้อยก็จะรู้สึกถึงแรงตอบสนองจากถุงฟ้าดินได้จางๆ แต่นี่เหมือนกับถุงฟ้าดินของเขาถูกคนอื่นลบพลังโลหิตออกไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น “หรือว่าข้าทำตกไว้แล้วมีคนเก็บได้ จากนั้นมันก็ลบพลังโลหิตของข้าออกไปงั้นรึ! บัดซบ!”
เขารีบขี่กระบี่ย้อนกลับไปตามทางเดินมาบินผ่านมาทันที สายตากวาดมองหาเซียนคนอื่นๆ ในเส้นทางนั้น คนที่ลบพลังโลหิตบนถุงฟ้าดินของเขาได้ย่อมมีขั้นพลังเทียบเท่ากับเขาหรือไม่ก็สูงกว่า หากเป็นคนที่มีขั้นพลังต่ำกว่าย่อมทำไม่ได้อย่างแน่นอน เขามองหาไปอย่างระมัดระวังตัวยิ่งนัก เพราะหากคนๆ นั้นมีขั้นพลังสูงกว่า การจะปรี่เข้าไปทวงถุงฟ้าดินคืนย่อมเป็นการรนหาที่ตายให้ตัวเองแน่แท้
เขาย้อนกลับไปจนกระทั่งถึงภูเขาไฟจุดที่เขาเจอเพลิงปฐพี เขาวนๆ หาถุงฟ้าดินของตัวเอง วนหาหลายรอบแล้วก็ไม่เจอจึงย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิม เขาขี่กระบี่ไปอย่างเชื่องช้า ตาก็กวาดมองไปทั่วๆ หวังจะเจอถุงฟ้าดินของตัวเองตกอยู่ที่ไหนสักแห่ง
แต่จนกระทั่งเขากลับถึงถ้ำเซียนก็ยังไม่เจอถุงฟ้าดินของตัวเองเลย นี่ทำให้เขาถึงกับกัดฟันกรอดๆ เลยทีเดียว ในถุงฟ้าดินของเขามีอาวุธเซียนที่เขาเก็บสะสมไว้ตั้งมากมาย อาวุธเหล่านั้นเขาไปเก็บมาจากตามสนามรบบ้าง แย่งชิงมาจากคนที่อ่อนแอกว่า ของพวกนั้นถือเป็นสมบัติของเขา แต่บัดนี้เขาสูญเสียสมบัติทั้งหมดไปจะไม่ให้โมโหได้อย่างไร อีกทั้งในนั้นยังมีเพลิงปฐพีที่เขาเก็บมาด้วย เพลิงปฐพีนี้เป็นของล้ำค่า นานๆ ทีถึงจะเจอสักก้อน หากเอาไปประมูลขายต้องได้หินปราณฟ้าดินไม่น้อยแน่นอน
เขาโมโหจนใช้กระบี่ฟาดฟันต้นไม้รอบๆ ถ้ำเซียนอย่างหาที่ระบายอารมณ์ หากไม่ได้ระบายออกไปเขาคงโมโหจนกระอักเลือดแน่ ต้นไม้รอบๆ ถ้ำเซียนล้มครืนๆ ไปหลายต้นเขาถึงได้หยุดมือแล้วนั่งลงอย่างเหนื่อยหอบ จากนั้นก็เดินเข้าถ้ำเซียนไป
ณ ใต้ทะเลสาบ ไพลินวิญญาณก็ดูดกลืนพลังฟ้าดินจากในน้ำเข้าไปเรื่อยๆ ยิ่งมันดูดเข้าไปมากเท่าไหร่ ร่างกายเจ้านายมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากกระดูกมนุษย์ธรรมดาเป็นกระดูกเซียน มันเฝ้ามองนางอย่างมีความหวังมากขึ้นเรื่อยๆ กระดูกของนางค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกระดูกเซียนทีละนิด…ทีละนิด เริ่มจากกระดูกนิ้วโป้งเท้าทั้งสองข้าง ตามด้วยนิ้วชี้เท้าทั้งสองข้าง นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อย จากนั้นก็ไล่ขึ้นมาทีละข้อกระดูก มันเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของเจ้านายไปเรื่อยๆ
ใบหน้านางไม่ขาวซีดอีกแล้วแต่กำลังเปล่งปลั่งผิวเป็นสีขาวอมชมพู ตลอดเวลาที่ผ่านมารูปร่างหน้าตาของนางยังคงเหมือนกับตอนก่อนบาดเจ็บไม่มีผิด ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเลยสักนิด เพราะว่านางอยู่ในลูกแสงสีน้ำเงินที่กาลเวลาไม่อาจผ่านเข้าไปได้ จึงทำให้รูปร่างของนางเหมือนกับถูกหยุดเวลาเอาไว้ ไม่ได้เติบโตไปตามกาลเวลา
วันเวลาค่อยๆ ผ่านไป เหนือทะเลสาบมีเซียนขี่กระบี่บินผ่านไปมาเป็นครั้งคราว บ้างมาคนเดียว บ้างมาเป็นกลุ่ม ทุกคนล้วนผ่านไปตามปกติ ไม่ได้เอะใจสงสัยเลยว่าใต้ทะเลสาบมีของวิเศษบางอย่างอยู่
น้ำในทะเลสาบค่อยๆ เหือดแห้งไปทีละน้อย…ทีละน้อย หากไม่สังเกตมากนักก็มองไม่เห็นความแตกต่างนี้เลย คนก็คงจะคิดกันว่าที่น้ำลดลงเป็นเพราะเปลี่ยนไปตามฤดูกาลนั่นเอง
เวลาผ่านไปราว 10 ปี นับตั้งแต่ที่ลูกแสงไพลินวิญญาณตกลงไปในทะเลสาบ น้ำในทะเลสาบหายไปถึง 2 ส่วน 3 เลยทีเดียว ความผิดปกตินี้ทำให้เซียนหลายคนมาดูที่ทะเลสาบเพื่อหาสาเหตุ แต่จนแล้วจนรอดพวกเขาก็หาสาเหตุไม่เจอจึงได้จากไป
คืนหนึ่ง ในขณะที่ท้องฟ้ามืดมิดมีเพียงแสงดาว เฉินมู่อิ๋งที่หลับใหลมานานพลันลืมตาขึ้น กระดูกทั้งร่างของนางกลายเป็นกระดูกเซียนเกือบทั้งหมด ยกเว้นกระดูกหน้าผาก ปกติแล้วเซียนทั่วๆ ไป จะเปลี่ยนกระดูกสันหลังในร่างกลายเป็นกระดูกเซียนได้เท่านั้น เมื่อกระดูกสันหลังทุกข้อกลายเป็นกระดูกเซียนก็จะมีพลังขั้นสูงสุดของเซียน แต่กระดูกของเฉินมู่อิ๋งกลับต่างจากเซียนคนอื่นๆ มันกลายเป็นกระดูกเซียนตั้งแต่นิ้วโป้งเท้าทั้งสองข้าง แล้วค่อยๆ ไล่ขึ้นไปจนถึงกระดูกกะโหลกศีรษะ ไพลินวิญญาณดีใจยิ่งนักที่เจ้านายของมันลืมตาตื่นเสียที {เจ้านายๆ เจ้าตื่นแล้ว!}
“หือ?” เฉินมู่อิ๋งส่งเสียงคำหนึ่งอย่างงุนงง ได้ยินเสียงไพลินวิญญาณในหัวก็ถามว่า “ข้าหลับไปนานเท่าไหร่?”
{เจ้าหลับไปประมาณ 230 กว่าปีแล้ว} ไพลินวิญญาณตอบ เฉินมู่อิ๋งเบิกตาโต “เจ้าหลอกข้าแล้ว!”
{จริงๆ เจ้าหลับไป 230 กว่าปีจริงๆ ข้าจะหลอกเจ้าทำไมล่ะ} ไพลินวิญญาณบอก เฉินมู่อิ๋งแย้ง “จะเป็นไปได้อย่างไร?”
{หึ! เจ้าจำได้หรือไม่? ตอนนั้นเจ้าบาดเจ็บหนักเจียนตาย เหลือแค่ลมหายใจสุดท้าย ข้าพยายามช่วยเจ้าถึงได้สละร่างตัวเองปกป้องเจ้าเอาไว้ ไม่เช่นนั้นป่านนี้เจ้าก็ตายไปแล้ว} ไพลินวิญญาณบอกคล้ายกับทวงบุญคุณ เฉินมู่อิ๋งไม่สนใจมันนัก นางก้มมองร่างกายตัวเองที่ปรากฎทรวดทรงองค์เอวของสตรี อาภรณ์ยังมีคราบเลือดเปื้อนอยู่ คราบเลือดยังดูสดใหม่ นางจึงส่ายหน้า “เจ้าหลอกข้า หากข้าหลับไป 230 กว่าปีจริงๆ คราบเลือดพวกนี้จะยังสดเช่นนี้ได้อย่างไร”
{ข้าไม่ได้หลอกเจ้านะ หากเจ้าไม่เชื่อก็มองออกไปข้างนอกซิ} ไพลินวิญญาณบอก เฉินมู่อิ๋งมองออกไป นางเห็นม่านแสงสีน้ำเงินล้อมรอบตัวเองอยู่ เบื้องนอกม่านแสงสีน้ำเงินเป็นความดำมืด ในความดำมืดนั้นมีบางอย่างเคลื่อนไหวคล้ายระลอกน้ำกระเพื่อมไปมา “ข้าอยู่ที่ไหน?”
{อยู่ใต้ทะเลสาบในแดนเซียน} ไพลินวิญญาณบอก เฉินมู่อิ๋งเลิกคิ้ว “แดนเซียน?”
{เมื่อ 10 กว่าปีก่อนมีเซียนคนหนึ่งพาข้ามาถึงแดนเซียนแล้วข้าก็ตกลงมาในทะเลสาบแห่งนี้ ข้าใช้พลังของข้าดูดกลืนพลังฟ้าดินแล้วส่งต่อให้เจ้าหลอมร่างกายจนกลายเป็นเซียน ไม่เช่นนั้นป่านนี้เจ้าตายไปแล้ว} ไพลินวิญญาณบอก เฉินมู่อิ๋งงงๆ “หลอมร่างกาย? เป็นเซียน?”
{เจ้าตื่นมาก็ดีแล้ว ข้าจะได้พักเสียที ข้าเหนื่อยเหลือเกิน} ไพลินวิญญาณบอกแล้วมันก็หลับไปทันที มันฝืนทนมาตั้งนานเพียงเพื่อรอให้เจ้านายตื่นขึ้นมาแล้วจะได้บอกเรื่องราวคร่าวๆ ให้นางรับรู้เสียก่อน เมื่อนางตื่นแล้วและมันก็ได้บอกเรื่องราวที่ควรจะบอกมันจึงไม่ต้องฝืนอีกต่อไปแล้ว
“เฮ้!ๆ ไพลินวิญญาณๆ” เฉินมู่อิ๋งเรียก แต่ก็ไม่มีเสียงตอบในหัวของนางแม้แต่น้อย นางจึงมองไปรอบๆ อย่างพิจารณา ลักษณะของด้านนอกนั้นบ่งบอกว่าอยู่ในน้ำ นางจึงคิดจะขึ้นจากน้ำ พลัน! ลูกแสงสีน้ำเงินก็ลอยขึ้นทันที ทำให้นางเบิกตาโตอย่างตกใจ “โอ้!”
ลูกแสงสีน้ำเงินลอยขึ้นไป ขณะเดียวกันนางก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างของลูกแสงสีน้ำเงินนั้นที่เชื่อมกับนาง ราวกับว่าพลังนี้เป็นเหมือนกับแขนขาของนางเอง นางอยากไปทางซ้ายมันก็ไปทางซ้าย นางอยากไปทางขวามันก็ไปทางขวา นางให้มันลอยขึ้นไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งโผล่พ้นน้ำ นางมองความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นอย่างอึ้งๆ หากไม่ใช่เพราะในชีวิตนี้นางเห็นความอัศจรรย์มามากเกรงว่านี่คงทำให้นางตกใจตายแล้วแน่นอน ตั้งแต่เล็กๆ นางก็เจอเรื่องอัศจรรย์พันลึกมาไม่น้อยเลย ไม่ว่าจะเป็นผู้เฝ้ามองคนนั้นที่เปรียบเสมือนอาจารย์คนแรกของนาง อาจารย์กู่เสียนฟางที่เป็นเทพ อาจารย์เฟยเทียนที่เป็นมาร แล้วก็พี่สาวมังกร แล้วยังมียมทูต เฮยอู๋ฉาง ไป๋อู๋ฉาง เหยียนหลัวหวาง
นางมองเห็นแสงวิบวับเป็นละอองเล็กๆ อยู่รอบๆ ตัว แสงนั้นนางไม่รู้ว่ามันคืออะไร หากไพลินวิญญาณตื่นอยู่มันคงตอบนางแล้วว่า ‘นั่นคือพลังฟ้าดิน’ แต่นี่มันหลับไปแล้วนางจึงไม่รู้คำตอบ ทั้งในบริเวณนี้ก็มีเพียงนางคนเดียวกับผืนน้ำแล้วก็ผืนฟ้า ต้นไม้ไกลๆ ที่ดูเป็นผืนป่าผืนหนึ่ง นางรู้สึกว่าแสงวิบวับนั้นสวยงามดีนางจึงยื่นมือออกไปนอกลูกแสงสีน้ำเงิน นางคิดอยากจับแสงวิบวับนั้น พลัน! นางก็รู้สึกว่าตัวนางมีพลังดึงดูดชนิดหนึ่งที่ดูดแสงนั้นมารวมกันอยู่บนมือนาง แสงนั้นให้ความรู้สึกเย็นสบายอย่างแปลกประหลาด มันหายเข้าไปในมือนาง นางมองอย่างงงๆ “หือ?”
นางดูดแสงเหล่านั้นเข้ามาอีก แล้วมันก็หายเข้าไปในมือนางอีกครั้ง นางสงสัยจึงลุกขึ้นยืนอยู่ในลูกแสงสีน้ำเงินนั้น ยื่นมือออกไปทั้งสองข้าง เท้าเหยียบยืนตั้งท่าให้มั่นคง แล้วลองดูดแสงวิบวับเข้ามาอีก คราวนี้แสงวิบวับนั้นพุ่งมารวมตัวกันที่มือทั้งสองข้างของนางแล้วหายไปในฝ่ามือทั้งสองข้าง ความสงสัยใคร่รู้ทำให้นางลองดูดแสงวิบวับอีกครั้ง คราวนี้แสงวิบวับเหล่านั้นพุ่งมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วหายไปบนฝ่ามือทั้งสองข้างของนาง นางรู้สึกถึงความเย็นสบายไหลจากฝ่ามือ ไปที่แขน ไหล่ แล้วไหลไปรวมกันที่ท้อง จากนั้นก็แผ่ไปตามร่างกายของนาง เป็นความรู้สึกสบายราวกับอยู่กลางปุยเมฆอย่างไรอย่างนั้น
ความรู้สึกนี้ทำให้นางหลับตาลง แล้วดูดแสงวิบวับเหล่านั้นเข้ามาอีก เพราะนางหลับตาลงจึงไม่เห็นว่าแสงวิบวับเหล่านั้นพุ่งมาเป็นสายเหมือนลมพายุโหมกระหน่ำ เข้าสู่มือและเท้าของนาง แม้แต่ทวารทั้ง 7 ก็ดูดแสงวิบวับเหล่านี้เข้าไปเช่นกัน หากเซียนทั้งหลายได้มาเห็นภาพนี้คงตกตะลึงปากอ้าตาค้างแน่นอน เพราะการจะดูดพลังฟ้าดินเข้าไปในร่างกายได้ช่างยากเย็นยิ่งนัก เซียนระดับสูงที่ฝึกฝนมานานยังไม่อาจดูดพลังฟ้าดินได้อย่างนางเลย พวกเขาดูดกลืนผ่านทางจมูก ปาก เท่านั้น
เฉินมู่อิ๋งไม่รู้ว่าตัวเองดูดพลังฟ้าดินอยู่นานเพียงใด นางไม่รู้ว่าเลือดเนื้อในร่างกายนางเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง แทบทุกอนุในร่างล้วนกลายเป็นเซียนทั้งหมด ยกเว้นกระดูกหน้าผากที่ยังไม่เปลี่ยนเป็นกระดูกเซียนเสียที
ตอนที่เฉินมู่อิ๋งลืมตาขึ้น นางก็ตกใจยิ่งนัก เพราะว่าทะเลสาบแห้งเหือดไปหมดแล้ว ต้นไม้ที่เห็นอยู่ไกลๆ เหล่านั้นก็กลายเป็นต้นไม้แห้งมีแต่กิ่งก้านราวกับต้นไม้ในฤดูใบไม้ร่วงอย่างไรอย่างนั้น นางไม่รู้ว่ามันเป็นเช่นนี้อยู่ก่อนแล้วหรือไม่ ก็น่าจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้วนั่นแหละ
นางไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับเซียนมากนัก คนที่พอจะตอบคำถามของนางได้เท่าที่นางคิดออกในตอนนี้ก็คืออาจารย์เฟยเทียน นางหยิบหยกที่อาจารย์เฟยเทียนเคยให้ไว้ออกมาจากแหวนคุนเฉียน นางมองม่านแสงสีน้ำเงินที่อยู่รอบๆ ตัว เพียงแค่คิดเก็บ แสงเหล่านั้นก็หายไปทันที ทำให้ตัวนางร่วงหล่นลงไปทันที “เหวอ—”
โคร้ม! นางตกลงไปบนพื้นทรายก้นทะเลสาบที่เหือดแห้งแห่งนั้น นางยันตัวลุกขึ้นมา ปัดๆ อาภรณ์ แล้วลองกางม่านแสงสีน้ำเงิน ม่านแสงสีน้ำเงินก็พลันโอบล้อมรอบตัวนางอีกครั้ง “โอ๋?”
นางคิดเก็บ ม่านแสงสีน้ำเงินก็หายไปทันที นางตาวาวอย่างดีใจ จากนั้นก็บีบหยกในมือจนแตก ใต้เท้าพลันมีวงแหวนอาคมเกิดขึ้น มีแสงพุ่งขึ้นมา นางหลับตาลง จนกระทั่งได้ยินเสียงดังแว่ว “หือ?”
เฉินมู่อิ๋งลืมตาขึ้น เห็นอาจารย์เฟยเทียนอยู่ตรงหน้า เฟยเทียนก็มองเฉินมู่อิ๋งเช่นกัน นางมองอย่างอึ้งๆ แล้วขมวดคิ้วคิดๆ
“เจ้าคือนังหนูมู่อิ๋ง?” นางถามอย่างไม่แน่ใจนัก เพราะเวลาก็ผ่านไป 200 กว่าปีแล้ว นังหนูมู่อิ๋งเป็นมนุษย์ก็น่าจะตายไปนานแล้วนี่นา
“อาจารย์” เฉินมู่อิ๋งกุมมือคารวะ เฟยเทียนลุกจากโต๊ะหิน เดินเข้าไปหาสตรีที่มีใบหน้าเหมือนนังหนูเฉินมู่อิ๋ง ศิษย์คนที่ 2 ของนางที่นางเคยรับเป็นศิษย์เมื่อ 200 กว่าปีก่อน นางจับคางเด็กสาวนางนั้นแล้วพึมพำ “หรือว่าจะเป็นหลานของนังหนู?”
“อาจารย์ ข้าคือเฉินมู่อิ๋งเจ้าค่ะ” เฉินมู่อิ๋งบอก เฟยเทียนตกตะลึง “เป็นไปได้อย่างไร? จากตอนนั้นมันก็ผ่านมา 200 กว่าปีแล้วนะ”
“ข้าก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเจ้าค่ะ รู้แต่ว่าไพลินวิญญาณช่วยข้าให้กลายเป็นเซียนเจ้าค่ะ” เฉินมู่อิ๋งตอบ เฟยเทียนเบิกตาโต “เซียน!?”
“อาจารย์กู่ล่ะเจ้าคะ?” เฉินมู่อิ๋งถาม เฟยเทียนตอบ “ลงเขาไปซื้อของในเมืองน่ะ”
“อ่อ” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้ารับรู้ เฟยเทียนจับมือเฉินมู่อิ๋งแล้วแผ่พลังมารเข้าไปตรวจดู นางตรวจอยู่ครู่หนึ่งก็พบว่าร่างกายของเฉินมู่อิ๋งเปลี่ยนเป็นเซียนแล้วจริงๆ ไม่ใช่ร่างมนุษย์อ่อนแออีกต่อไป อีกทั้งร่างกายนี้ยังเปลี่ยนเป็นเซียนเกือบทั้งหมดยกเว้นกระดูกหน้าผากที่ยังคงเป็นกระดูกมนุษย์อยู่ นางปล่อยมือแล้วบอกว่า “ดูเหมือนเจ้าจะได้โชควาสนาบางอย่างทำให้ร่างกายเจ้ากลายเป็นเซียนเกือบทั้งหมด ไหน เจ้าลองใช้พลังของตัวเองทำให้ก้อนหินนั่นลอยขึ้นซิ”
“เจ้าค่ะ” เฉินมู่อิ๋งมองก้อนหินที่อาจารย์ชี้แล้วชี้นิ้วไป พลันมีพลังสายหนึ่งพุ่งออกจากปลายนิ้วเข้าใส่หินก้อนนั้น ตู้ม!