Skip to content

อาจารย์เย็นชากับศิษย์ชั่วช้า 3

  • by
Cover Aj For Web

Chapter 3

เจ้าหนู เจ้าเป็นศิษย์ข้าแล้ว

มีเสียงพูดคุยกันอื้ออึง เฉินมู่อิ๋งยืนฟังอยู่เงียบๆ

“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าต้องเข้าสำนักหมื่นดาราได้แน่นอนขอรับ”

“พี่สาว พวกเราจะเข้าสำนักหมื่นดาราได้เหรอ ข้าได้ยินว่าการทดสอบเข้าสำนักยากมากเลยนะ”

“ท่านปู่ ข้าจะต้องเข้าสำนักหมื่นดาราให้ได้ขอรับ”

“หลีกไปๆ พวกเจ้าถอยให้ห่างจากองค์หญิงของข้าหน่อย”

ฯลฯ เสียงพูดคุยกันดังอื้ออึงอยู่รอบๆ เฉินมู่อิ๋งมองไปมองมา เขาถอนหายใจในใจทีหนึ่ง นี่ไม่ค่อยต่างจากโลกมนุษย์สักเท่าไหร่เลย

จนกระทั่งมีเซียนคนหนึ่งขี่กระบี่ออกมาจากทางสำนักหมื่นดารา เขาสวมอาภรณ์สีฟ้าคราม ลอยอยู่กลางอากาศ ยืนอยู่บนกระบี่เอามือไพล่หลังท่าทางสูงส่ง เขามองฝูงชนเบื้องล่างแล้วพูดว่า “ผู้ที่จะเข้าเป็นศิษย์ของสำนักหมื่นดาราให้พวกเจ้าเดินขึ้นบันไดสำนักไปเดี๋ยวนี้”

เสียงเขาก้องกังวานไปทั่ว เมื่อพูดจบแล้วเขาก็ขี่กระบี่กลับเข้าสำนักไป ผู้คนที่อออยู่ในบริเวณนั้นต่างก็รีบเดินขึ้นบันไดไปทันที คนแรกที่เดินไปถึงบันได ยิ้มอย่างเย่อหยิ่งแล้วพูดว่า “ข้าจะต้องไปถึงเป็นคนแรก!”

เขาก้าวเหยียบบันได พลันหน้าเปลี่ยนสีไปทันที เพราะมีแรงกดถาโถมลงมาบนตัวเขาทำให้เขาเข่าทรุดลงไปข้างหนึ่ง ปึก!

คนอื่นๆ ที่มองดูบุรุษคนนั้นต่างจ้องมองเขาเป็นตาเดียว บุรุษผู้นั้นพยายามยันตัวลุกขึ้นมา หลังเขาโค้งลงเหมือนแบกอะไรสักอย่างที่หนักมากๆ เอาไว้ เขากัดฟันก้าวขาอีกข้างลงบนขั้นบันไดที่สองต่อไป เขารู้สึกถึงแรงถาโถมลงมาบนตัวเขาราวกับแบกขุนเขาอย่างไรอย่างนั้น เขามีดวงตามุ่งมั่นก้าวขาขึ้นบันไดไปทีละขั้น…ทีละขั้น อย่างยากลำบากยิ่ง

คนอื่นๆ เห็นเช่นนั้นก็กลืนน้ำลายทีหนึ่ง แล้วมองบันไดที่ทอดยาวขึ้นไปไม่เห็นปลายทางอย่างมุ่งมั่น พวกเขาก้าวเท้าเหยียบขั้นบันไดขั้นแรก พลันรู้สึกถึงแรงกดถาโถมลงบนร่างทำให้เข่าทรุดลงปึก!

พวกเขายันกายขึ้นอย่างยากลำบาก แล้วค่อยๆ ก้าวเดินต่อไปอย่างเชื่องช้าราวกับเต่าคลาน บางคนหันไปมองครอบครัวที่มาส่ง แล้วยิ้มให้คนในครอบครัว จากนั้นก็หันหน้าไปพยายามก้าวเท้าขึ้นบันไดไปทีละขั้น…ทีละขั้น อย่างไม่ย่อท้อ ผู้คนทยอยขึ้นบันไดไปทีละคนสองคน ทันทีที่พวกเขาก้าวเหยียบบันไดขั้นแรก ทุกคนต่างไม่กล้าพูดจาอวดเบ่งอีกเลย

จนกระทั่งเฉินมู่อิ๋งก้าวเท้าขึ้นบันไดเป็นคนสุดท้าย เขารู้สึกถึงแรงกดถาโถมลงบนร่างกายประดุจขุนเขาใหญ่ยักษ์ที่คล้ายกับจะกดทับเขาไว้อยู่ตรงนั้นไม่ให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้เลย แรงกดนี้ทำให้เขากัดฟันกรอดๆ เขาไม่รู้หรอกว่ายิ่งมีกระดูกเซียนมากเท่าไหร่แรงกดดันนี้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น สำหรับคนที่มีกระดูกเซียน 1 ข้ออาจจะรู้สึกเหมือนแรงกดดันนี้เท่ากับข้าวสาร 1 กระสอบ เช่นนั้นคนที่มีกระดูกเซียน 2 ข้อก็จะทวีคูณขึ้นไปอีก 1 เท่าตัว แต่สำหรับเฉินมู่อิ๋งแล้วนี่ไม่ใช่การทวีคูณธรรมดาๆ เพราะร่างกายของเขากระดูกแทบทั้งตัวกลายเป็นกระดูกเซียน เลือดเนื้อก็กลายเป็นเซียนไปหมดแล้ว เขาเข่าทรุดลงไปทั้งสองข้าง ปึก! ปึก!

คนอื่นๆ ที่ชมดูอยู่ล้วนมองอย่างเยาะหยัน “โถๆ เจ้าหนูนั่นจะไหวรึ”

“ดูหน้าเขาซิ เหมือนจะไม่ไหวจริงๆ”

“ผอมแห้งเช่นนั้นจะไปไหวได้อย่างไร”

ฯลฯ ผู้คนพูดกันไป พวกเขามองเด็กหนุ่มร่างผอมแห้งไร้เรี่ยวแรงอย่างดูแคลน เฉินมู่อิ๋งไม่ได้สนใจเสียงของคนอื่น เขาทำเพียงแค่พยายามยันขาขึ้นมาอย่างสุดกำลังแล้วก้าวเท้าเหยียบขั้นบันไดขั้นที่ 2 สภาพของเขาแทบไม่ต่างจากคลานขึ้นบันไดสักเท่าไหร่

คนอื่นๆ ที่เดินอยู่บนขั้นบันไดหันไปมองคนอื่น ครั้นเห็นมีคนที่สภาพย่ำแย่กว่าตัวเองก็รู้สึกลำพองใจขึ้นมา พลางมองคนที่สภาพแย่กว่าอย่างดูแคลน

ศิษย์ของสำนักหมื่นดาราก็ชมดูการทดสอบนี้อย่างสนอกสนใจ ตรงหน้าพวกเขามีวงแหวนอาคมขนาดใหญ่อยู่กลางลาน ภายในวงแหวนอาคมนั้นปรากฏภาพผู้คนที่กำลังเดินขึ้นบันไดมาอย่างเชื่องช้า พวกเขาชี้มือชี้ไม้คุยกัน

“ดูคนแรกนั่นซิ ท่าทางแข็งแรงกำยำเชียว”

“ดูนั่น คนนั้นค่อยๆ แซงคนอื่นขึ้นมาแล้ว”

“ดูคนสุดท้ายนั่นซิ เขาจะไหวรึ?”

ฯลฯ เสียงพูดคุยดังอื้ออึงไปทั่ว บรรดาอาจารย์ทั้งหลายก็มองดูภาพในวงแหวนอาคมเช่นกัน พวกเขาสนใจคนที่ก้าวขาไม่ค่อยออกมากหน่อยเพราะนั่นหมายความว่าคนๆ นั้นมีกระดูกเซียนในร่างมาก แต่พอพวกเขาดูเด็กหนุ่มคนสุดท้ายที่ค่อยๆ คืบคลานขึ้นบันไดมาพวกเขาก็คิดเหมือนๆ กันว่า เด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้มีกระดูกเซียนมากหรอก เขาเพียงแค่ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเดินขึ้นมาต่างหาก ผิวพรรณขาวผ่องราวกับคุณหนูในห้องหับเช่นนั้น น่าจะเป็นคุณชายของบ้านใดสักแห่งที่พ่อแม่ประคบประหงมไม่เคยต้องตรากตรำทำงานหนักมากกว่า ดังนั้นเด็กหนุ่มไม่ค่อยมีแรงเดินเช่นนี้จึงไม่ค่อยน่าสนใจนัก

เวลาผ่านไปเนิ่นนานมาก ในที่สุดก็มีคนแรกคลานขึ้นไปถึงลานด้านบน เขาคลานไปนอนแผ่อยู่บนพื้นหินอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง หอบหายใจจนอกกระเพื่อมๆ

“โอ! มีคนขึ้นมาถึงลานชั้นแรกแล้ว”

เมื่อมีคนแรก ย่อมมีคนที่ 2 คนที่สองเป็นสตรีคนหนึ่ง นางคลานไปนอนหมอบอยู่บนพื้นอย่างไม่สนใจแล้วว่าอาภรณ์จะเปรอะเปื้อนอย่างไร ทั้งแขนเสื้อทั้งขากางเกงล้วนมีรอยเปื้อนเต็มไปหมดอันเกิดจากการคลานขึ้นบันได

“โอ! คนที่สองแล้ว”

ตามด้วยคนที่ 3 ที่ 4 และที่ 5… แต่ละคนคลานไปถึงลานด้านบนได้ก็รู้สึกว่าแรงกดดันที่ถาโถมใส่ร่างหายวับไปในทันที พวกเขาคลานไปนอนหอบหายใจกระเพื่อมๆ อย่างหมดเรี่ยวแรง สภาพแต่ละคนล้วนอาภรณ์เปรอะเปื้อนไม่ต่างกัน เหงื่อชุ่มไปทั้งตัวราวกับตากน้ำฝนมาอย่างไรอย่างนั้น เมื่อมีคนขึ้นมาได้สำเร็จก็ย่อมมีคนล้มเลิกกลางคัน บางคนขึ้นไปต่อไม่ไหว พอถอยลงไปก็ไม่รู้สึกถึงแรงกดดันแล้ว ทำให้คนเหล่านั้นยอมถอยลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพ้นบันไดไป

เฉินมู่อิ๋งมองคนที่ถอยลงไปผ่านเขาไปทีละคนสองคน เขาไม่สนใจคนเหล่านั้น เขาสนใจแค่เขาจะต้องเข้าสำนักหมื่นดาราให้ได้ เขาอยากเป็นผู้แข็งแกร่ง อยากแข็งแกร่งจนกระทั่งวันนึงเทียบเท่ากับอาจารย์เฟยเทียนหรือไม่ก็พี่สาวมังกร ทั้งสองคนนั้นเปรียบเหมือนแรงจูงใจที่ทำให้เขายังไม่ยอมแพ้ ยังคงมุ่งมั่นคลานต่อไป

เวลาผ่านไปอีกเนิ่นนานมาก จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกลับฟ้าไปแล้ว ยังมีคนค้างอยู่บนขั้นบันได พวกเขาหยุดพักเป็นระยะๆ พอหายเหนื่อยก็คลานขึ้นไปต่อ เฉินมู่อิ๋งก็เช่นกัน เขาค่อยๆ คลานขึ้นไปทีละขั้น…ทีละขั้นอย่างเชื่องช้า เขาก็อยากไปให้ไวกว่านี้แต่มันทำไม่ได้จริงๆ แรงกดดันบนตัวเขามันเหมือนภูเขาใหญ่ยักษ์กดลงมาจนเขาแทบขยับตัวไม่ได้เลย

มีคนจำนวนไม่น้อยล้มเลิกความตั้งใจ ถอยลงไปเรื่อยๆ เมื่อพวกเขาไปถึงพื้นด้านล่างแล้วก็ถอนหายใจอย่างยอมแพ้ การจะเข้าสำนักหมื่นดารายากจริงๆ

จนพระอาทิตย์ขึ้น แสงสว่างสาดส่องอีกครั้ง เฉินมู่อิ๋งยังคงคลานขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างเชื่องช้า เขาหยุดพักเพียงชั่วครู่เท่านั้น ทั้งคืนเขาไม่หลับไม่นอนยังคงคลานขึ้นบันไดไปทีละขั้น…ทีละขั้นอย่างไม่ย่อท้อ ความมุ่งมั่นนี้ทำให้อาจารย์ทั้งหลายเห็นแล้วอดชื่นชมไม่ได้

อืม มีความมุ่งมั่นดี เพียงแต่ยังต้องดูขั้นพลังอีกว่าจะอยู่ในระดับใด หากอยู่ในระดับแรกเริ่มก็ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ เพราะยังมีคนอื่นที่โดดเด่นกว่าเจ้าหนูผอมแห้งคนนั้นมากนัก การจะรับศิษย์เพื่อเสียเวลาสั่งสอนก็ต้องคัดเลือกศิษย์ที่มากความสามารถซิ มีแต่ความมุ่งมั่นอย่างเดียวมันไม่พอหรอก

มีคนขึ้นไปถึงลานด้านบนมากขึ้นเรื่อยๆ และก็มีคนถอยลงไปข้างล่างมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน หากเปรียบกันแล้วคนที่ขึ้นไปสำเร็จมีราวๆ 1 ส่วนร้อยนั่นเอง หมายความว่าในร้อยคน มีคนขึ้นไปสำเร็จเพียงแค่ 1 คน ส่วนอีก 99 คนล้มเลิกยอมแพ้ไปก่อน

เวลาผ่านไปจนถึงตอนเย็น เฉินมู่อิ๋งก็คลานขึ้นไปถึงลานด้านบนสำเร็จ เขาคลานไปนอนหมอบอยู่บนพื้นหิน เหนื่อยหอบจนแทบกระดิกกระเดี้ยตัวไม่ได้เลย เมื่อก่อนเขาฝึกวรยุทธ์หนักแล้วแต่ก็ยังไม่เคยต้องเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้เลย เขาเหยียดมุมปาก หึ! บันไดงั้นรึ ต่อให้ยากกว่านี้ข้าก็ไม่ยอมแพ้หรอก

เมื่อเขาขึ้นไปถึงเป็นคนสุดท้ายการทดสอบขั้นแรกก็สิ้นสุดลงเพราะบนบันไดไม่เหลือใครอีกแล้ว คนส่วนใหญ่ยอมแพ้แล้วถอยลงไปจนหมดตั้งแต่ตอนเที่ยงวันแล้ว เหลือแค่เฉินมู่อิ๋งคนเดียวที่ยังคงคลานอยู่อย่างไม่ยอมแพ้

“เอาล่ะ คืนนี้พวกเจ้าก็พักอยู่ที่นี่ก่อน รอพรุ่งนี้เช้าค่อยเริ่มทดสอบขั้นที่ 2” เซียนคนเดิมที่ขี่กระบี่ประกาศในตอนแรกเดินมาพูดประกาศอย่างเฉยชาแล้วก็เดินจากไป ผู้คนจึงถอนหายใจโล่งอกที่ได้พัก 1 คืน พวกเขาจึงนอนหลับกันต่อราวกับหมาตาย เฉินมู่อิ๋งก็นอนหลับไปเช่นกัน เขาเหนื่อยจนไม่สนใจแล้วว่านอนอยู่บนพื้นหินแข็งๆ เขารู้สึกแค่ว่าร่างกายของเขาเหนื่อยล้าเกินไปจนเขาอยากจะหลับยาวๆ สักหลายๆ วันเลยทีเดียว

เช้าตรู่ ผู้คนตื่นขึ้นมา เซียนชุดสีฟ้าครามก็เดินมาประกาศอีกครั้ง “เอาล่ะ พวกเจ้าเตรียมตัวทดสอบรอบที่ 2 ได้ ให้พวกเจ้าข้ามหุบเหวไป ใครผ่านไปได้ถือว่าผ่านการทดสอบรอบที่ 2 ใครใจเสาะก็ลงบันไดกลับไปเสีย อ่อ ข้าเตือนไว้ก่อนนะ หุบเหวนั่นลึกมาก ตกลงไปมีแต่ตายอย่างเดียว”

ผู้คนมองตามมือของเซียนคนนั้น เห็นโซ่เส้นหนึ่งขึงอยู่กับเสา 2 ต้นระหว่างปากเหวลึก โซ่เส้นนั้นมีขนาดใหญ่เท่าฝ่าเท้าพอให้คนขึ้นไปเดินได้ แต่ก็มีเพียงเส้นเดียว พวกเขาเห็นเช่นนั้นก็กลืนน้ำลายเอือก ระยะทางจากฝั่งนี้ไปถึงฝั่งนู้นน่าจะประมาณ 100 เมตรกว่าๆ ระยะทางร้อยเมตรกว่าๆ นี้กับเหวลึกที่มองไม่เห็นก้นเหวช่างเป็นบททดสอบที่วัดใจยิ่งนัก คำพูดของเซียนคนนั้นก้องอยู่ในหูพวกเขาทุกคน ‘ตกลงไปมีแต่ตายอย่างเดียว’ ทำให้พวกเขาที่เดินไปมองก้นเหวหลายๆ คนถึงกับเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาทันที

บุรุษคนแรกที่เดินขึ้นบันไดสำเร็จ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเดินไปที่โซ่เส้นนั้น เขาจับโซ่แล้วเริ่มเดินยองๆ ไต่ไปบนโซ่ทีละก้าว…ทีละก้าว ความกล้าของบุรุษคนนั้นทำให้ศิษย์ที่มองดูการทดสอบอยู่เกิดความชื่นชม “โอ ใจกล้าดีนี่”

“ดี” อาจารย์บางคนเอ่ยปากชม อาจารย์คนอื่นๆ ก็พยักเพยิดหน้ายิ้มชื่นชมไปด้วย

มีบางคนเอากระบี่ออกมาคิดจะบินผ่านไป แต่กลับไม่สามารถขี่กระบี่บินข้ามหุบเหวไปได้ ทำให้คนเหล่านั้นมีสีหน้าไม่น่าดูนัก พวกเขาเก็บกระบี่ไปแล้วมองโซ่เส้นนั้นอย่างชั่งใจ จนกระทั่งบุรุษคนแรกข้ามผ่านไปได้สำเร็จ คนอื่นๆ ที่อยู่ฝั่งนี้ก็ตบมือเกรียวกราว “เยี่ยมๆ”

คนที่ 2 ก็รีบเดินไปที่โซ่เส้นนั้นแล้วค่อยๆ เกาะ นั่งยองๆ ไต่ไปอย่างช้าๆ เหมือนกับที่คนแรกทำ โซ่แกว่งไกวน้อยๆ ทำให้เขาต้องเกาะโซ่ไว้แน่นเลยทีเดียว บุรุษคนนั้นค่อยๆ ไต่ไปอย่างช้าๆ จนในที่สุดก็ไปถึงอีกฝั่งสำเร็จ เรียกเสียงเกรียวกราวขึ้นทันที “เยี่ยมๆ”

เมื่อมี 2 คนไต่ไปสำเร็จทำให้หลายๆ คนเกิดความฮึกเหิมขึ้นมา คนที่ 3 รีบปรี่เข้าไปคว้าโซ่แล้วไต่ไป เขาไต่ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกือบถึงกึ่งกลางก็พลัดตกจากโซ่ “เหวอ—”

มือเกาะโซ่ตัวห้อยต่องแต่ง “ช่วยด้วยๆ”

“โอ้!” ผู้คนตกใจร้องกันลั่น บางคนตะโกนบอก “เจ้าอยู่นิ่งๆ ก่อน ข้าจะไปช่วยเดี๋ยวนี้แหละ”

“เกาะไว้แน่นๆ นะ”

มีผู้กล้าคนหนึ่งไต่โซ่ไป อยากจะไปช่วยผู้ชายคนนั้น คนที่ตกโซ่ตัวห้อยอยู่กลางอากาศก็กลัวจนแทบเสียสติแล้ว “ช่วยข้าด้วยๆ”

เขาปวดแขนจนไม่อาจฝืนทนเกาะไหว มือค่อยๆ ลื่นหลุดจากโซ่ทีละข้าง…ทีละข้าง แล้วก็ร่วงหล่นลงไป “อ้า!—”

“โอ้!” ผู้คนตกใจ เห็นบุรุษคนนั้นร่วงละลิ่วลงไปกับตาตัวเองผ่านม่านหมอกในหุบเหวหายลับไป เสียงร้องโหยหวนก็จางหายไปเช่นกัน ทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านบนหน้าเปลี่ยนสี

“เขาต้องตายแล้วแน่ๆ ไม่เอาแล้ว ข้าไม่อยากตาย” บางคนร้องอย่างหวาดกลัวแล้วก็วิ่งลงบันไดไป เมื่อมีคนหนึ่งก็ย่อมมีคนต่อไป ทำให้มีหลายๆ คนวิ่งลงบันไดไปอย่างยอมแพ้

“หึ!” เหล่าอาจารย์มองภาพคนยอมแพ้ที่วิ่งลงบันไดไปอย่างดูแคลน ซึ่งจริงๆ แล้วในหุบเหวมีตาข่ายขึงอยู่ถึงสามสี่ชั้นเลยทีเดียว คนที่ตกลงไป ย่อมถูกตาข่ายดักเอาไว้ ทำให้รอดชีวิตไปได้ แต่เมื่อตกลงไปก็ถือว่าไม่ผ่านการทดสอบ คนเหล่านี้จะถูกคัดไว้เป็นศิษย์เตรียมฝึก หากอีกหน่อยฝึกฝนจนผ่านบททดสอบก็จะได้กลายเป็นศิษย์ฝึกหัดของสำนัก

คนอื่นๆ ที่ยืนอยู่บนลานล้วนมีความคิดต่างกัน บางคนก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะข้ามหุบเหวไปให้ได้ บางคนก็เกิดกลัวๆ ขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้ายอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม เฉินมู่อิ๋งมองดูเฉยๆ เขายืนอยู่หลังสุด รอเป็นคนสุดท้ายที่จะข้ามหุบเหวไป คนที่ไต่ไปช่วยคนที่ตกลงไปขณะนี้อยู่บนโซ่ที่แกว่งไกวไปมา เขาเกาะโซ่แน่นมาก รอจนกระทั่งโซ่หยุดแกว่งแล้วจึงตัดสินใจไต่ข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง เมื่อข้ามไปถึงแล้วเขาก็ถอนหายใจพรู “เฮ้อ…”

“เยี่ยมๆ” คนฝั่งนี้ก็ตบมือเกรียวกราวขึ้นมาทันที จากนั้นคนอื่นๆ ก็เริ่มไต่โซ่ไปทีละคน…ทีละคน

“เหวอ—” มีบางคนตกลงไป คนที่เหลืออยู่ไม่เห็นว่าทางสำนักจะส่งคนไปช่วยเหลือคนที่ตกลงไปเลยก็เกิดความลังเลขึ้นมาแล้ว พวกเขาควรจะเอาชีวิตไปเสี่ยงจริงๆ หรือ?

“ไม่เอาแล้ว ข้าไม่เข้าสำนักแล้ว สำนักใจดำเช่นนี้ข้าไม่อยากเข้าแล้ว” บางคนพูดขึ้นมาแล้วเดินลงบันไดไปอย่างยอมแพ้

มีคนยอมแพ้ไปไม่น้อยเลยทีเดียว คนที่เหลืออยู่ก็พยายามไต่โซ่ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือเพียงเฉินมู่อิ๋งที่อยู่ฝั่งนี้คนเดียว เขานั่งดูคนอื่นๆ อยู่นานแล้วจึงลุกขึ้นขยับตัวยืดเส้นยืดสาย แล้วปีนขึ้นไปบนเสาที่ขึงโซ่ฝั่งนี้ ผู้คนมองดูเด็กหนุ่มผอมแห้งที่จู่ๆ ก็ปีนขึ้นไปบนเสาอย่างงงงวยสงสัย “นั่นเขาจะทำอะไรน่ะ?”

“หือ? เจ้าหนูนั่นจะทำอะไร?” บรรดาอาจารย์มองภาพในวงแหวนอาคมอย่างสงสัยใคร่รู้

เฉินมู่อิ๋งปีนเสาสลักลายมังกรขึ้นไปจนกระทั่งขึ้นไปยืนอยู่บนยอดเสา เขามองเสาอีกต้นฝั่งตรงข้ามอย่างมีแผนการแล้วเอาธนูออกมา กับเชือกเส้นยาวขนาดเท่านิ้วหัวแม่โป้งออกมาม้วนหนึ่ง เขามัดเชือกกับลูกธนูแล้วยิงธนูออกไปที่เสาฝั่งตรงข้าม ฟิ้ว!

ฉึก! ลูกธนูพุ่งไปปักที่เสาฝั่งตรงข้ามอย่างแม่นยำ เฉินมู่อิ๋งดึงๆ เชือกจนแน่ใจว่าลูกธนูจะไม่ถอนออกมา จากนั้นเขาก็จัดแจงเอาห่วงเหล็กร้อยกับปลายเชือกด้านนี้แล้วมัดเชือกกับหัวเสาฝั่งนี้ เขามัดเป็นปมเฉพาะของตัวเอง ไม่ใช่เงื่อนตายแบบทั่วไป เมื่อมัดแน่นดีแล้วเขาก็ยิ้มบางๆ อย่างพอใจ เชือกด้านนี้อยู่สูงกว่าด้านนู้นมากนักทำให้เชือกเอียงลาดลงไป คนอื่นๆ ก็มองอย่างงุนงงไม่เข้าใจ “นั่นเขาจะทำอะไรรึ?”

“เจ้าหนูนั่นคิดจะทำอะไร?” พวกอาจารย์มองดูอย่างสงสัยใคร่รู้ เฉินมู่อิ๋งจับห่วงเหล็กที่ร้อยเชือกแน่นแล้วทะยานตัวกระโดดลงไป วูบ!

“อ้า!” ผู้คนร้องอย่างตกอกตกใจ ปากอ้าตาค้างกันไปหมด พวกอาจารย์ถึงกับลุกขึ้นยืนมองภาพนั้นกันเลยทีเดียว พวกเขาเห็นเด็กหนุ่มผอมแห้งโหนเชือกเส้นนั้นไหลลงไปหาเสาอีกฝั่งหนึ่ง เมื่อเฉินมู่อิ๋งไปถึงเสาอีกฝั่งก็ใช้เท้าถีบยันกับเสาเอาไว้แล้วหาที่เกาะบนเสาสลักลายมังกร

เขาจับเสายึดเอาไว้แน่นแล้วดึงๆ เชือก ทำให้เชือกที่ผูกอยู่ที่เสาอีกต้นพลันหลุดออกร่วงลงไป จากนั้นเขาก็แกะเชือกออกจากปลายธนูแล้วกระโจนลงพื้น ฟิ้ว! พริบตาต่อมาเขาก็ลงสู่พื้น ตุบ! เขาจัดแจงเก็บเชือกไปแล้วเดินไปรวมกลุ่มกับคนที่ผ่านการทดสอบ คนเหล่านั้นยังคงปากอ้าตาค้างตกตะลึงไม่ได้สติ พวกเขามองบุรุษผอมแห้งคนนั้นเหมือนมองสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น เพราะวิธีการที่เขาใช้ข้ามหุบเหวช่างรวดเร็วและไม่เหมือนใครจริงๆ คนอื่นๆ พยายามไต่โซ่อย่างอกสั่นขวัญแขวน แต่เจ้าหนูนี่กลับโหนเชือกข้ามมาในพริบตาเดียว!

“โอ! ปัญญาเจ้าหนูนั่นล้ำเลิศยิ่งนัก” อาจารย์บางคนตั้งสติได้แล้วก็เอ่ยชม ทำให้อาจารย์คนอื่นๆ ทยอยได้สติกัน พวกเขายอมรับว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมีปัญญาล้ำเลิศจริงๆ การทดสอบนี้ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องไต่โซ่เพียงอย่างเดียว จะขี่กระบี่บินข้ามไปก็ได้หากว่ามีปัญญาทำลายอาคมรอบๆ หุบเหว หรือจะใช้วิธีอื่นก็ได้ อย่างเช่นวิธีของเจ้าหนูนั่นที่ข้ามหุบเหวในชั่วพริบตาเดียว เซียนชุดสีฟ้าครามเดินมาอีกครั้ง เขาประกาศว่า “เอาล่ะ พวกเจ้าได้เป็นศิษย์ฝึกหัดของสำนักแล้ว พวกเจ้าตามข้ามา ไปกราบอาจารย์”

“เฮ้!” บรรดาศิษย์ฝึกหัดหมาดๆ เหล่านั้นพากันร้องดีใจตะโกนลั่น พวกเขารีบเดินตามเซียนชุดสีครามไปทันที เฉินมู่อิ๋งเดินตามอยู่หลังสุด จนกระทั่งไปถึงลานกว้างใหญ่ มีศิษย์หลายร้อยคนยืนอยู่รอบๆ ลานนั้น ตรงริมลานด้านหนึ่ง มีบรรดาอาจารย์ทั้งหลายนั่งเรียงกัน ตรงหน้าพวกเขามีโต๊ะตั้งคนละตัว

“เอาล่ะ พวกเจ้าอยากกราบอาจารย์ท่านใดเป็นอาจารย์ของพวกเจ้าก็ไปรับการทดสอบจากอาจารย์ท่านนั้นเสียซิ” เซียนชุดสีครามบอกพลางผายมือไปทางบรรดาอาจารย์ที่นั่งเรียงๆ กันอยู่ ศิษย์ฝึกหัดเหล่านั้นมองๆ แล้วซุบซิบคุยกันเอง

“นั่นอาจารย์หานเจิ้นตง (韩振冬) สอนวิชาหลอมอาวุธ ส่วนนั่นอาจารย์หรงเจ๋อ (蓉泽) สอนวิชากระบี่ นั่นอาจารย์เจิ้งหงหลิน (郑鸿铃) สอนวิชาเครื่องหอม……..อาจารย์จงฮ่วน (宗焕) สอนวิชาหลอมโอสถ ส่วนคนสุดท้ายคืออาจารย์หยางซีหยุน (杨曦云) สอนวิชาเดินหมาก” เซียนชุดสีครามผายมือไปทางอาจารย์แต่ละท่านที่นั่งอยู่แล้วแนะนำทีละคน…ทีละคน จนครบ

อาจารย์ทุกท่านที่นั่งอยู่มองศิษย์ฝึกหัดเหล่านั้นอย่างหมายมั่น มีเพียงอาจารย์หยางซีหยุนคนเดียวที่ไม่มองศิษย์เหล่านั้นเลย เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ อ้าปากหาวอย่างเบื่อๆ

“เอาล่ะ พวกเจ้าไปรับการทดสอบจากอาจารย์เสียซิ” เซียนชุดสีครามบอกกับศิษย์ฝึกหัดเหล่านั้น ศิษย์ฝึกหัดจึงมองๆ อาจารย์แล้วพากันเดินไปหาอาจารย์แต่ละท่านที่พวกเขาสนใจ เหล่าศิษย์ฝึกหัดที่เป็นหญิงล้วนมองอาจารย์หยางซีหยุนเป็นตาเดียว เพราะอาจารย์ท่านนั้นรูปลักษณ์หล่อเหลายิ่งนัก พวกนางจึงพากันไปยืนตรงหน้าโต๊ะของอาจารย์หยางซีหยุน

“อาจารย์เจ้าขา ข้ามารับการทดสอบเจ้าค่ะ” ศิษย์ฝึกหัดคนหนึ่งเอ่ยปากบอก ตาก็มองอาจารย์หยางซีหยุนอย่างหลงใหล หยางซีหยุนมองศิษย์เหล่านั้นแล้วบอกว่า “เอาชนะหมากบนกระดานได้ก็จะได้เป็นศิษย์ข้า”

เหล่าศิษย์ฝึกหัดมองกระดานหมากขาวดำบนโต๊ะแล้วหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะหมากขาวดำบนโต๊ะไม่ว่าจะเป็นสีดำหรือสีขาวก็ล้วนเป็นหมากตาย ไม่มีทางแก้เลย พวกนางมองอย่างครุ่นคิดอยู่นานมาก ศิษย์คนอื่นๆ ก็พากันไปรับการทดสอบจากอาจารย์ที่ตัวเองสนใจ บางคนผ่านการทดสอบก็ได้เป็นศิษย์ของอาจารย์ท่านนั้น บางคนไม่ผ่านก็พากันไปต่อแถวเข้ารับการทดสอบกับอาจารย์คนอื่นๆ พวกเขาเดินวนเวียนไปมาอยู่อย่างนั้น มีศิษย์ฝึกหัดชายบางคนไปยืนมองกระดานหมากของอาจารย์หยางซีหยุน มองๆ อยู่ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้าแล้วถอยออกไป เพราะไม่อาจแก้หมากกระดานนั้นได้ เฉินมู่อิ๋งไม่ได้รีบร้อนเข้าไปทดสอบ เขารอจนคนอื่นๆ เข้าไปทดสอบให้หมดก่อนแล้วค่อยเข้าไปทีหลังก็ได้ เขาไม่ชอบเข้าไปเบียดเสียดกับคนอื่น เขามองดูการทดสอบของอาจารย์แต่ละคนไปเรื่อยๆ

ศิษย์หญิงเหล่านั้นมองดูกระดานหมากอย่างยอมแพ้ พวกนางถอยไปอย่างสิ้นหวัง พวกนางพากันไปเข้ารับการทดสอบกับอาจารย์ท่านอื่นๆ แทน เฉินมู่อิ๋งเห็นว่าที่โต๊ะของอาจารย์สอนเดินหมาก ไม่มีใครไปต่อแถวแล้วเขาจึงเดินไปดู เห็นกระดานหมากขาวดำตั้งอยู่ เขามองหมากกระดานนั้นครู่หนึ่งแล้วหยิบเม็ดหมากสีขาวขึ้นมาเม็ดหนึ่ง การกระทำของเขาทำให้หยางซีหยุนมองจ้องเลยทีเดียว แล้วพูดว่า “เจ้าหนู เจ้าเป็นศิษย์ข้าแล้ว”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!