Chapter 7
พอกันทีๆ ช่างหัวย่ามันเถอะ!
ถ้าสายตาฆ่าคนได้ เกรงว่าเฉินมู่อิ๋งคงถูกสายตาของอาจารย์หยางแผดเผาจนตกตายเป็นพันเป็นหมื่นครั้งแล้วกระมัง แต่น่าเสียดายที่สายตาฆ่าคนไม่ได้ เฉินมู่อิ๋งถามต่อ “ว่าอย่างไรอาจารย์หยาง? ท่านจะตกลงหรือไม่ตกลง?”
“หึ!” หยางซีหยุนแค่นเสียงเย็นชา “ข้าเห็นเจ้ามีพรสวรรค์จึงคิดช่วยเหลือสอนสั่ง ไม่คิดเลยว่าข้าจะเลี้ยงงูพิษให้กลับมาแว้งกัดตัวเองเช่นนี้”
“หึ! สอนสั่งรึ ตำราอาคมไม่สมบูรณ์นั่นยังกล้าเรียกว่าสอนสั่งอีกรึ อาจารย์หยางท่านช่างมากแผนการยิ่งนัก ตำราอาคมไม่สมบูรณ์ม้วนเดียวก็กล้าอ้างบุญคุณแล้ว?” เฉินมู่อิ๋งเยาะหยัน หยางซีหยุนถลึงตามอง “แต่เจ้าก็ใช้สมุนไพรที่ข้าปลูกในการหลอมโอสถ สิ่งนี้ก็นับว่าเป็นบุญคุณเช่นกัน รึเจ้าจะปฏิเสธ เช่นนั้นก็จ่ายค่าสมุนไพรของข้ามา”
“หึ! ทวงค่าสมุนไพร! ได้ ข้าจ่ายคืนให้ท่านแน่นอน ตามราคาของสำนัก” เฉินมู่อิ๋งแค่นเสียง หยางซีหยุนถลึงตาจ้อง เจ้าเด็กนี่ช่างอวดใหญ่อวดโตเสียจริง! คิดว่าตัวเองเป็นคุณชายตระกูลสูงศักดิ์หรือไร!
เจอเด็กเย่อหยิ่งจองหองพองขนเช่นนี้เขาก็คร้านจะสอนสั่งแล้ว “หึ! ได้ๆๆๆ ต่างคนต่างอยู่ เจ้าต้องจ่ายค่าสมุนไพรคืนให้ข้าทั้งหมด”
“เช่นนั้นก็รอข้าเอาโอสถไปประมูลก่อนเถอะ แล้วข้าจะจ่ายค่าสมุนไพรคืนให้ท่านแน่นอน” เฉินมู่อิ๋งบอกแล้วเดินเข้ากระท่อมไปปิดประตู หยางซีหยุนถลึงตาจ้องอย่างโกรธเคืองยิ่งนัก เจ้าเด็กสารเลวนี่หาความน่ารักน่าเอ็นดูไม่ได้เลย! ศิษย์ของอาจารย์คนอื่นยังเรียกขานอาจารย์อย่างเคารพนบนอบ คอยเอาอกเอาใจสารพัดสารพัน แต่ดูศิษย์ของเขาซิ ทั้งดื้อรั้น! เย่อหยิ่ง! จองหองพองขน! แว้งกัดอาจารย์! อีกทั้งยังเป็นตัวล้างผลาญด้วย!
มีศิษย์นิสัยเช่นนี้ เขาก็คร้านจะสอนสั่งแล้ว! พอกันทีๆ ช่างหัวย่ามันเถอะ!
เขาหมุนตัวเดินจากไปอย่างโกรธเคือง คอยดูซิ เขาจะไม่สนใจเจ้าศิษย์ชั่วช้านี่อีกเลย!
ภายในกระท่อม เฉินมู่อิ๋งรับรู้ว่าอาจารย์หยางเดินห่างออกไปแล้วก็ถอนหายใจทีหนึ่ง “เฮ้อ…”
ช่วงที่อ่านตำราโอสถอยู่ในหอตำรา ทำให้เขาได้ยินเรื่องราวต่างๆ มาไม่น้อยเลย จึงรู้ว่าเซียนเกลียดชังมารเข้ากระดูกดำ มิน่าล่ะ อาจารย์เฟยเทียนถึงได้มาส่งเขาแค่ชายแดนเซียน เพราะหากนางเข้ามาส่งเขาถึงสำนัก เกรงว่าคงถูกไล่ล่ากันทั้งสองคนแน่นอน อีกทั้งเขาก็จะไม่อาจเข้าสำนักเซียนได้เลย ดังนั้นเรื่องตำรายาของอาจารย์เฟยเทียนที่เขาเรียนรู้มาย่อมไม่อาจเปิดเผยที่มาออกไปได้ ไม่เช่นนั้นคงถูกไล่ออกจากสำนักแน่นอน ถูกไล่ออกอย่างเดียวยังพอว่า คาดว่าคงจะถูกตามไล่ล่าฆ่าล้างอีกด้วย จะให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเขามีมารเป็นอาจารย์!
ตอนที่คุยกับศิษย์พี่เลี่ยงก็รู้เรื่องราวในสำนักไม่น้อยเลย เช่นภายในสำนักจะมีการจัดประมูลโอสถ เดือนละครั้ง ส่วนใหญ่เป็นโอสถจากลูกศิษย์ของอาจารย์จงฮ่วน แล้วก็มีการจัดประมูลอาวุธเซียน เดือนละครั้ง ส่วนใหญ่เป็นอาวุธเซียนที่ลูกศิษย์อาจารย์หานเจิ้นตงหลอมออกมาได้ แล้วก็มีการจัดประมูลเครื่องหอมที่ลูกศิษย์ของอาจารย์หงหลินทำออกมา งานประมูลเครื่องหอมนี้ส่วนใหญ่จะมีแต่สตรีเข้าร่วมจึงไม่ค่อยยิ่งใหญ่เหมือน 2 งานแรก แล้วก็นอกสำนักจะมีตลาดเดือนละครั้ง ระยะเวลาราวๆ 5 วัน มีสินค้าต่างๆ มาขายมากมาย และมีงานประมูลโอสถกับงานประมูลอาวุธเซียน ซึ่งจะจัดงานไม่ตรงกันแต่ติดๆ กัน ทำให้เวลามีตลาดมาตั้งขายของผู้คนจะมารวมตัวกันมากเป็นพิเศษ
ในเมื่อเขาหลอมโอสถได้ เช่นนั้นเขาจึงคิดจะเอาโอสถไปร่วมประมูลซะหน่อย แน่นอนว่าเขาย่อมเลือกตลาดนอกสำนักเป็นที่ประมูลโอสถของเขา เพื่อที่ว่าจะได้ปิดบังตัวตนได้ เขายังไม่อยากเด่นดังเกินไป ไม่เช่นนั้นจะเป็นดังคำที่ว่า ‘ไม้สูงเกินไปย่อมนำภัยมาถึงตัว’
หยางซีหยุนกลับถึงเรือนไผ่อย่างโมโหโทโส เขาตั้งใจจะไม่สนใจใยดีเจ้าศิษย์ชั่วนั่นอีก แต่ในความคิดของเขากลับสลัดเจ้าศิษย์ชั่วออกไปไม่ได้เลย แม้ว่าจะเป็นในแง่ที่มันทำให้เขาโมโหโกรธเคืองแต่มันก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวเขาตลอด คิดแล้วยิ่งโมโห ยิ่งโมโหก็ยิ่งสลัดไม่หลุด สุดท้ายความคิดเขาก็ยังคงวนเวียนอยู่กับเจ้าศิษย์ชั่วอยู่ดี
ปากว่าจะไม่สนใจแต่พอผ่านไป 2 วันเขาก็ไปแอบดูเจ้าศิษย์ชั่วอยู่ห่างๆ เขาให้เหตุผลตัวเองว่า ต้องการดูว่ามันถอนสมุนไพรอะไรของเขาไปบ้าง เขาจะให้มันจ่ายให้ครบทุกต้นทุกใบเลยเชียว!
เฉินมู่อิ๋งจับสัมผัสได้ว่าอาจารย์หยางมาแอบดูอยู่ไกลๆ เขาก็ไม่สนใจอาจารย์หยางผู้นั้น ยังคงออกไปเก็บสมุนไพรมาหลอมโอสถแล้วก็ปิดประตูกระท่อมนั่งหลอมโอสถอยู่ภายในกระท่อม มีศิษย์พี่เลี่ยงเอาปิ่นโตมาส่ง 3 มื้อต่อวันเหมือนเช่นเคย ทำให้เขามีเวลาทุ่มเทให้กับการหลอมโอสถอย่างเต็มที่
วันเวลาผ่านไป จนกระทั่งถึงวันที่มีตลาดมาตั้ง เฉินมู่อิ๋งก็ชวนศิษย์พี่เลี่ยงออกไปด้วยกัน เขาขี่กระบี่บินไปกับศิษย์พี่เลี่ยงเพราะตัวเขาเองยังไม่เคยหัดขี่กระบี่ อีกทั้งเขาก็ยังไม่มีกระบี่เซียนเป็นของตัวเองด้วย ทั้งสองไปถึงตลาด เลี่ยงจินก็แนะนำว่า “นั่น ร้านนั้นขายสินค้ามีคุณภาพแต่ราคาก็แพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ส่วนร้านนั้นเจ้าไม่ต้องเข้าไปซื้อเลย อาวุธเซียนสู้ของสำนักเราก็ไม่ได้ ร้านนั้น…….”
เลี่ยงจินบอกเสียงเบาไปตลอดทางที่เดินผ่านร้านค้าสองข้างทาง แต่ละร้านเป็นกระโจมตั้งกลางแจ้ง ภายในกระโจมมีสินค้าวางขายแน่นขนัด พ่อค้าแม่ค้าอยู่ในกระโจมคอยขายสินค้าให้ลูกค้าที่เข้ามาดูสินค้าอย่างกุลีกุจอ มีเพียงไม่กี่กระโจมที่พ่อค้าแม่ค้าไม่พูดอะไร เพียงแค่ชายตามองลูกค้าที่เข้ามาดูสินค้าของตัวเองอย่างเย่อหยิ่งเพราะถือว่าสินค้าของตัวเองเป็นสินค้าคุณภาพสูง ย่อมมีคนไม่น้อยต้องการซื้อหา
“เอาล่ะ พวกเราไปดูเครื่องเทศกันเถอะ อาจารย์ให้ข้าออกมาซื้อเครื่องเทศ ซื้อเสร็จแล้วข้าก็ต้องรีบกลับไป เจ้าก็รีบๆ ไปดูของที่เจ้าอยากได้เถอะ ซื้อเสร็จแล้วจะได้กลับกันเลย” เลี่ยงจินบอก เฉินมู่อิ๋งส่ายหน้า “ศิษย์พี่เลี่ยง ท่านกลับไปก่อนเถอะ ข้าอยากดูการประมูลโอสถกับอาวุธน่ะ”
“อ่อ เช่นนั้นข้าคงต้องกลับไปก่อน ว่าแต่เจ้ากลับเองได้แน่นะ จากนี่ถึงสำนักก็ไกลอยู่นะศิษย์น้องเฉิน” เลี่ยนจินบอกอย่างเป็นห่วง ศิษย์น้องเฉินยังขี่กระบี่ไม่เป็นอีกทั้งยังไม่มีกระบี่เซียนเป็นของตัวเอง ปล่อยให้เดินกลับสำนักเองก็ไกลยิ่งนัก กว่าจะกลับถึงสำนักคงเสียเวลาไปเป็นวันเลยกระมัง
“ข้ากลับเองได้ ศิษย์พี่เลี่ยงไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” เฉินมู่อิ๋งบอก ระยะทางแค่นี้ไม่นับว่าเป็นอุปสรรคอะไร ตอนที่เขาเร่งเดินทางไปสมัครเข้าสำนักเขายังวิ่งไปตลอดทางมาแล้วเลย เลี่ยงจินฟังเช่นนั้นแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ศิษย์น้องเฉินแม้จะดูผอมแห้งไร้เรี่ยวแรงแต่ก็ผ่านการทดสอบเข้าสำนักมาได้ย่อมไม่ได้อ่อนแอปวกเปียกนักหรอก เขาตบๆ ไหล่ “เอาๆ เช่นนั้นข้าไปดูเครื่องเทศก่อน เจ้าก็ไปกับข้าล่ะกัน”
“อืม” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้า จากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปที่กระโจมเครื่องเทศซึ่งมีเครื่องเทศนานาชนิดวางขายแน่นขนัดทีเดียว เลี่ยงจินก็เลือกๆ เครื่องเทศ คุยกับพ่อค้าอย่างสนิทสนม เห็นได้ชัดว่าเขาซื้อกับพ่อค้าคนนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เฉินมู่อิ๋งยืนมองเครื่องเทศในกระโจมแล้วจดจำราคาเอาไว้ เผื่อวันหน้าเขาอยากซื้อหาอะไรจะได้มาซื้อเอง
หลังจากซื้อเครื่องเทศเสร็จแล้วเลี่ยงจินก็ขี่กระบี่กลับสำนักไป ส่วนเฉินมู่อิ๋งก็เดินดูสินค้าไปเรื่อยๆ ครั้งนี้ได้ออกมาเปิดหูเปิดตาจริงๆ หลังจากเดินดูจนเมื่อยขาแล้วเขาจึงไปนั่งในเพิงน้ำชาแห่งหนึ่ง เขามีหยกปราณฟ้าดินที่ขอยืมมาจากศิษย์พี่เลี่ยงนิดหน่อย ซึ่งเขารับปากว่าจะคืนให้หลังจากกลับถึงสำนัก เลี่ยงจินก็ให้ยืมอย่างไม่อิดออดเลย เพียงแต่เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าอาจารย์หยางไม่ได้ให้หยกปราณฟ้าดินกับศิษย์คนเดียวของเขาเลยหรือ? เขาสงสัยแต่ก็ไม่กล้าถาม เพราะอาจารย์หยางนั้นใครๆ ทั้งสำนักก็รู้กันดีว่าเขาอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ขนาดไหน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายจนคนอื่นหวาดกลัวกันถ้วนหน้า
เถ้าแก่วางน้ำชาไว้แล้วก็ไปต้อนรับลูกค้าคนอื่น เฉินมู่อิ๋งก็นั่งจิบชาฟังผู้คนคุยกันไป การฟังคนอื่นแน่นอนว่าย่อมทำให้รู้อะไรดีๆ หลายอย่าง โดยเฉพาะเขาที่ยังไม่ค่อยรู้เรื่องแดนเซียนนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง แน่นอนว่าเขาย่อมอยากฟังเรื่องราวของแดนเซียนให้มากขึ้น
เท่าที่ฟังคนอื่นคุยกันทำให้เฉินมู่อิ๋งรู้ว่า การประมูลโอสถจะจัดขึ้นในวันที่ 4 ส่วนการประมูลอาวุธจะจัดขึ้นในวันที่ 5 หลังจบการประมูลแล้วตลาดก็จะปิดตัวไป จะกลับมาเปิดอีกครั้งในอีก 1 เดือนข้างหน้า ตลาดนี้จะย้ายไปเปิดตามสถานที่ต่างๆ ตลอดทั้งเดือน แต่ละครั้งก็เปิดประมาณ 5 วัน ครบ 5 วันก็ย้ายไปที่อื่นต่อ หมุนเวียนเปลี่ยนกันไป ทำให้เฉินมู่อิ๋งรู้สึกว่าคนที่คิดแนวทางนี้ขึ้นมาเป็นคนฉลาดล้ำลึกยิ่งนัก
เคลื่อนย้ายไปทั่วแดนเซียน รับรู้ข่าวสารน้อยใหญ่ อีกทั้งหากมีใครต้องการนำสินค้าเข้าร่วมประมูลก็จะนึกถึงตลาดนี้ก่อนใคร ช่างเป็นแนวคิดที่แยบยลยิ่ง!
เฉินมู่อิ๋งเห็นหลายๆ คนสวมผ้าคลุมสีดำ ปกปิดใบหน้าเดินไปเดินมา ดูแล้วคล้ายกับไม่อยากให้คนอื่นจดจำได้ บางคนก็สวมหน้ากากเอาไว้ปิดบังใบหน้าตัวเอง คนลักษณะนี้เดินขวักไขว่ไปมาในตลาดแห่งนี้ ทำให้เขาได้แนวทางในการจะนำโอสถเข้าร่วมประมูลแล้ว เขาเชื่อว่าโอสถพิษศิลากับโอสถแก้พิษศิลาจะต้องขายได้แน่นอน เช่นนั้นเขาก็ควรจะปกปิดตัวตนของตัวเองก่อนเอาโอสถไปร่วมประมูล ฮี่ๆๆๆ…
เวลาผ่านไป 3 วัน พอถึงวันที่ 4 เฉินมู่อิ๋งที่เปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดดำ มีผ้าคลุมสีดำคลุมอยู่บนศีรษะ อีกทั้งผ้าคลุมผืนนั้นยังใหญ่จนคลุมตัวเขาไปทั้งตัว ใบหน้าเขาก็สวมหน้ากากเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง เขามองเงาในกระจกจนแน่ใจว่าจะไม่มีใครจดจำเขาได้จึงเดินตรงไปที่กระโจมของผู้ดูแลตลาด ต่อแถวยาวเหยียดเพื่อนำโอสถเข้าร่วมประมูล คนอื่นๆ ที่ต่อแถวอยู่ก่อนๆ เขาก็ล้วนเป็นคนที่นำโอสถมาเข้าร่วมประมูล เขาเดินตามแถวที่ค่อยๆ หดสั้นเข้าไปอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งถึงคราวที่เขาได้เข้าไปในกระโจมหลังนั้น องครักษ์หน้ากระโจมผายมือ “เชิญ”
เฉินมู่อิ๋งก้าวเข้าไปในกระโจม ภายในกระโจมมีคนเจ็ดแปดคนนั่งอยู่ มีคนหนึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้ประธาน เฉินมู่อิ๋งจึงเดาว่าคนๆ นั้นน่าจะเป็นผู้ดูแลตลาด เขาดูลักษณะโหงวเฮ้งแล้วเดาว่าคนๆ นี้ก็ยังไม่น่าจะใช่เจ้าของตลาดที่มีความคิดลึกล้ำแยบยล เขาไม่ได้กุมมือคารวะเพียงแค่นำขวดโอสถออกมา พูดว่า “นี่เป็นโอสถพิษศิลาที่ข้านำมาร่วมประมูล”
“หือ? พิษศิลา?” คนหนึ่งเลิกคิ้วขึ้น คนอื่นๆ ก็ส่ายหน้าไม่รู้จัก เฉินมู่อิ๋งยื่นขวดไป “เชิญพวกท่านดูก่อน”
คนที่เลิกคิ้วขึ้นชื่อซีห้าว (子豪) เป็นผู้ตรวจสอบโอสถของตลาดจึงลุกขึ้นเดินไปหยิบขวดใบนั้นมาจากชายสวมหน้ากาก เขาเทโอสถใส่จานแล้วใช้คีมคีบคีบโอสถขึ้นมาดู เขาดูๆ แล้วดมกลิ่น เขาไม่ได้กลิ่นสมุนไพรจากโอสถนี้เลยแม้แต่น้อย เขาจึงยิ่งดมๆ ฟุดฟิดๆ เหมือนสุนัขอย่างไรอย่างนั้น แต่ดมๆ อย่างไรก็ไม่ได้กลิ่นสมุนไพรสักนิด เขาวางเม็ดโอสถลงบนจานแล้วพูดว่า “โอสถนี้ไร้กลิ่น อีกทั้งสรรพคุณใช้ทำอะไรรึ?”
ประโยคหลังเขาถามเจ้าของโอสถ เฉินมู่อิ๋งยิ้มบางๆ อยู่ใต้หน้ากาก แล้วตอบว่า “สรรพคุณของมันทำให้คนที่สูดดมเข้าไปตัวแข็งเหมือนเป็นอัมพาต หากไม่ได้รับโอสถแก้พิษก็จะกลายเป็นอัมพาตทั้งตัวแล้วตกตายไปในที่สุด”
ซีห้าวหน้าเปลี่ยนสีทันที เขารีบเก็บโอสถใส่ขวดแล้วก้าวขาไปข้างหน้าหมายเอาเรื่องเจ้าของโอสถที่ไม่รีบบอกสรรพคุณของโอสถนี้ให้เขารู้ คล้ายกับว่าคนๆ นี้จงใจใช้เขาเป็นตัวลองโอสถอย่างไรอย่างนั้น แต่เขากลับก้าวเท้าไม่ออก เขาก้มลงมองเท้าตัวเองที่คล้ายกับกลายเป็นท่อนไม้อย่างไรอย่างนั้น ทำให้เขาตกใจยิ่งนัก “นี่!”
คนอื่นๆ ก็มองดูซีห้าวที่หน้าเปลี่ยนสีไปอย่างสงสัย “มีอะไรรึท่านซี?”
“ข้ายกเท้าไม่ได้ ข้าไม่รู้สึกว่ามีเท้า เท้าข้าเป็นอัมพาตแล้ว” ซีห้าวบอกพลางถลึงตาจ้องเจ้าของโอสถ “เจ้ารีบเอาโอสถแก้พิษให้ข้าเร็ว”
“เดี๋ยวก่อนซีห้าว ท่านไม่ลองใช้โอสถแก้พิษของท่านแก้พิษนี้ดูก่อนล่ะ” ผู้ดูแลตลาดเอ่ยขึ้น เขาก็อยากรู้ว่าพิษชนิดนี้จะใช้โอสถแก้พิษแก้ได้หรือไม่ หากแก้ได้ เช่นนั้นราคาของโอสถชนิดนี้ย่อมลดลง แต่หากแก้ไม่ได้ต้องใช้โอสถแก้พิษโดยเฉพาะเช่นนั้นราคาก็จะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวทีเดียว รวมถึงต้องขายคู่กันทั้งโอสถพิษศิลาและโอสถแก้พิษศิลา
ซีห้าวรีบเอาโอสถแก้พิษออกมาจากถุงฟ้าดินแล้วกินลงไปในทันที คนอื่นๆ ก็มองดูซีห้าวเป็นตาเดียว ผู้ดูแลตลาดมองเจ้าของโอสถแล้วถามว่า “เจ้าชื่ออะไรรึ?”
“ข้าแซ่โอหยาง” เฉินมู่อิ๋งตอบ ผู้ดูแลตลาดถามอีก “โอสถพิษศิลานี้คุณชายโอหยางมีเม็ดเดียวรึ? หรือว่ายังมีอีก?”
“ของดีย่อมต้องมีเม็ดเดียวซิ แค่เม็ดเดียวนี้ก็สามารถทำให้คนกลายเป็นอัมพาตได้ครึ่งร้อยแล้ว ส่วนวิธีการใช้ก็แค่บดให้เป็นผงแล้วโปรยไปในอากาศ ใครสูดดมเข้าไปย่อมกลายเป็นอัมพาตจนตกตาย อ่อ โอสถแก้พิษทั่วไปล้วนแก้พิษศิลาของข้าไม่ได้หรอกนะ” เฉินมู่อิ๋งบอก
คนอื่นๆ เบิกตาโตอย่างรู้สึกตะลึงกับสรรพคุณของโอสถชนิดนี้ พวกเขาจ้องมองซีห้าวที่กินโอสถแก้พิษเข้าไปแล้ว หากว่าโอสถแก้พิษของเขายังแก้พิษโอสถนี้ไม่ได้ โอสถนี้ก็ร้ายกาจยิ่งนัก พวกเขารอดูผลของโอสถแก้พิษอย่างใจจดใจจ่อเลยทีเดียว
เวลาผ่านไป ซีห้าวรู้สึกว่าพิษลามขึ้นมาเรื่อยๆ เขารู้สึกว่าขาทั้งสองข้างไร้ความรู้สึกไปแล้ว เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าโอสถแก้พิษของเขาใช้ไม่ได้ผลกับโอสถพิษศิลา เขาไม่ถลึงตาจ้องเจ้าของโอสถแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นชื่นชม “ดีๆๆๆ พิษของเจ้าแม้แต่โอสถแก้พิษของข้ายังแก้ไม่ได้ เป็นแค่โอสถเซียนระดับหนึ่งกลับร้ายกาจถึงเพียงนี้ ยอดเยี่ยมๆ”
แน่นอนว่าเขาดูระดับโอสถจากลายเส้นบนโอสถ มีลายเส้น 1 วงรอบ ก็คือระดับหนึ่ง มีลายเส้น 2 วงรอบก็คือระดับ 2 สูงสุดคือลายเส้น 9 วงถือเป็นระดับสูงสุด โอสถแก้พิษของเขามีลายเส้นถึง 5 วงยังไม่อาจแก้พิษโอสถระดับหนึ่งได้เลย อีกทั้งเขาสูดดมไปเพียงนิดเดียวเท่านั้นยังกลายเป็นอัมพาตได้ หากว่าสูดดมเข้าไปทั้งเม็ดเกรงว่าคงก้าวขาเข้าปากประตูยมโลกในทันทีเลยกระมัง
“พิษแพร่ขึ้นมาถึงเอวข้าแล้ว” เขาบอกน้ำเสียงตื่นเต้น แน่นอนว่าการบอกกล่าวนี้เป็นการบอกกล่าวพวกพ้องคนอื่นๆ ของเขา
“คุณชายโอหยาง หากว่าพิษแพร่ไปทั่วร่างแล้วจะเป็นอย่างไร?” ผู้ดูแลตลาดถาม เฉินมู่อิ๋งตอบ “แค่แพร่ไปถึงอกก็ทำให้หายใจไม่ได้แล้ว ไม่กี่อึดใจย่อมตายน่ะซิ หากปล่อยให้แพร่ไปถึงบ่าคนๆ นั้นก็ไร้ทางรอดแล้ว”
“โอ…” หลายคนอุทานอย่างตื่นเต้น ผู้ดูแลตลาดถามอีก “หากว่าแพร่ไปถึงอกแล้วได้รับโอสถแก้พิษทันล่ะ?”
“ก็ยังไม่ตาย” เฉินมู่อิ๋งตอบน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย ทำคนอื่นๆ อึ้งไป นึกไม่ถึงว่าจะตอบแบบ ‘กำปั้นทุบดิน’ เช่นนี้
“อึกๆ โอ…อึก…อึก…สถ” ซีห้าวเริ่มหายใจติดขัดจนพูดแทบไม่ออก เฉินมู่อิ๋งเอาโอสถแก้พิษศิลาเทออกมาจากขวดแล้วดีดใส่ปากที่อ้าพะงาบๆ ของซีห้าว ทำให้ซีห้าวร้องคำหนึ่ง “อุบ!”
เขาเห็นแค่บางสิ่งที่เล็กเท่าเม็ดถั่วเขียวพุ่งเข้าปากไป เมื่อสิ่งนั้นไหลลงสู่ลำคอก็ละลายกลายเป็นกระแสธารอุ่นในร่างของเขาแพร่กระจายไปทั่วร่างทำให้ความรู้สึกของร่างกายท่อนล่างค่อยๆ กลับคืนมาทีละนิด…ทีละนิด เขามองเจ้าของโอสถแซ่โอหยางคนนั้น ถามว่า “เมื่อครู่คือโอสถแก้พิษศิลารึ?”
“แน่นอน รึว่าท่านอยากตายล่ะ?” เฉินมู่อิ๋งย้อนถามน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย ซีห้าวสะอึกทีหนึ่งแล้วส่ายๆ หน้า “ไม่ๆ”
“ท่านติดค้างค่าโอสถแก้พิษของข้า 1 เม็ด รอให้จบงานประมูลแล้วโอสถแก้พิษประมูลได้เท่าไหร่ ท่านต้องจ่ายให้ข้าตามราคาประมูล” เฉินมู่อิ๋งบอก คนอื่นๆ ฟังแล้วรู้ทันทีว่า โอหยาง ผู้นี้เขี้ยวลากดินยิ่งนัก!
“หลังจากประมูลแล้วข้าจะหักค่าประมูล 20 ส่วนร้อย” ผู้ดูแลตลาดบอก เฉินมู่อิ๋งยกนิ้วส่ายๆ “โอสถของข้าล้ำค่าถึงเพียงนี้ ข้าแน่ใจว่าต้องมีคนอยากได้อีกแน่นอน ข้ายอมให้ท่านหักค่าประมูล 5 ส่วนร้อย หากไม่ตกลง ข้าก็ไม่เอาโอสถเข้าร่วมประมูล”
ทุกคนในที่นั้นล้วนผุดประโยคหนึ่งขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกันทันที ‘เขี้ยวลากดิน!’ คนๆ นี้เขี้ยวลากดินยิ่งนัก! พวกเขารู้ดีว่าหากโอสถชนิดนี้เผยโฉมออกไป ย่อมมีคนไม่น้อยสนใจอยากได้แน่นอน หากปล่อยให้โอสถนี้หลุดมือไปประมูลที่อื่น เกรงว่าพวกเขาจะพลาดกำไรมหาศาลน่ะซิ ผู้ดูแลตลาดคิดๆ แล้วพูดว่า “ข้ายอมให้ 5 ส่วนร้อยก็ได้ แต่ท่านจะต้องให้ข้าเป็นผู้เดียวที่ประมูลโอสถพิษศิลา ตกลงหรือไม่?”
“ได้ คราวหน้าหากท่านมาเปิดตลาดที่นี่อีกข้าจะส่งโอสถพิษศิลาเข้าร่วมประมูลอีก” เฉินมู่อิ๋งตกลง ผู้ดูแลตลาดยิ้มพอใจ ซีห้าวก็พูดขึ้นว่า “ขอโอสถแก้พิษศิลาด้วย”
เฉินมู่อิ๋งจึงยื่นขวดโอสถแก้พิษศิลาให้ “ในนี้มีโอสถแก้พิษอีก 49 เม็ด”
“อืม” ซีห้าวพยักหน้ารับรู้ รับขวดโอสถไปแล้วเทเม็ดโอสถใส่จาน เขามองเม็ดโอสถที่เล็กเท่าเม็ดถั่วเขียวพวกนั้น เห็นลายเส้นมีเพียงเส้นเดียวจึงรู้ว่าเป็นโอสถระดับ 1 ทั้งหมด
เขาเก็บโอสถใส่ขวดแล้วยื่นป้ายไม้ให้ “นี่เป็นป้ายลำดับ หลังจากจบการประมูลแล้วท่านนำป้ายลำดับนี้มารับค่าโอสถ ทางเราจะเตรียมหยกปราณฟ้าดินให้ท่านตามจำนวนค่าโอสถหลังหักค่าประมูลแล้ว”
“อืม” เฉินมู่อิ๋งรับป้ายไม้ที่สลักอักษรเลข 64 เอาไว้ เขาเก็บป้ายไม้อันนั้นใส่อกเสื้อแล้วหมุนตัวเดินออกจากกระโจมไป องครักษ์นอกกระโจมก็ผายมือเชิญคนอื่นต่อ “เชิญ”
คนที่รออยู่จึงก้าวเข้าไปในกระโจม นำสิ่งของไปเข้าร่วมการประมูล ส่วนเฉินมู่อิ๋งก็เดินไปนั่งที่เพิงน้ำชาแถวๆ นั้นรอเวลาเปิดประมูลสินค้า เขาไม่รู้ว่าโอสถของเขาจะประมูลได้สักเท่าไหร่ แต่ก็น่าจะมากพอที่เขาจะมีหยกไว้ใช้จ่ายบ้าง การไม่มี ‘เงินทอง’ ทำอะไรก็ติดขัดไปหมด ข้อนี้เขาเข้าใจดี หยกปราณฟ้าดินก็เป็นเหมือนเงินในโลกเซียน ดังนั้นเขาจึงต้องหาหยกปราณฟ้าดินให้มากๆ หน่อยจะจับจ่ายใช้สอยอะไรจะได้ไม่ติดขัดเหมือนอย่างตอนนี้ หยกปราณฟ้าดินที่เขายืมศิษย์พี่เลี่ยงมาก็เหลือแค่ 2 ก้อนแล้ว เขาอยากซื้อถุงฟ้าดินสักใบ แต่ราคาของถุงฟ้าดินก็แพงเอาเรื่องทีเดียว ถุงฟ้าดินที่มีพื้นที่ภายในระดับต่ำสุด 1 ตารางเมตรยังมีราคาถึง 1 พันหยกเชียวนะ ยิ่งมีพื้นที่กว้างมากเท่าไหร่ ราคายิ่งแพงมากขึ้นเท่านั้น
ที่เขาอยากได้ถุงฟ้าดินก็เพื่อเอามาปิดบังเรื่องที่เขามีแหวนคุนเฉียน หากคนอื่นเห็นว่าเขามีถุงฟ้าดินก็จะไม่เอะใจเรื่องที่เขามีแหวนคุนเฉียน แหวนคุนเฉียนเป็นของวิเศษที่เหนือกว่าถุงฟ้าดินมากนัก หากคนอื่นรู้ว่าเขามีแหวนคุนเฉียนย่อมต้องเกิดความโลภขึ้นแน่นอน ดังนั้นเขาจึงอยากซื้อถุงฟ้าดินสักใบ เอาไว้ใส่ของกระจุกกระจิกที่ไม่สำคัญนัก เพื่อตบตาคนอื่นๆ
เวลาผ่านไปจนกระทั่งคนของตลาดเริ่มตีฆ้องร้องป่าว “งานประมูลโอสถกำลังจะเริ่มแล้วๆ”
ผู้คนก็พากันทยอยไปยืนออรอบๆ เวทีทรงกลมยกพื้นสูงประมาณ 2 เมตร เฉินมู่อิ๋งก็ตามผู้คนไปด้วย เขายืนอยู่ในหมู่ผู้คนไม่ได้โดดเด่นเลย เรียกว่ากลืนไปกับฝูงชน เขามองไปรอบๆ เห็นคนของสำนักหมื่นดารายืนอออยู่ทางหนึ่ง แล้วก็มีคนของสำนักเทียนเต๋ากลุ่มหนึ่ง คนของสำนักซ่อนจันทร์กลุ่มเล็กๆ ห้าหกคนกลุ่มหนึ่ง คนของสำนักซ่อนจันทร์นี้เป็นที่จับตาของผู้คนยิ่งนักเพราะพวกนางล้วนมีรูปโฉมงดงาม สวมอาภรณ์สีเหลืองนวลเหมือนๆ กันหมด มีผ้าโปร่งสีเหลืองปิดใบหน้าเอาไว้ คนของสำนักเทียนเต๋าก็สวมอาภรณ์สีขาวสะอาดสะอ้านให้ความรู้สึกเหมือนเทพผู้สูงส่งเหนือผู้คน ส่วนสำนักหมื่นดาราพวกเขาสวมอาภรณ์หลากสีตามความชอบของแต่ละคน
บุรุษสวมชุดสีดำรูปร่างกำยำคนหนึ่งเดินขึ้นไปบนเวที เขามองผู้คนเบื้องล่างแล้วประกาศว่า “เริ่มการประมูลโอสถ ณ บัดนี้”
ผู้คนเบื้องล่างส่งเสียงฮือฮา บุรุษชุดดำบนเวทีพูดอีกว่า “โอสถเม็ดแรกคือ โอสถมายาระดับ 3”
มีสตรีคนหนึ่งถือถาดใส่ขวดโอสถเดินขึ้นไปบนเวที บุรุษชุดดำเทโอสถใส่จานให้ทุกคนได้เห็นเม็ดโอสถ
“อืม” ผู้คนเบื้องล่างส่งเสียงอย่างไม่ค่อยสนใจนัก โอสถมายานี้มีสรรพคุณคือช่วยให้นอนหลับดีขึ้น ทำให้คนที่กินเข้าไปหลับใหลอยู่ในความฝัน จึงเรียกว่าโอสถมายา มีคนหนึ่งชูมือแล้วเปิดประมูล “10 หยก”
“20 หยก” มีคนประมูลแข่ง
“25 หยก” มีคนเสนอราคาแข่ง บุรุษชุดดำบนเวทีมองกวาดไปรอบๆ ไม่เห็นมีใครชูมือเสนอราคาอีกเขาจึงผายมือไปทางบุรุษเฒ่าที่เสนอราคาสูงสุด 25 หยกคนนั้น “โอสถมายาเป็นของท่านแล้ว เชิญไปจ่ายค่าโอสถที่กระโจม”
บุรุษเฒ่าเดินแหวกผู้คนไปที่กระโจมข้างเวทีทันที สตรีที่ถือถาดใส่ขวดโอสถก็ลงจากเวทีแล้วเดินไปที่กระโจมหลังนั้นเช่นกัน
บุรุษชุดดำเอ่ยขึ้นว่า “ต่อไปเป็นโอสถบัวแดงระดับ 1”
สตรีคนหนึ่งก็ถือถาดใส่ขวดโอสถเดินขึ้นไปบนเวที บุรุษชุดดำเทโอสถใส่จานให้ทุกคนได้เห็นเม็ดโอสถอีกเช่นเดิม ซึ่งโอสถบัวแดงนี้มีสรรพคุณทำให้คนที่กินเข้าไปจะมีกลิ่นกายหอมกลิ่นบัวไปหลายเดือน โอสถชนิดนี้สตรีให้ความสนใจไม่น้อย แน่นอนว่าพวกนางย่อมอยากมีกลิ่นกายหอม เครื่องหอมต้องประพรมผิวทุกวัน แต่โอสถบัวแดงนี้กินเม็ดเดียวก็มีฤทธิ์อยู่ได้หลายเดือน