วันที่เริ่มเขียน 1 กุมภาพันธ์ 2550
เล่ห์ลีอา
Chapter 1 ลักพาตัว!
นาฬิกาเรือนใหญ่บนตึกสูงของมหานครนิวยอร์กบอกเวลาเที่ยงคืนเศษ
ณ หน้าร้านอาหารซีซ่าซึ่งเป็นร้านอาหารแบบอิตาเลียนอันมีชื่อเสียงโด่งดังของเมือง ผู้จัดการหนุ่มสุดหล่อของร้านผู้มีดวงตาสีน้ำทะเล ผมสีน้ำตาลสั้นยาวแค่ต้นคอ ผิวขาวสะอาด สูงหกฟุต กำลังยืนรอส่งแขกคนสุดท้ายในค่ำคืนนี้ขึ้นรถลีมูซีนคันหรูสีดำที่จอดรออยู่ด้านหน้าร้านชิดริมฟุตบาท
ภายในรถ พนักงานขับรถชายนั่งประจำที่คนขับ พร้อมด้วยชายร่างยักษ์รูปร่างสูงใหญ่หน้าตาดุดันผิวเข้มแต่งกายด้วยกางเกงสเลคสีดำกับเสื้อเชิ้ตสีขาวผูกเน็คไทสีดำทับด้วยสูทสีดำบ่งบอกว่าเป็นบอดิการ์ดยืนรอเปิดประตูรถอยู่ด้านข้าง
ชายหนุ่มมาดคมเข้มหล่อชนิดนายแบบดังของโลกก็ยังทาบไม่ติด เขามีรูปร่างสูงหกฟุตครึ่ง ใบหน้าคมคร้าม ผิวสีแทนคมเข้ม ดวงตาดำใหญ่ยาวรีดุดันนิดๆ จมูกโด่งเป็นสันสวยปลายงุ้มเล็กน้อยเหมือนปากเหยี่ยว ริมฝีปากรูปกระจับรับกับใบหน้า ผมดำยาวจรดกลางหลังรวบไว้ด้วยห่วงทองคำ สวมกางเกงยีนส์สีน้ำเงินซีดเผยให้เห็นช่วงขาใหญ่แข็งแรง กับเสื้อโปโลสีขาวเน้นให้เห็นกล้ามอกเป็นลอนสวยบ่งบอกถึงการออกกำลังกายเป็นประจำ ด้านหลังชายหนุ่มมีบอดิการ์ดอีกสองคนยืนประกบชายหนุ่มไว้ สอดส่ายสายตาเพื่อระวังภัยให้ชายหนุ่มผู้เป็นนายซึ่งกำลังจะเดินขึ้นรถลีมูซีนคันใหญ่ที่จอดรออยู่ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังก้าวเข้าไปในรถ
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!…
เสียงร้องเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังก้องลอยมากระทบโสตประสาทเมื่อพวกเขาหันไปมองที่มาของเสียง ก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างผอมบาง สูงประมาณห้าฟุตครึ่ง ผมสีอ่อนยาวเป็นลอนสวยเลยช่วงเอวลงมา ปอยผมยาวปรกหน้าทำให้ไม่เห็นใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้น เธอเดินมาตามทางเท้าด้วยท่าทางเร่งรีบ แสงไฟจากหลอดนีออนบนเสาไฟข้างทางส่องให้เห็นชุดที่หญิงสาวสวมใส่เป็นเดรสสั้นเกาะอกสีลาเวนเดอร์พลิ้วไหวแนบเรือนร่างยาวเหนือเข่าเล็กน้อย เผยให้เห็นช่วงขาเรียวยาวบนรองเท้าส้นสูงที่ส่งเสียงก้องตามจังหวะก้าวเดิน ในมือถือกระเป๋าใบเล็กใบหนึ่ง
ชายหนุ่มมองตามจังหวะก้าวเดินของหญิงสาวนางนั้นที่เดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เหล่าบอดิการ์ดของชายหนุ่มต่างจับตามองหญิงสาวคนนั้นอย่างระแวดระวังพร้อมกับมองไปรอบๆ บริเวณคอยระวังภัยตามหลักสูตรที่ได้รับการฝึกฝนมา
จนกระทั่งหญิงสาวนางนั้นถูกชนเกือบจะล้มลงกับพื้น เสียงหวานใสร้องอุทานด้วยความเจ็บปนตกใจ “อุ๊บบบบบ!!!!!”
ประสานกับเสียงของหญิงชราร่างใหญ่ “โอ้ยยยยย!!!!!”
หญิงชราร่างใหญ่ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่าปอนลักษณะคล้ายคนจรไร้บ้านซึ่งมีเกลื่อนมหานครนิวยอร์ก เดินพรวดพราดโผล่ออกมาจากซอยด้านข้างของร้านอาหารอย่างกะทันหันตัดหน้าหญิงสาวที่กำลังเดินผ่าน หญิงชราล้มลงบนพื้น ตุบ!
หญิงสาวเซถลานิดหน่อยแต่ยังทรงตัวไว้ได้ เมื่อเห็นหญิงชราถูกชนล้มลงไปกองอยู่บนพื้น เธอจึงทรุดตัวลงข้างๆ หญิงชราเอ่ยถามด้วยความห่วงใย เสียงหวานใสไถ่ถามหญิงชรารัวเร็วเป็นชุด “ขอโทษค่ะคุณป้า เจ็บตรงไหนบ้างคะ? ลุกไหวไหมคะ?”
“ป้าไม่เป็นไรมากหรอกจ้ะหนู เอ้อ…หนูช่วยพยุงป้าลุกขึ้นหน่อยนะ ป้าลุกเองไม่ค่อยไหวจ้ะ” หญิงชราตอบพร้อมกับยึดแขนของหญิงสาวพยุงตัวลุกจากพื้น พร้อมกับอาศัยจังหวะที่หญิงสาวช่วยพยุงตัวเองยืนขึ้นล้วงสเปรย์ที่ซุกซ่อนเอาไว้ในมือฉีดใส่ใบหน้าของหญิงสาว ฟู่!
“อุ้ย! อะไรกันเนี่…” หญิงสาวอุทานไม่ทันจบประโยคก็หมดสติทันที
“ฮู่!” หญิงชรารับร่างของหญิงสาวที่หมดสติด้วยด้วยฤทธิ์สเปร์ยยาสลบกำลังจะล้มลง เธอโอบประคองหญิงสาวร่างบางไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับโบกมือส่งสัญญาณให้กับพรรคพวกที่รอคอยอยู่
ลึกเข้าไปในซอยเปลี่ยวไร้ผู้คนด้านข้างร้านอาหารอิตาเลียนซอยเดียวกับที่หญิงชราเดินออกมา ชายกลุ่มหนึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าปิดมิดชิด ปกปิดใบหน้าด้วยหมวกไหมพรมสีดำ เห็นเพียงดวงตา นั่งรออยู่ในรถตู้สีดำติดฟิล์มทึบ จอดติดเครื่องยนต์อยู่อย่างเงียบๆ
เมื่อเห็นหญิงชราฉีดสเปรย์ใส่หญิงสาว ก็รีบเคลื่อนรถตู้มาจอดเทียบข้างหญิงชราและหญิงสาวทันที
ชายหนุ่มรูปหล่อหน้าร้านอาหารอิตาเลียนเห็นเหตุการณ์ลักพาตัวเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา จึงสั่งบอดิการ์ดสั้นๆ “ช่วยผู้หญิงคนนั้นเร็ว!”
“แต่ว่าฝ่า…” บอดิการ์ดผู้มีอาวุโสมากที่สุดเอ่ยแย้งด้วยกลัวว่าจะเป็นแผนร้ายจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายต่างๆ ที่หมายจ้องจะสังหารเจ้านายของเขา แต่เมื่อเจอสายตาดุดันพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจของผู้เป็นนาย บอดิการ์ดนายนั้นจึงหุบปากทันทีพร้อมกับทำตามความประสงค์ของผู้เป็นนายโดยไม่รอช้า แต่ก็ยังช้ากว่าผู้เป็นนายที่ชักปืนออกจากซองข้างเอวยิงใส่กลุ่มโจรลักพาตัว “ปุ! ปุ! ปุ!”
“เฮ้ยยยยย!!!!!” กลุ่มโจรร้ายร้องอุทานด้วยความตกใจ พร้อมกับหันไปมองที่มาของกระสุนสามนัดที่ฝังลงไปบนประตูรถ เฉียดชายสองคนที่กระโดดลงจากรถเพื่อรับตัวหญิงสาวในอ้อมแขนของหญิงชรา ทำให้พวกนั้นชะงักทันควัน
เมื่อเห็นว่ากระสุนปืนมาจากชายกลุ่มหนึ่งที่หลบอยู่ด้านข้างของรถลีมูซีนคันใหญ่จอดอยู่หน้าร้านอาหารอิตาเลียน และอีกหลายกระบอกกำลังเล็งมาทางพวกตน แถมปากกระบอกปืนแต่ละกระบอกยังสวมที่เก็บเสียงไว้อีกด้วย
เมื่อถูกขัดขวาง พวกนั้นจึงตะโกนสั่งหญิงชราเป็นภาษาอาราบิคว่า “ทิ้งผู้หญิงไว้! รีบไปเร็ว!”
“ไม่ได้! ต้องพาเธอไปให้ได้” หญิงชราค้านเสียงแข็งด้วยภาษาเดียวกัน
“พาไปไม่ได้ ไม่รู้ว่าพวกมันเป็นใคร พวกมันมีอาวุธอยู่ในที่กำบัง เราเสียเปรียบนะ!” เสียงเดิมตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม
ทำให้หญิงชราละล้าละลังเพราะต้องการพาจะหญิงสาวไปด้วยให้ได้ หนึ่งในกลุ่มโจรคนหนึ่งจึงผลักหญิงสาวในอ้อมแขนของหญิงชราลงบนพื้นแล้วคว้าแขนหญิงชราฉุดขึ้นรถหนีไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อกลุ่มโจรลักพาตัวจากไปโดยทิ้งหญิงสาวเอาไว้ ชายหนุ่มเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงยืนขึ้นแล้วเก็บปืนใส่ซองข้างเอวเอาไว้ดังเดิมพร้อมกับมองไปทางหญิงสาวที่ถูกทิ้งไว้
“ซาอิดไปพาเธอมาซิ มาลิกนายรีบไปสำรวจดูยังมีพวกมันอยู่อีกรึเปล่า” เสียงห้าวกังวานของชายหนุ่มตะโกนสั่งบอดิการ์ดของตน แล้วหันไปบอกกับผู้จัดการหนุ่มซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยโคลัมเบียด้วยกัน ซึ่งแอบอยู่หลังเสาข้างประตูร้าน “มิทซ์โผล่หัวออกมาได้แล้ว พวกมันไปกันหมดแล้ว”
มิทซ์ผู้จัดการร้านอาหารซีซ่า ตั้งแต่เห็นชายหนุ่มชักปืนยิงใส่เหล่าโจรลักพาตัวก็กระโจนเข้าไปแอบหลังเสาข้างประตูร้านพร้อมกับลูกจ้างของร้านที่ยืนรอส่งชายหนุ่มขึ้นรถอยู่หน้าร้านด้วยกันอย่างว่องไวยิ่งกว่าลิง
ส่วนลูกน้องในร้านไม่ต้องสั่งความกันมากเพียงแค่เห็นผู้จัดการหนุ่มรีบหลบหลังเสาเท่านั้นแหละ พวกเขาก็รีบหลบทันทีเพราะร้านซีซ่ามีแขก VIP มาใช้บริการเป็นประจำ เหตุลอบฆ่าลอบสังหารจึงมีให้พวกเขาได้ตื่นเต้นเสมอ
ผู้จัดการสุดหล่อค่อยๆ โผล่หน้าออกมามองเมื่อได้ยินเสียงรถวิ่งออกไป เมื่อเห็นเหตุการณ์สงบแล้วจึงค่อยๆ เดินมาสมทบกับชายหนุ่ม
“โอ้! ขอบคุณพระเจ้า ผมนึกว่าจะได้ไปหาท่านเร็วๆ ซะแล้ว ขอบคุณที่ยังไม่อยากเห็นหน้าตาอันหล่อเหลาบาดใจนางฟ้าของผม โอ้! ขอบพระคุณท่านมากครับ” เสียงห้าวอารมณ์ดีที่เอ่ยขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าของผู้จัดการหนุ่มทำให้ทุกคนที่อยู่ใกล้ๆ หัวเราะไปตามๆ กัน
“มิทซ์แต่ถ้านายยังไม่หุบปาก ฉันจะส่งนายไปเฝ้าพระเจ้าเร็วๆ” ชายหนุ่มบอกเพื่อนรักด้วยความหมั่นไส้ในความอารมณ์ดีเกินใครของผู้จัดการหนุ่มปากมาก
“หึ!” มิทซ์จึงส่งค้อนให้ชายหนุ่มไปหลายๆ ที พร้อมกับเอ่ยถามชายหนุ่มอย่างจริงจัง “อิสมินพวกมันเป็นใครกันน่ะ? แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? มาเดินอยู่ข้างถนนคนเดียวดึกๆ ดื่นๆ ทำไม? พวกมันเป็นศัตรูของนายรึเปล่า?”
คำถามเป็นชุดจากปากของผู้จัดการหนุ่มทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าอิสมินเกิดความเบื่อหน่ายในความปากมากของผู้จัดการหนุ่มอีกรอบ “เฮอะ!”
ซาอิดเดินไปอุ้มหญิงสาวจากพื้นฟุตบาทพาเข้าไปด้านในของร้านอาหาร
มิทซ์จึงรีบเดินตามไปสั่งการกับพนักงานในร้านทันที ชี้นิ้วไปที่โซฟารับแขกชุดใหญ่ที่มีโต๊ะกระจกวางขวางอยู่ “เอ้า! เอาโต๊ะออกเร็ว อย่ามัวยืนทื่อกันอยู่ซิ ซาอิดนายพาผู้หญิงคนนั้นมาไว้ที่โซฟาก่อน ส่วนนายโทรเรียกตำรวจที อย่ามัวชักช้า ว่องไวกันหน่อยซิ”
มิทซ์บอกกับบอดิการ์ดร่างยักษ์ที่อุ้มหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนเรียกอย่างคุ้นเคยก่อนจะหันไปสั่งกับพนักงานอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้กับโทรศัพท์ แต่ยังไม่ทันที่พนักงานคนนั้นจะโทรศัพท์ตามคำสั่งของผู้จัดการ ชายหนุ่มที่เดินตามบอดิการ์ดของตนเข้ามาก็ขัดขึ้นก่อน “ไม่ต้องโทรหรอก โทรไปก็เสียเวลา แล้วถ้าข่าวรั่วไปถึงหูพวกนักข่าว คงละเลงข่าวกันใหญ่โต จะทำให้เสียชื่อร้านซะเปล่าๆ”
“งั้นก็ได้” ผู้จัดการหนุ่มจึงพยักหน้ารับคำสั่งของชายหนุ่ม แล้วจึงหันไปสั่งพนักงานทันที “ไม่ต้องโทรแล้ว ไปหยิบมาตินนี่มาแล้วกัน อ้อ! แล้วบอกทุกคนด้วยว่าให้ปิดปากให้สนิทล่ะ ถ้าฉันรู้ว่าเรื่องในคืนนี้รั่วไหลไปถึงหูคนนอกจากใครล่ะก็…คงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้นน่ะ”
สั่งเสร็จแล้วก็เดินมายืนอยู่ด้านหลังของชายหนุ่มซึ่งยืนดูบอดิการ์ดของตนกำลังวางหญิงสาวลงบนโซฟายาว ปากก็บ่นพึมพำถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่หยุด “ให้ตายเถอะ……….”
ซาอิดวางหญิงสาวลงบนโซฟา เมื่อเจ้านายของตนโบกมือให้ถอยห่างออกไปเพื่อจะได้เห็นหญิงสาวชัดตา เขาก็รีบถอยห่างออกมาทันที
ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งข้างๆ หญิงสาวพร้อมกับรับสูทตัวยาวที่ผู้จัดการหนุ่มยื่นให้คลุมร่างหญิงสาวเอาไว้กันประเจิดประเจ้อ แล้วเอื้อมมือไปปัดปอยผมสีบรอนซ์ที่ปรกหน้าของหญิงสาวออก เผยให้เห็นดวงหน้างดงามไร้เครื่องสำอางใดๆ แต่งแต้มเอาไว้ ชายหนุ่มถึงกับตะลึงในความงดงามของหญิงสาว
“โอ้! มิสมิยาโบวิทซ์นี่หว่า! เธอเป็นอะไรมากป่ะ? เธอจะตายรึเปล่าอิสมิน?” เสียงห้าวอุทานสูงปรี๊ดจากผู้จัดการหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้าม ทำให้ชายหนุ่มนามอิสมินหันไปมองอย่างรำคาญก่อนจะตอบ “จากที่เห็นเธอแค่สลบไปเท่านั้นเอง คงไม่เป็นอะไรมากหรอก อีกซักพักเธอก็ตื่นเองแหละ มิทซ์นายรู้จักผู้หญิงคนนี้เหรอ?” อิสมินถามพร้อมกับขมวดคิ้วนิดๆ ด้วยความสงสัย
มิทซ์จึงรีบอธิบายทันที “เอ่อ…คือมิสมิยาโบวิทซ์เป็นแขกที่มากินข้าวกับองค์อัมมาน* พ่อของนาย ก่อนที่นายจะมาที่ร้านน่ะ นายไม่รู้จักเธอรึ?”
*(กษัตริย์อัมมาน อัลลา ซาลาฮาดีน พระประมุขผู้ปกครองประเทศเอจา ประเทศเล็กๆ ในตะวันออกกลางที่ร่ำรวยไปด้วยน้ำมัน)
คำอธิบายพร้อมคำถามจากเพื่อนรักทำให้คิ้วเข้มของเจ้าชายอิสมินซึ่งมีฐานันดรศักดิ์เป็นเจ้าชายรัชทายาทของประเทศเอจาพระโอรสพระองค์เดียวของกษัตริย์อัมมานและราชินีชารีน่าขมวดยิ่งขึ้น พร้อมกับถามย้ำว่า “แขกของเสด็จพ่อ?”
สำหรับเจ้าชายอิสมิน อัลลา ซาลาฮาดีน ผู้หวงพระบิดาดั่งจงอางหวงไข่ตั้งแต่ทรงสูญเสียพระมารดาราชินีชารีน่า อัลลา ซาลาฮาดีนไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อตอนพระองค์อายุเพียง 7 ปี การพบกันระหว่างพระบิดาของพระองค์เองกับหญิงสาวสวยงดงามที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ย่อมสร้างความสงสัยให้เจ้าชายอิสมินยิ่งนัก
“ใช่แล้วล่ะ อ้าว นี่นายไม่รู้รึว่าพ่อนายนัดกินข้าวกับผู้หญิงคนนี้น่ะ? ฉันเห็นพ่อนายสนิทสนมกับเธอมากๆ เลยนะ เป็นไปได้ยังไงกันที่นายไม่รู้จักเธอ?” มิทซ์รีบตอบแล้วถามทันทีเมื่อเห็นเจ้าชายอิสมิน อัลลา ซาลาฮาดีน ซึ่งเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาโคลัมเบียทำท่าว่าไม่รู้จักหญิงสาวคนนี้
สายตาของเจ้าชายอิสมินจับจ้องหญิงสาวที่นอนสลบหลับใหลไม่ได้สติบนโซฟายาวอีกครั้งอย่างพินิจพิจารณา แขกสาวสวยของพระบิดามีรูปร่างแบบบางผิวขาวผุดผ่องอมชมพูเนียนละเอียดอย่างไม่เคยต้องแสงแดด ผมบรอนซ์ยาวสลวยแผ่สยายเต็มหมอนอิงที่หนุนศีรษะเอาไว้ ใบหน้างดงามดั่งจิตกรฝีมือเอกของโลกปั่นแต่งยังไม่งดงามเท่า คิ้วโค้งดั่งคันศร ดวงตาหลับพริ้มละไม จมูกโด่งงดงาม ริมฝีปากบางสีแดงสดดั่งกลีบกุหลาบ แก้มแดงระเรื่อด้วยเลือดฝาดเป็นสีชมพูจางๆ ตามธรรมชาติ
เจ้าชายอิสมินมองหญิงสาวอย่างครุ่นคิดเพราะรู้สึกคุ้นหน้าหญิงสาว แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยพบหญิงสาวคนนี้ที่ไหน ก็สาวงามขนาดนี้ ไม่มีทางที่พระองค์ผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศจะจดจำไม่ได้ ต่อให้พบกันเพียงครั้งเดียวก็ย่อมจำได้แม่นยำ
เขาหันไปสบตากับเพื่อนรักรักแล้วตอบด้วยสายตาดุๆ “ฉันรู้แต่ว่าเสด็จพ่อมีนัดดินเนอร์กับซีอีโอไฮเทคคอร์ป* แล้วฉันก็ไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้เลย ไม่เคยเห็นเธอมาก่อนด้วย ถ้าฉันเคยพบกับเธอฉันต้องจำได้ซิ เสด็จพ่อไม่ได้นัดไว้กับซีอีโอของไฮเทคคอร์ปหรอกรึ? เพราะวันนี้ท่านมีนัดดินเนอร์กับซีอีโอของไฮเทคคอร์ปนะตามที่ฉันได้ยินมาน่ะ มิทซ์นายเล่ามาให้ละเอียดนะ เอาแต่เนื้อๆ นะ น้ำไม่ต้อง!”
*(ไฮเทคคอร์ปเป็นกลุ่มบริษัทคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีดาวเทียมชั้นนำที่ล้ำสมัยที่สุดในขณะนี้)
มิทซ์สบตาดุๆ จึงรีบเล่าให้ฟังโดยเร็ว “คือพ่อนายมาที่ร้านตั้งแต่ก่อนหกโมงเย็น ขอใช้ห้องไดมอน* บอกว่ามีนัดกับมิสมิยาโบวิทซ์ตอนหกโมงเย็น สั่งให้ฉันเตรียมอาหารให้ แล้วพอซักหกโมงตรงมิสมิยาโบวิทซ์เธอก็มาที่ร้าน ขอพบกับพ่อนายตามนัด พอมิสมิยาโบวิทซ์เข้าไปพบพ่อนายแล้ว ท่าทางสนิทสนมกันมากเลยล่ะ ฉันกะพวกพนักงานคนอื่นๆ ก็ถูกระเห็จออกมานอกห้องจนทุ่มตรงถึงได้ให้ฉันยกอาหารเข้าไปได้ แล้วพอสองทุ่มพ่อนายรับประทานเสร็จแล้วมิสมิยาโบวิทซ์เธอก็กลับไป หลังจากมิสมิยาโบวิทซ์กลับไปแล้วนายก็มาถึงตอนสองทุ่มครึ่ง แล้วพ่อนายไม่ได้บอกรึว่าท่านนัดกับมิสมิยาโบวิทซ์น่ะ?”
*(ห้องอาหารส่วนตัวห้องหนึ่งในร้านอาหารซีซ่า แยกเป็นสัดส่วน ตกแต่งหรูหรา สำหรับแขกที่ต้องการความเป็นส่วนตัว)
คำบอกเล่าของเพื่อนรักทำให้เจ้าชายอิสมินยิ่งมีหน้าตางุนงงมากขึ้นไปอีก เขาถามเพื่อนรักปากมากอีกครั้ง “แล้วซีอีโอของไฮเทคคอร์ปล่ะไม่ได้มาที่นี่หรอกรึ?”
“ฉันไม่เห็นซีอีโอไฮเทคคอร์ปเลยนะ นอกจากมิสมิยาโบวิทซ์นี่แหละที่กินข้าวกับพ่อนายน่ะ แต่เรื่องอื่นเกี่ยวกับมิสมิยาโบวิทซ์ฉันไม่รู้หรอก เพิ่งจะได้พบเธอก็วันนี้แหละ ฉันก็เลยไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร? บ้านช่องห้องหออยู่ที่ไหน? ทำงานอะไร? แต่งงานหรือยัง? อันนี้ฉันว่าคงยังนะเพราะที่นิ้วนางของเธอยังว่างอยู่ แต่เธอไม่ใช่ซีอีโอของไฮเทคคอร์ปแน่ๆ เพราะฉันรู้จักกับซีอีโอของไฮเทคคอร์ปน่ะซิ ซีอีโอของไฮเทคคอร์ปน่ะเป็นตาแก่เรื่องมากจู้จี้จุกจิก ขอแถมนิดนึงหัวล้านมันเลื่อมสะท้อนแสงอาทิตย์แสบตายิ่งกว่ากระจกซะอีก ชอบมากินข้าวที่ร้านฉันบ่อยๆ เรื่องอื่นถ้านายอยากรู้ก็ไปถามพ่อนายเอาเองเถอะ” มิทซ์ตอบย้ำพร้อมอธิบายยืดยาว
“ซีอีโอไฮเทคคอร์ปฉันก็รู้จักโว้ย! ฉันต้องถามพ่อชั้นแน่ๆ แต่ไม่ใช่คืนนี้ เพราะดึกดื่นป่านนี้เสด็จพ่อคงจะหลับไปแล้ว และอีกอย่างพรุ่งนี้เช้าเสด็จพ่อก็จะกลับเอจาตั้งแต่เช้า ก็คงต้องรอถามเอาวันหลังแหละ” เจ้าชายอิสมินตอบเพื่อนรัก แล้วก็ครุ่นคิดเมื่อได้ฟังคำอธิบายอย่างละเอียดจากเพื่อนรัก นอกจากชื่อของหญิงสาวผู้เป็นแขกปริศนาของพระบิดาก็ไม่มีข้อมูลอื่นที่จะทำให้ทราบเกี่ยวกับเจ้าหล่อนเลย เขาจึงหันไปถามเหล่าองครักษ์ทันที “พวกนายพอจะรู้ไหมว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร?”
ถามแล้วก็มองไล่เรียงเหล่าองครักษ์ทีละคน แต่ก็ไม่มีใครซักคนให้คำตอบได้
เหล่าองครักษ์ต่างก็มีสีหน้างุนงงไม่แพ้กันก่อนจะตอบอย่างจนปัญญา “พวกเราไม่ทราบครับ”
แล้วสายตาของเจ้าชายหนุ่มก็สะดุดเข้ากับกระเป๋าถือใบเล็กดีไซน์เก๋ไก๋สีเดียวกับชุดของหญิงสาวในมือขององครักษ์นายหนึ่ง
“ราอูลเอากระเป๋ามาดูซิ”
เขาสั่งแล้วยื่นมือไปรับมาแล้วเปิดออกเทสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋าใบเล็กลงบนโต๊ะใกล้ตัว ในกระเป๋าใบน้อยมีเพียงโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กดีไซน์เรียบง่ายสีเงินแต่ราคาไม่เล็กหนึ่งเครื่อง เงินสดจำนวนหนึ่ง เครดิตการ์ดหนึ่งใบของธนาคารแห่งหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งมีชื่อเสียงมากทางด้านเป็นแหล่งเก็บทรัพย์สินของมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยทั้งหลายของโลก และก็เป็นหนึ่งในธนาคารที่ราชวงศ์อัลลา ซาลาฮาดีนแห่งเอจา ใช้บริการเป็นประจำ กับคีย์การ์ดโรงแรมแกรนด์เอจา*หนึ่งใบ
*(โรงแรมหรูห้าดาวหนึ่งในธุรกิจส่วนตัวของเจ้าชายอิสมิน อัลลา ซาลาฮาดีน)
มือใหญ่จับโทรศัพท์มือถือเครื่องน้อยพลิกไปมา แต่ไม่สามารถกดดูได้เพราะถูกเข้ารหัสไว้ จึงหยิบเครดิตการ์ดขึ้นมอง บนเครดิตการ์ดพิมพ์ชื่อเจ้าของบัตรเอาไว้ว่า ‘Ms. LeA Miyabovitz’ (LeA อ่านว่า ลีอา)
จึงส่งเครดิตการ์ดให้กับองครักษ์แล้วสั่งว่า “ซาอิดนายดูชื่อบนเครดิตการ์ดนี่แล้วหาประวัติของเธอมา ฉันอยากรู้ว่าเธอเป็นใคร”
“ครับ” หัวหน้าองครักษ์ซาอิดรับเครดิตการ์ดจากเจ้าชายอิสมินมาดูพร้อมกับล้วงเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปเครดิตการ์ดใบนั้นแล้วจึงส่งคืนให้กับเจ้านาย เจ้าชายอิสมินรับเครดิตการ์ดคืนจากองครักษ์แล้ววางไว้ตามเดิม แล้วหยิบคีย์การ์ดโรงแรมแกรนด์เอจาขึ้นมอง
“เอ่อ…ฉันว่ามิสมิยาโบวิทซ์คงจะพักอยู่โรงแรมของนายมั้ง?” เสียงมิทซ์แทรกขึ้นเมื่อเห็นคีย์การ์ดในมือของเพื่อนรัก
คิ้วเข้มที่ขมวดเป็นปมก็ค่อยๆ คลายออกพร้อมกับความคิดที่แล่นวาบขึ้นมาทันควัน จึงหันไปสั่งมิทซ์และเหล่าองครักษ์อย่างรวดเร็ว “เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้อย่าให้รั่วไหลไปถึงหูคนนอกนะ เข้าใจใช่ไหม?”
“ครับ”
“ได้ตามที่นายต้องการเลยครับคุณเจ้าชาย”
เสียงประสานจากเหล่าองครักษ์และมิทซ์ขานรับคำสั่งทันที แล้วมิทซ์ก็หันไปกำชับพนักงานคนอื่นตามความประสงค์ของเพื่อนรักอย่างรวดเร็ว “พวกนายต้องรูดซิปปากให้ดีๆ ล่ะ”
เขาสั่งพลางทำท่ารูดซิปปากไม่พอ ยังทำท่านิ้วปาดคอขู่อีกด้วย ทำให้พวกพนักงานพากันพยักหน้าหงึกๆ “ครับๆ”
เจ้าชายอิสมินส่งสายตาดุๆ ให้เพื่อนรักก่อนจะเก็บสรรพสิ่งที่เทออกมาลงกระเป๋าใบน้อยตามเดิมแล้วส่งให้องครักษ์รับไป
เจ้าชายอิสมินมองหญิงสาวอีกครั้งแล้วช้อนร่างบางงดงามไว้ในอ้อมแขน อุ้มเธอขึ้นมาแล้วเดินไปยังลีมูซีนคันหรูอย่างรวดเร็วทำให้องครักษ์ที่ยืนอารักขาอยู่ใกล้ๆ ต้องวิ่งตามโดยเร็ว
“เฮ้ยยยยย!!!!!! แล้วนั่นนายจะทำอะไรน่ะ? นายจะพามิสมิยาโบวิทซ์ไปไหน?” มิทซ์รีบวิ่งตามมาถามอยู่ข้างรถ หน้าตาเลิ่กลั่กกับการกระทำของเพื่อนรัก
เจ้าชายอิสมินวางร่างบางงดงามของหญิงสาวบนเบาะที่นั่ง จัดท่านอนและเสื้อผ้าคลุมทับด้วยสูทที่ห่มให้เมื่อครู่ให้เรียบร้อยแล้วจึงก้าวเข้าไปนั่งในรถเคียงข้างหญิงสาวซึ่งยังไม่มีท่าทีว่าจะตื่นจากหลับใหลเลยซักนิด เขาหันไปตอบคำถามของเพื่อนรัก “ฉันจะพาเธอกลับไปโรงแรมกับฉันน่ะซิ ก็ในเมื่อนายคิดว่าเธอพักที่นั่นอยู่แล้ว ฉันก็พาเธอไปด้วย นายจะได้ไม่ต้องเสียเวลาหาที่อยู่ของเธอแล้วพาเธอไปส่งยังไงล่ะ ไม่ดีรึไง?”
มิทซ์จ้องหน้าเพื่อนรักแล้วถามเบาๆ หรี่ตามองเพื่อนรักอย่างไม่ไว้วางใจ เพราะความเป็นคาสโนว่าของเพื่อนรักติดอันดับต้นๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ “พาเธอไปส่งแน่นะ? แล้วนายไม่ไปหาเอ?…ชื่ออะไรน้า?…คนล่าสุดของนายน่ะ? ฉันก็จำชื่อไม่ได้ด้วยซิ นัดกันไว้ไม่ใช่เหรอ?”
เจ้าชายอิสมินไม่ตอบคำถามของเพื่อนรักปากมากเพียงยักคิ้วให้แล้วเซย์กูดไนท์ “กูดไนท์มิทซ์ ยืมสูทของนายไปก่อนนะ พรุ่งนี้ฉันค่อยให้คนเอามาคืน เจอกันพรุ่งนี้นะ บ๊าย บาย”
“กูดไนท์อิสมิน แล้วคุยกับเธอดีๆ ล่ะ เธอเป็นใครยังไม่รู้แต่ท่าทางพ่อนายจะให้เกียรติเธอมากนะ เดี๋ยวนายโดนพ่อยำเละแล้วจะหาว่าฉันไม่เตือนไม่ได้นะ” มิทซ์เซย์กูดไนท์ตอบพร้อมทั้งเตือนเพื่อนรักซึ่งมีท่าทีไม่ค่อยถูกชะตาหญิงสาวมากเพราะเจ้าหล่อนดันเข้ามาเกี่ยวข้องกับพระบิดาของผู้เป็นเพื่อนรัก
Chapter 2 อุ้มกลับไปด้วย!
แม้ตัวเขาเองจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร เกี่ยวข้องกับองค์อัมมานยังไง ถึงขนาดที่ตนเองและพนักงานในร้านถูกเชิญออกมานอกห้องช่วงระยะเวลาหนึ่ง และมิทซ์รู้ดีว่าเพื่อนรักนั้นหวงพ่อเป็นที่สุด จนทำให้องค์อัมมานยังไม่แต่งงานใหม่อีกเลยตั้งแต่ราชินีชารีน่าสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ผู้เป็นเพื่อนรักอายุได้เพียง 7 ปี ด้วยรักและตามใจลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเป็นที่สุดที่ไม่อยากมีแม่เลี้ยง
ก่อนที่รถจะเคลื่อนออกไปผู้จัดการหนุ่มหล่อทิ้งท้ายยั่วอารมณ์ของเพื่อนรักเล็กๆ น้อยๆ ก่อนจากกันว่า “อ่อ…ฉันลืมเล่าไปอีกเรื่องหนึ่ง พ่อนายสนิทสนมกับมิสมิยาโบวิทซ์ขนาดไหนชั้นไม่รู้นะ แต่ที่รู้ๆ พ่อนายเรียก First name ของเธอนะ ไม่ได้เรียก Last name เลย แถมเวลานั่งคุยกันก็จับมือถือแขนกันอยู่ตลอดเวลา เวลากินพ่อนายก็คอยตักอาหารเอาอกเอาใจเธอสารพัด มีป้อนกันด้วยนะ นี่ถ้าไม่ติดว่าฉันกะลูกน้องคอยบริการอยู่ล่ะก็…สงกะสัยว่าพ่อนายคงป้อนด้วยปากแหงๆ แล้วเวลาคุยกันก็มีกระซิบกระซาบกันด้วย เห็นมิสมิยาโบวิทซ์กระซิบข้างหูพ่อนายทีไร ท่านก็หัวเราะลั่นทีเดียว ส่งสายตากันหวานหยดย้อยจนมดที่ร้านฉันมันอิ่มน้ำตาลไปเป็นปีๆ แน่ พ่อนายก็ใช่ย่อย ทั้งหอมแก้ม ทั้งจูจุ๊บ ทั้งกอด โอ้ย! ขี้เกียจจะเล่าแล้ว ขืนเล่าต่อเดี๋ยวน้องชายฉันมันชักธงรบ เอาเป็นว่าเธอสนิทสนมกับพ่อนายม๊าก…มาก สันนิษฐานได้ว่าน่าจะสนิทสนมกันแทบทุกรูขุมขนเลยก็ว่าได้ จบการรายงานข่าวแล้วว่ะ”
เจ้าชายอิสมินส่งสายตาดุดันให้เพื่อนรักทำนองว่าฝากไว้ก่อนเถอะ! แล้วสั่งกับพนักงานขับรถเสียงเฉียบขาด “กลับโรงแรม!”
พนักงานขับรถรีบทำตามความประสงค์ทันทีเพราะรู้ว่าคนสั่งอารมณ์เสียมากๆ ถึงมากที่สุด!
เมื่อรถลีมูซีนคันใหญ่เคลื่อนพ้นหน้าร้านไปแล้วผู้จัดการหนุ่มหล่อก็หัวเราะลั่นด้วยความสุขใจที่ยั่วอารมณ์เพื่อนรักได้ พึมพำเบาๆ ก่อนเดินเข้าไปจัดการดูแลความเรียบร้อยภายในร้านต่อไป “อิสมินเอ้ย…ฉันว่าอีกหน่อยคงมีข่าวพ่อนายอภิเษกเร็วๆ นี้แน่ แล้วไอ้ลูกแหง่หวงพ่ออย่างนายจะทำยังไงนะ? งานนี้สนุกแน่ๆ เลยวุ้ย”
เจ้าชายอิสมินมองหญิงสาวข้างกายแล้วสั่งองครักษ์ “พวกนายไปหามาว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร? เกี่ยวข้องกับเสด็จพ่อยังไง? แล้วพวกที่มาลักพาตัวเธอเป็นใคร? พวกมันต้องการอะไร? รีบๆ หามาให้ได้เร็วๆ แล้วเรียกหมอให้มาดูอาการของเธอด้วยนะ เตรียมห้องรับรองแขกไว้ให้เรียบร้อยด้วยล่ะ”
“ครับ” ซาอิดซึ่งเป็นหัวหน้าองครักษ์รับคำสั่งแล้วก็หันไปสั่งองครักษ์คนอื่นๆ ให้เร่งหาข่าวจากเครื่องมือสื่อสารไฮเทคล้ำสมัยที่มีอยู่ในรถตามคำสั่งของผู้เป็นนาย
เจ้าชายอิสมินมองหญิงสาวข้างกายโดยไม่ละสายตา
“เอ่อ…ให้ผมพาคุณผู้หญิงกลับโรงแรมเองเถอะครับ ท่านมีนัดกับคุณอิซาเบลล่าไม่ใช่หรือครับ?” หัวหน้าองครักษ์ซาอิดอาสาจะพาหญิงสาวกลับโรงแรมแทน เพราะรู้ว่าเจ้าชายนัดกับนางแบบสาวอิซาเบลล่า เบอร์บิท เอาไว้ ซึ่งกับนางแบบสาวคนนี้เจ้าชายควงคู่ออกงานด้วยกันบ่อยๆ ในระยะนี้ สนิทสนมกันจนถึงขั้นที่นางแบบสาวคนสวยมานอนค้างอ้างแรมกับเจ้าชายอิสมินที่โรงแรมอยู่บ่อยๆ จนเป็นข่าวซุบซิบไปทั่วว่าเธออาจจะได้เป็นว่าที่พระชายาของเจ้าชายอิสมิน
“ช่างอิซาเบลเถอะ ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะเจอใครแล้ว ผมจะคอยให้ผู้หญิงคนนี้ฟื้นขึ้นมา แล้วผมจะได้ถามเธอให้หายสงสัย ว่าเธอเป็นใคร? เกี่ยวข้องอะไรกับเสด็จพ่อ? มิทซ์ถึงได้กระเด็นออกมาจากห้องได้ ปกติแม้เสด็จพ่อจะใช้ร้านของมิทซ์เป็นที่นัดพบกับใครๆ มีความสำคัญ หรือใหญ่โตขนาดไหน? มิทซ์ก็จะต้องคอยดูแลความเรียบร้อยอยู่กับเสด็จพ่อตลอดทุกครั้ง ไม่เคยมีซักครั้งที่จะให้มิทซ์และพนักงานคนอื่นๆ ออกจากห้องเหมือนอย่างวันนี้เลย วันนี้เสด็จพ่อมีความลับอะไรถึงขนาดที่มิทซ์จะรู้ไม่ได้นะ? แล้วยังเรื่องที่ซีอีโอของไฮเทคคอร์ปไม่ได้มาพบกับเสด็จพ่อในวันนี้อีกล่ะ? แล้วที่สำคัญเมื่อผมพบกับเสด็จพ่อ ทำไมเสด็จพ่อไม่ได้พูดถึงเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ให้ผมฟังเลย? ปกติเสด็จพ่อทำอะไรที่ไหน ก็จะเล่าให้ผมฟังทุกอย่าง ไม่เคยมีความลับกับผมเลย แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมสงสัยได้ยังไงกัน? แล้วช่วงนี้ยิ่งมีข่าวลือว่าเสด็จพ่อคุยโทรศัพท์กับผู้หญิงด้วยไม่ใช่คุยกันธรรมดานะ คุยกันเป็นนานสองนานทุกวัน พวกนางกำนัลลือกันให้แซดว่าเวลาคุยโทรศัพท์เหมือนยังกับหนุ่มๆ เพิ่งมีความรักยังไงอย่างงั้นเลย แล้วคุณดูผู้หญิงคนนี้ซิ เธอสวยมากเลย จนทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าเธออาจจะเป็นคนรักของเสด็จพ่อก็ได้” เจ้าชายอิสมินกล่าวกับหัวหน้าองครักษ์คนสนิท ระบายความสงสัยในใจให้รับรู้
ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเจ้าชายอิสมินนั้นหวงพระบิดาเพียงใด องค์อัมมานนั้นไม่เคยมีความลับกับพระโอรสเลย แต่เมื่อมีข่าวลือว่าองค์อัมมานมีคนรัก และวันนี้ก็ไม่เล่าถึงการพบกับหญิงสาวแสนสวยให้พระโอรสรับรู้ ย่อมสร้างความสงสัยให้กับเจ้าชายอิสมินเป็นอย่างยิ่ง
หัวหน้าองครักษ์ซาอิดรีบปลอบใจเจ้าชายของตนทันที “ท่านอย่าเพิ่งคิดมากเลยครับ ผมจะรีบสืบเรื่องของผู้หญิงคนนี้มาให้ท่านโดยเร็วครับ”
รถลีมูซีนคันหรูค่อยๆ เลี้ยวเข้ามาจอดลงหน้าล็อบบี้สำหรับชั้น VIP ซึ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยมแยกออกจากล็อบบี้ปกติของโรงแรม เพื่อให้การรักษาความปลอดภัยสำหรับองค์พระประมุขและเจ้าชายรัชทายาททำได้ง่ายขึ้น
ยามรักษาการณ์เดินเข้ามาคอยเปิดประตูรถให้ แต่ยังไม่ทันใจของเจ้าชายอิสมินซึ่งเปิดประตูรถเองพร้อมกับช้อนร่างแบบบางของหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินลิ่วๆ ไปยังลิฟต์ซึ่งมีพนักงานกดลิฟต์เปิดรออยู่
“เอ่อ!” พนักงานที่ยืนอยู่ในบริเวณล็อบบี้ต่างมองกันตาค้างเมื่อเห็นเจ้าชายอิสมินอุ้มหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนเดินลิ่วๆ ไปยังลิฟต์ มีท่านซาอิดหัวหน้าองครักษ์รีบวิ่งตามไปที่ลิฟต์เพื่อคอยอารักขาให้กับเจ้านายของตน แน่นอนว่าข่าวใหญ่ขนาดนี้บรรดากระจอกข่าวจะพลาดได้ยังไง!
เรื่องนี้ต้องเม้าส์!
เมื่อตัวเจ้าชายไปไกลลิบแล้ว รีเซฟชั่นหน้าเคาน์เตอร์ก็รวมหัวซุบซิบกันทันที “ต๊าย…ตาย! เจ้าชายอุ้มผู้หญิงขึ้นห้องด้วยล่ะเธอ ฉันอยากเป็นผู้หญิงคนนั้นจัง ได้อยู่ในอ้อมกอดของเจ้าชายอิสมิน โอ้…มันคงจะดีมากเลยนะเธอ”
“อยากรู้จังผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? ใช่ยัยนางแบบสติแตกนั่นรึเปล่า? เจ้าชายเดินเร้ว…เร็ว มองไม่ทันเลย” รีเซฟชั่นอีกคนถามพร้อมกับละสายตาจากลิฟต์ รีเซฟชั่นคนแรกรีบตอบว่องไว “ไม่ใช่ยัยนั่นหรอกเธอ ถึงจะไม่เห็นหน้าแต่ผมยาวๆ อย่างนั้นน่ะ ไม่ใช่ยัยนั่นแน่ๆ”
“ถ้าไม่ใช่ยัยนั่นแล้วเป็นใครกันล่ะเธอ?” รีเซฟชั่นคนที่สองถามเพื่อนอีกครั้ง “ใครอ่ะ? ใครอ่ะ?”
รีเซฟชั่นคนแรกส่ายหน้าตอบเพราะไม่รู้เหมือนกัน “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ใช่ยัยนั่นน่ะดีแล้ว ฉันยิ่งภาวนาขอให้เจ้าชายอย่าได้ตาถั่วคว้ายัยนั่นมาเป็นพระชายาเล้ย ยัยนั่นน่ะนิสัย อ่อไม่ใช่ซิ ต้องบอกว่าสันดานนะเธอ สันดานร้ายกาจขนาดนั้น ถ้าเจ้าชายตาถั่วคว้ามาเป็นพระชายาเมื่อไหร่ ฉันคงลาออกหางานใหม่เลยแหละ นี่ๆ คิดๆ แล้วก็อยากจะเห็นหน้ายัยนั่นนัก ถ้ารู้ว่าเจ้าชายอุ้มผู้หญิงขึ้นห้อง ฉันว่ายัยนั่นต้องกรี๊ดลั่นโรงแรมแน่ๆ เลย อยากเห็นหน้ายัยนั่นกรี๊ดจัง จะได้หัวเราะให้สะใจไปเลย”
“นี่ๆ มันต้องท่านี้ด้วยเธอถึงจะเหมือนยัยนั่น” รีเซฟชั่นคนที่สองทำท่าทางร้องกรี๊ดๆ กระทืบเท้าเต้นเร่าๆ เลียนแบบท่าทางของนางแบบอิซาเบลล่า เบอร์บิทที่เคยเห็นเป็นประจำยามนางแบบสาวไม่ได้ดั่งใจ(ลับหลังเจ้าชายอิสมิน)
สองสาวรีเซฟชั่นพากันหัวเราะคิกคักสนุกสนาน แล้วก็คุยฝันหวานกันต่อ “อยากถูกเจ้าชายอุ้มมั่งจัง”
“ฉันไม่ฝันถึงขนาดนั้นหรอก ขอแค่อยู่ในอ้อมกอดของเจ้าชายซักครั้งแค่นี้ก็พอแล้ว”
แต่เสียงของหัวหน้ารีเซฟชั่นทำให้สองสาวหน้าจ๋อยทันที
“นี่ๆ ตื่นได้แล้วพวกเธอ อย่างพวกเธอเจ้าชายไม่แลให้เสียเกรดหรอกย่ะ เอาไว้ไปฝันต่อที่บ้านนะย่ะ แล้วก็สงบปากกันหน่อย อยากตกงานกันนักรึไงย่ะ? มีงานอะไรก็ทำๆ กันไปซิย่ะ สุ่มหัวนินทากันอยู่นั้นแหละ”
สองสาวจึงรีบก้มหน้าก้มตาทำงานของตนทันที หัวหน้ารีเซฟชั่นมองด้วยสายตาดุๆ ก่อนเดินจากไป
เจ้าชายอิสมินนั่งบนโซฟารับแขกในลิฟต์โดยโอบหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน
ซาอิดวิ่งตามมากดปิดประตูลิฟต์แล้วรีบแตะคีย์การ์ดของตนเพื่อปลดรหัสให้ลิฟต์ทำงานเลื่อนขึ้นไปยังที่อยู่ของเจ้านาย
องครักษ์คนอื่นๆ รีบไปสืบหาข่าวเกี่ยวกับมิสมิยาโบวิทซ์กับพนักงานของโรงแรมทันทีตามคำสั่งของหัวหน้าองครักษ์ซาอิด
เมื่อลิฟต์เลื่อนขึ้นมาถึงชั้นที่อยู่ของเจ้าชายอิสมินซึ่งตกแต่งอย่างหรูหราสมฐานะ เจ้าชายอิสมินก็อุ้มหญิงสาวออกจากลิฟต์
หัวหน้านางกำนัลซารีฟซึ่งรออยู่แล้วก็รีบย่อตัวทำความเคารพแล้วบอกว่า “เตรียมห้องบูรพาไว้ให้แล้วค่ะ”
“ขอบใจมากซารีฟ” เจ้าชายกล่าวกับนางกำนัลแล้วเดินไปตามทางเดินอีกด้านซึ่งตรงไปยังห้องนอนของพระองค์เอง
สร้างความงงงวยให้กับหัวหน้าองครักษ์ซาอิดและหัวหน้านางกำนัลซารีฟเป็นอย่างมาก “ท่านคะห้องบูรพาอยู่ทางนี้ค่ะ ท่านจะไปไหนคะ?”
“ขอบใจนะซารีฟ แต่ผมเปลี่ยนใจแล้ว”
หัวหน้านางกำนัลและหัวหน้าองครักษ์มองตากันอย่างงงสุดๆ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าชายอิสมินจะพาหญิงสาวไปที่ใด ก็ทางเดินที่เขากำลังเดินไปมันตรงไปสู่ห้องนอนของเจ้าชายเอง ยังไม่ทันจะได้คิดอะไร เสียงห้าวก็มีคำสั่ง “ซารีฟ หมอที่ให้เรียกมาตรวจผู้หญิงคนนี้มาถึงรึยัง? ซาอิดเปิดประตูห้องนอนให้ผมเร็ว”
“มาแล้วค่ะ รออยู่ที่ห้องบูรพาค่ะ” ซารีฟรีบตอบ ส่วนซาอิดก็รีบเปิดบานประตูห้องนอนอย่างว่องไว
เจ้าชายอิสมินจึงสั่งว่า “งั้นเชิญคุณหมอมาตรวจผู้หญิงคนนี้ที่ห้องผม”
สั่งแล้วก็เดินเข้าไปภายในห้องนอนทันที ทิ้งให้หัวหน้านางกำนัลซารีฟยืนแข็งทื่อใบ้รับประทานอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะได้สติ รีบไปทำตามคำสั่งพร้อมกับบ่นพึมพำไปตลอดทาง
“โอ้ย! โลกจะแตกแน่ๆ ท่านพาผู้หญิงเข้าห้องนอน! แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนได้เฉียดใกล้ห้องนอนเลยซักนิด แล้วทำไมวันนี้ถึงได้อุ้มผู้หญิงคนนั้นเข้าไปในห้องนอนซะล่ะ? โอ้ย! งงๆๆๆๆๆๆๆ”
เจ้าชายอิสมินวางหญิงสาวลงบนเตียงใหญ่กลางห้อง โยนสูทของเพื่อนรักที่คลุมร่างของหญิงสาวไว้บนโต๊ะข้างเตียง แล้วนั่งข้าง ๆ หญิงสาว ปัดปอยผมที่ปรกหน้าออก มองพินิจพิจารณาใบหน้างดงาม ยิ่งครุ่นคิด ถึงคำพูดของเพื่อนรักก็ยิ่งทำให้รุ่มร้อนใจ หันไปถามซาอิดซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างนัก เสียงเคร่งขรึม “ซาอิด คุณคิดว่าผู้หญิงคนนี้อายุเท่าไหร่?”
“เอ่อ…ไม่น่าจะเกิน 20 ปีครับ” ซาอิดตอบหลังจากคาดคะเนจากใบหน้าของหญิงสาวบนเตียง ก็นะ หน้าอ่อนขนาดนี้ ดูยังไงๆ ก็ไม่ถึง 20 แน่ๆ
เจ้าชายอิสมินจึงกล่าวต่อ “ผมก็กะว่าไม่น่าจะเกิน 20 เหมือนกัน ชิ! ยัยผู้หญิงหน้าด้าน กล้ามายุ่งกับเสด็จพ่อของผม คอยดูเถอะ! ตื่นเมื่อไหร่ล่ะก็…ผมจะเล่นงานให้อ่วมเล้ย!”
ก่อนที่จะกล่าวอะไรต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นตามด้วยเสียงของซารีฟ “ท่านคะ ฉันพาคุณหมอมาแล้วค่ะ”
“เข้ามาได้” เจ้าชายสั่งพร้อมกับยืนขึ้นหันไปมองที่ประตู ซาอิดเดินไปเปิดประตูให้หัวหน้านางกำนัลเข้ามา
“สวัสดีคุณหมอ เชิญตรวจคนไข้ได้เลย ไม่ต้องมีพิธีรีตรองให้เสียเวลา” เจ้าชายอิสมินทักทายคุณหมอร่างท้วมที่เดินตามซารีฟเข้ามาพร้อมกับนางพยาบาลถือล่วมยาหน้าตาจิ้มลิ้มนางหนึ่ง
“ครับ” คุณหมอร่างท้วมกับนางพยาบาลนางนั้นโค้งคำนับถวายความเคารพแล้วจึงลงมือตรวจคนไข้สาวสวยทันที
ซารีฟช่วยถอดรองเท้าของหญิงสาววางไว้บนพื้นพรมข้างเตียง แล้วคอยช่วยพยาบาลและคุณหมอที่เชิญมาตรวจอาการของหญิงสาว
ตรวจอยู่ครู่หนึ่งคุณหมอร่างท้วมก็เก็บหูฟังพร้อมกับรายงานอาการของคนไข้ให้เจ้าชายหนุ่มทราบ “กราบทูลฝ่าบาท จากที่ผมตรวจคุณผู้หญิงแล้ว ไม่พบอาการบาดเจ็บที่ไหนเลยครับ นอกจากรอยฟกช้ำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จากที่คุณซาอิดได้เล่าให้ผมฟัง คิดว่าเธอจะหลับเพราะยาสลบไปอีกซักระยะครับ เมื่อเธอตื่นขึ้นมาอาจจะปวดศีรษะบ้าง ผมจะสั่งยาไว้ให้ครับ แล้วพรุ่งนี้ผมจะมาดูอาการของเธออีกครั้งครับ”
เจ้าชายฟังคำรายงานจากคุณหมอร่างท้วมแล้ว จึงเอ่ยขอบคุณคุณหมอที่ยอมเสียเวลามาในยามค่ำคืนเช่นนี้ “ขอบคุณคุณหมอมากที่สละเวลามา เชิญคุณหมอกลับไปพักผ่อนเถอะ”
แล้วหันไปสั่งกับหัวหน้าองครักษ์และนางกำนัล “ซาอิดนายไปส่งคุณหมอที ส่วนซารีฟไปนอนได้แล้วล่ะ”
“ครับฝ่าบาท”
“ฝ่าบาทเพคะ แต่ว่า…”
หัวหน้าองครักษ์รับคำสั่งแล้วคว้าต้นแขนหัวหน้านางกำนัลซึ่งกำลังจะทูลแย้งให้เดินออกไปด้วยกัน ตามด้วยคุณหมอร่างท้วมและนางพยาบาลโค้งคำนับถวายความเคารพก่อนออกจากห้อง
เมื่อทุกคนออกจากห้องนอนไปหมดแล้ว เจ้าชายอิสมินก็ทรงทอดตาแขกคนสวยของพระบิดา คิดหาวิธีที่จะแกล้งเจ้าหล่อนไปพลางๆ โดยที่เจ้าตัวยังหลับไหลไม่ได้สติ
“เอ…แล้วฉันจะทำยังไงกับแม่คนนี้ดีล่ะ? สวมรอยเป็นพวกโจรลักพาตัวให้กลัวเล่นจะดีไหมน้า? เอ…หรือจะให้เป็นเป้าซ้อมปามีดดีล่ะ? ไม่ดี ๆ เกิดตกใจกลัวจนหัวใจวายตายเสด็จพ่อโวยแหลกแน่ๆ อ่ะ ฮ่า! รู้แล้ว! จับเปลือยล่อนจ้อนจนหมดตัว แล้วคอยดูซิเวลาตื่นขึ้นมาจะตกใจซักขนาดไหน โอ้…ไอเดียนี้เข้าท่า เสร็จฉันล่ะ! ยัยผู้หญิงหน้าด้าน!” เมื่อคิดหาวิธีที่จะแกล้งหญิงสาวได้แล้ว เจ้าชายอิสมินก็ไม่ทรงรอช้า เขาบรรจงถอดเดรสสั้นสีลาเวนเดอร์ออกจากร่างของหญิงสาวโยนลงบนพื้นข้างเตียงนอน มองเรือนร่างงดงามอย่างลืมตัว ตกตะลึงต่อความงามตรงหน้า “อา…”
เขามองใบหน้างดงามไล่ลงไปตามลำคอระหงผ่านเนินอกอวบอิ่มใต้บราเซียไร้สายบางเบาสีลาเวนเดอร์สู่หน้าท้องแบนราบเรื่อยไปถึงเนินสวรรค์ใต้บิกินี่ตัวจิ๋วสีลาเวนเดอร์ละเลียดสายตาต่อไปยังขาเรียวสวยจนถึงปลายเท้า เมื่อรู้สึกตัวก็สะบัดศีรษะไปมา
“หึ!” เขากริ้วโกรธหญิงสาวที่ช่างพกพาความงามประดุจเทพธิดาเอาไว้เต็มเปี่ยมจนทำให้เขาเผลอไผลลืมตัวว่าเจ้าหล่อนคือคนที่เข้ามาเกาะแกะกับพระบิดา แม้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่าจริงหรือไม่จริง แต่ด้วยความหวงพระบิดาดั่งจงอางหวงไข่ ทำให้เขาเอ่ยอย่างกราดเกรี้ยวใส่หญิงสาวซึ่งยังหลับไหลไม่ได้สติ “ชิ! ยัยผู้หญิงหน้าด้าน! อย่างเธอมันก็แค่ผู้หญิงหน้าหนาไร้ยางอาย ที่เข้ามาตีสนิทกับเสด็จของฉันเพราะอยากสุขสบายใช่ไหมล่ะ!”
เขาสอดมือไปปลดตะขอบราเซียบางเบาขว้างลงไปกองกับเดรสตัวสวยบนพื้นตามแรงอารมณ์ ทรวงอกงดงามสมบูรณ์เต็มตึงปรากฏเต็มสองตาชวนให้อยากสัมผัสความนุ่มหยุ่นของทรวงงาม ยอดอกสีชมพูชูชันช่างท้าทายสายตาให้อยากประกบปากแล้วขบเล่นให้หนำใจ เขากำมือแน่นสูดลมหายใจหลายเฮือกเพื่อข่มอารมณ์ปรารถนาเอาไว้ “ฮึ่ม!”
แล้วเกี่ยวรูดบิกินี่ตัวจิ๋วออกจากกายของหญิงสาวขว้างลงกับพื้น เนินสวรรค์นูนเด่นปรกคลุมด้วยทุ่งหญ้าสีบรอนซ์รำไรชวนให้อยากสำรวจให้ทั่วเนิน แม้จะผ่านหญิงงามมามากมายแต่ก็ยังไม่เคยเห็นหญิงใดจะงดงามเท่ากับแขกปริศนาของพระบิดามาก่อนเลย ทำให้เขาต้องข่มอารมณ์ปรารถนาสุดชีวิต ร่างกายของเขาก็ช่างไม่เป็นใจเอาซะเลย ตึงเครียดขมวดขึงจนเขาสุดจะทานทนต่อไปได้ “ฮึ่ม!”
“โธ่โว้ย! อยากรู้จริงเลย แม่นี่เคยมีอะไรกับเสด็จพ่อหรือเปล่านะ? แต่โอ้ย! หล่อนต้องเป็นนางปีศาจแน่ๆ เลยถึงได้ทั้งสวยทั้งเซ็กซี่ซะขนาดนี้ ฝากไว้ก่อนนะยัยผู้หญิงหน้าด้านถ้าฉันรู้แน่ๆ ว่าเธอเคยมีอะไรกับเสด็จพ่อล่ะก็…ฉันจะทำให้เธอกระเด็นออกจากชีวิตเสด็จพ่อของฉันไปไกลๆ ลิบโลกเล้ย! แต่ถ้าไม่เคยล่ะก็…ฉันจะเก็บเธอมาเข้าคอเลคชั่นซะเลย โธ่โว้ย! ไม่ไหวแล้ว! ขืนอยู่ตรงนี้ต่อตบะแตกแน่ๆ โอ้…พระเจ้า!”
เขาเดินตึงๆ ออกจากห้องนอนรับสั่งเรียกหานางกำนัลซารีฟทันที “ซารีฟ”
“เพคะ”
เมื่อนางกำนัลสูงวัยมาตามเสียงเรียกหาเขาก็สั่งทันที “ซารีฟเข้าไปดูแลผู้หญิงคนนั้น หล่อนฟื้นเมื่อไหร่ไปบอกผมด้วย”
“เพคะฝ่าบาท” ซารีฟรับคำสั่งแล้วก็ผลุบเข้าไปภายในห้องนอนทันที
ส่วนเจ้าชายอิสมินเดินตึงๆ ลับไปไม่เหลียวหน้ากลับมาเลยซักนิดจนซารีฟแอบค่อนขอดในใจ ทำยังกับหนีอะไรซักอย่าง หม่อมฉันไม่ใช่ผีนะเพคะ! น่าถวายให้ซักเพี๊ยะนัก!
แต่เมื่อซารีฟได้เห็นหญิงสาวบนเตียงนอนไร้เสื้อผ้าติดกาย นางก็แทบอยากจะแล่นตามไปถวายซักหลายๆ เพี๊ยะ บ่นงึมงำทันที “ฝ่าบาทนะฝ่าบาท! ดูซิแค่เผลอแค่แป๊บเดียวก็จับแม่หนูนี่ถอดเสื้อผ้าจนหมดเลย นิสัยแย่ๆ อย่างนี้ไปเอามาจากไหนกันนะ! องค์อัมมานรึก็ไม่มีนิสัยคาสโนว่าเลยซักนิด หวังว่าคงยังไม่ได้ทำอะไรหรอกนะ? แล้วแม่หนูคนนี้เป็นใครกันนะ? ถึงได้จะถูกลักพาตัวอย่างที่ซาอิดบอก โอ้ย! มีแต่คำถามเต็มหัวเลย ซาอิดก็ไปส่งคุณหมอ เจ้าชายก็หน้าบึ๊ง…บึ้งยังกะกินรังแตนมาทั้งโลก คนอื่นก็ไม่เห็นเลย แล้วใครจะตอบฉันได้ล่ะเนี่ย?”
ซารีฟอยากจะเรียกนางกำนัลคนอื่นๆ ให้มาช่วยแต่งตัวให้หญิงสาว แต่เพราะเป็นเวลาดึกมากแล้วจึงไม่อยากจะเรียกใช้ อีกทั้งหากนางกำนัลคนอื่นรู้ว่าเจ้าชายอิสมินพาหญิงสาวเข้าห้องนอนคงได้เอาไปลือกันสนุกปาก นางจึงจัดการเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้หญิงสาวซะเองแล้วจัดหาชุดนอนมาสวมใส่ให้เจ้าหล่อน แม้จะลำบากอยู่ซักหน่อยในการพยายามสวมชุดนอนให้หญิงสาวด้วยตัวเองเพียงลำพังแต่ก็ไม่เกินความสามารถของนางกำนัลอาวุโสอย่างนางไปได้ เสร็จแล้วก็เอาแปรงมาหวีผมให้ เอ่ยพึมพำชื่นชมความงามของหญิงสาวไม่หยุด โดยที่คนถูกชมยังหลับไหลไม่ได้สติไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งสิ้น
“แหมผิวก็นุ๊ม…นุ่ม ยังกับผิวเด็กทารก ข๊าว…ขาว ผิวสวยไร้ตำหนิจริ๊ง…จริงนะแม่หนู ผมรึก็นุ่มลื่นนิ่มมือจริงๆ รูปร่างรึก็อรชรอ้อนแอ้นจริงๆ หน้าตาก็ยังกับเทพธิดาทีเดียว ลูกเต้าเหล่าใครกันนะ? ป่านนี้คนที่บ้านคงชะเง้อชะแง้ตามหากันให้ควั่กแล้วล่ะ เอ…ดูลักษณะเสื้อผ้าที่ใส่ชั้นว่าแม่หนูต้องเป็นลูกคนรวยแน่ๆ เอ้า! หวีผมเสร็จแล้ว นอนหลับฝันดีนะแม่หนู เดี๋ยวฉันเอาเสื้อผ้าของแม่หนูไปส่งซักก่อนนะ แล้วฉันจะรีบกลับมาอยู่เป็นเพื่อนนะจ๊ะ”
ซารีฟหอมแก้มหญิงสาวฟอดหนึ่งด้วยความหลงไหลในความงดงามของเจ้าหล่อนแล้วเก็บเสื้อผ้าบนพื้นพรมเอาไปส่งซักรีด แล้วก็รีบกลับมานั่งเฝ้าหญิงสาวรอจนกว่าเจ้าหล่อนจะฟื้นคืนสติ
จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง หญิงสาวค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นพยายามลืมตาขึ้นอย่างงุนงง พร้อมกับอาการปวดหัวรุนแรง จนต้องล้มตัวลงไปนอนใหม่ สองมือนุ่มนิ่มนวดหัวตัวเองไปมาแล้วพึมพำเบาๆ เป็นภาษาบ้านเกิดของตนเอง “โอ้ย! ปวดหัวจัง ปวดเหมือนหัวจะแตกเลย”
หญิงสาวครางเบาๆ รู้สึกถึงมือนุ่มๆ กับผ้าชุบน้ำอุ่นหอมกรุ่นบรรจงเช็ดหน้าให้กับเธอ จึงลืมตาอีกครั้งจ้องมองเจ้าของมือนุ่มๆ
“คุณคะ? เป็นยังไงบ้างคะ?” นางกำนัลซารีฟถามหญิงสาวเป็นภาษาอังกฤษ มือก็ยังบรรจงเช็ดหน้าให้กับเจ้าหล่อน
เมื่อหญิงสาวลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอได้ เธอจึงดีดตัวลุกขึ้นนั่งเขยิบตัวหนีหญิงสูงวัยจนติดพนักหัวเตียง ร่ำร้องอยู่ในใจด้วยความหวาดกลัว แง้ๆๆๆๆๆ ฉันถูกลักพาตัว! แล้วฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย? อ่ะ! แต่นี่ไม่ใช่เวลามานั่งคร่ำครวญหรอกนะ ต้องหาทางหนี! แต่จะทำยังไงล่ะ?
หญิงสาวมองหญิงสูงวัยครู่หนึ่ง พร้อมกับข่มความหวาดกลัวเอาไว้ไม่ให้แสดงออกมา คุณป้าคนนี้ดูท่าทางใจดีนะ ลองถามคุณป้าคนนี้ดูก่อนแล้วกันนะ
คิดได้แล้วก็เอ่ยถามหญิงสูงวัยท่าทางใจดีเป็นภาษาอังกฤษ “ที่นี่ที่ไหนคะ?”
หญิงสาวถามออกไปแล้วก็มองไปรอบๆ อย่างหาทางหนีทีไล่ จึงพบว่าตัวเธอนั่งอยู่บนเตียงใหญ่กลางห้องกว้าง บนโต๊ะข้างเตียงมีนาฬิกาดิจิตอลวางอยู่ บอกเวลาตีห้าครึ่ง
Chapter 3 อิสมินหน้าบูด
ด้านหนึ่งของห้องมีม่านหนาสีน้ำตาลทองยาวจากเพดานจรดพื้น ซึ่งคาดว่าหลังม่านหนาคงจะเป็นหน้าต่าง อีกด้านมีโซฟายาวบุผ้าขนสัตว์สีขาวดูหนานุ่มเก้าอี้และโต๊ะกระจกแกะสลักลายเป็นเครือเถาไม้เลื้อยอ่อนช้อยชุดหนึ่งตั้งอยู่ ถัดจากโซฟาเป็นประตูไม้แข็งแรงสลักลวดลายเดียวกับโต๊ะกระจกสวยงามบานใหญ่สองบานปิดสนิท เมื่อมองอีกด้านเป็นประตูไม้สลักลายบานเดียวเปิดกว้างมองเห็นห้องน้ำบางส่วน
เมื่อกลับมามองหญิงสูงวัยที่นั่งอยู่บนเตียงซึ่งหยุดเช็ดหน้าให้ตั้งแต่เธอลุกขึ้นนั่งขยับหนีจนติดพนักหัวเตียง ใบหน้าของหญิงสูงวัยแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มปนขบขันกับท่าทางระวังตัวของเธอ แต่เมื่อเธอก้มลงมองตัวเองเพราะรู้สึกโล่งๆ พิกล เธอก็ร้องลั่นทันทีเป็นภาษาบ้านเกิด “ตายแล้ว! เสื้อผ้าฉันไปไหน? แล้วใครเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฉันล่ะเนี่ย? อ่ะจึ๋ย! อย่าบอกนะว่าฉันถูก…ไปแล้ว โอ้…พระเจ้า! ใครก็ได้ช่วยบอกชั้นที!”
หญิงสาวลูบคลำสำรวจตัวเองใต้ชุดนอนลายทางตัวหลวมโพรกเป็นการใหญ่ ลืมแม้กระทั่งหญิงสูงวัยที่ยังนั่งอยู่บนเตียงไม่ห่างจากตัวเธอ
ซารีฟกลั้นหัวเราะเอาไว้เต็มที่กับท่าทางตกอกตกใจของเจ้าหล่อนที่สำรวจตัวเองยกใหญ่ แม้จะฟังภาษาที่เจ้าหล่อนพูดไม่ออกซักคำเลยก็ตาม “คิๆๆๆ…”
เสียงหัวเราะคิกๆ ของหญิงสูงวัยทำให้หญิงสาวรู้สึกตัวว่ายังมีคนอยู่ในห้องร่วมกับเธอ หญิงสาวจึงสำรวมกิริยานิดนึงก่อนจะมองหญิงสูงวัยพร้อมกับเอ่ยถามคำถามเดิมที่ยังไม่ได้รับคำตอบ “ที่นี่ที่ไหนคะ?”
ซารีฟเห็นหน้าสวยหวานพยายามเก็บซ่อนความหวาดกลัวเอาไว้ไม่ให้นางเห็นก็นึกเอ็นดูหญิงสาวยิ่งนัก
ท่าทางของหญิงสาวชวนให้นึกถึงราชินีชารีน่าพระมารดาของเจ้าชายอิสมินมาก
กิริยาท่าทางช่างเหมือนราชินีชารีน่าจริงๆ นะแม่หนู ซารีฟคิดในใจก่อนจะตอบคำถามของหญิงสาวเป็นภาษาอังกฤษ “ที่นี่คือห้องนอนของเจ้าชายอิสมิน อัลลา ซาลาฮาดีนค่ะ เจ้าชายทรงพาคุณมาเมื่อคืนนี้”
เพียงแค่ได้ยินคำตอบเท่านั้นแหละ เสียงหวานใสก็โวยวายลั่นด้วยภาษาเดิมที่ซารีฟฟังไม่รู้เรื่อง “ห๊า! อิสมินหน้าบูดนั่นน่ะเหรอที่ลักพาตัวฉัน! หนอย! ช่างบังอาจมาลักพาตัวฉันงั้นเหรอ! เชอะ! โรคหวงพ่อท่าจะกำเริบแน่ๆ เล้ย! ย๊าก! แล้วนี่ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนฮึ! แน่จริงก็รีบออกมาดิ! แม่จะอัดให้เหลือเท่าเม็ดแอปเปิ้ลเล้ย!”
มือเล็กๆ กำแน่นฟาดใส่หมอนใบโตข้างตัวระบายอารมณ์
ซารีฟเห็นท่าทางโวยวายของหญิงสาวพร้อมกับใบหน้าสวยหวานแดงก่ำอย่างโกรธจัด แต่เพราะไม่รู้ว่าหญิงสาวพูดว่าอะไรจึงพยายามทำให้เจ้าหล่อนสงบสติอารมณ์ “คุณค้า! คุณ! ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ คุณพูดอะไรดิฉันฟังไม่รู้เรื่อง ช่วยพูดเป็นภาษาอังกฤษหน่อยค้า”
“เสียงเอะอะอะไรกันซารีฟ? ดังลั่นไปถึงข้างนอกนู้น!” เสียงห้าวทุ้มกังวาลถามพร้อมกับบานประตูห้องนอนเปิดกว้าง
เจ้าของคำถามพาร่างสูงเพรียวก้าวเข้ามาในห้องนอนด้วยใบหน้าบึ้งตึง มองนางกำนัลอาวุโสแล้วเลยไปมองหญิงสาวบนเตียงนอนเจ้าของเสียงโวยวายดังลั่นชนิดได้ยินกันทั้งชั้นที่ประทับทำให้เขาต้องรีบเสด็จไปดู เขาสวมเพียงกางเกงขายาวไม่สวมเสื้อ เปลือยอกกว้างล่ำสันอันอุดมไปด้วยขน ชวนให้อยากลูบไล้เล่น
“หือ?” หน้าห้องนอนเหล่าองครักษ์และนางกำนัลยืนชะเง้อชะแง้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นกันสลอนเพราะได้ยินเสียงผู้หญิงโวยวายดังลั่นอยู่ในห้องนอน
เพียงแค่เห็นเจ้าชายอิสมินเท่านั้นแหละ หญิงสาวร่างบางก็แล่นลงจากเตียงนอนตรงเข้าใส่เจ้าชายหนุ่มทันที ไม่พูดพร่ำทำเพลงให้รู้ตัวแม้แต่น้อย กำปั้นเล็กๆ แต่หนักหน่วงพุ่งใส่ท้องเต็มแรง ตุ้บ!
“โอ้ย!” แม้จะเจ็บจนจุกแต่เจ้าชายอิสมินก็มือไวคว้าเอวบางคอดกิ่วของหญิงสาวเอาไว้ได้ พร้อมกับรัดร่างบางไว้ในอ้อมแขน
“กรี๊ดดดดด ปล่อยชั้นนะ! ปล่อยชั้นเดี๋ยวนี้นะอิสมินหน้าบูด!”
“ว๊ายยยยย!!!!!”
“เฮ้ยยยยย!!!!!”
เหล่านางกำนัลวี๊ดว๊ายเสียงดังลั่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เหล่าองครักษ์ก็ตกใจไม่น้อยที่เจ้าชายของพวกตนถูกทำร้าย จึงกรูกันจะเข้าไปจับตัวหญิงสาวร่างบางในอ้อมแขนผู้ซึ่งบังอาจทำร้ายเจ้าชายของพวกตน “จับผู้หญิงไว้เร็ว!”
เจ้าชายอิสมินจึงหันไปตวาดใส่เหล่าองครักษ์ที่กำลังจะกรูเข้ามาในห้องนอนเพื่อจับตัวหญิงสาวร่างบางในอ้อมแขนของเขา “หยุด! ไม่ต้องเข้ามายุ่ง! หุบปากด้วย! ฉันจัดการเอง”
เหล่าองครักษ์หยุดกึกดั่งติดเบรก ABS
ส่วนพวกนางกำนัลก็หุบปากสนิทหยุดร้องวี๊ดว๊ายกันทันที
แล้วเจ้าชายอิสมินจึงหันไปตะคอกใส่หญิงสาวในอ้อมแขนที่ทั้งดิ้นทั้งโวยวายไม่หยุด “นี่เธอ! มันอะไรกันห๊า! อยู่ดีๆ ก็มาชกกันได้! ประจำเดือนไม่มารึไงห๊า!”
“ประจำเดือนมาปกติดีเฟ้ย! อิสมินหน้าบูด! ปล่อยฉันนะ! ฉันจะอัดให้น่วมเล้ย! ปล่อยซิ!” หญิงสาวตะคอกกลับส่งเสียงดังไม่แพ้กัน พยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนแข็งแรง
คำเรียกขานว่า ‘อิสมินหน้าบูด’ ทำให้อารมณ์กริ้วโกรธพุ่งปรี๊ดจนหน้าคมเข้มแดงก่ำ เส้นโลหิตข้างขมับเต้นตุ้บๆ ตาคมเข้มลุกโชนดั่งไฟบรรลัยกัลป์
เขาตะคอกใส่หญิงสาวในอ้อมแขนเสียงกร้าว “เธอเรียกใครว่า ‘อิสมินหน้าบูด’ ห๊า!? ยัยผู้หญิงปากพล่อย!”
“กรี๊ดดดดดดด นายว่าใครเป็นผู้หญิงปากพล่อยห๊า? ลักพาตัวชั้นมาแล้วยังมาพูดจาอย่างนี้อีกรึ! อย่างนี้ก็สวยอ่ะดิ!” ร่างบางดิ้นฮึดฮัดโกรธจนหน้าแดงก่ำ เจ้าชายหนุ่มก็กริ้วโกรธหญิงสาวในอ้อมแขนไม่แพ้กัน เขารัดหญิงสาวแน่นขึ้น
“ชิ! ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนสุดโลโซเท่ากับเธอเลยนะ กิริยาท่าทางรึก็ต่ำสิ้นดี คำพูดคำจาหรือก็โลโซสุดขีด พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอนมารึไงห๊า!? ยัยผู้หญิงปากพล่อย!”
“กรี๊ดดดดดด เล่นถึงพ่อถึงแม่เลยเหรอ! พ่อแม่นายก็คงไม่ได้สั่งไม่ได้สอนนายเหมือนกันมั้ง ถึงได้มาว่าพ่อแม่คนอื่นเขาฉอดๆ แบบนี้ อ้อ…ลืมไปพ่อนายน่ะท่านสั่งท่านสอนดี๊ดี แต่นายมันงี่เง่าไม่รู้จักจำ แบบนี้ถ้าแม่นายยังอยู่คงช้ำใจตายวันละหลายๆ รอบกับพฤติกรรมสุดยอดแย่ของลูกชายคนเดียว ฉันว่าเป็นโชคดีของราชินีชาริน่าที่รีบสิ้นไปซะก่อนจะได้เห็นว่าลูกชายคนเดียวของท่านช่างมีพฤติกรรมต่ำช้าสิ้นดีไม่ต่างจากโจรถ่อยเถื่อนเลยซักกะติ๊ดเดียว ถึงได้เที่ยวมาลักพาตัวคนอื่นแบบเนี้ย!” หญิงสาวตอกกลับด้วยวาจาเฉือดเฉือน ทำให้เจ้าชายอิสมินนึกอยากจะหักกระดูกกระเดี้ยวของร่างบอบบางในอ้อมแขนให้แหลกคามือ “หนอย! คิดว่าเป็นใครมาจากไหนกันห๊า! ถึงได้กล้ามาพูดอย่างนี้ห๊า! ยัยผู้หญิงปากเสีย! อุ้บ!”
เสียงขาดหายไปเมื่อหญิงสาวในอ้อมแขนหาทางหมุนตัวมาประจันหน้าพร้อมกับกระแทกเข่าใส่อิสมินน้อยเข้าเต็มเปา เขาจุกจนหน้าเขียวรูดลงไปกองกับพื้น จ้องมองใบหน้าสวยหวานอย่างอาฆาตแค้นสุดๆ แต่พูดไม่ออกเพราะความเจ็บจุกเหลือคณานับ
หญิงสาวเจ้าของเข่ามหากาฬยิ้มเยาะลอยหน้าลอยตาเยาะเย้ยด้วยความสะใจ “เชอะ! สมน้ำหน้า! เห็นแก่อัมมานหรอกนะไม่งั้นฉันจะเอาให้หนักกว่านี้แน่ๆ อิสมินหน้าบูด! ลาขาดล่ะนะ อุ้ย! จะบอกว่าลาขาดไม่ได้ซิ เพราะนายกะฉันยังต้องเจอกันอีกนาน!”
เยาะเย้ยเสร็จเจ้าหล่อนก็หันไปมองกราดใส่เหล่าองครักษ์และนางกำนัล เดินเท้าเปล่าเชิดหน้าออกจากห้องนอนทั้งชุดนอนตัวหลวมโพรกอย่างไม่แคร์สายตาเหล่าองครักษ์และเหล่านางกำนัลที่จ้องมองเจ้าหล่อนเป็นตาเดียว เหล่าองครักษ์และนางกำนัลต่างถอยกรูเปิดทางให้หญิงสาวเดินผ่าน ทั้งที่อยากจะจับตัวหญิงสาวเอาไว้แต่เมื่อเจอสายตาเย็นเยียบของหญิงสาวเข้าไป ความกลัวก็พุ่งจับขั้วหัวใจจนไม่กล้าขยับตัวเข้าใกล้เจ้าหล่อน หญิงสาวเดินลอยชายออกจากที่ประทับของเจ้าชายอิสมินเดินเข้าไปในลิฟต์
หลังจากหญิงสาวออกจากห้องนอนไปแล้วซารีฟก็รีบเข้าไปพยุงเจ้าชายของตนทันที “โถ…ทูลหัวของหม่อมฉัน เป็นยังไงบ้างเพคะ?เจ็บมากไหมเพคะฝ่าบาท?”
องครักษ์และนางกำนัลกรูกันเข้าไปในห้องนอน ล้อมหน้าล้อมหลังเจ้าชายของพวกตนเอ่ยถามจนวุ่นวาย
“ฝ่าบาทเพคะ เป็นยังไงบ้างเพคะ?”
“ฝ่าบาทครับ เป็นยังไงบ้างครับ?”
“ออกไปให้หมด! ออกไป๊! ไม่ได้ยินที่ฉันสั่งรึไงห๊า!”
แต่เมื่อเจอเสียงตวาดลั่นของเจ้าชายอิสมินที่ยังนั่งจุกกองอยู่บนพื้นทำเอาองครักษ์และนางกำนัลหน้าจ๋อยกันไปหมด
“แต่ว่าฝ่าบาท…” ซารีฟทูลแย้งแต่เมื่อสบตาดุดันจึงรีบหุบปากทันที
ทำให้เจ้าชายอิสมินลดเสียงลงด้วยเกรงใจข้ารับใช้เก่าแก่ สั่งกับนางกำนัลสูงวัยเสียงเบา “ออกไปให้หมด ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่นี้ไม่ถึงตายหรอกซารีฟ”
เขาส่งสายตาขอโทษแทนคำพูด
ซารีฟจึงทำตามพระประสงค์ของเจ้าชายหนุ่มโบกมือไล่นางกำนัลและองครักษ์ออกไป “ออกไปได้แล้ว มีงานอะไรก็ไปทำ เอ้า! ยังไม่รีบไปกันอีก เดี๋ยวฝ่าบาทก็กริ้วอีกหรอก!”
ทุกคนจึงทยอยกันออกจากห้องนอนโดยเร็ว
เจ้าชายอิสมินเรียกตัวสามองครักษ์คนสนิทเอาไว้ “ซาอิด มาลิก ราอูลอยู่ก่อน ผมมีเรื่องจะคุยกับพวกคุณ”
สามองครักษ์จึงอยู่ตามรับสั่งพร้อมกับช่วยกันหิ้วเจ้าชายของตนให้ไปนั่งบนเตียงนอน มีซารีฟยืนคอยรับใช้อยู่ไม่ห่าง
เจ้าชายอิสมินถามหัวหน้าองครักษ์ทันที “ซาอิดยัยผู้หญิงปากพล่อยนั่นไปไหนแล้ว?”
ซาอิดอึกอักเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงอ่อย “เอ่อ…เอ่อ…ผมไม่ทราบครับ เห็นแวบๆ ว่าผู้หญิงคนนั้นเข้าไปในลิฟต์ครับ”
“ชิ! สภาพแบบนั้นเดี๋ยวก็ได้ถูกรุมโทรมกลายเป็นศพลงข่าวหน้าหนึ่งหรอก ซาอิดนายตามไปดูซิว่ายัยผู้หญิงนั่นจะไปที่ไหน? จัดการพาไปส่งบ้านให้เรียบร้อยด้วยล่ะ ส่วนมาลิกกับราอูลรีบๆ ไปหามาว่ายัยนั่นเป็นใคร? อยู่ที่ไหน? สืบมาให้ละเอียดยิบเลยนะ เร็วที่สุดด้วย เอาล่ะออกไปได้แล้วผมอยากอยู่คนเดียว”
สั่งแล้วก็เอนตัวลงนอน
ซารีฟและสามองครักษ์จึงออกจากห้องนอนโดยไม่รีรอ
เจ้าชายอิสมินกริ้วโกรธหญิงสาวยิ่งนัก เอ่ยอาฆาตแค้นด้วยความเจ็บใจที่เสียท่าหญิงสาวจนต้องเจ็บตัว ซึ่งยังไม่เท่ากับที่เขาต้องขายหน้าต่อหน้าข้ารับใช้ ก็เขาเป็นถึงเจ้าชายรัชทายาทผู้เก่งกาจ แต่กลับถูกผู้หญิงตัวเล็กๆ ทำร้ายเอาซะได้ “หนอย! เผลอนิดเดียวเล่นซะเกือบสูญพันธุ์เลยนะยัยผู้หญิงปากเสีย! คอยดูเถอะ! เจอกันครั้งหน้าฉันจะเอาคืนทบต้นทบดอกเล้ย!”
ซาอิดรีบลงลิฟต์ไปยังชั้นล็อบบี้ของโรงแรม เดินหาหญิงสาวนางนั้นไปทั่วด้วยความเป็นห่วง ก็สภาพของเจ้าหล่อนตอนออกจากที่ประทับน่ะ เห็นว่ามีเพียงเสื้อนอนตัวใหญ่เพียงตัวเดียวติดกาย ขืนปล่อยให้ไปเดินตามถนนหรือนั่งแท็กซี่กลับบ้านคงได้กลายเป็นศพอย่างที่องค์รัชทายาทพูดแน่ๆ ก็เจ้าหล่อนสวยซะขนาดนั้น แถมสภาพเสื้อผ้าก็ช่างล่อแหลมยิ่งนัก แต่มองหาจนทั่วล๊อบบี้ก็ไม่เห็นเจ้าหล่อนเลยแม้แต่น้อย
“หายไปไหนนะ? ก็พึ่งจะออกจากที่ประทับมาแป๊ปเดียวเอง ถ้าจะเรียกแท็กซี่ก็น่าจะยังอยู่นี่หว่า? ไปไหนของเขากันนะ? นี่ๆ มีใครเห็นผู้หญิงผมยาวๆ สีบรอนซ์ หน้าสวยๆ รูปร่างผอมๆ ตัวสูงๆ บางๆ ใส่ชุดนอนตัวเดียวมั่งไหม?” ซาอิดถามพนักงานต้อนรับชายสองนายซึ่งเดินเตร่ไปเตร่มาแถวหน้าเคาน์เตอร์ แต่ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วตอบเป็นเสียงเดียวกันทันควัน “ไม่เห็นครับท่านซาอิด”
“พวกนายสองคนอยู่แถวนี้ตลอดเวลาเลยรึ?” ซาอิดถามพร้อมกับสอดส่ายสายตาหาผู้หญิงคนนั้นไปทั่ว พนักงานสองคนรีบตอบ “พวกเราอยู่นี่ตลอดเวลาไม่ได้ไปไหนเลยครับ แต่ยังไม่เห็นผู้หญิงลักษณะตามที่ท่านซาอิดบอกเลยครับ”
เมื่อได้รับการยืนยันหนักแน่นซาอิดจึงเร่ไปถามหากับพนักงานคนอื่นทันที แต่ถามพนักงานจนหมดทั้งล็อบบี้แล้วก็ไม่มีใครเห็นหญิงสาวลักษณะดังกล่าวเลย หัวหน้าองครักษ์เลยเกาหัวแกรกๆ ด้วยความมึนงง “หายไปไหนนะ?”
“ท่านซาอิดครับเจอผู้หญิงตรงกับลักษณะที่ท่านซาอิดบอกแล้วครับ” พนักงานรักษาความปลอดภัยนายหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาบอก ทำให้ซาอิดหูผึ่งทันที “เจอแล้วรึ? อยู่ที่ไหน?”
“ที่ประทับขององค์อัมมานชั้นบนสุดเลยครับ ภาพจากกล้องวงจรปิดเห็นว่าเธอกดลิฟต์ขึ้นไปที่ประทับขององค์อัมมานครับ เธอไม่ได้ลงมาข้างล่างนี่เลยครับ”
คำตอบของพนักงานรักษาความปลอดภัยทำให้ซาอิดใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาเอ่ยขอบใจพนักงานคนนั้นแล้วก็รีบเดินลิ่วไปเข้าเฝ้าเจ้าชายอิสมินโดยเร็ว “เวรแล้วซิ! ท่าทางข่าวที่ว่าเจ้าหล่อนสนิทสนมกับองค์อัมมานท่าจะจริง ถึงขนาดขึ้นที่ประทับขององค์อัมมานได้อย่างนี้ไม่ธรรมดาแล้ว! ซวยแน่ๆ เลยตู! หัวจะหลุดจากบ่าไหมเนี่ย!?”
ขณะที่ซาอิดกำลังจะไปเข้าเฝ้าเจ้าชายอิสมิน ก็ถูกมาลิกและราอูลเรียกเอาไว้ก่อนจะขึ้นลิฟต์ไปชั้นบน “ท่านซาอิดขอรับ เรื่องผู้หญิงคนนั้นน่ะครับ พวกผมสืบมาได้บ้างแล้วครับ”
“ดีเลย งั้นรีบไปเฝ้าเจ้าชายพร้อมๆ กันเลย” องครักษ์ทั้งสามจึงรีบไปเข้าเฝ้าเจ้าชายอิสมินทันที
เมื่อองครักษ์คนสนิทอยู่ต่อหน้า เจ้าชายหนุ่มก็รับสั่งถามอย่างร้อนใจ “ได้อะไรมาบ้าง? รีบๆ เล่ามาเร็ว ๆ”
มาลิกจึงทูลรายงานก่อน “จากคีย์การ์ดโรงแรมของผู้หญิงคนนั้นเป็นคีย์การ์ดที่ประทับขององค์อัมมานครับ เรื่องคีย์การ์ดใบนั้นยังไม่เท่าไหร่ครับ ที่สำคัญคือทางระบบรักษาความปลอดภัยยืนยันว่าลายนิ้วมือของเธอได้รับการสแกนเก็บไว้ในฐานข้อมูลมีความสำคัญเทียบเท่ากับองค์อัมมานและฝ่าบาทเลยครับ”
“เฮ้ย! เทียบเท่ากับผมและเสด็จพ่อ! งั้นก็หมายความว่ายัยนั่นเข้านอกออกในโรงแรมแกรนด์เอจาได้ทุกสาขาทุกชั้นเลยซิ จะเป็นไปได้ยังไง? ทำไมผมถึงไม่เคยรู้มาก่อนล่ะ?” เขาอุทานดังลั่นอย่างตกใจ
ราอูลจึงรีบทูลรายงาน “ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ ยังรวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยทุกอย่างด้วยครับ เมื่อสักครู่ก็ได้รับการยืนยันจากระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่แล้วว่าผู้หญิงคนนั้นเข้าไปในที่ประทับขององค์อัมมาน เธอไม่ได้ใช้คีย์การ์ดครับ แต่เธอใช้ระบบสแกนลายนิ้วมือเข้าไปครับ”
“ภาพจากกล้องก็ยังยืนยันว่าเธอออกจากที่ประทับของฝ่าบาทแล้วขึ้นไปยังที่ประทับขององค์อัมมานครับ คือว่าเธออยู่ข้างบนนี่เองครับ ไม่ได้เดินลงไปข้างล่างเลย เธอยังอยู่ข้างบนนี่เองยังไม่ได้ไปไหนเลยครับ” ซาอิดทูลรายงานพร้อมกับชี้นิ้วขึ้นไปบนเพดานเสียงอ่อย
ทำให้ทุกคนต่างแหงมองขึ้นไปบนเพดานแล้วหันมามองหน้ากัน องครักษ์ทั้งสามต่างกลืนน้ำลายกันหลายเอื๊อก “…”
ทั้งสามต่างคิดตรงกันเป็นเสียงเดียว โธ่ถัง…ถ้าองค์อัมมานทรงทราบเรื่องเข้า หัวหลุดจากบ่าแน่ๆ เลยตู โทษฐานไม่ดูแลเจ้าชายให้ดีปล่อยให้มีเรื่องกับผู้หญิงคนนั้นได้ โธ่…แล้วนี่แม่เจ้าประคุณเป็นใครกันหนอ? ขนาดเข้านอกออกในที่ประทับขององค์อัมมานได้ขนาดนี้ ขนาดตูยังเข้าไม่ได้เล้ย! ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก่อน สงสัยว่าคงเป็นสนมของพระองค์แน่ๆ เลย ท่าทางคงจะเป็นสนมคนโปรดด้วย โอ้…หรือว่าเธอคือผู้หญิงที่พวกนางกำนัลลือกันว่าเป็นคนรักขององค์อัมมาน ต้องใช่คนนี้แน่ๆ ที่พวกนั้นลือว่าองค์อัมมานทรงโทรหาทุกวัน โธ่…คอขาดแน่ๆ เลยตู!
เจ้าชายอิสมินทรงละสายตาจากเพดานด้านบน หน้าบึ้งตึง คิดในใจอย่างเคืองแค้น หนอย! นี่ถึงขนาดว่าอยู่กับเสด็จพ่อเลยรึ! ชิช่ะ! มันจะมากไปแล้วนะ เสด็จพ่อนะเสด็จพ่อ! ไหนว่าจะรักมั่นคงต่อเสด็จแม่ไปจนสิ้นพระชนม์ยังไงล่ะ! ปันใจให้ผู้หญิงคนอื่นนอกจากเสด็จแม่ได้ยังไงครับ!? นี่คงจะทรงหลงมันมากเลยล่ะซิท่า มันถึงได้กำเริบเสิบสานกับลูกถึงขนาดนี้ คอยดูเถอะ! เดี๋ยวน่าดู!
เจ้าชายอิสมินลุกจากเตียงนอนทำให้องครักษ์ทั้งสามนายรีบถาม “จะเสด็จไหนหรือครับ?”
“ข้างบน!” เจ้าชายอิสมินตอบเสียงเหี้ยมเกรียมแล้วก็ย่างก้าวเดินตึงๆ หน้าบึ้งดั่งยักษ์ไปอย่างรวดเร็ว ทำให้องครักษ์ทั้งสามใจหายวาบ รีบตามเสด็จไปรั้งเอาไว้ก่อนที่จะพ้นห้องนอนออกไป “ฝ่าบาทครับ ได้โปรดอย่าเสด็จเลยครับ พวกผมยังไม่อยากเป็นผีหัวขาดนะครับ ถ้าองค์อัมมานทรงทราบเรื่องเข้าพวกผมหัวขาดแน่ๆ ผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นพระสนมขององค์อัมมานก็ได้นะครับ หรือไม่ก็ต้องเป็นคนที่พวกนางกำนัลลือว่าเป็นคนที่องค์อัมมานทรงโทรศัพท์หาทุกวันแน่ๆ ครับ อย่าเสด็จเลยครับ”
“ก็เพราะอาจจะเป็นพระสนมของเสด็จพ่อหรือไม่ก็เป็นคนที่เสด็จพ่อโทรหาทุกวันตามที่พวกนางกำนัลพูดถึงน่ะซิ ผมถึงจะไปถามพวกนางกำนัลของเสด็จพ่อให้มันรู้เรื่องไปเลย ถ้าใช่จริงๆ ผมจะได้เปิดสงครามไล่หล่อนให้กระเจิงไปจากเสด็จพ่อซะเลย เสด็จพ่อจะรักใครไม่ได้นอกจากเสด็จแม่ของผมคนเดียว! พวกคุณอย่ามาขวาง หลีกไป!” เจ้าชายอิสมินตวาดใส่สามองครักษ์แล้วเดินไปทันที
องครักษ์ทั้งสามได้แต่ส่ายหน้าเพราะไม่รู้จะทำเช่นไรนอกจากรีบตามเสด็จโดยเร็ว โธ่…องค์อัมมานก็พึ่งจะเสด็จกลับเอจาไปแล้ว แล้วนี่ใครจะคอยห้ามทัพล่ะเนี่ย?
ณ หน้าที่ประทับของกษัตริย์อัมมาน อัลลา ซาลาฮาดีน เจ้าชายอิสมินทาบมือลงบนเครื่องสแกนลายนิ้วมือเพื่อเปิดประตูด้านหน้าที่ประทับของพระบิดา ซึ่งมีเพียงเขาและพระบิดาเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ แต่บัดนี้กลับมีผู้ใช้ได้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนนั่นก็คือหญิงสาวนามลีอา มิยาโบวิทซ์
เมื่อบานประตูเปิดออกเจ้าชายหนุ่มก็เสด็จเข้าไปทันทีตามด้วยองครักษ์คนสนิททั้งสามนาย เจ้าชายอิสมินได้ยินเสียงหวานใสพูดคุยเจื้อยแจ้วดังมาจากห้องโถงทำให้เขาหยุดชะงัก พร้อมกับยกมือห้ามมิให้องครักษ์ทั้งสามส่งเสียง
“นายหน้าบูดของอัมมานโตแต่ตัวจริงๆ ไม่รู้เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวเป็นลูกแหง่หวงพ่อซักที ทั้งๆ ที่อายุก็มากแล้วนะยังหวงพ่อเป็นเด็กๆ ไปได้ คนอะไรโตแต่ตัว แต่สมองฝ่อเท่าแมงหวี่”
เจ้าชายอิสมินรู้สึกกริ้วจนเส้นโลหิตเต้นตุ้บๆ อีกรอบ สาวเท้าจะเสด็จไปหาเจ้าของเสียงหวานใสที่ช่างกล้าวิจารณ์เขาปาวๆ แต่ก็ต้องหยุดกึกทันทีเมื่อได้ยินเสียงห้าวถาม ซึ่งเจ้าชายอิสมินจำได้แม่นยำว่าเป็นเสียงของพระบิดา
“นี่ลีอาเจออิสมินแล้วเหรอ?”
คิ้วเข้มจึงขมวดเป็นปมทันที เอ๋…ก็ไหนว่าเสด็จพ่อเสด็จกลับเอจาตั้งแต่เช้ามืดแล้วยังไงล่ะ? แล้วทำไมยังทรงอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?
เสียงหวานใสตอบพร้อมกับฟ้องไปในตัวน้ำเสียงสะบัดเล็กน้อย “เจอแล้วเพคะ อัมมานรู้ไหมว่านายนั่นร้ายขนาดไหน ถึงขนาดลักพาตัวลีอาเลยนะเพคะ”
“หือ…ลักพาตัว? มันเรื่องอะไรกันหือลีอา? ไหนเล่าให้ฉันฟังให้ละเอียดซิ!”
Chapter 4 เข้าที่พำนักราชา
เสียงถามเสียงต่ำแบบที่เจ้าชายอิสมินทราบดีว่าเสียงแบบนี้พายุบังเกิดแน่ๆ หากได้ฟังเรื่องราว(ความเข้าใจผิด)จากปากหญิงสาว เจ้าชายอิสมินทนฟังต่อไปไม่ได้ที่จะถูกยัดเยียดข้อกล่าวหาให้ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย รีบเสด็จเข้าไปในห้องโถงทันทีเพื่อแก้ต่าง “เสด็จพ่อครับ ไม่เป็นความจริงเลยนะครับ ลูกไม่ได้ลักพาตัว…เอ๋! เสด็จพ่ออยู่ไหนล่ะ?”
“อ่ะ! อิสมินหน้าบูด! มาได้ไงอ่ะ?” หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นบุคคลที่กำลังพูดถึงโผล่พรวดพราดเข้ามา
“อุ้ย! เจ้าชายอิสมิน!” นางกำนัลสองนางสะดุ้งตกใจมองเจ้าชายของพวกตนตาค้าง
ภายในห้องโถงมีเพียงหญิงสาวนางนั้นสวมชุดเดรสลำลองสีขาวกับนางกำนัลสองนางอยู่เท่านั้น ไม่มีแม้แต่เงาของกษัตริย์อัมมานเลยแม้แต่น้อย สร้างความประหลาดใจให้กับเจ้าชายอิสมินมาก ๆ
องครักษ์ทั้งสามต่างก็งุนงงไม่แพ้เจ้านายของตนเอง
“เสด็จพ่อล่ะ? ฉันได้ยินเสียงของเสด็จพ่อนี่ แล้วท่านอยู่ที่ไหนล่ะ?” เจ้าชายหนุ่มรับสั่งถามนางกำนัลทั้งสอง มองหญิงสาวด้วยสายตาเหยียดหยามดูถูก
“หันเป็นเรดาร์เลยนะอิสมิน บนจอลูก บนจอ” กษัตริย์อัมมานแย้มยิ้มเอ่ยกับพระโอรสผ่านระบบวีดีโอคอล เจ้าชายอิสมินรีบหันไปมองจอมอนิเตอร์บนผนังแล้วโค้งคำนับถวายความเคารพพระบิดา “เสด็จพ่อ”
ภาพบนจอมอนิเตอร์ทำให้เจ้าชายหนุ่มรู้ว่าพระบิดาอยู่บนเครื่องบินส่วนตัว ที่กำลังบินกลับเอจา
“ฝ่าบาท” องครักษ์ทั้งสามรีบถวายความเคารพพระประมุขว่องไว
เจ้าชายอิสมินรีบแก้ต่างทันที พร้อมกับชี้นิ้วไปที่หญิงสาวบนโซฟาหน้าจอ “เสด็จพ่อครับ ลูกไม่ได้ลักพาตัวยัยนี่เลยนะครับ”
“ไม่ต้องมาแก้ตัวเลยนะอิสมินหน้าบูด! ถ้านายไม่ได้ลักพาตัวฉัน แล้วฉันไปอยู่ในห้องนอนของนายได้ยังไงล่ะ? นายวางแผนให้ป้าแก่ๆ เดินชนฉันแล้วฉีดสเปรย์ยาสลบใส่ฉันหน้าร้านอาหารซีซ่านั่น ฉันตื่นขึ้นมาอีกทีก็อยู่ในห้องนอนของนายแล้ว ยังจะมาแก้ตัวอีกเหรอ เชอะ! นายมันไม่เป็นลูกผู้ชายเอาซะเล้ย!” หญิงสาวนามลีอาผุดลุกขึ้นยืนต่อว่าเจ้าชายหนุ่มฉอดๆ
ทำให้เจ้าชายอิสมินกริ้วโกรธยิ่งนัก ขบฟันแน่น ก้าวเท้าพรวดเดียวก็ประชิดตัวหญิงสาวคว้าต้นแขนกลมกลึงบีบแน่นดั่งจะให้แหลกคามือ
“โอ้ย! ชั้นเจ็บนะ!”
“นี่! หยุดทั้งคู่นั้นแหละ! มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!? อิสมินปล่อยลีอาเดี๋ยวนี้!” เสียงห้าวจากลำโพงรีบห้ามทัพทันที เมื่อเห็นว่าพระโอรสและหญิงสาวทะเลาะกันให้เห็นผ่านจอมอนิเตอร์ แม้จะยังไม่ทรงทราบว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างพระโอรสกับหญิงสาวก็ตาม
“หึ!” เจ้าชายอิสมินปล่อยหญิงสาวทันทีแล้วสะบัดมืออย่างขยะแขยง
“ชิ!” ส่วนหญิงสาวก็ปัดต้นแขนบริเวณที่ถูกบีบด้วยกิริยาท่าทีว่ารังเกียจที่เจ้าชายหนุ่มมาถูกเนื้อต้องตัวพร้อมกับถอยห่างจากเจ้าชายหนุ่มไปหลายเมตร จ้องหน้าเจ้าชายอิสมินอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
กษัตริย์อัมมานเห็นทั้งคู่แยกจากกันแล้วจึงไล่เบี้ยเอากับหัวหน้าองครักษ์แทน เพราะขืนรอฟังจากคู่กรณีทั้งสองคงได้ทะเลาะกันตายก่อนที่เขาจะได้ฟังเรื่องราวต่างๆ จนจบเป็นแน่ “ซาอิดเล่ามาซิว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น!”
ซาอิดจึงรีบมายืนอยู่ตรงหน้าจอฯ เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ทราบ “เอ่อ…คือว่าเมื่อคืนนี้ขณะที่เจ้าชายกำลังจะเสด็จออกจากร้านซีซ่า พวกเราเห็นคุณผู้หญิงท่านนี้กำลังจะถูกลักพาตัวตรงหน้าปากซอยข้างร้านซีซ่า เจ้าชายจึงช่วยเหลือไว้ครับ แต่เพราะไม่รู้ว่าคุณผู้หญิงเป็นใคร อยู่ที่ไหน อีกอย่างคุณมิทซ์ก็เล่าให้ฟังว่าคุณผู้หญิงเป็นแขกของฝ่าบาทที่มารับประทานอาหารร่วมกับฝ่าบาทเมื่อค่ำวานนี้ครับ เจ้าชายจึงตัดสินใจพาคุณผู้หญิงท่านนี้กลับมาที่ประทับด้วยครับ พอคุณผู้หญิงฟื้นขึ้นมาจึงเข้าใจผิดว่าถูกเจ้าชายลักพาตัวมาครับ เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันครับ เจ้าชายช่วยคุณผู้หญิงเอาไว้ไม่ให้ถูกลักพาตัวต่างหากครับ”
“ได้ยินชัดรึยัง! ยัยผู้หญิงงี่เง่า! ฉันช่วยเธอไว้นะ จะขอบคุณซักคำก็ไม่มี แถมยังมาทำร้ายผู้มีพระคุณซะอีก ฉันล่ะสงสัยจริ๊ง…จริง ผู้หญิงร้ายกาจอย่างเธอไอ้พวกโจรนั่นมันจะเอาไปทำไมนะ? อ้อ…ฉันรู้แล้ว! เธอต้องไปทำอะไรให้มันโกรธแค้นเอาแน่ๆ มันก็เลยกะจะเอาไปแล่เนื้อโยนให้หมากินล่ะมั้ง?” เจ้าชายอิสมินเยาะเย้ยถากถางหญิงสาวทันทีเมื่อซาอิดเล่าให้พระบิดาฟังจบแล้ว ทำให้หญิงสาวโกรธจนตัวสั่น ชี้หน้าเจ้าชายหนุ่มพร้อมกับต่อว่าฉอดๆ อย่างไม่ยอมแพ้ “เชอะ! อย่างนายถ้าเอาไปแล่เนื้อโยนให้หมามันกินล่ะก็ ฉันว่าหมามันคงเมินแน่ๆ เพราะมันกลัวว่ากินเนื้อนายแล้วมันจะชักกะแด่กๆ ตายน่ะซิ หรือไม่ก็…มันคงกลัวว่า…”
“หยุ้ด! หยุดทะเลาะกันได้แล้ว!” กษัตริย์อัมมานรีบห้ามทัพอีกรอบ ก่อนที่สงครามน้ำลายจะปะทุใหญ่โต ทำให้หญิงสาวชะงักไปยอมสงบปากสงบคำแต่ยังคงจ้องหน้าเจ้าชายหนุ่มเขม็ง “ฮึ!”
ส่วนเจ้าชายอิสมินก็จ้องหญิงสาวด้วยสายตาแบบเดียวกัน
กษัตริย์อัมมานรีบถามหญิงสาวทันที “ลีอาไหนว่ากินข้าวเสร็จแล้วจะรีบกลับบ้านไงล่ะ? ทำไมถึงยังไปเถลไถลอยู่หน้าร้านซีซ่าได้อีกล่ะ?”
“ก็ลีอาลืมแหวนไว้ที่ร้านตอนกินข้าวกับอัมมานนี่เพคะ กว่าจะรู้ว่าลืมไว้ที่นั่นมันก็ดึกมากแล้ว ลีอาก็รีบกลับไปเอาน่ะซิเพคะ” หญิงสาวตอบพร้อมกับชูมือขวาที่ไร้แหวนให้ดู กษัตริย์อัมมานจึงถามต่อ “แล้วลีอาจำหน้าพวกนั้นได้รึเปล่า? จะได้ให้หน่วยสืบสวนสเกทซ์ภาพคนร้ายให้”
“ลีอาจำไม่ได้เพคะ คือว่ามันมืดเพคะก็เลยเห็นหน้าไม่ชัด จำได้ว่าถูกผู้หญิงแก่ๆ อ้วนๆ ชนแล้วเขาก็เอาสเปรย์ฉีดใส่หน้า หลังจากนั้นลีอาก็ไม่รู้เรื่องแล้ว ตื่นมาอีกทีก็อยู่ในห้องนอนของอิสมินหน้าบูดแล้วเพคะ” หญิงสาวตอบพร้อมกับชี้ไปที่เจ้าชายอิสมิน ทำให้เจ้าชายหนุ่มทรงดำริอยากจะตีมือน้อยๆ ข้างนั้นที่ช่างบังอาจมาชี้เขาอย่างไร้มารยาท หนอย! บังอาจนักนะ! กล้ามาชี้หน้าฉันอย่างนี้ได้ไงห๊า! มันน่าฟาดให้มือหักนักเชียว!
องค์อัมมานถามแกมตำหนิพระโอรสทันที “อิสมิน ห้องรับรองแขกก็มีตั้งมากมายทำไมต้องพาลีอาไปที่ห้องนอนของเจ้าด้วย?”
“เอ่อ…ลูก…เอ่อคือว่าลูก…ลูกไม่ขอตอบคำถามนี้ครับ ทูลลาครับ” เจ้าชายอิสมินทรงอึกอักเล็กน้อยก่อนจะตัดบททูลลาพระบิดาไปดื้อๆ เสด็จออกจากห้องโถงโดยเร็ว ทำให้ทุกคนในห้องงงกันเป็นแถว “เอ่อ…”
ยกเว้นหญิงสาวที่จ้องเจ้าชายหนุ่มอย่างโกรธจัด “ฮึ!”
กษัตริย์อัมมานจึงถามหญิงสาวเสียงนุ่มนวล “ลีอา อิสมินมันทำอะไรเจ้าหรือเปล่า?”
หญิงสาวหน้าแดงเล็กน้อยก่อนจะตอบไม่เต็มเสียงนัก ทั้งๆ ที่อยากจะฟ้องแทบแย่ว่าเธอตื่นขึ้นมาในสภาพใด แต่ก็ตัดใจไม่พูดเพราะกลัวว่านางกำนัลอาวุโสผู้ดูแลเธอเมื่อคืนนี้นางนั้นจะถูกตำหนิเอาได้ “เอ่อ…ไม่ได้ทำอะไรเพคะ มีนางกำนัลคนหนึ่งคอยดูแลลีอาเป็นอย่างดีเพคะ”
“อย่างงั้นรึ งั้นก็แล้วไป” กษัตริย์อัมมานเอ่ยกับหญิงสาวแล้วจึงสั่งหัวหน้าองครักษ์ “ซาอิด! สืบหามาให้ได้ว่าโจรลักพาตัวพวกนั้นเป็นใคร แล้วรีบมารายงานฉันทันที”
“ครับฝ่าบาท” ซาอิดรีบรับคำสั่ง
กษัตริย์อัมมานจึงสั่งให้ทุกคนออกไปให้หมดเพราะประสงค์จะสนทนากับหญิงสาวตามลำพัง “เอาล่ะ! ออกไปให้หมด ฉันจะคุยกับลีอา”
“เพคะฝ่าบาท หม่อมฉันทูลลาเพคะ”
“ครับฝ่าบาท กระหม่อมทูลลาครับ” ทุกคนรีบถวายความเคารพแล้วออกจากห้องโถงจนหมด เหลือเพียงหญิงสาวสนทนากับกษัตริย์อัมมานผ่านระบบวีดีโอคอลเพียงลำพัง
เมื่อพ้นห้องโถงออกมาเท่านั้นนางกำนัลสองนางก็ถูกท่านหัวหน้าองครักษ์ลากตัวไปสอบถามเกี่ยวกับหญิงสาวในห้องโถงทันที “ตามฉันมาทางนี้หน่อย ฉันอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? ใช่คนที่เค้าลือกันว่าเป็นคนที่องค์อัมมานทรงโทรหาทุกวันรึเปล่า?”
นางกำนัลทั้งสองมองหน้าองครักษ์ทั้งสามคนของเจ้าชายอิสมินก่อนจะตอบคำถามพร้อมกับส่ายหน้า “พวกดิฉันก็ไม่รู้เหมือนกันเจ้าค่ะ ว่าคุณลีอาเธอเป็นใคร? รู้แต่ว่าองค์อัมมานทรงมีพระบัญชาให้พวกเราคอยรับใช้เธอให้ดีอย่าให้มีอะไรขาดตกบกพร่องเป็นอันขาด หากคุณลีอาเธอต้องการสิ่งใดให้พวกเราจัดหาให้เธอทันที ส่วนจะใช่คนที่องค์อัมมานโทรหารึเปล่านั้น? อันนี้พวกเราก็คิดๆ ว่าน่าจะใช่เจ้าค่ะ เพราะว่าพวกเราเห็นองค์อัมมานเอาใจใส่เป็นห่วงเป็นใยคุณลีอามากๆ เจ้าค่ะ มากอย่างที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
ซาอิดได้ยินดังนั้นก็นิ่งเงียบไป
ราอูลจึงสอบถามนางกำนัลทั้งสองนางต่อ “แล้วคุณผู้หญิงท่านนั้นมาที่นี่บ่อยไหม?”
“คุณลีอาเธอพึ่งจะมาที่นี่เป็นครั้งแรกก็เมื่อวานนี้ตอนบ่ายเจ้าค่ะ มาเข้าเฝ้าองค์อัมมานไม่นานแล้วเธอก็กลับไปเจ้าค่ะ หลังจากนั้นองค์อัมมานก็มีรับสั่งให้พวกเราคอยรับใช้เธอเวลาเธอมาที่นี่ ท่านอนุญาตให้เธอเข้านอกออกในได้ทุกแห่งไม่เว้นแม้แต่ห้องนอนแม้แต่เวลาที่ท่านไม่ได้ประทับอยู่ที่นี่ก็ตาม ข้อนี้แหละเจ้าค่ะที่ทำให้พวกดิฉันคิดว่าคุณลีอาน่าจะเป็นคนที่องค์อัมมานโทรหาทุกวันเจ้าค่ะ แถมยังทรงสั่งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องแต่งตัวของผู้หญิงจากห้องเสื้อต่างๆ ด้วยพระองค์เองอีกต่างหาก แม้แต่ชุดชั้นในก็ยังสั่งให้ด้วยเลยเจ้าค่ะ ท่านสั่งว่าเอาไว้ให้คุณลีอาใช้เวลาเธอมาที่นี่ พวกเรางี้งงกันหมดเลยเจ้าค่ะ แล้วพอเมื่อเช้าคุณลีอาเธอก็มาเจ้าค่ะ แต่มาแบบใส่เสื้อนอนตัวเดียวมานะเจ้าค่ะ พวกดิฉันล่ะอึ้งไปเลย พอมาถึงเธอก็ถามแค่ว่าห้องจัสมินอยู่ที่ไหน พอคุณลีอาเข้าไปในห้องจัสมินแล้วเธอก็อาบน้ำแต่งตัวใหม่แล้วก็ออกมาเปิดคอมพิวเตอร์แชทกับองค์อัมมานก่อนที่เจ้าชายอิสมินจะเสด็จมานิดเดียวเองเจ้าค่ะ องค์อัมมานต้องบอกเธอไว้แล้วล่ะเจ้าค่ะว่าสั่งให้จัดห้องจัสมินไว้ให้เธอโดยเฉพาะเจ้าค่ะ แหมแต่ถึงขนาดองค์อัมมานทราบไซส์ชุดชั้นในของคุณลีอาเป๊ะๆ ขนาดนี้ ท่านทั้งสามก็คิดเอาเองเถอะเจ้าค่ะว่าคุณลีอาควรจะอยู่ในฐานะใด? มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับองค์อัมมานขนาดไหน?”
คำบอกเล่าจากปากนางกำนัลทำให้องครักษ์ทั้งสามนิ่งอึ้งไปเลย นางกำนัลเห็นองครักษ์ทั้งสามเงียบสนิทไม่พูดไม่จาจึงขอตัวไปทำงานต่อ “หากพวกท่านไม่มีอะไรแล้วพวกดิฉันก็ขอตัวไปทำงานก่อนนะเจ้าคะ”
ทั้งสองนางเอ่ยเสร็จก็พากันเดินจากไป ทิ้งให้องครักษ์ทั้งสามมองตากันปริบๆ ยืนนิ่งเป็นเสาหินอยู่ตรงนั้น
มาลิกเอ่ยพึมพำออกมาเบาๆ “แล้วนี่มันจะเป็นยังไงต่อล่ะท่านซาอิด? ท่านก็รู้นิสัยเจ้าชายดีว่าหวงองค์อัมมานขนาดจงอางหวงไข่ยังชิดซ้ายไปเลย กระผมล่ะไม่อยากจะคิดถึงเล้ย!”
“ก็ไม่ต้องคิดให้มันปวดขมองเลยมาลิก ราอูล เจ้าชายอิสมินต้องทำทุกวิธีทางที่จะทำให้คุณผู้หญิงคนนั้นกระเด็นออกจากชีวิตองค์อัมมานแน่ๆ คอยดูกันต่อไปซิ เอ้า! ไปกันได้แล้ว พวกเจ้าสองคนไปรายงานเจ้าชายตามที่นางกำนัลเล่าให้ฟังอย่าให้ขาดตกบกพร่องแม้แต่ข้อความเดียวล่ะ ส่วนฉันจะรีบไปทำตามคำสั่งขององค์อัมมานที่ให้สืบเรื่องโจรพวกนั้น” ซาอิดสั่งความลูกน้อง
ทำให้ราอูลรีบตอบแข็งขันพร้อมกับโชว์โทรศัพท์มือถือสุดไฮเทคในมือให้ดู “ท่านซาอิดไม่ต้องห่วงขอรับ ทุกคำไม่มีตกหล่นอัดไว้หมดแล้วครับกระผม”
ซาอิดยิ้มให้กับความทะเล้นของลูกน้องที่ช่างรอบคอบสมกับที่ได้อบรมสั่งสอนกันมา แล้วองครักษ์ทั้งสามก็แยกย้ายกันไปทันที
เจ้าชายอิสมินหลังจากเสด็จออกจากห้องโถงที่ประทับของพระบิดาก็ตรงดิ่งเข้าห้องนอนของเขา พร้อมกับมีคำสั่งให้นางกำนัลซึ่งกำลังทำความสะอาดห้องออกไปจนหมด “พวกคุณออกไปให้หมด”
“เพคะฝ่าบาท” เหล่านางกำนัลถวายความเคารพแล้วก็ออกจากห้องนอนพร้อมกับปิดบานประตูห้องนอนให้เรียบร้อย
เจ้าชายอิสมินนั่งบนเตียงนอน เงยหน้าจ้องมองเพดานห้องนอนด้วยสายตาดุดันพร้อมกับต่อว่าหญิงสาวฝากลมฝากแล้ง “หนอย! ช่างฟ้องจริงนะ อยากให้เสด็จพ่อด่าฉันล่ะซิท่ายัยผู้หญิงปากเสีย! คอยดูเถอะ! ฉันจะทำให้เธอกระเด็นออกจากชีวิตเสด็จพ่อไปไกลๆ เล้ย!”
ก็อก! ก็อก! ก็อก! เสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้นพร้อมกับเสียงขององครักษ์คนสนิท “ฝ่าบาทครับ ผมมาลิกกับราอูลขอเข้าเฝ้าครับ”
“เข้ามาได้” เจ้าชายอิสมินสั่งแล้วลุกจากเตียงนอนก้าวไปนั่งบนโซฟานุ่มข้างหน้าต่าง สั่งพร้อมกับมององครักษ์คนสนิททั้งสอง “ได้เรื่องอะไรมาก็รีบๆ พูดมา”
“ผมว่าฟังคำบอกเล่าของนางกำนัลเองดีกว่าครับ” ราอูลไม่รอช้ารีบเปิดไฟล์บันทึกเสียงของนางกำนัลจากโทรศัพท์มือถือให้ฟังโดยเร็ว
ระหว่างที่เจ้าชายอิสมินฟังคำบอกเล่าของนางกำนัลก็ขบฟันแน่น “ฮึ่ม!”
จนกระทั่งฟังจนจบก็ตบมือลงบนเท้าแขนโซฟาทำให้องครักษ์ทั้งสองสะดุ้งสุดตัวแม้จะเตรียมใจมาแล้วว่าจะต้องกริ้วมากแน่ๆ
“หนอย! นี่ถึงขนาดที่เสด็จพ่ออนุญาตให้ยัยนั่นใช้ที่ประทับของท่านได้ตามสบายเลยงั้นรึ! หนำซ้ำยังสั่งให้จัดห้องไว้ให้เธออยู่อีกด้วย แล้วยังซื้อเสื้อผ้าประทานให้เธออีกต่างหาก แม้แต่ชุดชั้นในยังซื้อมาประทานให้เธอใส่ โธ่โว้ย! มันจะมากไปแล้วนะ! ไม่มีปัญญาซื้อใส่เองรึไงห๊ายัยผู้หญิงหน้าด้าน! ถึงต้องให้เสด็จพ่อซื้อให้ใส่น่ะ!” เจ้าชายอิสมินตะโกนเสียงดังแหงนหน้ามองเพดานห้องนอนต่อว่าหญิงสาวฝากลมฝากแล้ง แล้วก็หันมาสั่งกับองครักษ์ทั้งสองทันที “คุณสองคนให้ลูกน้องตามดูยัยผู้หญิงนี่เอาไว้ให้ดี ไปที่ไหน ทำอะไรมั่ง แล้วคอยรายงานฉันทุกระยะ สืบเรื่องของยัยนี่มาให้ละเอียดยิบ แต่อย่าให้รู้ตัวเป็นอันขาดล่ะ”
“ครับฝ่าบาท” มาลิกรับคำสั่งแล้วก็โทรสั่งความกับลูกน้องทันที
เจ้าชายอิสมินบ่นพึมพำกับตัวเองเองเมื่อคิดได้ว่าลืมถามเรื่องของหญิงสาวนางนั้นกับพระบิดาเสียสนิท “โธ่เอ้ย! ไม่น่าเล้ย! ลืมถามเสด็จพ่อไปเลยว่ายัยผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร เป็นอะไรกับเสด็จพ่อ มัวแต่โกรธยัยนั่นจนลืมถามไปเลย ไม่น่าลืมเลย เฮ้อ…”
บ่นเสร็จแล้วก็หันไปถามราอูลถึงพระราชกรณียกิจที่ต้องทำในวันนี้ว่ามีอะไรบ้าง “เอาล่ะวันนี้ฉันต้องทำอะไรที่ไหนมั่ง?”
ราอูลเปิดตารางนัดหมายพร้อมกับทูลรายงานให้ทรงทราบ
ทำให้เจ้าชายอิสมินทรงปัดเรื่องของหญิงสาวออกจากสมองชั่วคราวแล้วหันมาใส่ใจกับพระราชกรณียกิจที่มีมากมาย
ณ ไนท์คลับสุดหรูแห่งหนึ่งของมหานครนิวยอร์ก
มุมหนึ่งของไนต์คลับเจ้าชายอิสมินนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าผองเพื่อน มีหญิงงามนุ่งน้อยห่มน้อยอยู่ในอ้อมแขนทั้งสองข้าง ซึ่งเพื่อนก็ไม่น้อยหน้า ต่างก็มีหญิงงามคอยปรนนิบัติกันทั้งนั้น
องครักษ์ของเจ้าชายอิสมินและบรรดาผู้ติดตามของผองเพื่อนยืนดูแลรักษาความปลอดภัยไม่ห่าง
เสียงพูดคุยสนทนาและเสียงหัวเราะดังเป็นระยะ ยิ่งเรื่องที่คุยกันเป็นเรื่องตลกเสียงหัวเราะยิ่งดังสนั่นกว่าเดิม
จนกระทั่งหนึ่งคนในกลุ่มชี้ให้ดูนักท่องราตรีชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งเพึ่งเดินเข้ามาภายในไนท์คลับ “เฮ้ย ดูผู้ชายคนนั้นซิ! ใช่อเล็กซ์รึเปล่า? เสื้อยืดสีเขียวๆ หัวทองๆ นั่นน่ะ น่าจะใช่อเล็กซ์นะ”
“ไหนๆ? อ้อ…กับผู้หญิงผมยาวๆ นั่นใช่ป่ะ?”
ทุกคนในกลุ่มต่างหันไปมองชายหญิงคู่นั้นทันที
“เออใช่อเล็กซ์จริงๆ ด้วย เฮ้ย! น้ำต้องท่วมโลกแน่ๆ เลยวุ้ย! อเล็กซ์ควงหญิงมาด้วย!”
“โอ้…มายก็อด! ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นมันควงหญิงเลยโว้ย แม่สาวคนนั้นเป็นใครกันหว่า? ช่วยๆ กันดูหน่อยดิ เคยเห็นหน้ารึเปล่า?”
สายตาของคนทั้งกลุ่มเพ่งมองผ่านแสงสีวิบวับจับจ้องไปที่หญิงสาวร่างบางผมสีบรอนซ์ยาวในชุดเดรสสั้นสีส้มอ่อนข้างชายหนุ่มเจ้าของร่างสูงหกฟุตเศษนามอเล็กซ์ที่เพื่อนๆ เรียกขาน ผู้มีใบหน้ารูปไข่สวยหวานดั่งหญิงงาม คิ้วหนาเข้มเน้นดวงตาสีเขียวมรกต จมูกโด่งปลายเชิดขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากสีแดงสด ผิวขาวผ่อง ผมยาวสีทองประบ่าสะบัดปลายเล็กน้อย ส่งให้ชายหนุ่มงดงามดั่งเทวดา
เมื่อได้เห็นใบหน้าหญิงสาวข้างชายหนุ่มรูปงามชัดถนัดตาเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังระงมทันที “โห…โคตะระสวยเลยโว้ย! นางฟ้าตกจากสวรรค์รึเปล่าวะ?”
“มิสเวิล์ดปีนี้อ่ะเปล่า? อ่ะ! นั่นอเล็กซ์กะแม่สาวคนนั้นกำลังเดินมาทางนี้แล้วโว้ย”
ขณะที่เพื่อนๆ ทั้งกลุ่มกำลังสนใจหญิงสาวข้างกายชายหนุ่มรูปงามกันทั้งกลุ่มแต่เจ้าชายอิสมินกลับเงียบไปเฉยๆไม่พูดอะไรเลย ดื่มเหล้าและเครื่องว่างที่หญิงงามสองนางช่วยกันป้อนให้ จนเพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ รู้สึกผิดสังเกตจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “เฮ้ย…อิสมินเป็นไรวะ? ไม่พูดไม่จาเลยนั่งเงียบเป็นสากกะเบือตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว เป็นไรรึเปล่า?”
“เปล่านี่ ปกติดี เอ้า ป้อนต่อซิจ๊ะคนสวย” เจ้าชายอิสมินปฏิเสธแล้วอ้าปากกินเครื่องว่างต่อ แต่ในใจก่นด่าหญิงสาวข้างกายเพื่อนนามอเล็กซ์เป็นกระบุงโกย ชิช่ะ! เมื่อวานนี้ยังกินข้าวกับเสด็จพ่ออยู่แท้ๆ พอเสด็จพ่อเสด็จกลับเอจาแล้วก็รีบแจ้นหาเหยื่อรายใหม่เลยนะ! ยัยผู้หญิงโสโครก! น่ารังเกียจสิ้นดี! ระริกระรี้จริงนะผ่านผู้ชายมากี่พันกี่หมื่นคนแล้วล่ะ!?
“เฮ้ย อเล็กซ์ลมอะไรหอบแกมาถึงนิวยอร์กได้ล่ะ?”
“สวัสดีอเล็กซ์ นานแล้วนะที่ไม่ได้เจอหน้าแก สบายดีรึป่ะ? นั่งคุยกันก่อนซิ”
“อเล็กซ์แนะนำน้องสาวคนสวยที่มากะแกให้พวกเรารู้จักหน่อยดิ”
“อเล็กซ์หุ้นบริษัทไหนกำลังร่วงมั่งฟะ? จะได้รีบช้อนซื้อเอามาเก็งกำไรเล่น”
เสียงถามเซ็งแซ่ดังเป็นชุดแข่งกับเสียงเพลงตะโกนถามชายหนุ่มรูปงามนามอเล็กซ์มาแต่ไกล
จนอเล็กซ์หรือเจ้าชายอเล็กซ์ซิส เซซาเลย์ องค์รัชทายาทจากประเทศกรีเซอเนียเสด็จมาถึงโต๊ะที่เพื่อนร่วมรุ่นจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียนั่งชุมนุมสังสรรค์กันอยู่ เขาทักทายกับบรรดาเพื่อนๆ “สวัสดีทุกคน สบายดีกันรึเปล่า?”
“สบายดี” ทุกเสียงตอบพร้อมเพรียงแต่ตาจับจ้องหญิงสาวข้างกายเจ้าชายอเล็กซิสกันเป็นแถว “อะฮึ่มๆ”
จนเจ้าชายอเล็กซิสต้องรีบแนะนำตัวหญิงสาวให้เพื่อนๆ ได้รู้จัก “อะแฮ่มๆ ทุกท่านขอรับ กระผมขอแนะนำให้รู้จักกับมิสลีอา มิยาโบวิทซ์สุดที่รักของกระผมเองขอรับ”
เขาโอบเอวหญิงสาวข้างกายดั่งจะประกาศให้รู้ว่า ‘ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ’ แล้วหันไปแนะนำให้หญิงสาวได้รู้จักกับเพื่อนๆ ของเขาด้วยเสียงอ่อนโยนหวานจ๋อย “ลีอาจ๋ารู้จักกับเพื่อนๆ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยโคลัมเบียของอเล็กซ์ไว้ซิจ๊ะ จำหน้าเอาไว้ให้แม่นๆ นะลีอา เห็นที่ไหนจะได้เผ่นไปให้ไกลๆ พวกมันหลายพันไมล์ยิ่งดีนะจ๊ะ เพราะไอ้พวกนี้มันเสือผู้หญิงไว้ใจไม่ได้นะจ๊ะ”
“อ้าว…อเล็กซ์ไหงปากเสียแต่หัวค่ำเลยล่ะ?”
“เฮ้ย…พูดงี้มาต่อยกันเลยดีกว่ามั้งอเล็กซ์?”
บรรดาเพื่อนๆ ร่วมรุ่นต่างพากันชูกำปั้นให้เจ้าชายอเล็กซิสกันเป็นแถว แถมค้อนปะหลับปะเหลือกกันตาคว่ำ “หนอย!”
“ฮ่าๆๆๆ…” เจ้าชายอเล็กซิสหัวเราะร่าเริง พลอยทำให้หญิงสาวหัวเราะไปด้วย “คริๆๆๆ…”
มีเพียงเจ้าชายอิสมินเพียงคนเดียวที่นิ่งเงียบ ยักคิ้วทักทายเจ้าชายอเล็กซิสทีนึงแล้วก็หันไปสนใจกินเครื่องว่างต่อ พร้อมกับโอบสองสาวงามข้างกายให้แนบชิดยิ่งขึ้น
Chapter 5 อเล็กซ์
เหล่าเพื่อนๆ ส่งค้อนจนพอใจแล้วจึงเชื้อเชิญให้เจ้าชายอเล็กซิสนั่งเสวนาด้วยกันก่อน “อเล็กซ์นั่งคุยกันก่อนซิ ไม่ได้เจอกันตั้งนานฝูงไฮยีน่าในปากฉันมันอยากออกกำลังกายเต็มทน เชิญมิสมิยาโบวิทซ์ด้วยครับ ขอรบกวนเวลาจู๋จี๋สวีทหวานซักครู่นะครับ”
“อ้าว! ก็ลองไม่ให้นั่งด้วยดิ มีเรื่องแน่! อุตส่าห์ถ่อสังขารมาที่นี่เพราะจะมาคุยกับพวกนายนี่แหละ” เจ้าชายอเล็กซิสนั่งลงบนโซฟาที่พนักงานในร้านยกมาเสริมให้ พร้อมกับรั้งหญิงสาวให้นั่งลงข้างๆ ตัวเอง บรรดาเพื่อนๆ ต่างพากันรีบแนะนำตัวกับหญิงสาวพร้อมกับยื่นมือมาให้หญิงสาวจับทักทายตามแบบสากล ซึ่งหญิงสาวก็จับมือทักทายพูดคุยตอบตามมารยาทจนครบทุกคนยกเว้นเจ้าชายอิสมิน
“หือ?” ทำให้เจ้าชายอเล็กซิสถามด้วยความสงสัยที่เห็นเพื่อนรักเงียบเฉยไม่พูดไม่จาแถมยังมองหญิงสาวข้างเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม “อิสมินเป็นอะไรไป? ตั้งแต่ฉันมาถึงยังไม่เห็นนายพูดซักคำเลยนะ”
คำถามของเจ้าชายอเล็กซิสทำให้เจ้าชายอิสมินรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วตอบด้วยเสียงราบเรียบ “ฉันไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย เพียงแต่ทุกคนแย่งกันพูดจนฉันไม่มีโอกาสจะพูดเลยต่างหาก แล้วนายมาถึงนิวยอร์กเมื่อไหร่ล่ะ?”
“เมื่อวานนี้เอง” เจ้าชายรูปงามตอบพร้อมกับหรี่ตามองเพื่อนรักนิดหนึ่งพร้อมกับคิดในใจด้วยความสงสัย เอ…วันนี้อิสมินมันนั่งเงียบผิดสังเกตเลยวุ้ย แถมยังมองลีอาแปลกๆ ซะด้วยซิ!
ความคิดหยุดชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงเพื่อนๆ หลายเสียงชวนหญิงสาวพูดคุยสนทนาด้วย ซึ่งแต่ละคำถามทำให้เขารู้สึกหมั่นไส้บรรดาเพื่อนๆ นิดๆ จนเกิดอาการคันปากยิกๆ อดที่จะเบรกบรรดาเพื่อนๆ ไม่ได้ “โห…ให้มันน้อยๆ หน่อยขอรับคุณเพื่อนๆ ทั้งหลาย ไอ้ที่ถามๆ กันมานี่กะจะชวนคุยหรือกะจะชวนไปทำลูกกันเลยล่ะขอรับ? แหม…ถามมาได้ ขอโทษนะครับคุณมีแฟนหรือยังครับ? คุณเรียนที่ไหนทำงานอะไรครับ? เวลาว่างคุณชอบทำอะไรครับ? ผมขอเบอร์โทรศัพท์ของคุณได้รึเปล่าครับ?”
“ขอประทานโทษนะขอรับไอ้คุณเพื่อนๆ ขอรับ กระผมว่ากระผมได้แนะนำไปแล้วนะขอรับว่านี่สุดที่รักของกระผมเองขอรับ แต่ไม่เป็นไรขอรับประเดี๋ยวกระผมจะช่วยตอบแทนให้นะขอรับ สุดที่รักของกระผมกำลังเรียนด๊อกเตอร์ดีกรีที่ London School Economics ขอรับ เวลาว่างชอบไปสนามยิงปืนเป็นเพื่อนกระผมขอรับ แต่ขอบอกว่าคุณเธอยิงแม่นกว่ากระผมอีกนะขอรับ”
“ส่วนเบอร์โทรศัทพ์กระผมว่าทุกท่านก็มีกันอยู่แล้วไงขอรับ เบอร์ของกระผมไงขอรับคุณเพื่อนๆ ทุกท่าน เพราะคุณเธอทำงานที่เดียวกับกระผมเองขอรับ ขอแถมอีกนิดนะขอรับว่าที่พักของคุณเธอกับที่พักของกระผมก็ที่เดียวกันอีกด้วยขอรับ เอาล่ะ! จบการบรรยายรีซูเม่ของมิสมิยาโบวิทซ์แล้วขอรับ มีใครจะถามอะไรอีกไหมขอรับ? กระผมจะได้ช่วยตอบให้หายข้องใจ โอ้ย! ลีอาจ๋าอเล็กซ์เจ็บนะจ๊ะ”
เสียงตอนท้ายร้องเสียงดังเพราะโดนปูหนีบจากหญิงสาวเข้าให้หนึ่งทีแถมค้อนอีกหนึ่งวง “ฮึ!”
“ก็อเล็กซ์พูดซะจนคนอื่นเค้าหมั่นไส้หมดแล้ว เค้าแค่อยากชวนลีอาคุยด้วยเท่านั้นเองนะคะ ฮึ!” หญิงสาวค้อนให้อีกวง ทำให้บรรดาเพื่อนๆ พากันแขวะเจ้าชายรูปงามกันยกใหญ่ “โห…อเล็กซ์ทำเป็นหวงไปได้ แค่กลัวว่าน้องเค้าจะเหงาก็เลยหาเรื่องชวนคุยด้วยเท่านั้นเองนะเฟ้ย!”
“อเล็กซ์ถ้าหวงมากขนาดนี้ก็เก็บเอาไว้ให้อยู่แต่ในบ้านเลยซิ อ่ะโด่! กะจะไม่ให้น้องเค้าคุยกะพวกเราเลยรึไงฟะ!”
“น้องครับ พี่ว่าน้องคิดผิดคิดใหม่ได้นะครับ มันหวงซะขนาดนี้พี่ว่าต่อไปในอนาคตน้องคงต้องแต่งตัวแบบผู้หญิงมุสลิมแหงๆ เลยครับ คลุมหน้าจนเห็นแต่ลูกกะตาแน่ๆ แล้วอีกหน่อยมันคงห้ามน้องพูดกับผู้ชายทุกคนยกเว้นมันคนเดียวแน่ๆ เลยครับ”
เจ้าชายอเล็กซิสพูดแทรกทันที “ถ้าทำอย่างงั้นได้ล่ะก็…ฉันทำไปนานแล้วล่ะเฟ้ย! แต่แม่เจ้าประคุณคงยอมหร้อก”
เขาเหลือบมองหญิงสาวข้างกายนิดๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “ถ้าวันไหนไม่ได้หาเรื่องมาให้ฉันปวดหัวล่ะก็นะ แม่เจ้าประคุณสุดที่รักคนนี้ของฉันนอนไม่หลับหร้อก! โอ้ย!”
สิ้นเสียงของเจ้าชายอเล็กซิส มือน้อยๆ ก็หยิกหมับเข้าที่ต้นแขน ค้อนให้อีกรอบพร้อมทั้งต่อว่าเจ้าชายรูปงาม “อเล็กซ์น่ะ! พูดซะลีอาเสียหมดเลย ลีอาไม่คุยด้วยแล้ว เชอะ!”
หญิงสาวงอนป่องๆ ใส่เจ้าชายอเล็กซิส ทำให้เพื่อนๆ ของเจ้าชายรูปงามหัวเราะกันครื้นเครง ซึ่งเจ้าชายรูปงามก็รีบง้อหญิงสาวทันที คว้ามือน้อยๆ ประคองไว้ในอุ้งมือ เอ่ยถ้อยคำหวานๆ เอาใจทันทีก่อนที่เจ้าหล่อนจะงอนไปมากกว่านี้ “ลีอาจ๋า ถึงลีอาจะคอยขยันหาเรื่องปวดหัวมาให้อเล็กซ์ทุกวัน แต่อเล็กซ์ก็ยังรักลีอานะจ๊ะ อย่างอนเลยนะ นะจ๊ะคนดี๊คนดี”
“ลีอามันคนไม่ดี! ไม่ต้องมายุ่ง!” เสียงหวานใสยังติดแง่งอนหน่อยๆ แถมชักมือออกจากมือใหญ่เชิดหน้ามองไปทางอื่น
ทำให้เจ้าชายอเล็กซิสรีบหันไปกระซิบบอกบริกรสาวที่อยู่ใกล้ๆ สั่งความบางอย่างได้ยินตอนท้ายเพียงว่า ‘ด่วน!’
บริกรสาวนางนั้นรีบเดินฉับๆ ไปทำตามรับสั่งอย่างว่องไว แล้วเจ้าชายรูปงามก็หันมาง้อหญิงสาวต่อ “ลีอาจ๋า อเล็กซ์ผิดไปแล้วครับ ยกโทษให้อเล็กซ์ด้วยคร้าบ”
เขาประคองใบหน้างดงามให้หันมามองตัวเอง พร้อมกับทำตาละห้อยร้องขอให้หญิงสาวยกโทษให้เขา จนหญิงสาวกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ “โอ้ย ไม่ไหวแล้วดูอเล็กซ์ทำหน้าเข้าซิ ยังกับลูกแมวในหนังการ์ตูนเรื่องเชร็คเลย”
เจ้าชายอเล็กซิสแย้มยิ้มที่สามารถทำให้หญิงสาวหัวเราะได้ แม้จะมีเสียงจากบรรดาเพื่อนๆ แซวมาให้ได้ยินก็ไม่สนใจ ขอเพียงให้หญิงสาวหายงอนหากต้องทำอะไรมากกว่านี้เขาก็จะทำทันที
“เออ…เหมือนจริงๆ ด้วยวุ้ยพวกเรา”
“โถ…เพื่อนเราเป็นไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่”
“เออหนอ…ความรักช่างเปลี่ยนคนได้จริงๆ”
จู่ๆ เสียงดนตรีก็เงียบไป เจ้าชายอเล็กซิสยืนขึ้นพร้อมกับโค้งให้หญิงสาวด้วยท่วงท่าสง่างามพร้อมกับเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เพลงนี้เพื่อเจ้าหญิงของพี่ เต้นรำกับพี่ซักเพลงนะ นะจ๊ะลีอาคนดี”
หญิงสาวมองมือใหญ่ที่ยื่นมาตรงหน้าแล้วเงยหน้าจ้องหน้าเจ้าชายอเล็กซิสด้วยสายตาที่ทำให้เจ้าของมือใหญ่ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวว่าสาวเจ้าจะปฏิเสธ
แต่พอเสียงเพลงเริ่มบรรเลงขึ้น รอยยิ้มละไมก็ประดับบนใบหน้างดงามพร้อมกับมือน้อยที่วางลงบนมือใหญ่ หญิงสาวฉีกยิ้มเอ่ยบอกร่าเริง “ก็ได้เพคะ จะพลาดได้ไงล่ะเพคะ ก็เพลงนี้เป็นเพลงของเรานี่เพคะ”
แล้วร่างบางงดงามก็ลุกขึ้นตามแรงฉุดจากมือใหญ่ หญิงสาวย่อตัวลงถอนสายบัวด้วยท่วงท่าสง่างามให้เจ้าชายอเล็กซิสก่อนจะเกาะท่อนแขนเดินตามเสด็จเจ้าชายรูปงามไปยังฟลอร์เต้นรำ แล้วทั้งสองก็พริ้วไหวไปตามจังหวะเพลงด้วยท่วงท่าสง่างามสะกดสายตาทุกคู่จนไม่อาจจะละสายตาจากทั้งคู่ไปได้แม้แต่วินาทีเดียว ไม่เว้นแม้แต่เจ้าชายอิสมินก็ตกอยู่ในห้วงมนต์สะกดด้วยเช่นเดียวกัน มองตามทั้งคู่ไปตลอด จนกระทั่งเพลงจบลงทั้งสองก็โค้งคำนับให้แก่กันเรียกเสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหวก้องไนท์คลับสุดหรู
เจ้าชายอิสมินรู้สึกตัวทันที รีบเมินสายตาไปทางอื่นก่นด่าหญิงสาวอยู่ในใจ ชิ! ทำเป็นระริกระรี้หน้าระรื่น น่าหมั่นไส้ซะจริ๊ง!
เพลงใหม่เริ่มบรรเลงขึ้นแต่เจ้าชายอเล็กซิสหาได้พาหญิงสาวกลับไปที่โต๊ะไม่ เขาขอหญิงสาวเต้นรำด้วยอีกเพลงหนึ่ง
ซึ่งบรรดาเพื่อนๆ ต่างชื่นชมความงามของหญิงสาวกันไม่หยุด
“สวย งดงาม สง่างาม…”
“โอ้…แม่คุณเอ้ย ทั้งสวยทั้งหล่อ สมกันยังกะกิ่งทองใบหยก อเล็กซ์มันช่างโชคดีจริงๆ หาแฟนได้สวยยังกะเทพธิดา”
“โอ้ย! อิจฉาตาร้อนโว้ย! เมื่อไหร่ตูจะหาแฟนสวยๆ ได้อย่างมันมั่งนะ?”
“ทำไมแฟนเราไม่สวยอย่างนี้มั่งนะ เฮ้อ…”
เจ้าชายอิสมินได้ฟังเพื่อนๆ ชื่นชมความงามของหญิงสาวกันไม่หยุด อดที่จะโมโหไม่ได้จนหลุดปากเอ่ยเหยียดหยามหญิงสาวออกมา “เชอะ! ก็แค่ผู้หญิงหน้าด้านที่ยอมเอาตัวเข้าแลกกับความสุขความสบายเท่านั้นแหละ”
“ห๊า? อะไรนะอิสมิน? เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ? ฉันได้ยินไม่ถนัดพูดใหม่อีกทีซิ”
สายตาของเพื่อนๆ ต่างจับจ้องมาที่เจ้าชายอิสมินเป็นตาเดียว ทำให้เจ้าชายหนุ่มรู้สึกตัวรีบเบี่ยงเบนความสนใจบรรดาเพื่อนๆ ด่วนจี๋ แล้วสายตาก็สะดุดกับนักท่องราตรีสาวกลุ่มหนึ่งที่กำลังส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอยู่หน้าเคาน์เตอร์บาร์เทนเดอร์ เขาเลยชี้มือไปที่นักท่องราตรีสาวกลุ่มนั้นพร้อมกับรีบเอ่ยกับเหล่าเพื่อนๆ ว่า “ฉันหมายถึงแม่พวกนั้น ท่าทางจะเป็นคุณโส*ไฮโซเข้ามาหาจับแขกที่นี่ ถ้าพวกนายอยากจะได้คู่นอนชั่วคืนไปนอนกอดซักคนสองคนก็ลองเข้าไปทาบทามดูซิ ฉันว่าคงไม่ผิดหวังหรอก”
บรรดาเพื่อนๆ จึงหันไปมองสาวๆ กลุ่มนั้นแทน “อืม…”
เจ้าชายอิสมินลอบถอนหายใจที่สามารถเอาตัวรอดจากบรรดาเพื่อนๆ มาได้ เฮ้อ…เกือบไม่รอดซะแล้วซิเรา ขืนไอ้พวกนี้รู้ว่าเราว่ายัยผู้หญิงคนนั้นล่ะก็…คงโดนรุมด่าเละแน่ๆ แล้วถ้ารู้ไปถึงหูอเล็กซ์ด้วยล่ะก็…มันโกรธเรามากแน่ๆ ท่าทางจะหลงยัยนั่นมากอยู่ด้วย
เขามองเจ้าชายอเล็กซิสและหญิงสาวซึ่งเต้นรำจบเพลงแล้วกำลังจะกลับมาที่โต๊ะ ท่าทางหญิงสาวพูดอะไรบางอย่างกับเจ้าชายรูปงามแล้วเจ้าหล่อนก็เดินไปทางห้องน้ำหญิง เจ้าชายอิสมินกล่าวขอตัวกับเพื่อนๆ ทันที “ขอไปห้องน้ำก่อนนะ”
เจ้าชายอิสมินรีบเสด็จไปห้องน้ำชายทันทีซึ่งอยู่ติดกับห้องน้ำหญิง เขาดักรอหญิงสาวอยู่หน้าห้องน้ำหญิง
เมื่อหญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำก็เจอร่างใหญ่โตขวางทางเอาไว้ เจ้าหล่อนเงยหน้ามองใบหน้าคมเข้มจ้องดวงตาสีดำคู่นั้นเขม็งพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงห้วนสนิท “มีไรอิสมินหน้าบูด? มายืนทำลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าห้องน้ำหญิงทำไมยะ? หรือว่าเป็นพวกแอบจิต สับสนทางเพศเข้าห้องน้ำไม่ถูกล่ะฮึ? อ๋อ…หรือนายจะเป็นพวกจิตวิปริตชอบแอบดูผู้หญิงเข้าห้องน้ำ! อี๊! น่าขยะแขยงที่สุด! ยี้!”
ว่าเสร็จแล้วเจ้าหล่อนก็เบี่ยงตัวทำท่าจะเดินหลบร่างใหญ่โตไปทางด้านข้างซึ่งมีพื้นที่ว่างเล็กน้อยพอให้แทรกตัวเดินผ่านไปได้ ไม่สนใจมองใบหน้าคมเข้มที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยอารมณ์โกรธกรุ่น
“ชิช่ะ! มันจะมากไปแล้วนะยัยผู้หญิงปากเสีย กล้าดียังไงมาว่าฉันแบบนี้ห๊า?”
มือใหญ่กำลังจะคว้าตัวหญิงสาวเอาไว้ แต่เสียงหัวเราะคิกคักของสองสาวที่กำลังเดินตรงมายังห้องน้ำหญิงทำให้เจ้าชายอิสมินตัดสินใจคว้าแขนเรียวเล็กของหญิงสาวแล้วลากออกไปด้านหลังไนท์คลับทันที ส่งให้หญิงสาวโวยวายเสียงดังลั่น พยายามแกะมือใหญ่เป็นพัลวัน “อ่ะ! จะพาฉันไปไหน? ฉันไม่ไปนะ ปล่อยนะ! ไม่งั้นเจอดีแน่ๆ ปล่อยซิ!”
เจ้าชายอิสมินหันขวับไปจ้องหญิงสาวด้วยสายตาดุดัน ทำให้เจ้าหล่อนหยุดร้องโวยวายทันทีแต่ไม่ใช่เพราะกลัวหรอกนะ เพราะเจ้าหล่อนเงื้อกำปั้นเล็งเบ้าตาแถมขู่ฟ่อๆ จ้องหน้าเจ้าชายหนุ่มด้วยสายตาดุดันพอๆ กัน “ปล่อย! ถ้าไม่ปล่อยฉันจะต่อยให้ตาเขียวเล้ย!”
เสียงของหญิงสาวทำให้ผู้คนในบริเวณนั้นต่างหันมามองทั้งคู่เป็นตาเดียว เจ้าชายอิสมินรีบเอ่ยด้วยเสียงหวานหยดชวนน่าคลื่นไส้ในความคิดของหญิงสาว “ที่รักจ๋า อย่างอนเลยนะทูนหัว ดูซิคนอื่นเค้ามองกันใหญ่แล้วไม่อายเขาบ้างเหรอ?”
“ยี้! ใคร…ว้าย!” หญิงสาวกำลังจะโต้กลับว่า ‘ใครเป็นที่รักของนายห๊า!’
แต่เจ้าชายอิสมินรีบคว้าร่างบางเข้ามาในอ้อมแขนพร้อมกับกดใบหน้างดงามให้แนบกับอกกว้างก่อนที่เจ้าหล่อนจะพูดจนจบ เขารีบเอ่ยต่อให้คนอื่นเข้าใจว่าเป็นเรื่องของคู่รักทะเลาะกัน “ที่รักจ๋า ยกโทษให้ผมนะครับ ผมจะไม่มองผู้หญิงอื่นแล้วครับ ยกโทษให้ผมนะครับทูนหัว”
หญิงสาวดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง พยายามจะเงยหน้าพูดแต่ติดมือใหญ่กดศีรษะเอาไว้กับอกกว้างแน่น คนอื่นๆ ได้ยินเจ้าชายอิสมินเอ่ยเช่นนั้นจึงเลิกสนใจ “อ่อ ทะเลากันนี่เอง ช่างเถอะ อย่าไปสนใจเลย”
เมื่อไม่มีใครสนใจแล้วเจ้าชายอิสมินจึงลากหญิงสาวไปด้านหลังไนท์คลับทั้งอย่างนั้น ไม่สนใจซักนิดว่ากำลังทำให้เจ้าหล่อนหายใจไม่ออก เมื่อออกมาถึงบริเวณด้านหลังซึ่งเป็นลานจอดรถเขาปล่อยศีรษะได้รูปสวยทันที หญิงสาวรีบแหงนหน้าสูดหายใจอัดอากาศเข้าปอดเต็มแรงๆ จนใบหน้างดงามที่ซีดขาวค่อยๆ มีสีเลือดขึ้นมานิดๆ เสียงหวานใสแหบแห้งเอ่ยต่อว่าต่อขานทันที “นายจะฆ่าฉันรึไงห๊า?”
เจ้าชายอิสมินก้มลงจนริมฝีปากชิดใบหูงาม เอ่ยเสียงดุดัน “มันก็ไม่แน่หรอกนะยัยผู้หญิงปากเสีย!”
“เชอะ! คำก็ผู้หญิงปากพล่อย หรือไม่ก็ผู้หญิงปากเสีย แล้วนายล่ะปากดีเลิศประเสริฐศรีมาจากไหนกันห๊า!? อิสมินหน้าบูด!”
คำเรียกขานจากปากหญิงสาวทำให้โทสะพุ่งปรี๊ด เจ้าชายอิสมินหยียดหยามเจ้าหล่อนทันที “หนอย! ปากดีนักนะยัยผู้หญิงปากพล่อย! อย่างเธอมันเหมาะกับคำๆ นี้ที่สุดแล้ว พอเสด็จพ่อชั้นเสด็จกลับเอจาปุ๊บก็รีบแจ้นหาเหยื่อรายใหม่ทันทีเลยนะ ทำตัวเหมือนนางกลางเมืองไม่มีผิด!”
“อี๊! ขนลุก! เอาปากนายออกไปห่างๆ หูฉันนะ! แล้วก็ปล่อยฉันด้วย! ยี้! หยะแหยงๆ”
ท่าทีเบี่ยงหน้าหนีพร้อมกับความพยายามดิ้นหนีออกจากอ้อมแขนประกอบกับคำพูดดูหมิ่นของหญิงสาวทำให้เจ้าชายอิสมินกริ้วเจ้าหล่อนมากขึ้นไปอีก เขารัดเรือนร่างบางงดงามแน่นขึ้น เอ่ยเสียงดุดันว่า “ชิ! ทีกับฉันทำเป็นรังเกียจงั้นเหรอ? แต่ทีกับคนอื่นล่ะก็ระริกระรี้นักนะ ทำไมห๊า! อยู่ในอ้อมกอดฉันแล้วมันจะเป็นจะตายรึยังไงห๊า!”
เขาไล้ใบหูงามด้วยจมูกโด่งคมสันทำให้หญิงสาวร้องออกมาแถมยิ่งดิ้นมากขึ้นอีก “อี๊! หยะแหยง!”
หญิงสาวพยายามเอียงหน้าหนียิ่งทำให้เจ้าชายอิสมินกริ้วมากยิ่งขึ้น เขาฝังจมูกซุกไซ้ซอกคอหอมกรุ่นยิ่งทำให้เจ้าหล่อนทั้งร้องทั้งดิ้นมากยิ่งขึ้น “กรี๊ดดดดดด!!!!!! หยุดนะ อย่ามาทำอย่างนี้กับฉันนะ อ่ะ!”
เสียงร้องขาดหายไปเมื่อเจ้าชายอิสมินปิดปากหญิงสาวด้วยปากของเขาเอง ลิ้นอุ่นร้อนทำงานว่องไวควานไปทั่วปากบางแดงระเรื่อเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นนุ่มจนเรือนร่างบางที่กำลังดิ้นสุดฤทธิ์ค่อยๆ อ่อนแรง ดวงตาสีอำพันทองที่เบิกกว้างอย่างตกใจค่อยๆ หลับพริ้มลงช้าๆ เคลิ้บเคลิมไปกับรสจุมพิตของเจ้าชายหนุ่มผู้ได้ฉายาคาสโนว่าต่อท้าย
เจ้าชายอิสมินจุมพิตจนพอใจแล้วจึงถอนปากออกพร้อมกับรับสั่งเย้ยหยันทันที “โธ่เอ้ย! ไอ้ท่าหยะแหยงจะเป็นจะตายมันหายไปไหนหมดซะล่ะ? เลิกแกล้งทำเป็นอินโนเซ้นส์ หนูไม่เค้ย…ไม่เคยได้แล้ว! อย่างเธอน่ะมันผ่านผู้ชายมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันคนแล้ว อย่ามาหลอกซะให้ยากหน่อยเลย เชอะ! ยัยผู้หญิงปากเสีย!”
ใบหน้างดงามแดงก่ำทั้งโกรธทั้งอับอายที่ถูกเจ้าชายอิสมินปล้นเฟิร์สคิสไปแล้วยังมาถูกเยาะเย้ยถากถางให้เจ็บใจอีกต่างหาก ริมฝีปากบางสีแดงสดดั่งกลีบกุหลาบเห่อขึ้นเล็กน้อยจากแรงบดขยี้เม้มแน่นจนคางมนสั่นน้อยๆ ด้วยแรงโกรธ จ้องใบหน้าคมเข้มที่ระบายรอยยิ้มแห่งผู้ชนะเอาไว้เต็มเปี่ยมซึ่งอยู่ห่างจากใบหน้าของเธอเพียงไม่กี่นิ้วอย่างอาฆาตแค้นสุดๆ หยาดน้ำตาเอ่อล้นเต็มสองตาซึ่งเจ้าตัวพยายามกะพริบไล่ไม่ให้รินไหลออกมา ตะโกนใส่ใบหน้าคมเข้มสุดเสียง “ปล่อยฉันนะ! ปล่อย! บอกว่าให้ปล่อยได้ยินไหม!?”
เธอพยายามดิ้นออกจากอ้อมแขนแข็งแรงอีกครั้ง เจ้าชายอิสมินจึงแกล้งกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น ยิ่งเจ้าหล่อนดิ้นมากเท่าไหร่ทรวงอกงดงามก็ยิ่งเบียดกับอกกว้างมากยิ่งขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าคมเข้มทำให้หญิงสาวรู้สึกตัวว่าเรือนร่างของเธอแนบชิดกับเจ้าชายหนุ่มเพียงไร หญิงสาวจึงหยุดดิ้น จ้องตาสีดำคมเข้มเขม็งพร้อมกับตวาดใส่เสียงดังชนิดให้หูหนวกไปเลย “ปล่อย!”
“ไม่ปล่อยมีไรป่ะ?” เจ้าชายอิสมินเอ่ย ยิ้มระรื่นทำให้หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเจ้าหล่อนก็ก้มหน้าลงซุกกับอกกว้างอ้าปากกัดเต็มแรง
“โอ้ยยยยยย!!!!!!” เจ้าชายอิสมินร้องลั่นทันที พร้อมๆ กับที่หญิงสาวอาศัยจังหวะที่เขาตกใจดิ้นหลุดออกจากอ้อมแขน แล้วถอยห่างออกมานิด เมื่อห่างออกมาได้ระยะพอเหมาะฝ่ามือน้อยก็ฟาดเปรี้ยงลงบนแก้มซีกซ้ายอย่างถนัดถนี่เต็มแรง “เพี๊ยยยยยยะ!!!!!!”
“โอ้ยยยยยย!!!!!!” เจ้าชายอิสมินร้องลั่นอีกรอบเมื่อใบหน้าหันตามแรงตบ พร้อมกับได้ยินเสียงหวานใสกล่าวอาฆาตแค้นกับเขาอย่างที่ไม่เคยมีใครกล้าทำอย่างเจ้าหล่อนมาก่อน “อิสมินหน้าบูด! คอยดูนะฉันจะเอาคืนเป็นสิบเท่าเล้ย! ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
เมื่อหันหน้ากลับมาหวังจะคว้าเจ้าหล่อนมาจูบลงโทษให้ปากเจ่อกันไปข้างก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะหญิงสาวรีบวิ่งหนีเข้าไปภายในไนท์คลับทันทีหลังฝากรอยแดงเป็นปื้นไว้บนใบหน้า เขามองตามร่างบางงดงามหายลับเข้าไปภายใน เอ่ยเข่นเขี้ยวพร้อมกับยกมือลูบแก้มไปมา “หนอย! มือหนักเป็นบ้าเล้ย! ชิ! ยัยผู้หญิงปากเสีย! ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
หญิงสาววิ่งหนีเข้ามาภายในไนท์คลับหันหลังเหลียวมองไปข้างหลังไม่เห็นเจ้าชายอิสมินตามมาจึงหยุดนิดหนึ่งพร้อมกับถอนหายใจโล่งอก “เฮ้อ…”
กำลังจะเดินต่อไปข้างหน้าหญิงสาวก็รู้สึกปวดหัวจนต้องเกาะผนังเอาไว้ “เอ๋? ทำไมมันปวดหัวอย่างนี้ล่ะ? อูยยยยย…ไมเกรนขึ้นแน่ๆเลย”
ขณะเดียวกันเจ้าชายอเล็กซิสเห็นว่าหญิงสาวหายไปนานมากจึงเสด็จไปตาม
“เอ…ทำไมลีอาเข้าห้องน้ำนานจัง?” เขารออยู่หน้าห้องน้ำหญิงอยู่นานก็ยังไม่เห็นนางผู้เป็นดั่งดวงใจออกมาจากห้องน้ำหญิงเลยซักนิด จะเข้าไปตามหาหญิงสาวในห้องน้ำก็ทำไม่ได้ เขาเหลียวซ้ายแลขวาจนเจอบริกรหญิงเดินมาใกล้ จึงรีบเรียกเอาไว้ “น้องครับ ช่วยเข้าไปดูในห้องน้ำให้หน่อยซิครับ พอดีว่าสุดที่รักของพี่เข้าห้องน้ำไปนานแล้วยังไม่เห็นออกมาเลย น้องช่วยเข้าไปตามให้หน่อยได้ไหมครับ?”
“อ้อ ได้ซิคะคุณพี่สุดหล่อ เอ…ว่าแต่แฟนคุณพี่ชื่ออะไรคะ? รูปร่างหน้าเป็นเป็นยังไงคะ หนูจะได้ตามหาได้ถูก” บริกรสาวยิ้มหวานให้กับชายหนุ่มรูปงามพร้อมกับซักถามรายละเอียดของคนที่จะให้ช่วยตามตัวในห้องน้ำหญิง เจ้าชายอเล็กซิสจึงรีบบอกรูปพรรณของหญิงสาวทันที “เธอชื่อลีอาครับ สูงกว่าน้องฟุตนึง ตัวผอมๆ ผมสีบรอนซ์ยาวๆ ใส่เดรสกระโปรงสั้นสีส้มครับ”
“งั้นคุณพี่รอเดี๋ยวนะคะ” บริกรสาวพยักหน้าหงึกๆ บอกให้ชายหนุ่มรูปงามรอซักครู่ แล้วเจ้าหล่อนก็รีบกระวีกระวาดเข้าไปในห้องน้ำหญิงทันที
สักพัก บริกรสาวนางนั้นก็ออกมาจากห้องน้ำหญิงพร้อมกับบอกว่า “คุณพี่คะ หนูหาจนทั่วห้องน้ำแล้วค่ะ แฟนคุณพี่ไม่ได้อยู่ในห้องน้ำเลยค่ะ นี่หนูเคาะถามทุกห้องเลยด้วย แต่ไม่มีเลยค่ะ”
“นี่น้องแน่ใจนะว่าหาจนทั่วแล้ว?” เจ้าชายอเล็กซิสถามย้ำ ซึ่งบริกรสาวนางนั้นก็ยืนยันหนักแน่น “หาทั่วแล้วค่ะ หนูรอจนคนที่อยู่ข้างในออกจากห้องน้ำจนหมดก็ไม่เห็นแฟนคุณพี่เลยค่ะ”
เจ้าชายอเล็กซิสร้อนใจทันที กำลังจะเสด็จกลับไปที่โต๊ะเพื่อสั่งกับองครักษ์ของตัวเองให้ช่วยกันหาตัวหญิงสาว พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวที่กำลังตามหายืนเกาะผนังอยู่บริเวณหน้าประตูทางออกด้านหลัง จึงก้าวไปหาเจ้าหล่อนทันที พร้อมกับถามด้วยความสงสัย “ลีอาหายไปไหนมา? ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะ?”
เมื่อก้าวไปจนถึงตัวหญิงสาวจึงสังเกตเห็นว่าใบหน้างดงามขาวซีดมากๆ แถมเจ้าหล่อนยังยืนเกาะผนังพร้อมกับกุมศีรษะตนเองเอาไว้ จึงถามด้วยความเป็นห่วง “เอ๋? เป็นอะไรทำไมหน้าซี๊ด…ซีด?”
หญิงสาวเงยหน้ามองหน้าเจ้าชายอเล็กซิสก่อนจะบอกเสียงเบาหวิวพร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธ “ลีอาไม่เป็นอะไร แค่รู้สึกปวดหัวนิดหน่อยน่ะอเล็กซ์….”
เสียงหวานใสขาดหายไปพร้อมๆ กับร่างบางงดงามค่อยๆ รูดจากผนังกำลังจะลงไปกองกับพื้น ทำให้เจ้าชายอเล็กซิสตกใจยิ่งนักรีบโอบรับร่างงดงามไว้ในอ้อมแขน “เฮ้ย! ลีอา!”
มือใหญ่ลูบไล้ใบหน้างดงามหวังให้เจ้าหล่อนรู้สึกตัว เอ่ยเรียกหญิงสาวไม่หยุด “ลีอาจ๋า! ลีอา! ลีอาของพี่เป็นอะไรไป? ลีอา! ลีอาจ๋า!”
แต่หญิงสาวหาได้ตอบสนองเสียงสั่งเรียกร้อนรนนั้นไม่ นิ่งสนิทไม่หือไม่อือเลยแม้แต่น้อย
Chapter 6 พาส่งโรงพยาบาล
เจ้าชายอเล็กซิสจึงรีบกดปุ่มฉุกเฉินบนนาฬิกาข้อแขนสุดไฮเทคส่งสัญญาณฉุกเฉินเรียกองครักษ์ของตัวเองทันที แล้วอุ้มหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนสาวเท้าด่วนจี๋พาหญิงสาวออกจากไนท์คลับทางประตูทางออกด้านหลังทันควัน เขาเหลียวหารถยนต์ของพระองค์เองท่ามกลางรถมากมายในลานจอด “รถ? รถ?”
เมื่อเห็นรถยนต์จอดอยู่ในช่องจอดด้านหนึ่งของลานจอดรถ เขาก็มุ่งตรงไปยังรถยนต์โดยเร็ว
“ออกรถเร็ว! พาลีอาไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด!” เขาตะโกนสั่งพลขับประจำรถลั่นลานจอด จนพนักงานประจำลานจอดรถหันไปมองด้วยความสงสัยปนตื่นตกใจ “เอ๋?”
“ครับฝ่าบาท” พลขับรับคำสั่งแล้วรีบสตาร์ทรถขับมารับเจ้าชายอเล็กซิสทันที
ตึก! ตึก! ตึก! เสียงฝีเท้าวิ่งมาทางด้านหลัง พร้อมกับเสียงองครักษ์ตะโกนถามเจ้าชายของตนกันจ้าละหวั่น “ฝ่าบาทครับ เกิดอะไรขึ้นครับฝ่าบาท?”
“มีเรื่องอะไรครับฝ่าบาท?”
เจ้าชายรูปงามตะโกนสั่งโดยไม่หันหน้ากลับไปมององครักษ์ของตัวเองแม้แต่นิดเดียว “เปิดประตูรถเร็ว!”
“ครับฝ่าบาท” องครักษ์รับคำสั่งแล้วรีบวิ่งแซงเจ้าชายอเล็กซิสมาเปิดประตูรถคอย พร้อมกับถามทันทีเมื่อเห็นหญิงสาวในอ้อมแขนสลบไสลไม่ได้สติ “โอ้…พระเจ้า! ทำไมมิสเป็นอย่างนี้ล่ะครับฝ่าบาท?”
“ฝ่าบาทครับ มิสเป็นอะไรครับ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน บอกว่ารู้สึกปวดหัวแล้วก็สลบไปเลย โธ่…ลีอาของพี่อย่าเป็นอะไรไปนะ” เจ้าชายอเล็กซิสตอบองครักษ์แล้วก็มองหญิงสาวในอ้อมแขนด้วยใจร้อนรุ่มดังไฟสุมทรวง เขาวางหญิงสาวลงบนเบาะนุ่มแล้วก็นั่งข้างๆ ผู้เป็นดั่งดวงใจของตัวเอง โอบประคองเจ้าหล่อนเอาไว้ เอ่ยเรียกหญิงสาวข้างกายไม่หยุด “ลีอาจ๋าอย่าเป็นอะไรนะ อีกเดี๋ยวก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว ลีอาของพี่ต้องไม่เป็นอะไรทั้งนั้น ลีอาจ๋า ลีอาของพี่”
เสียงปานจะขาดใจของเจ้าชายอเล็กซิสทำให้องครักษ์รีบขึ้นรถว่องไว พลขับก็รีบขับรถออกจากไนท์คลับอย่างรวดเร็วเหยียบคันเร่งจนมิด ปาดซ้ายปาดขวาแซงรถคันอื่นบนท้องถนนด้วยหัวใจอันร้อนรนห่วงใยหญิงสาวไม่แพ้เจ้านายตน ทั้งองครักษ์และพลขับต่างช่วยกันปลอบใจเจ้าชายรูปงามและปลอบใจตนเองด้วยความหวังว่าหญิงสาวจะต้องไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น
“ฝ่าบาทครับ ทำใจเย็นๆ ไว้ก่อนครับ”
“ผมเชื่อว่ามิสจะต้องไม่เป็นอะไรมากครับ”
“อีกเดี๋ยวก็ถึงโรงพยาบาลแล้วครับ”
เจ้าชายอเล็กซิสได้ยินข้ารับใช้ช่วยกันปลอบใจแต่ก็หาได้ทำให้ใจเย็นลงไม่ เพราะนางผู้เป็นดวงใจไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย
เหตุการณ์ตั้งแต่เจ้าชายอเล็กซิสวิ่งหน้าตั้ง อุ้มหญิงสาวออกมาจากไนท์คลับจนรถยนต์คันนั้นเคลื่อนออกจากลานจอดรถอยู่ในสายตาของเจ้าชายอิสมินตลอดเวลา เจ้าชายหนุ่มค่อนแคะหญิงสาวด้วยเข้าใจว่าเจ้าหล่อนแกล้งทำมารยาอ้อนเพื่อนรัก “เชอะ! กลัวว่าฉันจะพูดเรื่องเมื่อกี้ให้อเล็กซ์ฟังล่ะซิท่า ถึงได้แกล้งทำเป็นลม อเล็กซ์จะได้รีบพากลับไป มารยาจริงนะยัยผู้หญิงปากเสีย!”
แล้วเจ้าชายอิสมินก็กลับเข้าไปข้างในพร้อมกับเอ่ยกับบรรดาเพื่อนๆ ขอตัวกลับทันที ทิ้งให้บรรดาเพื่อนๆ รื่นเริงหาความสำราญกับเสียงเพลงและสาวงามกันต่อไป
จนกระทั่งมาถึงโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด พลขับก็เลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าตึก ER ทันที บุรุษพยาบาลรีบนำเตียงมาเทียบข้างรถทันควัน เจ้าชายอเล็กซิสเปิดประตูรถเองแล้วอุ้มหญิงสาวออกจากรถวางลงบนเตียง นางพยาบาลรีบซักถามอาการคนไข้ทันที “คนไข้เป็นอะไรมาคะ?”
“ไม่รู้ครับ เห็นหน้าซีดบอกว่าปวดหัวแล้วก็เป็นลมหมดสติไปเลยครับ ได้โปรดช่วยลีอาด้วยครับ” เจ้าชายอเล็กซิสตอบคำถามของนางพยาบาลพร้อมกับวิ่งตามบุรุษพยาบาลซึ่งรีบเข็นเตียงนำคนไข้เข้าห้อง ER ทันที เจ้าชายรูปงามจะตามเข้าไปในห้อง ER ด้วย นางพยาบาลหลายนางหน้าห้อง ER จึงต้องรีบกันตัวเอาไว้ไม่ให้ตามเข้าไปได้ “เข้าไม่ได้นะคะ! ญาติกรุณารออยู่หน้าห้องค่ะ”
“ไม่! ผมจะเข้าไปดูลีอาของผม!” เจ้าชายอเล็กซิสดึงดันจะเข้าไปในห้อง ER ให้ได้ แม้นางพยาบาลหลายคนจะช่วยกันจับตัวเอาไว้จนโกลาหลไปหมด
“เอะ! คุณคะ บอกว่าเข้าไม่ได้ค่ะ! ญาติต้องรออยู่ข้างนอกค่ะ!”
“ช่วยกันจับตัวไว้หน่อยเร็ว! อย่าให้เข้าไปได้!”
“ผมจะไปหาลีอาของผม ปล่อย!”
“เพี๊ยยยยยยะ”
“โอ้ย!” ใบหน้างามดั่งเทวดาหันตามแรงฝ่ามือขององครักษ์ พร้อมกับเสียงดุๆ จากองครักษ์ตวาดใส่ให้รู้สึกตัว “ฝ่าบาทครับ โปรดรออยู่ข้างนอกนี่แหละครับ! มิสอยู่กับหมอแล้วจะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอนครับ อย่าทำให้คนอื่นเดือนร้อนจะได้ไหมครับ!”
เจ้าชายอเล็กซิสจ๋อยสนิทเซื่องซึมไปทันที หันขอโทษนางพยาบาลอย่างสำนึกผิด “ขอโทษครับ”
นางพยาบาลมองเจ้าชายรูปงามด้วยสายตาดุๆ เมื่อเห็นว่าเขาสงบลงแล้วจึงแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนต่อ ก่อนไปยังทิ้งท้ายคาดโทษอีกนิด “อย่าก่อเรื่องอีกนะคะ อ้อ…ช่วยกรอกประวัติคนไข้ตรงเคาน์เตอร์ให้ด้วยค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
“ครับ ต้องขอโทษด้วยครับ ขอโทษทุกคนด้วยครับที่เจ้านายผมทำให้วุ่นวาย ขอโทษจริงๆ ครับ ส่วนเรื่องประวัติคนไข้เดี๋ยวผมจัดการแทนเจ้านายผมเองครับ” องครักษ์อีกนายรีบรับหน้ากล่าวขอโทษนางพยาบาลเป็นการใหญ่ แล้วเดินตามนางพยาบาลไปจัดการทำประวัติคนไข้ทันที
“ฝ่าบาทนั่งก่อนเถอะครับ” องครักษ์เชิญให้นั่งบนเก้าอี้หน้าห้อง ER แต่เจ้าชายอเล็กซิสหาได้ทำตามไม่ เขาเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องด้วยใจร้อนรน มองผ่านช่องกระจกบนประตูเข้าไปภายในห้อง ER ตลอดเวลา ส่วนองครักษ์ก็ห่วงหญิงสาวจนนั่งไม่ติดเหมือนกัน
เวลาผ่านไป 10 นาทีแต่เหมือนนานชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ในความรู้สึกของคนที่เฝ้ารอ แพทย์ประจำห้อง ER จึงเดินออกมาจากห้อง ER ถามหาญาติคนไข้ “ญาติของมิสมิยาโบวิทซ์อยู่ไหนครับ?”
“ผมเองครับ ลีอาของผมเป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ?” เจ้าชายอเล็กซิสก้าวพรวดประชิดตัวนายแพทย์ประจำห้อง ER พร้อมกับถามด้วยความร้อนใจ ทำให้นายแพทย์อาวุโสคนนั้นตกใจจนต้องรีบก้าวถอยห่างไปสองสามก้าว ก่อนจะเอ่ยบอกอาการของคนไข้สาวเสียงสั่นเพราะรู้สึกกลัวชายหนุ่มตรงหน้าจับใจ “เอ่อ…คนไข้…ไม่เป็นอะไรมาก…ค…ครับ ตอนนี้เธอ…ฟื้นแล้ว…ครับ เกิดจากความเครียด…ครับ ก็…ก็เลยทำให้เธอมี…อาการปวดศีรษะ…แล้วก็เป็นลม…เท่านั้นเองครับ เฮ้ย!”
“เย้! ขอบคุณคุณหมอมากครับ” เจ้าชายอเล็กซิสกระโดดกอดนายแพทย์ประจำห้อง ER ร้องดีอกดีใจที่หญิงสาวผู้เป็นที่รักไม่เป็นอะไรมากอย่างที่เขากังวล ทำให้นายแพทย์คนนั้นร้องเสียงหลงเพราะหายใจไม่ออก “ปล่อยผมคร้าบบบบบบ! ผมหายใจไม่ออกกกกกกก! โอ้ย! ผมจะตายแล้วคร้าบบบบ!”
เสียงร้องของนายแพทย์ประจำห้อง ER ทำให้เจ้าชายอเล็กซิสรู้สึกตัว เขารีบปล่อยร่างท้วมๆ ทันควัน ทำให้นายแพทย์คนนั้นรีบถอยห่างชายหนุ่มรูปงามไปหลายก้าว บ่นงึมงำเป็นหมีกินผึ้งทันที “กอดมาได้! เดี๋ยวฟ้าก็ผ่ากันพอดี โอ้ย…กระดูกหักตรงไหนมั่งรึเปล่าเนี่ย? แรงยังกะช้าง อูยยยยย! เคล็ดขัดยอกไปหมดแล้ว!”
“ขอโทษครับ ขอโทษคุณหมอมากๆ ครับ คือว่าผมดีใจมากไปหน่อยเลยลืมตัวน่ะครับ ขอโทษจริงๆ ครับ” เจ้าชายอเล็กซิสรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ ทำให้นายแพทย์คนนั้นค้อนปะหลับปะเหลือก “เฮอะ!”
องครักษ์ต่างพากันถอนหายใจโล่งอกกันเป็นแถว “เฮ้อ…โล่งอก”
เจ้าชายอเล็กซิสรับขอบคุณนายแพทย์คนนั้นอีกครั้งพร้อมกับถามขออนุญาตเข้าไปเยี่ยมหญิงสาวทันที “ขอบคุณคุณหมอมากครับ เอ่อ…ผมเข้าไปเยี่ยมลีอาของผมได้หรือยังครับ?”
“คุณรออยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวผมให้พยาบาลพาคนไข้ออกมา เพราะเธอไม่ได้เป็นอะไรมากเดี๋ยวคุณพาแฟนคุณกลับบ้านได้เลย ผมขอตัวก่อนนะครับ” นายแพทย์ประจำห้อง ER กล่าวเสียงดุหน่อยๆ ก่อนจะเดินเข้าไปดูคนไข้คนอื่นในห้อง ER ต่อ
สักพักหญิงสาวก็นั่งรถเข็นออกมาจากห้อง ER เจ้าชายอเล็กซิสรีบเข้าไปหานางผู้เป็นดวงใจทันที แต่เพราะหญิงสาวนั่งอยู่บนรถเข็นทำให้เจ้าชายรูปงามต้องย่อตัวลงนิด เท้ามือลงบนเท้าแขนของรถเข็น ก้มหน้าลงจนหน้าผากแตะกับหน้าผากของหญิงสาว เขาจ้องเข้าไปในดวงตาสีอำพันทองคู่สวยพร้อมกับถามไถ่อาการของเจ้าหล่อนด้วยเสียงอ่อนโยน “ลีอาจ๋า รู้สึกเป็นยังไงมั่งจ๊ะ?”
“ดีขึ้นมากแล้วแหละ ลีอาขอโทษนะที่ทำให้อเล็กซ์เป็นห่วง ขอโทษ…”
เจ้าชายอเล็กซิสรีบยกมือปิดปากของหญิงสาวเอาไว้ ส่ายหน้าพร้อมกับดุเจ้าหล่อนอ่อนโยน “อย่าพูดอย่างนี้อีกนะจ๊ะ อเล็กซ์ไม่ห่วงลีอาแล้วจะให้อเล็กซ์ไปห่วงแมวที่ไหนกันล่ะจ๊ะ เพราะลีอาเป็นดั่งหัวใจของอเล็กซ์เชียวนะ ลีอาจ๋าอเล็กซ์ขอโทษนะจ๊ะ ต่อไปนี้อเล็กซ์จะไม่ยอมให้ลีอาทำงานอีกแล้ว โถ…เพราะอเล็กซ์ไม่ดีเองชอบเอางานที่บริษัทมาปรึกษากับลีอา จนทำให้ลีอาคิดมากขนาดนี้ อเล็กซ์ขอโทษนะลีอา ยกโทษให้อเล็กซ์ด้วยนะจ๊ะ”
“เอ๋? เดี๋ยวนะอเล็กซ์ ลีอาปวดหัวเกี่ยวอะไรกับงานที่บริษัทด้วยล่ะ?” คิ้วโค้งดั่งคันศรผูกโบว์ด้วยความสงสัยก่อนจะถามเจ้าชายอเล็กซิส ใบหน้างดงามเหรอหรา ก็อาการป่วยของเธอมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องงานล่ะหว่า?
คำถามของหญิงสาวทำให้คิ้วเข้มขมวดเป็นปมก่อนจะถามย้อนกลับไป “เอ๋? ก็คุณหมอบอกว่าเป็นเพราะลีอาเครียดมากๆ ก็เลยปวดหัวแล้วก็เป็นลมนี่จ๊ะ?”
หญิงสาวจึงได้แต่ตอบเจ้าชายรูปงามอยู่ในใจพร้อมทั้งอาฆาตคนขโมยจูบแรกของเธอไปด้วย งานไม่ได้ทำให้ลีอาเครียดเลยอเล็กซ์ แต่เรื่องที่ทำให้ลีอาเครียดมากๆ อ่ะนะเป็นอิสมินหน้าบูดนั่นต่างหาก หนอย! เอาจูบแรกของฉันคืนมานะ! โธ่…จูบแรกของฉัน! คอยดูนะอิสมินหน้าบูด ฉันจะเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่าเล้ย! โธ่เอ้ย…ไม่น่าเลย…จูบแรกของฉัน สู้อุตส่าห์รักษามาเป็นอย่างดีกลับต้องมามีอันจากฉันไปซะแล้ว แง้ๆๆๆๆๆ หนูไม่ย้อม!
เจ้าหล่อนรีบปั้นสีหน้าให้ร่าเริง เพราะไม่อยากให้ผู้เป็นที่รักต้องกังวลใจ แล้วส่ายหน้าน้อยๆ พร้อมกับบอกเสียงใส “ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องงานเลยอเล็กซ์ อาจจะเพราะลีอาไม่เคยชินกับอากาศของนิวยอร์กมั้ง เลยทำให้ลีอารู้สึกไม่สบายนิดหน่อย อเล็กซ์ไม่ต้องห่วงนะ เห็นป่ะ? ลีอาไม่ได้เป็นอะไรมากซักหน่อย เรื่องแค่นี้ขี้ปะติ๋วจะตายไป”
หญิงสาวลอยหน้าลอยตาพร้อมทั้งยกแขนทั้งสองข้างโอบรอบคอของผู้เป็นที่รักตรงหน้า ทำให้เจ้าชายอเล็กซิสยกมือขยี้หัวเจ้าหล่อนเบาๆ “จ้าาาาาา…ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ถ้างั้นเราก็กลับบ้านกันเถอะนะจ๊ะ”
เอ่ยแล้วก็เอื้อมมือไปจับแขนเรียวเสลาออกจากคอของตัวเอง พร้อมกับยืดตัวขึ้นแล้วจัดแจงเข็นรถด้วยตัวเองพาผู้เป็นดวงใจกลับที่พัก
องครักษ์รีบโทรบอกพลขับให้นำรถยนต์มารอรับด้านหน้าทันที “เจ้าชายจะเสด็จกลับแล้ว เอารถมารับได้เลย อ้อ…มิสเหรอ? ไม่เป็นอะไรมาก หมอบอกว่าแค่เครียดเท่านั้นเอง เออๆ แล้วจะบอกให้”
องครักษ์คุยโทรศัพท์เสร็จแล้วก็หันไปบอกหญิงสาวบนรถเข็น “มิสครับ ชาร์ลเค้าฝากให้บอกมิสด้วยว่า อย่าเครียดมากนะครับ”
“ขอบใจนะจอห์น แล้วนี่โคลินไปไหนล่ะ?” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับถามหาองครักษ์อีกคนของเจ้าชายอเล็กซิส
จอห์นรีบตอบคำถามเจ้าหล่อน “อ้อ โคลินไปจัดการเรื่องค่ารักษาพยาบาลอยู่ครับมิส”
“งั้นเหรอ” หญิงสาวพยักหน้ารับรู้แล้วเงยหน้ามองเจ้าชายอเล็กซิส อยากจะบอกเจ้าชายรูปงามว่าให้บุรุษพยาบาลเข็นให้ก็ได้ แต่เมื่อสบตาสีเขียวมรกตปากที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยก็จำต้องหุบสนิททันที เพราะสายตาห่วงหาอาทรนั่นทำให้เจ้าหล่อนรู้ได้ทันทีว่าถึงพูดไปก็เปล่าประโยชน์ จึงหันกลับมามองข้างหน้าตามเดิม
สักพักก็มาถึงด้านหน้าซึ่งรถยนต์จอดรออยู่แล้ว องครักษ์รีบเปิดประตูรถให้ “เชิญครับ”
เจ้าชายอเล็กซิสจอดรถเข็นข้างๆ รถยนต์แล้วกดเบรครถเข็นล็อคเอาไว้ก่อนจะพยุงหญิงสาวให้ลุกขึ้นจากรถเข็นเข้าไปในรถ พร้อมกับบอกน้ำเสียงอ่อนโยน “ระวังจะล้มนะจ๊ะ”
“ค่ะ” คำพูดของเจ้าชายอเล็กซิสทำให้หญิงสาวยิ้มน้อยๆ กับความห่วงใยที่เขามีให้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เจ้าชายรูปงามค่อยๆ ประคองหญิงสาวให้นั่งในรถแล้วปิดประตูรถให้ก่อนจะอ้อมไปอีกด้านหนึ่ง องครักษ์เปิดประตูรถรอ เจ้าชายอเล็กซิสเขาไปนั่งบนเบาะข้างหญิงสาว พร้อมกับองครักษ์ปิดประตูรถให้ เจ้าชายอเล็กซิสจึงโอบหญิงสาวเข้ามาในอ้อมแขน ส่วนองครักษ์ก็รีบขึ้นนั่งด้านหน้าคู่กับพลขับทันที พร้อมๆ กับที่องครักษ์อีกนายจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายเรียบร้อยแล้วตามมาสมทบขึ้นรถนั่งคู่กับองครักษ์และพลขับ
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วพลขับจึงขับรถออกจากโรงพยาบาลมุ่งหน้ากลับที่ประทับทันทีโดยไม่ต้องรอให้เจ้าชายอเล็กซิสมีคำสั่ง
“ขอโทษนะทุกคนที่ทำให้วุ่นวายกันไปหมด” หญิงสาวเอ่ยกับบรรดาผู้ติดตามของเจ้าชายอเล็กซิสน้ำเสียงอ่อนโยน
“เป็นหน้าที่ของพวกผมอยู่แล้วครับ พวกเราขอให้มิสหายไวๆ นะครับ” โคลินหันมาพูดแทนคนอื่นๆ ทำให้หญิงสาวยิ้มให้พร้อมกับเอ่ยขอบใจความห่วงใยที่พวกเขามีให้กับเธอ “ขอบใจทุกคนนะที่เป็นห่วง”
คำขอบคุณของหญิงสาวทำให้ผู้ติดตามของเจ้าชายอเล็กซิสยิ้มแก้มปริกันทุกคน
หญิงสาวนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้จึงหันไปถามเจ้าชายอเล็กซิส “อเล็กซ์ พรุ่งนี้ลีอาไม่ไปงานเลี้ยงที่สถานทูตได้รึเปล่า? ลีอาไม่อยากไปเลยขอบายแล้วกันนะ”
“ฮั่นแน่! คิดจะเบี้ยวงานเลี้ยงอีกตามเคยล่ะซิลีอา อเล็กซ์รู้ทันนะ กลัวว่าจะต้องไปเจอคนรู้จักในงานใช่ไหมล่ะ?” เจ้าชายอเล็กซิสก้มหน้ามองหญิงสาวพร้อมกับเอ่ยดักคออย่างรู้ทัน ทำให้หญิงสาวยิ้มน้อยๆ ที่เจ้าชายรูปงามรู้เท่าทันความคิดเธอเสมอ ใบหน้างดงามเงยขึ้นนิดหนึ่งมองใบหน้างามเกินบุรุษของอีกฝ่ายพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะเอ่ยชมความเฉลียวฉลาดของอีกฝ่าย “แหม…อเล็กซ์เนี่ยแสนรู้จัง รู้ใจลีอาที่สุดเลย จะหาใครแสนรู้เท่าอเล็กซ์ไม่มีอีกแล้ว”
“ลีอา! อเล็กซ์ไม่ใช่หมานะ เรื่องอะไรมาว่าอเล็กซ์แสนรู้ฮึ? อย่างนี้ต้องถูกทำโทษซะแล้ว หนอย! เห็นอเล็กซ์เป็นหมาไปซะแล้วงั้นเหรอ? นี่แน่ะ! นี่แน่ะ!” เจ้าชายอเล็กซิสเอ่ยเข่นเขี้ยวเสียงรื่นเริง ตาวิบวับเป็นประกายก่อนจะใช้มือจี้เอวบางของหญิงสาวจนเจ้าหล่อนหัวเราะลั่นดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขน “ฮ่าๆๆๆๆ อเล็กซ์หยุดนะ ฮ่าๆๆๆๆ มันจั๊กจี้นะ ฮ่าๆๆๆๆ พอแล้วอเล็กซ์ ฮ่าๆๆๆๆ ลีอายอมแพ้แล้ว ฮ่าๆๆๆๆ”
“ยอมแพ้จริงอ่ะ?”
“ฮ่าๆๆๆ ยอมแล้วจ้า ฮ่าๆๆๆๆ” หญิงสาวชูสองมือทั้งๆ ที่ยังหัวเราะไม่หยุด ทำให้เจ้าชายอเล็กซิสยอมรามือแล้วแกล้งเอ่ยอย่างน้อยใจ “เชอะ! เห็นอเล็กซ์เป็นหมาไปซะได้ อเล็กซ์โกรธแล้วด้วย เชอะ! เชอะ! เชอะ!”
เขาสะบัดหน้ามองวิวนอกหน้าต่างอย่างงอนๆ ยกมือกอดอกแถมยังเบี่ยงตัวหันหลังให้จนหญิงสาวหัวเราะคิกคักขบขันกับท่างอนๆ ของเจ้าชายรูปงามก่อนจะง้อเสียงอ่อนเสียงหวานพร้อมทั้งชูนิ้วก้อยไปตรงหน้าของเจ้าชายอเล็กซิส “อเล็กซ์ขา ลีอาแค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง อเล็กซ์อย่าโกรธลีอาเลยนะ ดีกันนะอเล็กซ์นะๆๆ”
“เชอะ!” เจ้าชายอเล็กซิสตวัดตามามองหญิงสาวนิดหนึ่งแล้วสะบัดหน้ากลับไปมองวิวนอกหน้าต่างดังเดิม หญิงสาวจึงงัดไม้ตายออกมาใช้ “ลีอาขอโทษ ดีกันนะคะพี่อเล็กซ์”
ไม้ตายของหญิงสาวทำให้เจ้าชายอเล็กซิสยอมหันกลับมาเกี่ยวนิ้วก้อยกับนิ้วก้อยของหญิงสาวทันทีพร้อมกับเอ่ยคาดโทษ “ครั้งนี้ยอมยกโทษให้ก็ได้ แต่ถ้ามีครั้งหน้าล่ะก็…ฮึ่ม! น่าดู!”
“เย้!…รักอเล็กซ์ที่สุดเล้ย…” หญิงสาวตะโกนลั่นรถพร้อมกับกอดเจ้าชายอเล็กซิสทันที ยิ่งทำให้ผู้ติดตามพากันกลั้นหัวเราะเอาไว้สุดฤทธิ์ คิกๆๆๆ…
เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ไม้ตายของหญิงสาวผู้เป็นดวงใจก็ใช้ได้ผลเสมอ ต่อให้เจ้าชายอเล็กซิสจะโกรธเจ้าหล่อนขนาดไหนแต่เมื่อเจอเสียงหวานใสเรียกขาน ‘พี่อเล็กซ์’ เมื่อไหร่ก็หายโกรธทันที
เจ้าชายอเล็กซิสโอบกอดหญิงสาวเอาไว้แล้วเอ่ยเกี่ยวกับเรื่องงานเลี้ยงที่สถานทูตกรีเซอเนียต่อ “เรื่องงานเลี้ยงคืนพรุ่งนี้อเล็กซ์ก็กำลังอยู่คิดว่าจะไม่ให้ลีอาไปด้วยอยู่เหมือนกัน เพราะเดี๋ยวเกิดมีใครมาปิ๊งลีอาของอเล็กซ์เข้า อเล็กซ์ไม่ยอมหรอกนะ”
“ไชโย! ไม่ต้องไปงานเลี้ยงแล้ว เย้! เย้! เย้!” หญิงสาวร้องตะโกนลั่นรถกอดเจ้าชายอเล็กซิสด้วยความดีอกดีใจ ทำให้เจ้าชายรูปงามอดที่จะหมั่นเขี้ยวเจ้าหล่อนไม่ได้ เขาบีบจมูกโด่งงดงาม เอ่ยหยอกล้อนิดๆ “แหม…น้อยๆ หน่อยแม่คุณทูนหัว เดี๋ยวอเล็กซ์ก็เปลี่ยนใจลากไปงานเลี้ยงด้วยซะหรอกนี่”
“ไม่เอ๊า! อเล็กซ์ก็รู้อยู่แล้วว่าลีอาเกลียดงามเลี้ยงจะตาย ลองบังคับกันดูซิลีอาจะไม่พูดกับอเล็กซ์ตลอดชาติเล้ย!” เสียงหวานใสร้องประท้วงลั่นพร้อมกับเลิกกอดเจ้าชายอเล็กซิสทันควัน แล้วค้อนควับๆ สะบัดหน้าหนีอย่างแง่งอนยกสองแขนขึ้นกอดอก “ฮึ!ๆๆๆ”
จนเจ้าชายรูปงามยิ้มกับท่าทีของเจ้าหล่อน เขารวบเรือนร่างบางเข้ามาในอ้อมแขนแล้วง้อหญิงสาวทันที “โถ…ใครจะกล้าบังคับลีอาล่ะจ๊ะ อเล็กซ์ก็พูดเล่นไปงั้นเอง เรื่องอะไรอเล็กซ์จะพาลีอาไปงานเลี้ยงให้คนอื่นมองลีอาของอเล็กซ์ตาปรอยกันล่ะ เมินซะเถอะ! ถ้าใครคิดจะเข้ามาเกาะแกะเจ๊าะแจ๊ะลีอาของอเล็กซ์ล่ะก็…ข้ามศพอเล็กซ์ไปให้ได้ก่อนเถอะ!”
สิ้นคำพูดของเจ้าชายอเล็กซิสทำให้ท่าทีแข็งขืนของหญิงสาวหายไปทันที ดวงตาสีอำพันทองคู่สวยจ้องหน้างดงามดั่งเทวดาของอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มให้พร้อมกับมือเรียวนุ่มนิ่มวางทาบบนมือใหญ่แล้วบอกเบาๆ “ลีอารักอเล็กซ์ที่สุดเลย”
“อเล็กซ์ก็รักลีอามากที่สุดเหมือนกัน” เจ้าชายอเล็กซิสบอกพร้อมกับจับศีรษะเจ้าหล่อนให้พิงกับอกของตัวเองแล้วลูบเส้นผมสีบรอนซ์ยาวนุ่มสลวยเล่นจนหญิงสาวอ้าปากหาวน้อยๆ พร้อมๆ กับดวงตาสีอำพันทองค่อยๆ ปิดลง เพียงครู่เดียวหญิงสาวก็หลับสนิท เจ้าชายอเล็กซิสก้มลงมองเรือนร่างบางในอ้อมแขนด้วยสายตาอ่อนโยนแล้วกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น
สององครักษ์และหนึ่งพลขับต่างยิ้มให้แก่กันพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้เต็มที่ คริๆๆๆ…
เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่เจ้าชายของพวกเขาก็แพ้มิสมิยาโบวิทซ์คนงามตลอดแหละ ก็นะ ทั้งรักทั้งหวงซะขนาดนี้ก็เลยยอมเจ้าหล่อนได้ทุกอย่างแหละน้า…
จนกระทั่งรถยนต์จอดลงหน้าที่ประทับ เจ้าชายอเล็กซิสจึงปลุกหญิงสาวในอ้อมแขน “ลีอา ลีอาตื่นเถอะถึงบ้านแล้ว”
“อือ…” หญิงสาวงึมงำแต่ไม่ยอมตื่น เจ้าชายอเล็กซิสจึงปลุกอีกรอบพร้อมทั้งเขย่าปลุกเจ้าหล่อนเบาๆ “ลีอาถึงบ้านแล้วนะ”
“อือ…” เจ้าหล่อนงึมงำอีกครั้งแถมยังซุกหน้ากับอกอย่างรำคาญเสียงปลุก “ฮื้อ!”
Chapter 7 กลัวเป็นข่าว
ทำให้เจ้าชายอเล็กซิสค่อยๆ จับหญิงสาวให้นั่งพิงเบาะรถแล้วเขาก็ขยับตัวก้าวลงจากรถ ซึ่งทหารยามรีบเข้ามาเปิดประตูรถให้ทันทีที่รถจอด แล้วเจ้าชายอเล็กซิสก็ก้มลงอุ้มหญิงสาวออกจากรถพาเข้าไปภายในที่ประทับ ทำให้นางกำนัลและทหารยามที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างตกใจกับกับสภาพหลับใหลของเจ้านายสาว “อ่ะ!”
ส่วนพี่เลี้ยงที่ออกมาคอยรอรับเมื่อได้เห็นสภาพเช่นนั้นก็รีบถามเจ้าชายอเล็กซิสทันที “ตายแล้ว! คุณหนูลีอาของหม่อมฉันเป็นอะไรเพคะฝ่าบาท? ทำไมคุณหนูถึงหลับไม่ได้สติอย่างนี้ล่ะเพคะ?”
“ชู่ว! เบาๆ หน่อยพี่ซูซานเดี๋ยวลีอาตื่น” เจ้าชายอเล็กซิสดุพี่เลี้ยงเสียงเบา แล้วตอบคำถามของพี่เลี้ยงที่เดินตามมาไม่ห่าง “ลีอาปวดหัวผมก็เลยพาลีอาไปหาหมอที่โรงพยาบาล แล้วหมอเขาให้ยามาน่ะก็เลยทำให้หลับแบบนี้ พี่ซูซานไม่ต้องเป็นห่วงหมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมากแค่เครียดก็เลยทำให้ปวดหัว”
“โถ…นี่คุณหนูของซูซานเป็นไมเกรนอีกแล้วเหรอเนี่ย ต้องโทษฝ่าบาทแหละเพคะที่ทำให้คุณหนูลีอาเป็นแบบนี้”
คำต่อว่าของพี่เลี้ยงทำให้เจ้าชายอเล็กซิสร้องประท้วงทันที “อ้าว…ทำไมมาลงที่ผมซะล่ะพี่ซูซาน?”
“ความผิดของฝ่าบาทเต็มๆ เลยเพคะ ฝ่าบาทลืมแล้วหรือเพคะว่าคุณหนูลีอาไม่เคยมานิวยอร์กเลย คุณหนูของหม่อมฉันอยู่แต่ยุโรปนะเพคะ แล้วเวลาที่ลอนดอนกับนิวยอร์กมันห่างกันกี่ชั่วโมงล่ะเพคะ? แล้วดูนาฬิกาเอาเองเถอะเพคะว่านี่มันกี่ทุ่มกี่ยามเข้าไปแล้ว เวลาที่ลอนดอนน่ะมันเช้าแล้วนะเพคะ นี่คงเพราะฝ่าบาทพาคุณหนูลีอาไปตะลอนๆ จนอดหลับอดนอนแบบนี้น่ะซิถึงได้ปวดหัว ฮึ!” พี่เลี้ยงค้อนให้เจ้าชายอเล็กซิสซะหลายวงโทษฐานที่ทำให้คุณหนูลีอาของหล่อนเป็นไมเกรน เจ้าชายรูปงามจึงแกล้งเอ่ยประชดซะเลย “ผมผิดไปแล้วคร้าบบบบบ เป็นความผิดของผมเองคร้าบที่พาคุณหนูของพี่ไปตะลอนๆ จนอดหลับอดนอน ต่อไปผมจะไม่ทำอีกแล้วคร้าบ”
“ต๊าย…ตาย! ดูพูดเข้าซิเพคะ ช่างประชดซะจริงเดี๋ยวหม่อมฉันก็ตีให้ซักทีหรอกเพคะ ฮึ!” พี่เลี้ยงอุทานเสียงแหลมพร้อมกับค้อนให้เจ้าชายอเล็กซิสอีกวงใหญ่ๆ ทำให้เจ้าชายรูปงามแกล้งบ่นพึมพำเบาๆ ประชดพี่เลี้ยง “เฮอะ! ลำเอียงชะมัดเลย เอะอะก็จะตีท่าเดียวเลย เฮ้อ…ตกลงว่าพี่ซูซานเป็นพี่เลี้ยงใครกันแน่เนี่ย? ทีลีอาล่ะก็เอาอกเอาใจสารพัด อย่างนี้มันน่าบอกเสด็จพ่อเสด็จแม่นักเชียวให้ส่งพี่ซูซานไปเป็นพี่เลี้ยงลีอาซะเลย เฮอะ! ก็อย่างว่าแหละนะคุณหนูลีอาของพี่ซูซานออกจะแสนดีน่ารักกว่าเราแยะ เอะอะอะไรก็คุณหนูลีอา คุณหนูลีอาของบ่าว อะไรๆ ก็คุณหนูลีอาก่อนแหละ ฮึ!”
“ฝ่าบาท!” พี่เลี้ยงอุทานเสียงแหลมยิ่งกว่าเก่า จนเจ้าชายอเล็กซิสต้องรีบปรามเบาๆ “ชู่ว! เดี๋ยวคุณหนูลีอาของพี่ก็ตื่นหรอก”
พี่เลี้ยงรีบลดเสียงลงทันควันพร้อมกับเอ่ยว่า “อุ้ย! ขออภัยเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันลืมตัวไปหน่อย”
“ฮื้อ!” หญิงสาวในอ้อมแขนครางงึมงำประท้วงเสียงแหลมของพี่เลี้ยงทั้งที่ยังหลับอยู่ยิ่งทำให้เจ้าชายอเล็กซิสส่งสายตาดุๆ ให้พี่เลี้ยงของตัวเอง
จนกระทั่งไปถึงหน้าห้องนอนของหญิงสาว พี่เลี้ยงรีบเปิดประตูห้องให้โดยเร็ว เจ้าชายอเล็กซิสเสด็จเข้าไปด้านในโดยมีพี่เลี้ยงตามมาติดๆ พี่เลี้ยงรีบเดินไปที่เตียงนอนสี่เสาแบบโบราณมีผ้าม่านลูกไม้บางเบาสีขาวสะอาดถูกรวบไปผูกไว้กับเสาเตียง แล้วตลบผ้าคลุมเตียงสีขาวและผ้าห่มออกอย่างว่องไว เจ้าชายอเล็กซิสค่อยๆ บรรจงวางหญิงสาวลงบนเตียงขณะที่กำลังจะยืดตัวขึ้นมือเรียวนุ่มนิ่มของหญิงสาวก็วาดขึ้นมาคว้าท่อนแขนเอาไว้พึมพำเบาๆ ทั้งที่ดวงตายังปิดสนิท “อเล็กซ์อยู่เป็นเพื่อนลีอาก่อนนะ”
“ได้ซิจ๊ะ” เจ้าชายอเล็กซิสรับคำแล้วก็นั่งลงบนเตียงโน้มตัวลงประทับจุมพิตบนหน้าผากเนียนของผู้เป็นดวงใจ พี่เลี้ยงจึงค่อยๆ เดินออกจากห้องนอนของหญิงสาวพร้อมทั้งโบกมือไล่พวกนางกำนัลที่เดินตามมาห่างๆ ตั้งแต่ชั้นล่างจนถึงชั้นบนพากันมายืนชะเง้อชะแง้อยู่หน้าประตูห้องของหญิงสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใยให้สลายตัวไปให้หมด แต่เหล่านางกำนัลก็ยังไม่แยกย้ายกันไป กลับกระซิบกระซาบถามพี่เลี้ยงถึงอาการของเจ้านายสาวด้วยความเป็นห่วง “ท่านซูซานคะ? คุณหนูลีอาเธอเป็นอะไรเจ้าคะ? ท่านจะเป็นอะไรมากหรือเปล่าเจ้าคะ?”
“คุณหนูเป็นไมเกรน ไม่เป็นอะไรมากหรอก เดี๋ยวก็หายแล้ว เอ้า! แยกย้ายกันไปได้แล้วคุณหนูจะได้พักผ่อน”
พอได้ยินคำตอบจากพี่เลี้ยงเหล่านางกำนัลทั้งหลายก็ถอนหายใจโล่งอกกันเป็นแถบ แล้วก็ค่อยๆ สลายตัวไปทำหน้าที่ของตนเองอย่างว่องไว ไม่ต้องรอให้พี่เลี้ยงเอ่ยปากอีกรอบ พี่เลี้ยงจึงค่อยๆ ปิดประตูห้องนอนให้อย่างแผ่วเบาก่อนจะเดินตามพวกนางกำนัลลงไปยังข้างล่าง
เจ้าชายอเล็กซิสลุกขึ้นปิดสวิตช์ไฟบนแผงควบคุมข้างเตียงจนเหลือเพียงแสงไฟสลัวภายในห้อง แล้วถอดรองเท้าให้หญิงสาวแล้วก็ถอดรองเท้าของตัวเองออกก่อนจะเสด็จไปหยิบผ้าเช็ดหน้าและอ่างแก้วเปิดน้ำอุ่นๆ ในห้องน้ำใส่อ่างแล้วนำมาวางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง จากนั้นเขาก็ค่อยๆ บิดผ้าชุบน้ำอุ่นๆ บรรจงเช็ดหน้าเช็ดตัวให้หญิงสาว
เมื่อเช็ดตัวให้เจ้าหล่อนเสร็จแล้วก็หันไปทางปลายเตียงดึงผ้าห่มคลี่คลุมให้หญิงสาวพร้อมๆ กับนอนลงข้างกายเจ้าหล่อนแล้วรั้งเรือนร่างบางเข้ามาในอ้อมแขนจนศีรษะได้รูปสวยหนุนต้นแขนแทนหมอน ใบหน้างดงามซุกกับอก เขาปัดปอยผมสีบรอนซ์ยาวสลวยบางส่วนให้พ้นวงหน้า เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยกล่อมให้เจ้าหล่อนนอนหลับฝันดี “นอนหลับฝันดีนะลีอา”
มือใหญ่ลูบไล้เรือนผมยาวเล่น ตาสีมรกตยังลืมโพลงด้วยเพราะระลึกถึงเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาอันทำให้เขาไม่เป็นอันหลับอันนอนเพราะหญิงสาวผู้เป็นดั่งดวงใจไม่ได้กลับบ้าน กว่าเขาจะเสด็จกลับจากงานเลี้ยงก็เป็นเวลาดึกมากแล้วราวตีหนึ่งเกือบๆ ตีสอง
เมื่อกลับมาถึงก็ถามหาหญิงสาวทันที “ลีอานอนรึยัง?”
“เอ่อ…คุณหนูยังไม่กลับมาเลยเพคะ”
เมื่อได้ยินคำตอบจากนางกำนัลที่เข้าเวร คิ้วคมเข้มก็ขมวดเข้าหากันทันที เขาหยิบโทรศัพท์มือถือมากดโทรหาหญิงสาวทันควันแต่ไม่มีการตอบรับจนกระทั่งสัญญาณโทรศัพท์ตัดไป เขาจึงลองโทรอีกครั้งแต่ก็ยังไม่มีการตอบรับเช่นเดิม เขาโทรอีกหลายๆ ครั้ง แต่ก็ยังไม่มีการตอบรับ คราวนี้ใจที่สงบเยือกเย็นร้อนเป็นไฟทันที เพราะมีบางสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับหญิงสาวผู้เป็นดั่งดวงใจแล้วเป็นแน่!
เสียงทุ้มนุ่มตะโกนลั่น มีคำสั่งกับทหารและองครักษ์ทันที “ตามหาลีอาเร็วที่สุด ต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับลีอาแน่ๆ เพราะโทรไปเป็นสิบๆ รอบแล้วไม่มีคนรับเลย”
“ครับฝ่าบาท” ทั้งทหารและองครักษ์รับคำสั่งแล้วก็รีบแยกย้ายกันไปหาตัวเจ้านายสาวทันที
ซึ่งเจ้าชายอเล็กซิสก็ออกตามหาเจ้าหล่อนด้วยตัวเองเช่นกัน พวกเขาพากันค้นหาหญิงสาวทุกสถานที่ที่คาดว่าเจ้าหล่อนจะไปแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พบเลย
จนกระทั่งเช้า โทรศัพท์ส่วนตัวของเจ้าชายอเล็กซิสก็ดังขึ้น เขาจึงหยิบมามอง ซึ่งเบอร์ที่ขึ้นอยู่หน้าจอไม่คุ้นตาเลยซักนิด คิ้วคมเข้มขมวดน้อยๆ ก่อนจะกดรับแล้วยกโทรศัพท์แนบหู “ฮัลโหล”
“อเล็กซ์ ลีอาเองนะ”
เพียงแค่ได้ยินเสียงปลายสาย ความกังวลใจที่มีอยู่ก็มลายหายสิ้น เสียงทุ้มนุ่มจึงไล่เบี้ยเอากับหญิงสาวทันที “ลีอาทำไมไม่รับโทรศัพท์! อเล็กซ์โทรเป็นร้อยๆ รอบแล้วก็ไม่เห็นรับเลย รู้ไหมว่าอเล็กซ์เป็นห่วงจนแทบบ้าตายอยู่แล้วนะ จะไปไหนทำไมไม่บอก? รู้ไหมว่าอเล็กซ์ตามหาลีอาทั้งคืนเลยนะ แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน? เมื่อคืนทำไมไม่กลับบ้….”
“อเล็กซ์! หยุดพูดก่อนได้ไหมลีอาฟังไม่ทัน!” เสียงหวานใสร้องห้ามมาทำให้เจ้าชายอเล็กซิสหยุดชะงักทันที เขาได้ยินเสียงเจ้าหล่อนถอนหายใจก่อนจะบอกว่า “เอาไว้ลีอากลับไปแล้วจะเล่าให้ฟังนะ อีกซักสองชั่วโมงก็ถึงบ้านแล้ว ลีอาขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง แค่นี้ก่อนนะอเล็กซ์”
หญิงสาวบอกจบแล้วก็วางสายไปเลย เจ้าชายอเล็กซิสจึงถอนหายใจยาว “เฮ้อ…”
แม้จะยังมีคำถามมากมายค้างคาใจ แต่จากน้ำเสียงของหญิงสาวทำให้ทราบว่าเจ้าหล่อนยังสบายดีไม่ได้เกิดเหตุร้ายแรงอย่างที่กังวลใจ เขาจึงสั่งองครักษ์ให้เลิกค้นหาแล้วกลับที่ประทับ “บอกคนอื่นๆ ให้เลิกหาลีอาได้แล้ว เดี๋ยวอีกสองชั่วโมงเธอจะกลับถึงบ้านเอง กลับบ้านได้แล้ว”
“ครับฝ่าบาท” องครักษ์รับคำสั่งแล้วก็โทรศัพท์ติดต่อกับองครักษ์และทหารคนอื่นๆ ให้เลิกค้นหาทันที
เมื่อเสด็จกลับถึงที่ประทับเจ้าชายอเล็กซิสก็นั่งรอหญิงสาวในห้องโถง บ่นงึมงำเป็นหมีกินผึ้งให้องครักษ์คนสนิทฟังไปพลางๆ แก้เครียด “ลีอานะลีอา! ไปไหนก็ไม่บอกไม่กล่าวปล่อยให้เราเป็นห่วงแทบตาย คอยดูนะกลับมาเมื่อไหร่ฉันจะจับตีก้นให้น่วมเลย!”
ทั้งจอห์นและโคลินได้ยินรับสั่งก็แอบยิ้มให้แก่กัน เพราะรู้ดีว่าเจ้าชายอเล็กซิสพูดไปงั้นแหละ หาได้กล้าทำจริง ๆ ดังเช่นนั้นไม่ แม้ซักเพี๊ยะยังไม่กล้าลงมือให้ผิวนุ่มๆ ต้องเป็นรอยแม้แต่น้อย ก็ทั้งรักและตามใจเจ้าหล่อนออกจะตาย เหอๆๆๆ…
เจ้าชายรูปงามทันเห็นรอยยิ้มของสององครักษ์ เขาจึงถามน้ำเสียงออกจะหงุดหงิดหน่อยๆ “ยิ้มอะไรกันโคลิน จอห์น?”
“ผมเห็นท่านพูดอย่างนี้มาตั้งเป็นร้อยเป็นพันรอบแต่ก็ไม่เคยเห็นทำจริงๆ ซักที แล้วจะไม่ให้ผมขำได้ยังไงล่ะครับ” จอห์นตอบยิ้มๆ โคลินก็รีบเสริมมาหน้าระรื่น “ผมว่าหากฝ่าบาทตีก้นมิสให้น่วมซักครั้งอย่างที่พูดก็คงจะดีนะครับ น่าจะทำให้มิสหายดื้อไปได้เยอะนะครับ จะได้ไม่ขยันหาเรื่องทำให้ฝ่าบาทต้องเป็นห่วงเป็นใยอย่างทุกวันนี้แน่ครับ”
“จอห์น โคลิน!” เสียงเรียกชื่อองครักษ์ทั้งสองด้วยน้ำเสียงดุๆ ไม่ใช่มาจากเจ้าชายอเล็กซิสแต่เป็นเสียงหวานใสจากข้างหลังคนทั้งสอง ทำให้ทั้งจอห์นและโคลินสะดุ้งสุดตัวหันขวับไปทันที แล้วก็ได้พบกับเจ้าของเสียงหวานใสหน้าตาบอกบุญไม่รับยืนอยู่ข้างหลังระหว่างบานประตูห้องโถง
“มิส!” ทั้งสองร้องอุทานตกใจ
เมื่อตั้งสติได้ก็รีบโค้งคำนับหญิงสาวแล้วหันมาลาเจ้าชายอเล็กซิสอย่างรวดเร็ว “เอ่อ…พวกผมทูลลาก่อนนะครับ”
ทั้งจอห์นและโคลินโค้งถวายความเคารพเจ้าชายอเล็กซิสแล้วก็รีบออกจากห้องโถงก่อนที่จะเจอพายุจากเจ้านายสาว แต่ก่อนที่จะออกจากห้องโถงพวกเขาก็ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มถามเจ้าหล่อนเป็นชุด ยิ่งทำให้พวกเขารีบใส่เกียร์สุนัขเผ่นไปโดยเร็ว! ฟิ้ว!
“ลีอา! ทำไมไม่กลับบ้านห๊า? หายไปไหนมาทั้งคืน!? รู้บ้างไหมว่าทำให้อเล็กซ์เป็นห่วงขนาดไหน!? รู้ไหมว่าอเล็กซ์ตามหาลีอาทั้งคืนยังไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยนะ แล้วนี่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับลีอา อเล็กซ์จะอยู่ได้ยังไง?”
เสียงพูดเศร้าซะจนหญิงสาวรู้สึกสำนึกผิดยิ่งนักที่เป็นต้นเหตุทำให้เจ้าชายอเล็กซิสไม่สามารถนอนหลับได้ ทำให้เขาต้องออกตามหาเธอทั้งคืน เธอจึงรีบเดินเข้าไปหาเจ้าชายรูปงาม แต่ยังช้ากว่าเจ้าชายอเล็กซิสที่ลุกจากเก้าอี้สาวเท้าไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวเจ้าหล่อนแล้ว เขารั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมแขนพร้อมกับถามอย่างห่วงใย “ลีอาหายไปไหนมา? กินอะไรมารึยัง? ถ้ายังเดี๋ยวไปกินอาหารเช้าด้วยกันนะ”
“ลีอาขอโทษนะอเล็กซ์ ที่ทำให้อเล็กซ์เป็นห่วง” เสียงหวานใสเอ่ยอู้อี้กับอก สองแขนเรียวเล็กยกขึ้นกอดเรือนกายเพรียวสมส่วนเอาไว้ไม่ได้ตอบคำถามของเจ้าชายอเล็กซิส จนเขาต้องถามซ้ำ “ลีอาหายไปไหนมา?”
“เมื่อคืนลีอาเกือบถูกลักพาตัว”
คำตอบจากหญิงสาวในอ้อมแขนทำให้เจ้าชายรูปงามตกใจมาก “อะไรนะ? ไหนพูดใหม่อีกทีซิ!”
“ลีอาเกือบถูกลักพาตัวหน้าร้านซีซ่า แต่…” หญิงสาวชะงักไปเมื่อเจ้าของอ้อมอกอบอุ่นเอ่ยเสียงแข็งกร้าว “ใครมันกล้าบังอาจมาลักพาตัวลีอาห๊า! ทหา….”
เขาจะตะโกนเรียกทหารแต่ก็ต้องหยุดทันควันเมื่อมือเรียวนุ่มรีบยกปิดปากเอาไว้พร้อมกับเสียงหวานใสเอ่ยเล่าต่อ “แต่อิสมินหน้าบูดช่วยลีอาเอาไว้ ลีอาถึงได้ปลอดภัยกลับมาหาอเล็กซ์นี่แหละ ตอนแรกลีอาเข้าใจว่าอิสมินหน้าบูดลักพาตัวลีอาซะอีก ก็ลีอาจำได้ว่าถูกป้าแก่ๆ ฉีดสเปรย์ใส่พอตื่นมาอีกทีก็อยู่ในห้องกับป้าคนนึงท่าทางใจดีลีอาก็เลยถามเขาว่าที่ไหน เขาก็บอกว่าเป็นห้องนอนของอิสมินหน้าบูด ลีอาเลยเข้าใจว่าอิสมินหน้าบูดลักพาตัวลีอาน่ะซิ แล้วลีอาก็เลย…เอ่อ…”
หญิงสาวอึกอักเล็กน้อยจนเจ้าชายอเล็กซิสมองอย่างสงสัย เขาคาดเดาในใจว่าแม่ตัวดีของเขาคงจะก่อเรื่องอะไรมาแน่ๆ หญิงสาวสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเล่าต่อไป “เอ่อ…ลีอาก็เลยเผลอต่อยเขาไปด้วยแหละ”
“ห๊า!?” เจ้าชายอเล็กซิสร้องอุทานเสียงลอดมือนุ่มที่ยังปิดปากเอาไว้ ตาสีเขียวมรกตเบิกกว้างด้วยความตกใจ จนหญิงสาวต้องรีบเล่าต่อ “อิสมินหน้าบูดอยากมาว่าลีอาว่าเป็นผู้หญิงปากพล่อยด้วยแหละ ลีอาก็เลยแถมให้อีกทีจนหน้าเขียวลงไปกองกับพื้นซะเลย”
“โอ๊ะโอ๋!” เจ้าชายอเล็กซิสเข้าใจทันทีว่าเพื่อนของเขาถูกหญิงสาวประทุษร้ายเข้าที่ใดถึงได้หน้าเขียวอย่างที่เจ้าหล่อนเล่าให้ฟัง เขาหวังว่าเพื่อนคงจะไม่อาการหนักจนอิสมินน้อยพิการใช้งานไม่ได้หรอกนะ เสียงหวานใสดึงให้พระองค์กลับมาสนใจฟังต่อ “หลังจากนั้นลีอาก็ขึ้นไปห้องอัมมานแล้วโทรอเล็กซ์นั่นแหละ แล้วก็ไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ในห้องที่อัมมานให้นางกำนัลจัดไว้ให้ลีอา หลังจากนั้นก็ออกมาเปิดคอมฯ แชทกับอัมมานกำลังจะฟ้องอัมมานอยู่เชียวว่าลูกชายสุดที่รักของอัมมานร้ายขนาดไหนแต่อิสมินหน้าบูดก็โผล่มาซะก่อน”
เจ้าชายอเล็กซิสถอนหายใจด้วยความโล่งใจที่เพื่อนของเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก เขาจับมือนุ่มที่ปิดปากออกแล้วฟังเจ้าหล่อนเล่าต่อไป “ก็คงจะมาเอาคืนแหละ แต่ติดว่าอัมมานห้ามเอาไว้ ไม่งั้นนะลีอาคงได้อัดให้น่วมเลย แล้วพอลีอารู้ว่าอิสมินหน้าบูดช่วยลีอาเอาไว้ไม่ให้ถูกลักพาตัวไปได้ ตอนแรกลีอาคิดจะขอโทษเขาอยู่หรอกนะที่เข้าใจผิดแล้วยังไปต่อยเขาอีก แต่พอได้ยินเค้าเรียกลีอาว่า ‘ยัยผู้หญิงงี่เง่า’ อย่างงั้นลีอาก็เลยไม่คิดจะขอโทษเขาซะเลย แหม…มันก็สมควรแล้วแหละผู้ชายอะไรปากจัดชะมัดเลย รู้งี้นะลีอาน่าจะอัดให้น่วมมากกว่านี้อีก เอาให้นอนหยอดน้ำซุปหมดลายคาสโนว่าซะเลยก็คงจะดี”
“ลีอา!” เสียงทุ้มนุ่มดุหญิงสาว แต่ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าหล่อนหยุดพูด เสียงหวานใสยังคงพูดต่อไป “ก็มันน่านักนี่ น่าอัดให้น่วมไปเลยเผื่อไอ้โรคหวงพ่อของอิสมินหน้าบูดจะหายไปมั่ง คนอะไรหวงพ่อไม่ดูตาม้าตาเรือเอาซะเลย โตจนจะแก่ตายอยู่แล้วยังหวงพ่อไม่เลิก ถ้ายังเป็นเด็กล่ะก็นะ ลีอาจะไม่ว่าซักคำเลย นี่ถ้ารู้ข่าวว่าอัมมานจะแต่งงานกับท่านน้าเซียน่าเมื่อไหร่ลีอาว่าคงอาละวาดวังพังแหงๆ จะอาละวาดฟาดหัวฟาดหางที่ไหนก็อย่ามาอาละวาดกับท่านน้าเซียน่าแล้วกัน ไม่งั้นนะลีอาจะจับเชือดหมกทะเลทรายเลยคอยดูซิ”
“หึๆๆ แล้วลีอาคิดเหรอว่าอิสมินมันจะยอมให้ลีอาจับเชือดน่ะ อิสมินมันแชมป์คาราเต้ของมหาวิทยาลัยเชียวนะลืมแล้วหรือไง? โอ้ย!” เจ้าชายอเล็กซิสร้องออกมาเมื่อมือนุ่มนิ่มทุบที่ไหล่ ใบหน้างดงามงอเป็นม้าหมากรุกกระเง้ากระงอดขึ้นมาทันที “เชอะ! พูดงี้แสดงว่าอเล็กซ์คิดว่าแชมป์คาราเต้ของลีอาซื้อมารึไง?”
เจ้าชายอเล็กซิสต้องรีบง้อเจ้าหล่อนทันที “อเล็กซ์รู้ว่าลีอาของอเล็กซ์เก่งมากทั้งแชมป์คาราเต้ เทควันโด ยูโด ขี่ม้า โอ้ยอีกเยอะแยะสาธยายไม่หมด อเล็กซ์แค่จะบอกว่าอิสมินมันก็แชมป์เหมือนกันนะ อเล็กซ์ไม่ได้ว่าซักหน่อยว่าลีอาของอเล็กซ์ไม่เก่ง อเล็กซ์ซ้อมมือกับลีอาทีไรก็แพ้ทุกทีแหละ”
“เชอะ! ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีหรอก อเล็กซ์มาเป็นคู่ซ้อมให้ลีอาแล้วแพ้ทุกทีเพราะอเล็กซ์ออมมือให้ลีอาหรอกนะ อย่าคิดว่าลีอาไม่รู้นะ” หญิงสาวค้อนให้แล้วสะบัดหน้าเมินไปทางอื่น ทำให้เจ้าชายอเล็กซิสหน้าจ๋อยทันทีเพราะทุกครั้งที่เขาเป็นคู่ซ้อมให้เจ้าหล่อนทีไรเขาก็พยายามออมมือให้เล็กน้อยไม่ให้หญิงสาวผิดสังเกตได้ แต่ก็ไม่นึกว่าเจ้าหล่อนจะยังจับผิดได้อยู่ดี จึงรีบออดอ้อนคนหน้างอในอ้อมแขนแก้ต่างเป็นพัลวัน “ก็อเล็กซ์กลัวว่าจะพลาดทำให้ลีอาเจ็บนี่จ๊ะ อเล็กซ์ก็เลยไม่กล้าสู้เต็มที่ ยกโทษให้อเล็กซ์ด้วยนะ นะจ๊ะคนดี๊คนดี ครั้งต่อไปอเล็กซ์รับรองเลยว่าจะไม่ออมมือให้เด็ดขาด สัญญาด้วยเกียรติของเจ้าชายแห่งกรีเซอเนียเลยจ้ะ หากครั้งต่อไปอเล็กซ์ออมมือให้ลีอาอีกล่ะก็…โอม!…ขอให้จอห์นกะโคลินมันเป็นเกย์เลย…เพี้ยง! โอ้ย!”
มือน้อยนุ่มนิ่มทุบอกกว้างด้วยความหมั่นไส้ในคำพูดของเจ้าชายอเล็กซิส ดวงตาสีอำพันทองค้อนขวับให้ทันควันตามด้วยเสียงหวานใสต่อว่าต่อขาน “เชอะ! เรื่องอะไรโยนไปให้จอห์นกับโคลินล่ะ? แน่จริงก็ขอให้ตัวเองเป็นเกย์ซะเองซิ ฮิๆๆๆ แต่ถ้าอเล็กซ์เป็นเกย์จริงๆ ล่ะก็นะ ลีอาว่าพวกนักข่าวคงละเลงข่าวกันสนุกกว่านี้แน่ๆ แค่ทุกวันนี้พวกนั้นก็ลงข่าวก๊อซซิปแซวอเล็กซ์กันทุกวันอยู่แล้วนี่ว่าอเล็กซ์เป็นเกย์ เวลาลีอาอ่านข่าวพวกนั้นทีไรนะทำให้ลีอาหัวเราะทุกทีเลยแหละ ก็ลีอารู้ดีนี่ว่าอเล็กซ์น่ะแมนร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีหลายๆ คนนะที่เชื่อข่าวพวกนั้น ก็สมควรอยู่หรอกเพราะอเล็กซ์อยากไม่มีข่าวฉาวกับสาวๆ ให้นักข่าวเอาไปเขียนมั่งเลยนี่นา”
“ใครว่าไม่มีข่าวกันล่ะหือ? แสดงว่าลีอายังไม่ได้อ่านข่าวนิวยอร์กบ่ายนี้ใช่ป่ะ? เค้าลงว่า ‘เจ้าชายอเล็กซิสแห่งกรีเซอเนียรับประทานอาหารกับสาวสวยเป็นการส่วนตัวภายใต้บรรยากาศสุดแสนจะโรแมนติก ไม่แน่ว่าอาจจะมีข่าวดีให้ประชาชนชาวกรีเซอเนียได้เฉลิมฉลองเร็วๆ นี้ก็เป็นได้’ สาวสวยที่ลงในข่าวก็หมายถึงลีอานั้นแหละ”
“ห๊า!? แล้วมีรูปลีอาลงด้วยรึเปล่าอเล็กซ์?” ดวงตาสีอำพันทองเบิกกว้างด้วยความตกใจ จนเจ้าชายอเล็กซิสรีบบอก “ไม่มีรูปลีอาลงในข่าวด้วยหรอกมีแต่รูปของอเล็กซ์”
“เฮ้อ….” คนกลัวตกเป็นข่าวถอนหายใจโล่งอก
กริยาของหญิงสาวทำให้เจ้าชายอเล็กซิสยิ้มก่อนจะหาวแล้วสะบัดศีรษะขับไล่ความง่วง หญิงสาวเห็นกริยาเช่นนั้นจึงนึกขึ้นได้ว่าคนตรงหน้าตามหาเธอทั้งคืนยังไม่ได้นอนเลย “อเล็กซ์ไปนอนก่อนเถอะ ดูซิง่วงนอนมากหาวจนน้ำตาไหลเลย”
“ลีอาก็ต้องไปนอนกับอเล็กซ์ด้วยแหละ ถ้าลีอาไม่ไปนอนด้วยกันอเล็กซ์ก็ไม่ไปนอนหรอก เดี๋ยวอเล็กซ์นอนหลับไปแล้วเกิดลีอาแอบไปเที่ยวข้างนอกคนเดียวแล้วหายตัวไปอีกอเล็กซ์จะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง เพราะฉะนั้นเพื่อให้อเล็กซ์สบายใจนอนหลับฝันดีลีอาก็ต้องไปนอนด้วย”
ริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อขยับจะปฏิเสธเพราะเธอไม่รู้สึกง่วงนอนเลยซักนิดแต่เมื่อสบตาสีเขียวมรกตตรงหน้าก็ปฏิเสธเจ้าชายรูปงามไม่ได้ ใต้ตาคล้ำดำเป็นหมีแพนด้าชวนให้หญิงสาวรู้สึกสงสารและสำนึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้เจ้าชายอเล็กซิสไม่ได้นอนทั้งคืน “ก็ได้อเล็กซ์”
คำตอบของหญิงสาวทำให้เจ้าชายอเล็กซิสยิ้มกว้างก่อนจะปล่อยร่างบางแล้วคว้าข้อมือเรียวเล็กจูงไปยังห้องนอนของตัวเอง
เมื่อถึงห้องนอน เจ้าชายอเล็กซิสก็ไปอาบน้ำ ส่วนหญิงสาวก็เปิดตู้เก็บเสื้อผ้า ดึงชุดนอนออกมาสองชุดแขวนไว้หน้าตู้ชุดหนึ่งสำหรับเจ้าชายอเล็กซิสส่วนอีกชุดนั้นสำหรับตัวเธอเอง เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วหญิงสาวก็ออกจากห้องแต่งตัวไปนอนเกลือกกลิ้งรอเจ้าชายรูปงามบนเตียงนอนกว้าง
สักพักเจ้าชายอเล็กซิสก็อาบน้ำเสร็จแล้ว เขาก็ออกจากห้องน้ำมีเพียงผ้าผ้าขนหนูพันบั้นเอวเพียงผืนเดียว เขาเข้าไปในห้องแต่งตัวหยิบชุดนอนที่แขวนอยู่หน้าตู้มาแต่งตัว เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็ออกจากห้องแต่งตัว เดินไปนั่งบนเตียงนอน สบตากับดวงตาสีอำพันทองที่มองเขาตาแป๋วทำให้เขาต้องขู่เจ้าหล่อนทันที “ถ้าอเล็กซ์หลับแล้วลีอาห้ามหนีไปไหนด้วย ถ้าอเล็กซ์ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นลีอาล่ะก็…น่าดู!”
ขู่เสร็จก็เอนตัวลงนอนข้างๆ เจ้าหล่อนพร้อมกับรั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมแขน ซึ่งหญิงสาวก็ยอมเป็นหมอนข้างให้แต่โดยดี ทำให้เจ้าชายอเล็กซิสวางใจสามารถนอนหลับได้
ร่างบางในอ้อมแขนพลิกตัวทำให้ความคิดของเจ้าชายรูปงามหยุดชะงัก เขามองใบหน้าสวยหวานหลับพริ้มจนอดที่จะหอมแก้มเนียนใสไม่ได้ เขาถอนหายใจออกมาเมื่อคิดได้ว่ายังไม่ได้กล่าวขอบคุณเจ้าชายอิสมินเพื่อนรักที่ช่วยเหลือหญิงสาวไม่ให้ถูกลักพาตัวไปได้ “เฮ้อ…ลืมขอบใจอิสมินเลยที่มันช่วยลีอาเอาไว้ พรุ่งนี้เช้าค่อยไปหามันที่โรงแรมก็แล้วกัน”
เขาจรดจมูกบนแก้มเนียนใสอีกครั้งแล้วกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นพร้อมกับค่อยๆ ปิดเปลือกตานอนหลับ
ณ ห้องนอนของเจ้าชายอิสมิน หลังจากที่กลับถึงที่ประทับเจ้าชายหนุ่มก็นอนหลับทันทีจวบจนล่วงเข้าเวลาเย็น
“อิสมิน! ตื่นได้แล้ว! นายจะนอนไปถึงเมื่อไหร่กัน? นี่มันเย็นมากแล้วนะ” เสียงตะโกนปลุกกรอกหูเจ้าชายอิสมินผู้เป็นเจ้าของห้องซึ่งกำลังนอนหลับอย่างสบาย มาจากมิทซ์เพื่อนของเจ้าชายหนุ่ม ทำให้ผู้เป็นเจ้าของห้องพลิกตัวคว่ำบนเตียงนอนพร้อมกับหยิบหมอนปิดหูเอาไว้
“อิสมิน! นายต้องตื่นเดี๋ยวนี้นะ คืนนี้นายจะไปงานประมูลแฟชั่นโชว์ที่ตึกเอ็มไพร์สเตรทไม่ใช่รึ?” เสียงปลุกจากมิทซ์ดังอีกครั้ง พร้อมกับดึงหมอนที่เจ้าชายอิสมินปิดหูออก ทำให้เจ้าชายหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่งพร้อมกับคว้าหมอนอีกใบขว้างใส่เพื่อนทันที
Chapter 8 ลูกสาวนายพล?
แล้วถามเพื่อนด้วยเสียงดังไม่แพ้กัน “โธ่โว้ย! นายมาปลุกฉันเพราะเรื่องแค่นี้เองเหรอ? แล้วนายไม่ไปทำงานรึไง? ถึงได้มีเวลามาปลุกฉันเนี่ย? ฉันกะว่าจะไปหานายหลังจากงานเลิกแล้วนะ”
มิทซ์เบี่ยงตัวนิดเดียวก็หลบหมอนพิฆาตได้แล้ว หมอนจึงพุ่งผ่านผู้จัดการร้านอาหารซีซ่าไปตกบนพื้นไม่ไกลนัก ตุบ!
เมื่อเห็นว่าเพื่อนรักตื่นนอนเขาก็ยิงคำถามทันที “ฉัก็ไม่ได้มีเวลาว่างนักหรอก แต่ที่ฉันต้องถ่อสังขารมาถึงนี่ก็เพราะมิสมิยาโบวิทซ์เธอลืมแหวนเอาไว้ที่ร้าน ฉันก็เลยจะมาถามที่อยู่ของเธอกับนายแล้วจะได้เอาแหวนไปคืนให้เธอ แล้วนี่บ้านเธออยู่ที่ไหนล่ะ?”
มิทซ์เดินไปก้มเก็บหมอนที่เจ้าชายหนุ่มขว้างใส่แล้วนำไปวางไว้บนเตียงนอนพร้อมกับจ้องหน้าเพื่อนรักรอคำตอบ “ว่าไง เธออยู่ไหนรึ?”
ทำให้เจ้าชายอิสมินหน้าบูดบึ้งด้วยไม่สบอารมณ์กับคำถามที่เพื่อนเอ่ยถาม จึงตอบเพื่อนรักหน้าบึ้งตึง น้ำเสียงสะบัดสะโบก “นู้น! ถ้านายจะมาหามิสมิยาโบวิทซ์ล่ะก็ นายรีบไปหาอเล็กซ์เลยไป๊ ฉันจะอาบน้ำแล้วไปรับอิซาเบลไปงานคืนนี้ด้วยกัน”
เจ้าชายอิสมินลุกจากเตียงนอนแล้วไปยังห้องอาบน้ำเพื่ออาบน้ำชำระร่างกายให้สดชื่นหายงัวเงีย
“เฮ้ย! แล้วทำไมฉันจะต้องไปหาอเล็กซ์ด้วยล่ะ? ก็ฉันมาหามิสมิยาโบวิทซ์นะ ไม่ใช่อเล็กซ์ เฮ้! ออกมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนดิ อิสมิน!” มิทซ์ตะโกนถามไล่หลังเพื่อนรักที่ก้าวเข้าห้องน้ำโดยไม่สนใจกับเสียงตะโกนถามของเขาแม้แต่น้อย ทิ้งให้เขามีสีหน้างุนงงต่อไป เขาจึงเดินออกจากห้องนอนของเจ้าชายหนุ่มไปยังมินิบาร์ในห้องโถง แล้วรินวอดก้าจากขวดแก้วเจียระนัยราคาแพงบนมินิบาร์ซึ่งมีเครื่องดื่มให้เลือกมากมาย ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้รับแขกหนานุ่ม รอให้เพื่อนรักออกมาจากห้องนอน
เจ้าชายอิสมินแต่งตัวด้วยชุดทักซิโด้สีดำออกมาจากห้องนอน เขามองเห็นเพื่อนยังนั่งอยู่จึงบอกเพื่อนด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “นี่นายยังไม่ไปอีกเหรอ? ฉันก็บอกแล้วว่ามิสมิยาโบวิทซ์อยู่บ้านอเล็กซ์นู้น! เธอไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว เธอไปตั้งแต่ตอนเช้าเมื่อวานแล้วเฟ้ย!”
มิทซ์จึงถามผู้เป็นเพื่อนรักด้วยความสงสัยยิ่ง “อ้าว…แล้วทำไมมิสมิยาโบวิทซ์ไปอยู่บ้านอเล็กซ์ล่ะ? นายรีบๆ ตอบมาเร็วๆ เข้า ก่อนที่ฉันจะอกแตกตาย”
“แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไง? ก็เมื่อเช้าวานนี้ฉันยังไม่ได้ถามอะไรเลย ยัยผู้หญิงปากเสียนั่นก็ต่อยท้องฉันซะแล้ว แถมยังตีเข่าใส่ซะจนฉันหน้าเขียวลงไปกองกับพื้นเลย พูดถึงแล้วมันน่าเจ็บใจนัก! หลังจากนั้นยัยนั่นก็ขึ้นไปห้องเสด็จพ่อแล้วพอฉันตามขึ้นไปนายทายดูซิว่ายัยนั่นกำลังทำอะไร?”
“ฉันจะไปรู้ได้ไงล่ะโว้ย!” มิทซ์ส่ายหน้าตะโกนใส่คนที่ยืนตรงข้าม แล้วทำตาแป๋วแหววรอฟังคำตอบจากเจ้าชายหนุ่มอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ยัยผู้หญิงคนนั้นก็กำลังแชทกับเสด็จพ่อฉันน่ะซิ กำลังฟ้องเลยเชียวว่าฉันลักพาตัวหล่อนมา ดีนะว่าฉันขึ้นไปทันก่อนที่ยัยนั่นจะได้ฟ้องจนจบ ไม่งั้นล่ะก็มีหวังเสด็จพ่อได้เข้าใจฉันผิดแน่ๆ ซาอิดเป็นคนเล่าให้เสด็จพ่อฟังว่าเรื่องราวเป็นยังไงมายังไง พายุโทนาโดที่กำลังจะก่อตัวถึงได้สงบลงได้ หลังจากที่ยัยนั่นรู้เรื่องแล้วแทนที่จะขอโทษแล้วพูดขอบคุณฉันซักคำก็ไม่มี ชิ! รู้งี้นะไม่ช่วยซะก็ดีหรอก ปล่อยให้ไอ้พวกนั้นลักพาตัวไปซะเลยจะได้ไม่มาทำท่าทางหยิ่งจองหองกะฉันได้ โอ้ย! ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น! หลังจากที่ยัยนั่นคุยกับเสด็จพ่อเสร็จแล้วนะ หล่อนก็รีบแจ้นไปหาอเล็กซ์ที่บ้านเลยแหละ ฉันสั่งให้คนตามดูเธอถึงได้รู้ว่านอกจากเสด็จพ่อที่ตกเป็นเหยื่อคุณเธอแล้วก็ยังมีอเล็กซ์อีกคนนึง”
“เฮ้ย! นายพูดซะยังกับว่ามิสมิยาโบวิทซ์เป็นพวกสิบแปดมงกุฏอย่างงั้นแหละ” มิทซ์รีบขัดขึ้นมาทันที เพราะรู้ว่าเพื่อนรักมีอคติจงเกลียดจงชังผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาใกล้กษัตริย์อัมมาน ยิ่งทำให้เจ้าชายอิสมินไม่สบอารมณ์มากยิ่งขึ้น “หนอย! นี่นายก็คงหลงเสน่ห์ยัยนั่นอีกคนนึงแน่ๆ ชิ! งั้นนายรู้ไว้เลยนะว่ายัยนั่นน่ะไม่ได้วิเศษวิโสอย่างที่นายเห็นเลยซักนิด เมื่อวานนี้นะพออเล็กซ์ไปประชุมกรรมการบอร์ดที่บริษัทฯ ยัยนั่นก็รีบแจ้นออกจากบ้านอเล็กซ์ทันทีเลย แล้วก็ขับรถไปแถวๆ เขตบรองซ์คนเดียว หายเข้าไปในบ้านหลังนึงในย่านนั้นร่วมสี่ชั่วโมงได้”
“พอกลับออกมาอีกทีก็มีไอ้หนุ่มคนนึงเดินตามออกมาส่ง คนของฉันเล่าให้ฟังว่าไอ้หนุ่มคนนั้นท่าทางจะเป็นพ่อค้ายารายใหญ่ในแถบนั้น ฉันว่ายัยนั่นคงไปพี้ยาแน่ๆ หลังจากนั้นยัยผู้หญิงคนนั้นก็ขับรถกลับไปบ้านอเล็กซ์ พอซักพักอเล็กซ์ก็กลับถึงบ้าน นี่คงจะรีบกลับไปรับหน้าอเล็กซ์แหงๆ คงกลัวว่าถ้าอเล็กซ์รู้เข้าจะโดนเฉดหัวทิ้งชัวร์ หลังจากนั้นอเล็กซ์ก็พายัยนั่นไปกินข้าวแล้วก็พาไปแนะนำกับพวกเพื่อนๆ ที่คลับเมื่อคืนนี้ด้วย เสียดายที่เมื่อคืนนี้นายไม่ได้ไปที่คลับ ไม่งั้นนายจะได้เห็นว่ายัยนั่นน่ะระริกระรี้ขนาดไหน แกล้งทำเป็นวางท่าให้ดูเป็นผู้ดี๊ผู้ดีมีชาติมีตระกูล หว่านเสน่ห์ให้ไอ้พวกนั้นมันหลงใหลได้ปลื้ม ชิช่ะ! ยัยนั่นมันก็แค่ผู้หญิงหน้าด้านไร้ยางอายนั่นแหละ!”
มิทซ์จ้องเพื่อนรักอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพื่อนรักเล่าให้ฟัง เพราะท่าทางหญิงสาวเท่าที่เขาเห็นไม่ได้เป็นดังเช่นที่เพื่อนรักเล่ามาเลยซักนิด กริยามารยาทที่เคยเห็น เขามองปราดเดียวก็รู้ว่าได้รับการอบรมฝึกฝนมาอย่างดี และที่สำคัญกษัตริย์อัมมานยกย่องให้เกียรติหญิงสาวมาก ดูจากแววตาก็รู้ว่าท่านรักเจ้าหล่อนประดุจลูกหลาน กระแสรับสั่งก็อ่อนโยนเอ็นดู ลักษณะการกอดรึก็ไม่ได้มีแววฉันท์ชู้สาวเลยซักนิด แต่ไอ้ที่เขาเล่าให้เพื่อนรักฟังนั้นเป็นการใส่สีตีไข่อย่างนึกสนุกเท่านั้น เพราะรู้ว่าเพื่อนรักหวงพ่อเพียงใดจึงอยากจะแกล้งคนอารมณ์ร้อนเล่นเท่านั้นเอง ทันใดนั้นความทรงจำบางอย่างก็วาบขึ้นมาในหัวสมองของผู้จัดการหนุ่ม
“เฮ้ย! อิสมินนายรู้รึเปล่าว่าผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกรีเซอเนียนามสกุลอะไรวะ? นายรู้รึป่ะ?”
“จะนามสกุลอะไรก็ ‘มิยาโบวิทซ์’ น่ะซิ เฮ้ย! นี่มันนามสกุลยัยนั่นนี่หว่า” เจ้าชายอิสมินตอบออกไปแล้วก็ตกใจนึกขึ้นได้ว่าหญิงสาวที่เขาดูถูกเหยียดหยามก็ใช้นามสกุลนี้เช่นกัน ส่วนมิทซ์ตาโตนึกได้ขึ้นมาทันที “เออ…ใช่แล้ว! ถึงว่าซิว่ามันคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินที่ไหนตอนที่พ่อนายบอกว่าทรงมีนัดกับมิสมิยาโบวิทซ์ ฉันก็ยังคิดอยู่ว่าเคยได้ยินนามสกุลนี้จากที่ไหนกันนะ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เพิ่งนึกออกเมื่อกี้นี้เองถึงได้ถามนายอีกทีเพื่อความแน่ใจ เพราะนายสนิทกับอเล็กซ์มากกว่าชั้น เรื่องอย่างนี้นายต้องรู้แน่ๆ”
เจ้าชายอิสมินเกิดอาการเข่าอ่อนขึ้นมาทันควัน ค่อยๆ เกาะเก้าอี้นั่งลงแต่ตายังจับจ้องเพื่อนรักด้วยความตกใจไม่หาย เพราะหญิงสาวที่เขาคิดว่าเจ้าหล่อนเป็นคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าดันใช้นามสกุลเดียวกับท่านนายพลมาร์คัส มิยาโบวิทซ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกรีเซอเนีย!
อีกทั้งท่านนายพลผู้นี้ยังเปรียบเสมือนมือขวาของกษัตริย์อเล็กซานโดรสพระบิดาของเจ้าชายอเล็กซิสเพื่อนของเขาเองอีกด้วย และไม่ใช่เพียงเท่านี้เพราะกษัตริย์อเล็กซานโดรสก็เป็นเพื่อนกับพระบิดาของเขาอีกต่างหาก!
มิทซ์มองดูเพื่อนรักด้วยความรู้สึกหมั่นไส้แกมสงสาร ที่เพื่อนรักของเขาดันไปมีเรื่องไม่กินเส้นกับหญิงสาวนางนั้นเข้าซะแล้ว
“เฮอะ! สมน้ำหน้านายนัก หวงพ่อไม่ดูตาม้าตาเรือ เลยเจอตอเข้าเต็มๆ ฉันว่ามิสมิยาโบวิทซ์คงจะเป็นลูกสาวของท่านผู้บัญชาการนั่นแน่ๆ ระวังตัวไว้เหอะอิสมินเอ้ย ระวังจะเจอทอนาโดทั้งขึ้นทั้งล่อง ลูกแรกนี่ก็ผู้บัญชาการท่านนั้นก่อนเลย ลูกต่อมานี่ก็พ่อนายเอง เพราะพ่อนายดูท่าทางจะทั้งรักทั้งเอ็นดูเจ้าหล่อนโขเลยแหละ เผลอๆ อาจจะมากกว่านายที่เป็นลูกด้วยซะล่ะมั้ง? ยังไงฉันก็ขออวยพรให้นายโชคดีล่ะกัน ฉันไปล่ะนะ จะได้เอาแหวนที่มิสมิยาโบวิทซ์ลืมไว้ไปคืนให้เธอที่บ้านอเล็กซ์”
“แหวนอะไรเหรอมิทซ์? ทำไมไม่ใช้เด็กที่ร้านเอามาให้ล่ะ? ทำไมนายต้องถ่อสังขารมาเอง?” เจ้าชายอิสมินถามเพื่อนทันที เพราะหากลูกค้าลืมของไว้ที่ร้านเพื่อนของเขาก็จะใช้พนักงานในร้านให้นำของไปคืนให้ลูกค้า หรือรอให้ลูกค้ามารับของเองในกรณีที่ไม่รู้ว่าเป็นของลูกค้าคนไหน ไม่เคยมีสักครั้งที่เพื่อนของเขาต้องถ่อสังขารนำของไปคืนให้ลูกค้าด้วยตัวเองดั่งเช่นครั้งนี้เลย
“ก็ถ้าเป็นแหวนธรรมดาทั่วๆ ไป ฉันก็คงไม่ต้องถ่อสังขารมาถึงนี่หรอก แต่นี่…นายดูเอาเองเหอะ” มิทซ์พูดแล้วก็หยิบกล่องใบเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทราคาแพงที่สวมอยู่ แล้วเปิดกล่องออกวางบนโต๊ะตรงหน้าพระพักตร์เพื่อนรักทันที “ดูซิ”
เมื่อเจ้าชายอิสมินมองแหวนในกล่องใบเล็กตรงหน้า เขาจึงหยิบขึ้นมาพิศดูใกล้ๆ แล้วถามเพื่อนว่า “นี่เป็นแหวนที่ยัยนั่นลืมไว้อย่างนั้นรึมิทซ์?”
“ก็ใช่น่ะซิ ก็เพราะอย่างนี้ฉันถึงต้องมาเองยังไงล่ะ แค่อเล็กซานไดรท* บนตัวเรือนนั่นก็หลายสิบล้านเหรียญแล้ว นี่ยังไม่ต้องพูดถึงฝีมือการเจียรนัยนั่นเลยนะ ฉันถึงต้องถ่อสังขารมาเองอยู่นี่ไง นี่ดีว่าคืนนั้นฉันสำรวจความเรียบร้อยในร้านหลังจากนายกลับไปแล้ว ฉันถึงได้เห็นแหวนวางอยู่บนอ่างล้างมือในห้องน้ำของห้องไดมอนน่ะ ฉันก็เลยรู้แล้วว่าทำไมมิสมิยาโบวิทซ์ถึงได้กลับไปที่ร้านตอนดึก เพราะเธอลืมแหวนวงนี้เอาไว้นั่นเอง แล้วพอฉันมีเวลาว่างนิดนึงฉันถึงได้มานี่ยังไงล่ะ เพราะฉันไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน เบอร์โทรติดต่อก็ไม่มี ถึงได้มาถามนายว่าบ้านช่องห้องหอเธออยู่แห่งหนตำบลใด จะได้ตามเอาแหวนไปคืนให้ถึงมือเลย” มิทซ์ตอบสาธยายเหตุผลให้ฟัง
*(เป็นอัญมณีหายากที่เปลี่ยนสีได้ตามแสงที่ส่องกระทบ)
เจ้าชายอิสมินเพ่งมองแหวนในมืออย่างเพ่งพิศ ตัวเรือนทำจากแพลทตินัม หัวแหวนเป็นอเล็กซานไดรทหนักหลายสิบกะรัต เจียรนัยอย่างดี ทำเป็นรูปดอกกุหลาบบานสะพรั่งฝีมือประณีตละเอียดงดงามอ่อนช้อยล้อมรอบด้วยเพชรน้ำงามเม็ดเล็กเจียรนัยดั่งหยาดน้ำค้างและยังมีมรกตน้ำงามเจียรนัยเป็นใบกุหลาบประดับอยู่ฝีมืองดงามดูเก่าแก่ยิ่งนัก แม้จะไม่ใช่ผู้ชำนาญทางด้านนี้ก็ยังดูรู้ว่าเลยว่าแหวนวงนี้มูลค่ามหาศาลมากจริงๆ
“ถ้ามิสมิยาโบวิทซ์อยู่กะอเล็กซ์ งั้น…ฉันไปล่ะอิสมิน จะได้รีบเอาแหวนไปส่งให้ถึงมือเจ้าของแล้วจะได้รีบกลับไปที่ร้านต่อ ป่านนี้แขกเต็มร้านแล้ว” มิทซ์ยื่นมือไปตรงหน้าเพื่อขอแหวนคืนจากเพื่อนรัก แต่เจ้าชายอิสมินก็ไม่ได้ส่งแหวนคืนไปให้เพื่อน เขามองแหวนในมือสลับกับใบหน้าอันหล่อเหลาอารมณ์ดีของเพื่อน แล้วเขาก็ตัดสินใจอาสาจะนำแหวนไปคืนให้ผู้เป็นเจ้าของเอง “นายกลับไปที่ร้านเถอะ ส่วนเรื่องแหวนนี่ เดี๋ยวฉันเจออเล็กซ์เมื่อไหร่ฉันจะฝากเขาให้เอาไปคืนให้ยัยนั่นเองละกัน นายจะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำงาน ยิ่งตอนเย็นๆ รถติดๆ อย่างนี้กว่านายจะไปถึงบ้านอเล็กซ์ กว่าจะเสร็จธุระ แล้วกว่าจะไปถึงร้านอีกล่ะเสียเวลาตายชักเลย”
“เอางั้นก็ได้ งั้นฝากนายจัดการด้วยละกัน แล้วพองานคืนนี้เลิกแล้วนายไปหาฉันที่ร้านด้วยนะ ไปล่ะนะอิสมิน” มิทซ์บอกแล้วก็เดินออกไปทันทีโดยที่เจ้าชายอิสมินไม่ทันได้พูดอะไร เมื่อเขามองดูนาฬิกาบนข้อมือ ถึงเวลาที่จะต้องไปรับมิสอิซาเบลล่า เบอร์บิท คู่ควงคนปัจจุบันไปงานที่ได้รับเชิญแล้ว จึงเก็บแหวนวงสวยใส่กระเป๋าแล้วออกไปรับคู่ควงคนปัจจุบันไปงานด้วยกัน แน่นอนว่าเขาจะต้องง้องอนนางแบบสาวอยู่นาน เพราะผิดนัดเมื่อคืนก่อนทำให้นางแบบสาวคนดังต้องรอเก้อ
ณ ด้านหน้าของตึกเอ็มไพร์สเตรท ซึ่งชั้นบนสุดเป็นสถานที่จัดงานประมูลแฟชั่นโชว์การกุศลกลางเมืองนิวยอร์ก คึกคักไปด้วยสตาฟ ตำรวจและรปภ.รักษาความปลอดภัย ทั้งในและนอกเครื่องแบบหลายร้อยนาย รวมทั้งนักข่าวและตากล้องจากสำนักข่าวต่างๆ มาคอยทำข่าวคนดังมากมายที่มาร่วมงานในคืนนี้กันอย่างคับคั่งสมกับเป็นงานประมูลแฟชั่นโชว์แห่งปี
เมื่อรถยนต์ของเจ้าชายอิสมิน อัลลา ซาลาฮาดีนเจ้าชายรัชทายาทแห่งเอจา จอดด้านหน้าอาคาร พนักงานที่อยู่ในบริเวณนั้นรีบเปิดประตูรถให้ เจ้าชายอิสมินลงจากรถพร้อมกับนางแบบสาวคนดังอิซาเบลล่า เบอร์บิท ซึ่งได้รับเชิญให้มาเดินแบบในงานนี้ด้วย แสงแฟลตสว่างพรึ่บพรั่บทันทีที่ประตูรถเปิดพร้อมๆ กับเจ้าชายแห่งเอจาและนางแบบสาวคนดังยืนเคียงคู่กันให้สื่อมวลชนได้ถ่ายรูปชัดๆ เหล่าองครักษ์รีบทำหน้าที่ของตนเองระแวดระวังไม่ให้ใครล้ำเชือกกั้นทางเดินเข้าใกล้เจ้าชายของพวกเขามากเกินไป
“ฝ่าบาทครับ การประชุมของกลุ่มโอเปคมีมติขึ้นราคาน้ำมันอีกเท่าไหร่ครับ?”
“ฝ่าบาทครับ จะทรงแถลงข่าวดีเมื่อไหร่ครับ?”
“ฝ่าบาทครับ จะเสด็จกลับเอจาเมื่อไหร่ครับ? ฯลฯ
“คุณเบอร์บิทคะ? เมื่อไหร่จะมีข่าวดีล่ะคะ?”
“มีข่าวว่าจะเซ็นสัญญากับเอเจนซี่ใหม่ จริงรึเปล่าคะ? แล้วสัญญากับเอเจนซี่เก่ายังเหลืออีกตั้งหลายปีนี่คะ?” ฯลฯ
เสียงนักข่าวจากสำนักข่าวต่างๆ ถามเจ้าชายอิสมินและนางแบบสาวซึ่งเดินเกาะท่อนแขนของเจ้าชายหนุ่มติดหนึบอย่างกับตุ๊กแกเกาะฝาบ้านเข้าไปในอาคารท่ามกลางแสงแฟลตวูบวาบไม่ขาดสาย แต่ไม่ได้รับคำตอบแต่อย่างใด ใบหน้าคมเข้มเพียงแค่ยิ้มแทนคำตอบเท่านั้น เพียงเท่านี้ก็กระชากหัวใจของสาวๆ บริเวณนั้นได้เป็นอย่างดี
“บรึ่นนน!!!…บรึ่นนน!!!…เอี๊ยดดด!!!…” เสียงบิ๊กไบค์คันใหญ่แบรนด์ฮาเล่ย์เดวิสันเบรกดังสนั่นหน้าอาคาร ทำเอานักข่าว ตากล้อง ตำรวจและรปภ.ที่อยู่บริเวณนั้นแตกฮือ “อ้า!”
เจ้าชายอิสมินซึ่งเพึ่งเข้าไปด้านในของอาคารเพื่อขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบนสุดอันเป็นสถานที่จัดงานจึงหันหน้ากลับไปมอง เขาเห็นร่างสูงเพรียวในชุดแจ็กเก็ตหนังและกางเกงหนังรัดรูปสีดำ รองเท้าบูทส้นสูงสีดำมันเงายาวถึงเข่า เตะขาตั้งรถแล้วก้าวขาลงจากบิ๊กไบค์คันใหญ่ ถอดหมวกกันน็อคออกยื่นให้พนักงานรับรถที่อยู่ด้านหน้าพร้อมกุญแจรถและรับบัตรจอดรถจากพนักงานก่อนจะเดินเข้าไปในอาคาร เมื่อร่างสูงเพรียวเดินเข้ามาในอาคารทำให้เขาตกตะลึงไปทันที เพราะเจ้าของร่างสูงเพรียวก็คือมิสลีอา มิยาโบวิทซ์แขกของพระบิดานั่นเอง!
“อุ้ยต๊าย…ตาย! ฝ่าบาทเพคะ ดูผู้หญิงคนนั้นสิเพคะ แต่งตัวยังกะพวกกุ้ยข้างถนนแน่ะ” เสียงแหลมอุทานสูงปรี๊ดจากนางแบบสาวข้างกายของเจ้าชายอิสมินไม่ได้ทำให้เขาละสายตาที่มองหญิงสาวที่เดินเข้ามาได้เลย เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่ตกตะลึงในความงดงามของหญิงสาวและท่วงท่าเดินที่สง่างามแม้จะอยู่ในชุดแบบ ‘กุ้ยข้างถนน’ ตามคำของนางแบบสาว ก็ไม่อาจลดทอนความงดงามนั้นลงได้เลย กลับทำให้เจ้าหล่อนดูมีเสน่ห์ลึกลับน่าค้นหายิ่งนัก และหากสังเกตดีๆ จะพบว่า ‘กุ้ยข้างถนน’ คนสวยสวมใส่แต่ของแบรนด์เนมราคาแพงระยับยิ่งกว่าชุดที่นางแบบสาวคนดังสวมใส่อยู่ซะอีก
หญิงสาวเดินเข้ามาภายในอาคารไม่ทันเห็นเจ้าชายอิสมินกับนางแบบสาวยืนอยู่หน้าลิฟต์ ก็มีสตาฟสาวคนหนึ่งตรงรี่เข้ามาฉุดแขนของเธอเดินจากไปด้วยท่าทีเร่งร้อน “โอย นึกว่าจะไม่ทันซะแล้ว เร็วเข้าเถอะค่ะ”
เมื่อหญิงสาวคนนั้นเดินตามสตาฟจากไปแล้ว เจ้าชายอิสมินจึงเสด็จไปยังชั้นบนสุดของอาคารแล้วเสด็จตามสตาฟในงานไปยังที่นั่งด้านหน้าติดแคทวอล์คที่ผู้จัดงานได้จัดไว้ให้ เจ้าชายอิสมินสนทนากับแขกที่มาในงานตลอดทางที่เสด็จผ่าน ส่วนนางแบบสาวอิซาเบลล่าก็ถูกเชิญไปเตรียมตัวเดินแบบด้านหลังแคทวอล์ค
งานประมูลแฟชั่นโชว์ได้เริ่มขึ้นมีนางแบบสาวและนายแบบหนุ่มมากมายเดินโชว์เสื้อผ้าหลากสีสันหลากหลายแบบ เสียงประมูลเสื้อผ้าจากแขกที่มาร่วมงานดังแข่งขันกันไม่ขาดสาย นางแบบสาวอิซาเบลล่าก็ได้เดินโชว์ชุดราตรียาวดีไซน์ใหม่ของซีซั่นผ่านไปแล้วเช่นกัน โดยชุดที่เธอสวมใส่นั้นเจ้าชายอิสมินประมูลในราคาสูงลิบลิ่วซะจนคนสวมหน้าบานเป็นกระด้งไปแล้ว
จนกระทั่งพิธีกรประกาศเปิดตัวชุดสุดท้ายของงานในค่ำคืนนี้ นางแบบสาวแสนสวยแขกของกษัตริย์อัมมานในชุดราตรียาวสีขาวประดับด้วยอัญมณีงดงามประมาณค่ามิได้ ใบหน้างดงามถูกแต่งแต้มให้งดงามมากยิ่งขึ้น บนศีรษะประดับด้วยมงกุฎเพชรล้ำค่า พร้อมเครื่องประดับเพชรและรองเท้าประดับเพชรเข้าชุดกันยืนโชว์บนแคทวอล์คโดดเด่นสง่างามยิ่งนัก ยังไม่ทำให้เจ้าชายอิสมินตกใจเท่ากับคำประกาศของพิธีกรบนแคทวอล์ค
“และนี่คือชุดสุดท้ายในค่ำคืนนี้ซึ่งออกแบบโดยเจ้าหญิงลีโอโนลา เดอบอเจีย* แห่งลัตเวเนีย** และต้องขออภัยแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่ไม่สามารถทำการประมูลชุดนี้ได้เนื่องจากเจ้าหญิงลีโอโนลา เดอบอเจีย ออกแบบชุดนี้ให้เป็นของขวัญแด่ว่าที่เจ้าสาวของกษัตริย์อัมมาน อัลลา ซาลาฮาดีน แห่งเอจา ซึ่งจะจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรส ณ ประเทศเอจาในเร็วๆ นี้”
*(ดีไซน์เนอร์ชื่อดังติดอันดับหนึ่งในสามของการประกวดออกแบบเสื้อผ้าระดับโลกทุกปี แต่ไม่เคยปรากฏพระวรกายในงานใดๆ เลยนอกจากพระนามที่ส่งผลงานเข้าประกวดทุกงาน โดยมีผู้แทนพระองค์เป็นผู้ดำเนินการแทนทุกอย่าง)
**(ประเทศลัตเวเนียเป็นประเทศหนึ่งในแถบยุโรปเหนือติดกับรัสเซีย ร่ำรวยไปด้วยอัญมณี)
สิ้นเสียงประกาศของพิธีกรบนแคทวอล์ค นางแบบสาวก็เดินโชว์บนแคทวอล์ค ทำให้ทั่วทั้งงานเซ็งแซ่ไปด้วยสรรพเสียงจากเหล่าแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานและสื่อต่างๆ ที่อยู่ภายในงาน
ทั้งเสียงอื้ออึงถึงข่าวการอภิเษกสมรสของกษัตริย์อัมมานแห่งเอจาอันเป็นหนึ่งในขุมทองแห่งบ่อน้ำมันในกลุ่มโอเปค
เสียงถามไถ่กันถึงว่าที่เจ้าสาวผู้โชคดีนางนั้นด้วยความสงสัยใคร่รู้
เสียงทูลถามเจ้าชายอิสมินจากแขกเหรื่อที่นั่งใกล้ๆ กันเกี่ยวกับข่าวพิธีอภิเษกสมรสของพระบิดา
บรรดาผู้มาร่วมงานทั้งแขกเหรื่อและสื่อมวลชนต่างๆ ที่กระหายข่าวทำให้เจ้าชายหนุ่มต้องทรงใช้ไหวพริบในการตอบคำถามต่างๆ อย่างมากมาย เพราะเขาไม่ทราบเลยว่าพระบิดาจะอภิเษกสมรสในอีกสองเดือนข้างหน้า
เสียงชื่นชมชุดงามประมาณค่ามิได้ เสียงเสียดายที่ไม่สามารถประมูลชุดสวยล้ำค่าได้
เสียงกดชัดเตอร์ของช่างภาพที่รีบเก็บภาพชุดเจ้าสาวของกษัตริย์อัมมาน อัลลา ซาลาฮาดีน ของขวัญจากเจ้าหญิงลีโอโนลา เดอบอเจีย แห่งลัตเวเนียทรงพระราชทานให้กับว่าที่เจ้าสาวของกษัตริย์อัมมานแห่งเอจาเอาไว้รวดเร็ว
จนกระทั่งนางแบบสาวเดินลงจากแคทวอล์คแล้วเสียงต่างๆ ก็ยังคงเซ็งแซ่ต่อไป
เมื่องานประมูลแฟชั่นโชว์จบลงแล้ว แขกที่มาร่วมงานต่างพากันทยอยกลับ แต่เจ้าชายอิสมิน อัลลา ซาลาฮาดีนเจ้าชายรัชทายาทแห่งเอจากำลังถูกสื่อมวลชนมะรุมมะตุ้มรุมล้อม รุมถาม รุมสัมภาษณ์เกี่ยวกับข่าวพระราชพิธีอภิเษกสมรสของพระบิดา จนทั้งองครักษ์ หน่วยรักษาความปลอดภัยตำรวจและสตาฟในงานต้องช่วยกันกีดกันเหล่าสื่อมวลชนที่รุมล้อมเจ้าชายเอาไว้กันอย่างสุดฤทธิ์ เจ้าชายอิสมินไม่ได้ให้สัมภาษณ์เลยซักนิด แล้วเขาก็เสด็จออกจากงานขึ้นรถยนต์กลับที่ประทับทันที
ส่วนนางแบบสาวเบอร์บิทได้ถูกนำตัวขึ้นรถอีกคันที่องครักษ์จัดหาให้ พากลับอพาร์ทเม้นต์หรูโดยไม่ยอมให้นางแบบสาวได้ให้สัมภาษณ์ใดๆ กับสื่อมวลชนเลยตามคำสั่งของเจ้าชายหนุ่ม
เหยี่ยวข่าวทั้งหลายจึงไปสอบถามผู้จัดงานแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ ที่ให้ความกระจ่างแจ้งขึ้นเลย พร้อมกับถามถึงดีไซน์เนอร์ผู้ออกแบบและนางแบบ แต่ได้รับคำตอบว่าผู้แทนพระองค์ของเจ้าหญิงลีโอโนลา เดอบอเจียผู้ออกแบบและนางแบบได้กลับไปแล้ว สร้างความผิดหวังให้กับเหยี่ยวข่าวทั้งหลาย พวกเขาจึงไปรอทำข่าวทั้งที่หน้าโรงแรมแกรนด์เอจาที่ประทับของเจ้าชายอิสมิน อัลลา ซาลาฮาดีน ทั้งหน้าอพาร์ทเม้นต์สุดหรูของนางแบบสาวเบอร์บิทคู่ควงของเจ้าชายอิสมินและหน้าสถานทูตเอจาเพื่อหาข้อมูลข่าวใหญ่ต่อไป
เจ้าชายอิสมินเมื่อเสด็จถึงที่ประทับแล้ว จึงโทรศัพท์หาพระบิดาทันที เสียงโทรศัพท์ดังอยู่ครู่หนึ่งตามมาด้วยเสียงของพระบิดาทักทายมาตามสาย “ไงไอ้ลูกชาย โทรมาหาพ่อมีอะไรด่วนล่ะหือ? หรือเจ้าไปทำผู้หญิงท้องกันล่ะ?”
“เสด็จพ่อ! ไม่ต้องมาเฉไฉหาเรื่องกับลูกเลยนะครับ เสด็จพ่อจะอภิเษกกับใครครับ? ทำไมเสด็จพ่อถึงไม่บอกลูกเลยครับ? แล้วยังชุดเจ้าสาวที่เจ้าหญิงลีโอโนลา เดอบอเจีย แห่งลัตเวเนียออกแบบให้เป็นของขวัญกับว่าที่เจ้าสาวของเสด็จพ่ออีกล่ะครับ มันเกิดอะไรขึ้นครับ?” เจ้าชายอิสมินถามพระบิดาทันทีที่ปลายสายรับสาย
“หือ?” สร้างความงุนงงให้กับกษัตริย์อัมมานซึ่งกำลังนอนหลับอย่างสบาย ต้องตื่นนอนด้วยเสียงโทรศัพท์ส่วนตัวที่ดังขึ้นรบกวนเวลานอน เมื่อรับสายก็ได้ยินเสียงพระโอรสถามเกี่ยวกับว่าที่เจ้าสาวที่จะอภิเษกสมรสด้วย ซึ่งเพิ่งจะมีคำสั่งให้ทางสำนักพระราชวังจัดเตรียมงานพิธีอภิเษกสมรสที่จะมีขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้า(ด้วยความใจร้อน)ไปเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา
และของขวัญแต่งงานจากเจ้าหญิงลโอโนลา เดอบอเจีย แห่งลัตเวเนีย แม้จะทราบมาก่อนแล้วว่าเจ้าหญิงพระองค์นั้นคิดจะถวายของขวัญแต่งงานให้กับว่าที่เจ้าสาวของเขามาบ้าง แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะรวดเร็วปานสายฟ้าแลบเช่นนี้ แถมยังประกาศกลางงานแฟชั่นอันยิ่งใหญ่อีกด้วย แน่นอนว่าข่าวต้องดังกระฉ่อนไปทั่วโลกแน่ ๆ
ด้วยความอยากรู้ว่าของขวัญนั้นเป็นอะไรจึงถามพระโอรสกลับไปทันที “อะไรกันน่ะอิสมิน? ของขวัญอะไรกัน? พ่อเพิ่งจะสั่งให้เขาเตรียมงานพิธีอภิเษกเมื่อบ่ายวันนี้เองนะ”
เจ้าชายอิสมินตอบประชดประชันด้วยความน้อยใจที่พระบิดาไม่ได้บอกเรื่องสำคัญอย่างนี้ให้ทราบเลย แถมยังทำเหมือนจะปิดบังไว้อีกต่างหาก “จากงานประมูลแฟชั่นโชว์ที่ลูกไปร่วมงานมาในคืนนี้ครับ ในงานเขาเอาชุดเจ้าสาวที่เจ้าหญิงลีโอโนลา เดอบอเจียออกแบบให้เป็นของขวัญว่าที่เจ้าสาวของเสด็จพ่อออกโชว์ แล้วลูกก็ได้ให้มาลิกไปสอบถาม(สอบสวน) กับเจ้าของงานและผู้แทนพระองค์ของเจ้าหญิงลีโอโนลา เดอบอเจียแล้วด้วยครับ”
Chapter 9 กลับเอจา
“เขายืนยันว่าเจ้าหญิงแห่งลัตเวเนียดีไซน์ชุดนี้เพื่อถวายเป็นของขวัญให้กับว่าที่เจ้าสาวในพิธีอภิเษกสมรสของเสด็จพ่อครับ เสด็จพ่อจะอภิเษกกับใครครับ? ทำไมไม่บอกลูกซักคำ? ปล่อยให้ลูกรู้จากคนอื่นอย่างนี้ได้ยังไงครับ? เสด็จพ่อปิดบังลูกทำไมครับ?” เจ้าชายอิสมินอธิบายพร้อมกับถามพระบิดาอีกครั้ง
“พ่อคิดว่าเจ้าน่าจะกลับมาเอจาก่อนนะ เรื่องแบบนี้คุยกันทางโทรศัพท์มันไม่สะดวก แล้วพ่อจะรอเจ้านะ” กษัตริย์อัมมานบอกกับพระโอรสแล้วก็ตัดสายปิดเครื่องทันที พร้อมกับสั่งเรียกนางกำนัลที่อยู่ด้านนอกทันที “ใครอยู่ข้างนอก เข้ามานี่เร็วๆ”
“เพคะ” เมื่อนางกำนัลเวรที่อยู่หน้าห้องนอนเข้ามาแล้ว กษัตริย์อัมมานก็สั่งกับนางกำนัลทันที “หากมีโทรศัพท์จากเจ้าชายอิสมิน บอกเขาว่าฉันนอนแล้ว ค่อยคุยกันเมื่อกลับมา ไปได้แล้ว”
“เพคะ” นางกำนัลรับคำสั่ง
กษัตริย์อัมมานสั่งเสร็จแล้วยกหูโทรศัพท์เครื่องที่อยู่ในห้องนอนออกแล้วก็เอนตัวนอนต่อทันทีไม่สนใจเลยซักนิดว่าจะทำให้พระโอรสหงุดหงิดใจเพียงไร เขารู้ดีถึงอารมณ์ของพระโอรสได้เป็นอย่างดีว่ายามนี้คงได้อาละวาดฟาดหัวฟาดหางอยู่เป็นแน่ แล้วก็คิดถึงว่าที่เจ้าสาวของเขาเองอย่างนึกขัน “หึๆๆ ร้ายจริงนะเซียน่า หาวิธีรวบรัดตัดความทำให้อิสมินมันคัดค้านเรื่องแต่งงานของเราไม่ได้ ยอดเยี่ยมจริงๆ นะจ๊ะที่รักจ๋า…”
นางกำนัลค่อยๆ ออกจากห้องไปรอรับโทรศัพท์ตามคำสั่งทันที ยังไม่ทันพ้นห้องนอนเสียงโทรศัพท์หน้าห้องนอนก็ดังขึ้นมา นางกำนัลนางนั้นจึงรีบออกจากห้องนอนไปรับสายทันที “สวัสดีค่ะ พระราชวังเอจาอัลลาค่ะ”
“เสด็จพ่อล่ะ?” เสียงห้าวเกรี้ยวกราดของเจ้าชายอิสมินดังมาตามสาย จนนางกำนัลผู้รับสายต้องรีบเอาหูโทรศัพท์ออกห่างนิดหนึ่งก่อนที่หูจะหนวกซะก่อน แล้วจึงกราบทูลเจ้าชายอิสมินตามคำสั่งขององค์อัมมาน “องค์อัมมานนอนแล้วเพคะ มีรับสั่งให้กราบทูลเจ้าชายว่า ‘ค่อยคุยกันเมื่อกลับมา’ เพคะ”
“โธ่โว้ย!” เจ้าชายอิสมินได้ยินเช่นนั้นก็ขว้างโทรศัทพ์ในมือลงกับพื้นระบายอารมณ์เสียงดังเปรี้ยง!
จนโทรศัพท์เครื่องน้อยแตกละเอียดกระจัดกระจาย
นางกำนัลผู้รับสายได้ยินเจ้าชายอิสมินสบถก่อนจะมีเสียงดังจนแก้วหูแทบแตกแล้วสายก็ตัดไปจึงค่อยๆ เธอวางโทรศัพท์ลงกับแป้นแล้วบ่นพึมพำอย่างคาดเดาอนาคตอันใกล้นี้ได้แม่นยำ “เฮ้อ…พายุเกิดแน่ๆ”
เจ้าชายอิสมินหงุดหงิดยิ่งนัก อาละวาดจนข้าวของที่อยู่ในห้องแตกกระจายเกลื่อนพื้น สร้างความหวาดกลัวให้เหล่านางกำนัลกลัวหัวหดจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ได้แต่ยืนแอบดูอยู่ห่างๆ มีเพียงนางกำนัลอาวุโสเท่านั้นที่ยืนแอบอยู่หน้าห้องปากก็ตะโกนแข่งกับเสียงของแตกเตือนของเจ้าชายหนุ่ม “ฝ่าบาทเพคะ! สงบสติก่อนเพคะ ใจเย็นๆ ก่อนนะเพคะ”
“เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!…”
“อย่าเข้ามานะซารีฟ! ยืนอยู่ห่างๆ นั่นแหละดีแล้วจะได้ไม่โดนลูกหลง” เจ้าชายอิสมินสั่งห้ามข้ารับใช้เก่าแก่ แต่ก็ยังไม่หยุดอาละวาด “เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!…”
นางกำนัลอาวุโสใจชื้นขึ้นนิดหนึ่งที่อย่างน้อยเจ้าชายอิสมินก็ยังไม่สติแตกเกินไปนัก ยังห่วงกลัวว่าข้ารับใช้จะถูกลูกหลง จึงยืนดูเจ้าชายหนุ่มอยู่ห่างๆ ปล่อยให้อาละวาดให้พอใจ
จนครู่ใหญ่เจ้าชายอิสมินก็หยุดอาละวาด พร้อมกับมีคำสั่งกับหัวหน้าองครักษ์ซึ่งยืนใกล้ๆ กับนางกำนัลอาวุโส “ซาอิด ยกเลิกนัดหมายทั้งหมด ผมจะกลับเอจาเดี๋ยวนี้”
“แต่ว่า…” ท่านหัวหน้าองครักษ์จะแย้งแต่เมื่อเจอเจ้าชายอิสมินมองมาด้วยสายตาดุดันน่ากลัวทำให้ซาอิดถึงกับกลืนน้ำลายเสียวสันหลังวาบไม่กล้าเอ่ยคัดค้านใดๆ ทั้งสิ้น
“ครับ” ซาอิดรับคำสั่งแล้วจึงรีบไปสั่งการตามความประสงค์ของเจ้าชายอิสมินทันที
เหล่านางกำนัลก็รีบเข้าไปเก็บกวาดข้าวของที่แตกกระจายตามคำสั่งของนางกำนัลอาวุโสซารีฟกันอย่างว่องไว
ส่วนพวกองครักษ์ก็รีบจัดเตรียมการเดินทางเสด็จกลับเอจาให้ทันใจเจ้าชายหนุ่ม
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เครื่องบินส่วนตัวของเจ้าชายอิสมินก็ทะยานออกจากสนามบินมหานครนิวยอร์ก ถึงกระนั้นก็ยังไม่ทันใจของเจ้าชายหนุ่มแม้แต่น้อย ใบหน้าหล่อเหลาจึงบึ้งตึงยิ่งนัก
หลังเครื่องบินส่วนตัวของเจ้าชายอิสมินเทคออฟไปแล้ว ก็มีเครื่องบินส่วนตัวอีกลำหนึ่งเทคออฟออกจากสนามบินมหานครนิวยอร์กไปในเวลาไล่เลี่ยกันโดยมีผู้โดยสารสาวสวยเพียงคนเดียวนั่งอยู่ในห้องโดยสารส่วนหัวเครื่องบิน เธอมองแสงไฟของมหานครใหญ่ผ่านหน้าต่างเครื่องบินที่ค่อยๆ เล็กลงๆ จนลับตา และหากมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบินดีๆ จะสังเกตเห็นเครื่องบินรบราวห้าลำบินแวดล้อมไปกับตัวเครื่องบินด้วย เพื่อคอยคุ้มครองไม่ให้มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับผู้โดยสารคนสำคัญได้
หญิงสาวละสายตาจากด้านนอกหน้าต่างแล้วปรับเบาะเก้าอี้ตัวใหญ่จนกลายเป็นเตียงนอนแล้วดึงผ้าห่มขนแกะหนานุ่มขึ้นคลุมตัวนอนหลับอย่างสบายอารมณ์ โดยมีผู้ติดตามอีกโขยงใหญ่ซึ่งเป็นชายล้วนแค่มองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี นั่งรวมกันอยู่ในห้องโดยสารถัดจากห้องของเธออยู่บริเวณตรงกลางและส่วนท้ายของตัวเครื่อง ถึงแม้พวกเขาจะส่งเสียงดังกันขนาดไหนก็ไม่สามารถรบกวนเธอได้เลย เพราะเครื่องบินลำนี้ได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อให้ผู้โดยสารคนสำคัญได้รับความสะดวกสบายมากที่สุด
ณ พระราชวังเอจาอัลลา ในเช้าวันนี้ทั่วทั้งวังต่างโกลาหลกับการจัดเตรียมพระราชพิธีอภิเษกสมรสขององค์พระประมุขที่มีคำสั่งสายฟ้าแลบลงมาเมื่อตอนบ่ายวานนี้ และในตอนเช้าตรู่กษัตริย์อัมมานยังมีคำสั่งให้จัดเตรียมห้องรับรองแขกส่วนตัวที่จะมาถึงในตอนบ่ายวันนี้ให้เรียบร้อย รวมถึงการรอรับเจ้าชายอิสมินที่กำลังจะมาถึงในตอนบ่ายของวันนี้อีกด้วย ซึ่งทำให้เหล่าข้าราชบริพารพากันรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ไปตามๆ กัน เพราะแลเห็นพายุทอนาโดก่อตัวมาแต่ไกล รับรองว่าเครื่องบินส่วนตัวของเจ้าชายอิสมินแลนดิ้งเมื่อไหร่เป็นได้ถูกพายุกันถ้วนหน้าเป็นแน่ เหอๆๆๆ…
นาฬิกาเรือนใหญ่บอกเวลาบ่าย 2 เศษตามเวลาท้องถิ่นประเทศเอจา เครื่องบินส่วนตัวของเจ้าชายอิสมินก็ลงจอด ณ สนามบินนานาชาติเอจา แล้วก็เป็นจริงดังที่บรรดาข้าราชบริพารคาดการณ์กันเอาไว้ เพราะทันทีที่เครื่องบินส่วนตัวของเจ้าชายอิสมินจอดเรียบร้อยประตูเครื่องบินก็เปิดออก ตามมาด้วยพายุทอนาโดลูกใหญ่ที่พัดกระหน่ำใส่กษัตริย์อัมมานที่ยืนรออยู่หน้าเกททันที เจ้าชายอิสมินทำความเคารพพระบิดาเป็นปกติแต่เสียงที่เอ่ยนั้นห้วนสนิทแกมน้อยใจ “ถวายบังคมครับเสด็จพ่อ”
“การเดินทางราบรื่นดีรึเปล่าอิสมิน?”
“เสด็จพ่อไม่ต้องห่วงลูกหรอกครับ เก็บความห่วงใยของเสด็จพ่อไว้ให้ว่าที่ราชินีของเสด็จพ่อเถอะครับ” คำประชดประชันของพระโอรส ทำให้กษัตริย์อัมมาน อัลลา ซาลาฮาดีน พระประมุขผู้ปกครองประเทศเอจาส่ายหน้าอย่างเอือมระอา “เฮ้อ…เมื่อไหร่จะโตซักทีนะอิสมิน เอาเถอะๆ เพิ่งมาถึงเหนื่อยๆ เจ้าก็กลับวังไปพักผ่อนซะก่อนเถอะ เดี๋ยวพ่อต้องอยู่ที่สนามบินรอรับลีอาก่อน อีกยี่สิบนาทีเครื่องก็จะแลนดิ้งแล้ว”
เจ้าชายอิสมินหันขวับไปจ้องพระบิดาทันที “เสด็จพ่อรอรับใครนะครับ? ลูกได้ยินไม่ถนัด”
“รอรับลีอา” กษัตริย์อัมมานตอบแล้วก็มองพระโอรสว่าจะมีปฏิกริยาเช่นไรบ้าง แล้วก็ไม่ผิดจากที่คาดเดาเลยซักนิด เพราะพระโอรสของเขาสะบัดหน้าพรึ่ด ก้าวเดินตึงๆ ไปทันทีทันใด กษัตริย์อัมมานจึงได้แต่ส่ายหน้าด้วยความกลุ้มใจ
“เฮ้อ…” เขาถอนหายใจออกมาแล้วก้าวไปยังห้องรับรอง นั่งบนเก้าอี้เอนตัวพิงพนักอย่างเหนื่อยล้าใจ มองดูนาฬิกา รอเวลาแลนดิ้งของผู้เป็นหลานสาวของว่าที่เจ้าสาวของตนเอง แม้นางกำนัลจะนำเครื่องดื่มมาถวายแต่เขาก็ไม่ได้สนใจเอาแต่ทอดถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม ทำให้เหล่านางกำนัลพากันทุกข์ใจตามพระประมุขไปด้วย “เฮ้อ…”
ก็กษัตริย์อัมมาน อัลลา ซาลาฮาดีน พระประมุขผู้ปกครองเอจาของพวกหล่อน ถึงแม้จะมีอายุ 62 ปีแล้ว แต่ร่างกายสูงใหญ่ยังคงแข็งแรงไม่ได้ร่วงโรยตามอายุเลย ยังแข็งแรงบึกบึนมากกว่าหนุ่มๆ หลายๆ คนในวังซะอีก เขามารอรับกลับมาของพระโอรสตามที่องครักษ์ของเจ้าชายอิสมินได้แจ้งการเสด็จกลับของเจ้าชายมาล่วงหน้า แต่ก็ถูกพระโอรสตั้งแง่ตั้งงอนเข้าใส่ทันทีซึ่งสาเหตุก็เพราะพระบิดาจะทรงอภิเษกสมรสใหม่ ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าพระบิดามิได้มารอรับแต่เขาเท่านั้น ยังมารอรับแขกส่วนตัวที่กำลังจะเดินทางมาถึง ก็ยิ่งงอนหน้าบึ้งเข้าไปใหญ่ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้องค์อัมมานกลัดกลุ้มใจได้อย่างไรกัน “เฮ้อ…”
จนกระทั่งถึงเวลาแลนดิ้งของเครื่องบินอีกลำ กษัตริย์อัมมานก็ไปรออยู่หน้าเกทเลยทีเดียว ทันทีที่เครื่องบินจอดเทียบท่าเรียบร้อย เรือนร่างบางในชุดสูทสีขาวก็วิ่งโถมเข้าใส่กษัตริย์อัมมานทันที “อัมมานนนนนน!”
“ลีอา! เบาๆ หน่อย เราไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ แล้วนะ” แม้จะดุแต่กษัตริย์อัมมานก็อ้าแขนรับเรือนร่างบางที่โถมเข้ามาพร้อมกับประทับจุมพิตรับขวัญลงบนหน้าผากเนียน ทำให้หญิงสาวเขย่งปลายเท้าขึ้นนิดยื่นหน้าหอมแก้มทั้งสองข้างของว่าที่น้าเขยฟอดใหญ่ก่อนจะผละออกมาย่อตัวถวายความเคารพอย่างเป็นพิธีการ “ถวายบังคมเพคะเสด็จลุง”
“ขอต้อนรับสู่ประเทศเอจา แล้วนี่อเล็กซ์ไม่มาด้วยเหรอ?” กษัตริย์อัมมานถามถึงเจ้าชายอเล็กซิสทันทีเมื่อมองเห็นแต่หญิงสาวเพียงผู้เดียว ทำให้เจ้าหล่อนรีบตอบคำถามเสียงใส “อเล็กซ์ต้องกลับไปกรีเซอเนียก่อนเพคะ แล้วจะมาที่นี่ใกล้ๆ วันงานพิธีเพคะ”
“อย่างงั้นรึ นึกว่าจะมาพร้อมกันซะอีก เสียดายจังฉันกะว่าจะพาไปเที่ยวชมเอจาให้ทั่วๆ ซักหน่อย งั้นพาลีอาไปเที่ยวก่อนก็แล้วกัน ส่วนอเล็กซ์ไว้มาแล้วค่อยให้อิสมินพาไปเที่ยวก็แล้วกัน เอ้า! เราก็กลับวังกันเถอะ ลีอามาถึงเหนื่อยๆ จะได้อาบน้ำอาบท่าแล้วพักผ่อน แล้วเดี๋ยวตอนเย็นจะได้มาร่วมงานเลี้ยง”
แค่ได้ยินคำว่า ‘งานเลี้ยง’ ทำให้คนเกลียดงานเลี้ยงทำจมูกย่นทันที กำลังจะอ้าปากปฏิเสธจนกษัตริย์อัมมานต้องรีบบอกทันควัน “อ่ะ! อ่ะ! ไม่ต้องทำหน้าอย่างงั้นหรอก แค่งานเลี้ยงเล็กๆ ไม่ได้เอิกเกริกใหญ่โตอะไร เป็นงานเลี้ยงต้อนรับของลีอานั่นแหละแล้วก็เป็นงานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของอิสมินด้วย”
“ลีอาไม่ไปร่วมได้ป่ะ?” คนเกลียดงานเลี้ยงต่อรอง ทำให้กษัตริย์อัมมานดุเจ้าหล่อนพร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธคำต่อรอง “งานนี้เป็นงานของลีอานะ! จะไม่ไปร่วมงานได้ยังไง! ยังไงๆ ก็ต้องไปร่วมงานไม่มีข้อแม้ ข้ออ้างอะไรทั้งสิ้น เข้าใจ๋?”
“เพคะ” คนเกลียดงานเลี้ยงจึงจำใจรับคำอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงทำให้กษัตริย์อัมมานยิ้มแล้วจึงจูงมือคนหน้างอไปยังรถยนต์เพื่อเสด็จกลับพระราชวังเอจาอัลลา เหล่านางกำนัลและทหารรักษาพระองค์จึงรีบตามเสด็จกันเป็นพรวน
เมื่อไปถึงรถยนต์ซึ่งจอดรออยู่ มีรถนำขบวนและรถปิดท้ายขบวนจอดรออยู่หลายคัน กษัตริย์อัมมานก็เห็นพระโอรสยืนรออยู่ เขาจึงถามพระโอรสด้วยคาดว่าพระโอรสเสด็จกลับวังอัลบายา*ไปแล้ว “อ้าว! ยังไม่กลับวังอีกรึ? พ่อคิดว่าเจ้ากลับไปแล้วซะอีก”
*(วังอัลบายาของเจ้าชายอิสมิน อัลลา ซาลาฮาดีน อยู่ทางทิศใต้ของเมืองหลวงเอจา ห่างจากพระราชวังเอจาอัลลาประมาณยี่สิบไมล์)
เจ้าชายอิสมินมองพระบิดาแล้วเลยไปยังเรือนร่างบางงดงามที่เดินเคียงข้างมากับพระบิดา สายตาสะดุดหยุดลงที่มือของพระบิดาและมือของหญิงสาวที่เกาะกุมกันกันเอาไว้อย่างสนิทสนมยิ่งทำให้เจ้าชายหนุ่มไม่พอใจมากยิ่งขึ้น หึ!
ส่วนหญิงสาวเมื่อมองเห็นเจ้าชายอิสมินก็ย่อตัวถวายความเคารพอย่างงดงาม “ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท”
เจ้าชายอิสมินมองใบหน้างดงามด้วยความหมั่นไส้ ตอบเสียงราบเรียบแต่สายตาดุดันยิ่งนัก “สวัสดี”
กษัตริย์อัมมานจึงแนะนำตัวหญิงสาวกับพระโอรส “อิสมินนี่มิสลีอา มิยาโบวิทซ์ เธอกำลังจะมาเป็นครอบครัวเดียวกันกับเรา ทำความรู้จักกันไว้ซะซิ”
“เสด็จพ่อหมายความว่ายังไงครับ?” เจ้าชายอิสมินถามพระบิดาแกมคาดคั้น
ซึ่งกษัตริย์อัมมานก็ตอบพระโอรสด้วยความหมั่นไส้เต็มทน เลยแกล้งเฉไฉตอบให้มันคลุมเครือซะเลย “พ่อก็หมายความว่าลีอาจะมาเป็นครอบครัวเดียวกับเราหลังจากพ่ออภิเษกแล้วนะซิ ไปกันได้แล้วล่ะ ลีอาไม่เคยชินกับอากาศร้อนของที่นี่เดี๋ยวจะไม่สบายเอา ดูซิผิวเริ่มแดงแล้ว เอ้า! ลีอาขึ้นรถได้แล้วจะได้ไปกันซักที”
กษัตริย์อัมมานตอบพระโอรสแล้วก็พาหญิงสาวขึ้นรถทันที เมื่อมองเห็นผิวของหญิงสาวเริ่มแดงเพราะความร้อนของอุณหภูมิที่สูงจัดอันเป็นปกติของอากาศแถบทะเลทรายซึ่งเจ้าหล่อนไม่คุ้นเคย
เมื่อรถยนต์ของกษัตริย์อัมมานเคลื่อนตัวออกไปแล้ว เจ้าชายอิสมินจึงเสด็จไปยังรถยนต์อีกคันที่จอดรออยู่ เสด็จตามพระบิดาไปยังพระราชวังเอจาอัลลา โดยมีองครักษ์คนสนิททั้งสามตามเสด็จอย่างใกล้ชิด
ระหว่างทางที่กำลังเสด็จไปยังพระราชวังฯ ซาอิดก็รายงานเกี่ยวกับมิสมิยาโบวิทซ์ตามข่าวที่ลูกน้องสืบหามาได้ทันที
“ผมทราบข้อมูลของมิสมิยาโบวิทซ์มาแล้วครับ นี่ครับประวัติของเธอ” ซาอิดถวายรายงานประวัติของหญิงสาวให้เจ้าชายอิสมินพร้อมกับรายงานคร่าวๆ ว่า “เธออายุ 24 ปี เป็นชาวกรีเซอเนีย จบการศึกษาระดับปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่งสาขาเศรษฐศาสตร์ จาก London School Economics* ครับ จบปริญญาโทเกียรตินิยมอันดับหนึ่งสาขาเศรษฐศาสตร์การเงิน จาก London School Economics และกำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์การลงทุน ที่ London School Economics มีข่าวว่าเธอจะได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งอีกเช่นกันครับ ปัจจุบันเธอทำงานที่บริษัทโบรเกอร์เซซาเลย์** ดำรงตำแหน่งซีอีโอฝ่ายการลงทุนของบริษัทโบรเกอร์เซซาเลย์และมีข่าวว่าเป็นคนรักของเจ้าชายอเล็กซิสครับ ส่วนพวกโจรลักพาตัวพวกนั้น ผมยังสืบหาอยู่ครับ”
*(London School Economics เป็นมหาวิทยาลัยด้านเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในลอนดอน)
**(บริษัทโบรเกอร์เซซาเลย์ หนึ่งในกิจการส่วนตัวของเจ้าชายอเล็กซิส เซซาเลย์)
“แต่ที่ผมอยากรู้มากกว่าก็คือยัยนั่นเกี่ยวอะไรกับเสด็จพ่อ? หล่อนคือว่าที่เจ้าสาวของเสด็จพ่อรึเปล่า? เพราะเสด็จพ่อบอกว่าหลังจากอภิเษกแล้วยัยนั่นจะมาเป็นครอบครัวเดียวกันกับผม ผมไม่อยากจะคิดว่าเสด็จพ่อจะอภิเษกกับผู้หญิงคราวลูกหรอกนะ ยัยนั่นอายุน้อยกว่าผมซะอีก ผมไม่อยากมีแม่เลี้ยงอายุน้อยกว่าผมนะ! แล้วยังเรื่องที่ยัยนั่นเป็นคนรักของอเล็กซ์อีกล่ะมันหมายความว่ายังไงกัน? คุณรีบๆ ไปหามาให้ได้ เร็วที่สุดด้วย!” เจ้าชายอิสมินสั่งกับซาอิดดุดัน
ประวัติของหญิงสาวในมือถูกเขาขยำจนเป็นก้อนกลมแน่น
ซาอิดซึ่งรับใช้ใกล้ชิดเจ้าชายอิสมินมาตั้งแต่เด็กรู้ดีว่าใจของเจ้าชายทุรนทุรายเพียงใดกับข่าวการอภิเษกสายฟ้าแลบของพระบิดา จึงรีบทำตามคำสั่งของเจ้าชายอิสมินทันที “ผมจะรีบสืบให้ครับ ขอฝ่าบาทใจเย็นๆ ก่อนเถอะครับ”
ภายในรถยนต์ของกษัตริย์อัมมาน แขกส่วนตัวคนสวยกำลังยกมืออุดหูเพราะกำลังถูกว่าที่น้าเขยอบรมสั่งสอนยาวเหยียด “ลีอา เรานี่มันดื้อจริงๆ นะ จะไปไหนมาไหนก็เอาผู้ติดตามไปด้วยซิ ชอบทิ้งพวกนั้นเป็นประจำเลยนะ เป็นผู้หญิงเที่ยวเดินทางตะลอนๆ ไปคนเดียวได้ยังไงกัน รู้ไหมว่ามันอันตรายขนาดไหน? อเล็กซ์ก็ช่างตามใจเราซะจริงนะ ยอมให้เรามานี่ได้ แล้วยังเรื่อง…”
“อัมมานบ่นมากเดี๋ยวแก่เร็วนะ ถ้าแก่กว่านี้ถูกท่านน้าเซียน่าบอกเลิกลีอาไม่รู้ด้วยนะ โอ้ย!…” เสียงหวานใสร้องลั่นเพราะมะเหงกเขกลงบนหัวดังโป๊กจนเจ้าหล่อนต้องคลำหัวตัวเองป้อยๆ ตามมาด้วยเสียงดุจากเจ้าของมะเหงก “ลีอา! มันน่าจับตีก้นให้เข็ดนัก! เงียบ! แล้วก็ฟังที่ฉันพูด!”
เมื่อถูกดุหญิงสาวจึงไม่กล้าเย้าแหย่ให้พายุทอนาโดก่อตัว ยอมนั่งสงบเสงี่ยมฟังแต่โดยดี
“แล้วเรื่องโจรลักพาตัวนั่นอีก เราไม่ได้บอกไลโอเนลกับลีเรน่าใช่รึเปล่า?”
“เพคะ”
คำตอบของหญิงสาวทำให้กษัตริย์อัมมานถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ “เฮ้อ…ให้มันได้อย่างนี้ซิ!”
“ก็ถ้าบอกไปแล้วลีอาคงได้ทหารคอยตามอีกเป็นกองพันแน่ๆ เลยเพคะ ดีไม่ดีอาจจะถูกเรียกตัวกลับบ้านน่ะซิเพคะ แค่นี้อเล็กซ์ก็ให้ทหารคอยตามเป็นกองร้อยแล้วเพคะ น่ารำคาญจะตาย อ้อ! แล้วยังมีคนของอิสมินหน้าบูดคอยตามติดลีอาอีกด้วยเพคะ” ใบหน้างดงามหงิกงอส่งค้อนฝากลมฝากแล้งให้คนหน้าบูด ทำให้กษัตริย์อัมมานหัวเราะเบาๆ “ไม่ใช่แค่คนของอิสมินหรอกนะที่ตามเราน่ะ ยังมีทหารของฉันอีกด้วย”
“อันนั้นน่ะลีอารู้แล้วเพคะ แล้วยังมีพวกโจรลักพาตัวด้วยเพคะที่คอยตามอยู่ห่างๆ หาโอกาสลักพาตัวลีอาอีกรอบ ลีอาถึงได้ยอมเป็นเป้าล่ออยู่นี่ไงเพคะ จะได้จัดการสาวให้ถึงตัวคนบงการด้วยซะเลย”
“งั้นไอ้ที่เราไปบ้านพ่อค้ายาแถวบรองซ์นั่นก็เพื่อล่อพวกโจรลักพาตัวด้วยงั้นรึ?” กษัตริย์อัมมานหรี่ตามองอย่างจับผิด ทำให้หญิงสาวหัวเราะคิกๆ ก่อนจะทูลบอกตามความจริง “จะว่าหลุยส์เขาเป็นพ่อค้ายาก็ไม่ผิดหรอกเพคะ เพราะเขาเป็นเภสัชกรค้าขายยาสมุนไพรนำเข้าจากประเทศจีน แต่เพราะว่าท่าทางของเขาออกจะโหดๆ หน่อย ยิ่งเขาอยู่ย่านนั้นด้วยคนอื่นที่ไม่รู้จักเขาก็เลยเข้าใจว่าเขาเป็นพ่อค้ายาเสพติด เพราะคนแถวนั้นชอบเรียกเขาว่าเจ้าพ่อยาก็เลยทำให้คนอื่นเข้าใจผิดเพคะ แล้วที่ลีอาไปหาเขาเพราะว่าเขาเป็นแฮกเกอร์ฝีมือเยี่ยมคนหนึ่งที่ลีอาจ้างให้ทดสอบระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทเป็นประจำ พอลีอามีโอกาสไปนิวยอร์กลีอาก็เลยไปหาเขาพูดคุยกันตามประสานายจ้างกะลูกจ้างก็เท่านั้นเองเพคะ”
“เหอะ…ตามประสานายจ้างกะลูกจ้างหรือว่าตามประสาแฮกเกอร์ด้วยกันล่ะฮึ? ไปแลกเปลี่ยนเทคนิกแฮกกันล่ะซิ ฉันรู้ทันเราหรอกน่า”
“แหะๆๆๆ อัมมานเนี่ยรู้ไปหมดทุกอย่างเลยนะ ลีอาไม่เคยปิดปังอัมมานได้ซักเรื่องเลย” หญิงสาวพันผมตัวเองเล่นเหมือนเด็กเล็กๆ ที่แอบไปเล่นซนแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้ไล่ทัน ทำให้กษัตริย์อัมมานถอนหายใจอีกรอบ “เฮ้อ…”
ที่อย่างน้อยแม่หลานสาวตัวดีก็ไม่ได้แอบไปติดยาอย่างที่ทหารของพระองค์เข้าใจผิดกัน
จนกระทั่งขบวนรถยนต์ไปถึงพระราชวังเอจาอัลลา ประตูวังเหล็กกล้าบานใหญ่ก็เปิดออกกว้าง เมื่อขบวนรถยนต์ผ่านประตูใหญ่ด้านหน้าของพระราชวังเอจาอัลลาไปตามถนนกว้าง ตัดผ่านสวนด้านหน้าอันกว้างใหญ่ซึ่งตกแต่งงดงามไปด้วยพรรณไม้ดอกและไม้ใบนานาพันธุ์ตรงไปยังท้องพระโรง บนเชิงเทินกว้างมีทหารรักษาการยืนเวรยามโดยรอบกำแพงสูงใหญ่ก่อด้วยศิลามั่นคงล้อมรอบพระราชวังกว้าง กษัตริย์อัมมานจึงอธิบายถึงสถานที่ต่างๆ ในพระราชวังให้หญิงสาวได้รับรู้ “นี่เป็นอุทยานหน้า ข้างหน้าตึกตรงกลางเป็นท้องพระโรง ตึกข้างซ้ายของท้องพระโรงเป็นส่วนรับรองแขกบ้านแขกเมือง ตึกข้างขวาเป็นสำนักพระราชวัง ถัดจากท้องพระโรงไปเป็นอุทยานกลาง ถัดจากอุทยานกลางก็ถึงวังซาลาฮาดินแล้วล่ะ ข้างหลังวังมีอุทยานกว้างใหญ่สวยกว่าทุกที่ในพระราชวัง แล้วก็มีคอกม้าหลวง กับคอกอูฐหลวง ที่นั่นมีม้าพันธุ์อาหรับแท้ๆ เลยนะ ลูกผสมก็มีนะ แต่ในทะเลทรายเนี่ยม้าอาหรับจะวิ่งได้ทนกว่าพันธุ์อื่นๆ สนามซ้อมก็อยู่ใกล้ๆ กันนั่นแหละ”
หญิงสาวดูตามมือของกษัตริย์อัมมานที่แนะนำสถานที่ต่างๆ ให้รับรู้ จนเมื่อรถยนต์จอดลงหน้าท้องพระโรงซึ่งเป็นอาคารเก่าแก่ก่อด้วยศิลามั่นคงแข็งแรงซึ่งระหว่างอาคารทั้งสามเชื่อมกันด้วยทางเดินและระเบียง ระหว่างอาคารจัดเป็นสวนหย่อมแบ่งแต่ละอาคารไว้เป็นสัดส่วนหันหน้ารับแสงตะวัน ทุกอาคารในพระราชวังยังคงรักษารูปแบบโบราณเอาไว้ผสมผสานกับเครื่องอำนวยความสะดวกสบายสมัยใหม่ที่ถูกติดตั้งอย่างกลมกลืน ทหารรักษาการยืนตั้งแถวรอรับเสด็จอยู่ด้านหน้า เหล่าข้าราชบริพารและนางกำนัลรอรับเสด็จอยู่ด้านในของท้องพระโรง
กษัตริย์อัมมานเสด็จลงจากรถยนต์พร้อมกับยื่นมือรับหญิงสาวลงจากรถพาเดินผ่านพวกทหาร เหล่าข้าราชบริพารและนางกำนัลที่เฝ้ารอรับเสด็จอยู่เข้าไปภายในท้องพระโรงซึ่งเปิดแอร์เย็นฉ่ำขัดกับอากาศร้อนด้านนอกที่ร้อนระอุจนเห็นเปลวแดดไหวระริก
Chapter 10 ต้อนรับแขกส่วนตัว
เสียงซุบซิบชื่นชมความงดงามของหญิงสาวจากเหล่าข้าราชบริพารที่ได้ยลโฉมดังแว่วถึงหูของเจ้าชายอิสมินที่กำลังลงจากรถ เขาเดินตามหลังพระบิดาและหญิงสาว ทิ้งระยะห่างนิดหน่อยเพื่อมองดูท่าทีของพระบิดาและหญิงสาวให้ชัดเจน
เหล่าราชองครักษ์เดินตามห่างๆ เพื่อถวายอารักขาองค์พระประมุขและองค์รัชทายาท
กษัตริย์อัมมานสนทนากับทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรง แล้วแนะนำหญิงสาวข้างกายให้เป็นที่รู้จัก “ขอบใจทุกคนมากที่มาคอยต้อนรับ นี่คือมิสลีอา มิยาโบวิทซ์เธอจะมาพักอยู่กับเราซักระยะนะ ช่วยกันดูแลเธออย่าให้บกพร่องล่ะ”
หญิงสาวยิ้มให้กับทุกคนและทักทายอย่างเป็นกันเอง “ลีอารู้สึกยินดีที่ได้รู้จักทุกคนค่ะ ขอฝากตัวด้วยนะคะ”
ทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรงต่างยิ้มแย้มให้หญิงสาว
กษัตริย์อัมมานจึงสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง แล้วพาหญิงสาวไปด้านหลังของท้องพระโรง มีรถไฟฟ้าสีขาวคันใหญ่เหมือนกับรถที่ใช้ตามสนามกอล์ฟแต่คันใหญ่กว่าเพราะสั่งทำพิเศษให้มีที่นั่งกว้างขวางพร้อมพลขับจอดรออยู่ หญิงสาวนั่งข้างหลังถัดจากพลขับ กษัตริย์อัมมานนั่งข้างๆ หญิงสาว
เจ้าชายอิสมินรีบตามพระบิดาขึ้นไปนั่งบนรถด้านหลังหญิงสาว ทำให้กษัตริย์อัมมานหันไปถามพระโอรสอย่างแปลกใจ “อ้าว…พ่อคิดว่าเจ้าจะไปที่วังอัลบายาซะอีก?”
“ฮึ! เสด็จพ่อทรงไม่อยากให้ลูกอยู่ที่นี่เป็นก้างขวางคอล่ะซิครับ ถ้างั้นลูกกลับวังของลูกก็ได้ครับ” เจ้าชายอิสมินตัดพ้อพร้อมกับจะก้าวลงจากรถ กษัตริย์อัมมานต้องรีบดึงแขนของพระโอรสเอาไว้ “เฮ้ย…พ่อไม่ได้ว่าอย่างงั้นซะหน่อย ก็เห็นทุกทีเจ้าก็ไปที่วังอัลบายาไม่เห็นจะเคยมาอยู่ที่นี่เลย พ่อก็แค่แปลกใจเท่านั้นเอง”
“ฮึ!” เจ้าชายอิสมินค้อนให้พระบิดาวงใหญ่ ๆ พร้อมกับนั่งตามเดิม ทำให้หญิงสาวต้องกลั้นหัวเราะเอาไว้เต็มที่แต่ก็ยังมีเสียงหลุดรอดถึงหูเจ้าชายหนุ่ม ทำให้เขาหันไปขึงตาใส่เจ้าหล่อนดุดันจนได้ยินพระบิดาถามกระเซ้าเย้าแหย่ว่า “แล้ววันนี้เจ้าอยู่ที่นี่ไม่กลัวพวกนางสนมที่วังเหงารึไง?”
“ช่างพวกนาง”
“พวกนางสนมของเจ้าจะเหงาพ่อไม่กลัวหรอกนะ พ่อกลัวว่าเจ้าจะเหงาแล้วเที่ยวมาคว้านางกำนัลในวังพ่อไปกกไปกอดต่างหากล่ะ ฮ่าๆๆๆๆ” กษัตริย์อัมมานกระเซ้าเย้าแหย่พระโอรสแล้วก็หัวเราะลั่นทำให้คนอื่นๆ พากันกลั้นหัวเราะกันสุดฤทธิ์
“หึ!” เจ้าชายอิสมินสะบัดหน้าพรึ่ด
กษัตริย์อัมมานจึงสั่งให้พลขับออกรถหลังจากแหย่พระโอรสพอหอมปากหอมคอแล้ว “เอาล่ะไปได้แล้ว”
พลขับค่อยๆ ขับรถเคลื่อนไปตามถนนในอุทยานกลางซึ่งมีไม้ยืนต้นให้ความร่มรื่นมากมายมุ่งตรงไปยังวังซาลาฮาดีนขององค์พระประมุขผู้ปกครองประเทศ
วังซาลาฮาดีนเป็นอาคารเก่าแก่ก่อด้วยศิลาเหมือนกับทุกอาคารในบริเวณพระราชวัง เมื่อมาถึงแล้วกษัตริย์อัมมานก็สั่งให้นางกำนัลพาหญิงสาวไปพักผ่อนยังอาคารรับรองที่ได้เตรียมเอาไว้
เมื่อหญิงสาวเดินตามนางกำนัลไปแล้วจึงหันไปมองพระโอรสที่กำลังจะเสด็จไปยังห้องส่วนตัวซึ่งมักจะใช้เมื่อมาอยู่ที่พระราชวังเอจาอัลลา
“อิสมินเจ้าไปพักผ่อนให้หายเหนื่อยก่อน แล้วตอนเย็นพ่อจะบอกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องงานอภิเษกของพ่อเอง เจ้าไม่ต้องใช้ซาอิดไปหาข่าวให้เหนื่อยหรอกนะ” กษัตริย์อัมมานบอกแล้วก็เสด็จไปยังห้องทำงานที่อยู่ติดกับห้องนอนของเขาเอง ซึ่งยังมีงานที่ยังทำไม่เสร็จค้างอยู่ ปล่อยให้พระโอรสหงุดหงิดใจต่อไป
หญิงสาวเดินตามนางกำนัลไปยังอาคารรับรองซึ่งอยู่ทางซ้ายของวังซาลาฮาดีน มองเห็นอุทยานกว้างด้านหลัง บริเวณโดยรอบอาคารรับรองปลูกต้นแก้วออกดอกขาวเต็มต้นส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ กระเป๋าเดินทางใบเล็กใบเดียวของหญิงสาวได้ถูกนำมาไว้และจัดเรียงสิ่งของในกระเป๋าเข้าตู้ให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แล็บท็อปเครื่องเล็กจิ๋วของเธอถูกนำออกมาวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือในห้องนอนกว้างใหญ่ นางกำนัลสองนางกำลังนำเสื้อผ้าของหญิงสาวซึ่งมีไม่กี่ชุดนำไปรีดให้เรียบร้อยแล้วแขวนใส่ตู้รวมกับเสื้อผ้าของหญิงสาวที่องค์พระประมุขมีคำสั่งให้จัดหาไว้ให้หญิงสาวในห้องแต่งตัวติดกับห้องน้ำ
นางกำนัลที่รออยู่ในอาคารรับรองอีกห้านางช่วยกันเตรียมอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณให้หญิงสาวตามคำสั่งของกษัตริย์อัมมานที่สั่งให้ดูแลหญิงสาวเป็นอย่างดีโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
“ไม่ต้อง! เราอาบเองได้ พวกเธอไม่ต้องมาช่วยเราหรอก” เสียงหญิงสาวดังลั่นเมื่อเหล่านางกำนัลช่วยกันถอดเสื้อผ้าออกจากกายของเธอ ใบหน้างดงามแดงก่ำสองมือก็คอยปัดมือของเหล่านางกำนัลอย่างเอียงอาย ไม่ยอมให้พวกนางช่วยถอดเสื้อผ้าให้
“ไม่ได้เจ้าค่ะ เป็นคำสั่งขององค์อัมมานให้พวกเราคอยดูแลรับใช้อย่าให้ขาดตกบกพร่อง หากมีสิ่งใดบกพร่องไปพวกเราจะถูกทำโทษเจ้าค่ะ” หนึ่งในเหล่านางกำนัลบอกกับหญิงสาวซึ่งกำลังพยายามปัดมือที่ช่วยกันถอดเสื้อผ้าออกจากกายของเธอ
“แต่ไม่ได้บอกให้มาช่วยกันอาบน้ำให้เรานะ!” หญิงสาวขัดขึ้นทันที ใบหน้างดงามแดงด้วยความเขินอาย ยกท่อนแขนปิดบังทรวงอกงามเอาไว้ ด้วยเสื้อผ้าและบราเซียถูกเหล่านางกำนัลถอดออกไปจนเหลือเพียงบิกินี่ลูกไม้ตัวจิ๋วสีเนื้อแนบกาย
“การดูแลไม่ให้ขาดตกบกพร่องของพวกนางน่ะ รวมถึงการอาบน้ำและนวดด้วยน้ำมันหอมหลังอาบน้ำแล้วด้วย ปล่อยให้พวกนางทำให้เสร็จๆ ไปเถอะ แล้วก็เลิกเสียงดังโวยวายได้แล้ว ชั้นรำ…” เสียงห้าวกังวานจากเจ้าชายอิสมินบอกกับหญิงสาว ซึ่งขณะที่เขากำลังจะไปยังคอกม้าหลวงก็ได้ยินเสียงหวานใสดังลั่นออกมาจากอาคารรับรองของแขกส่วนตัวของพระบิดา จึงได้ไปมองดูที่มาของเสียง
เมื่อเขาผลักบานประตูไม้เข้าไปภายในห้องรับแขก ก็ได้ยินเสียงหญิงสาวดังลั่นออกมาจากห้องนอน จึงเดินเข้าไปในห้องนอนแต่ก็ไม่พบเจ้าของเสียง เขาจึงไปยังห้องแต่งตัวที่ได้ยินเสียงนางกำนัลกำลังพูดกับแขกส่วนตัวของพระบิดาพร้อมกับตอบแทนเหล่านางกำนัล แต่ภาพที่ปรากฏต่อสายตาเมื่อเดินไปถึงหน้าห้องแต่งตัวทำให้เขาต้องตาค้างทันควัน เมื่อเห็นหญิงสาวยืนอยู่ท่ามกลางเหล่านางกำนัล แขนข้างหนึ่งปิดทรวงอกงดงามเอาไว้ มืออีกข้างหนึ่งปัดมือเหล่านางกำนัลที่พยายามถอดบิกินี่ตัวจิ๋วอย่างไม่ยอมแพ้
“ว้าย! ออกไปนะ! อีตาเจ้าชายลามก!” เสียงหวานใสร้องดังลั่นยิ่งกว่าเดิม เมื่อหันไปตามเสียงห้าวกังวานที่ตอบแทนเหล่านางกำนัล จึงเห็นเจ้าชายอิสมินยืนตาค้างอยู่หน้าห้องแต่งตัว
โคร้ม! เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!…
“เฮ้ย!”
ข้าวของแตกกระจายเมื่อหญิงสาวใช้มือข้างที่ว่างอยู่ ขว้างปาสรรพสิ่งที่หาได้จากในห้องแต่งตัวใส่เจ้าชายอิสมินที่รู้สึกตัวตั้งแต่ได้ยินเสียงร้องต่อว่าของหญิงสาว เขาจึงกระโดดหลบสรรพสิ่งที่เธอขว้างใส่อย่างแม่นยำได้อย่างเฉียดฉิว แล้วรีบออกจากอาคารรับรองแทบไม่ทัน
“อ้า!” เหล่านางกำนัลซึ่งกำลังตกใจกับการปรากฏตัวของเจ้าชายอิสมิน ต่างรู้สึกตัวเมื่อเห็นหญิงสาวขว้างปาข้าวของใส่เจ้าชายหนุ่มจึงช่วยกันห้ามปรามเอาไว้ “คุณเจ้าขา หยุ้ด…หยุดเถอะเจ้าค่ะ!”
เมื่อเจ้าชายอิสมินเสด็จไปแล้ว หญิงสาวจึงหยุดปาข้าวของยืนหอบหายใจแฮ่กๆ ใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย “ปัดโธ่เอ้ย!…หลบไวชะมัดยาดเล้ย! คอยดูนะอีตาลามก ฉันจะให้นายชดใช้เป็นร้อยเท่าพันเท่าเล้ย!”
เหล่านางกำนัลรีบเก็บกวาดสรรพสิ่งที่แตกกระจายและจัดข้าวของเข้าที่เข้าทางให้เรียบร้อย แล้วลงมือขัดสีฉวีวรรณให้หญิงสาวต่อ
ส่วนเจ้าชายอิสมินหลังจากหลบรอดสรรพสิ่งที่หญิงสาวขว้างปาใส่มาได้อย่างฉิวเฉียด เขาก็รีบออกจากอาคารรับรองของหญิงสาวทันทีพร้อมกับบ่นไปด้วยตลอดทางที่ไปยังคอกม้าหลวง “โธ่โว้ย! วันซวยอะไรของฉันกันนะ? คนเขาอุตส่าห์มีน้ำใจนึกว่ามีเรื่องอะไรถึงได้ร้องเอะอะขนาดนั้น ใครมันจะไปรู้ล่ะเฟ้ยว่ากำลังชีเปลือยอยู่ ดันปาของใส่ซะอีกดีนะว่าหลบทันไม่งั้นหัวแตกแน่ๆ เลย ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้กริยามารยาทห่วยสิ้นดี! คอยดูนะฉันจะเอาคืนทบต้นทบดอกเล้ย!”
จนถึงคอกม้าหลวงเจ้าชายอิสมินก็ควบม้าคู่ใจออกวิ่งในสนามกว้างสำหรับซ้อมฝีเท้าม้าและอูฐที่อยู่ถัดจากอุทยานด้านหลังวังซาลาฮาดีนเพื่อให้ลืมภาพหญิงสาวที่มองเห็นเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา เขารู้สึกร้อนรุ่มในใจยิ่งนัก แม้จะผ่านศึกรักกับหญิงสาวสวยมามากมาย ก็ยังไม่มีหญิงคนใดทำให้เขารู้สึกร้อนรุ่มได้เท่ากับแขกส่วนตัวของพระบิดาเลยซักคน
เขาควบม้าวิ่งอยู่นานจนใจเย็นลงแล้วจึงชักม้าบ่ายหน้ากลับคอกม้าหลวง หยิบแครอทและอาหารให้ม้าคู่ใจเป็นรางวัลเสร็จแล้วจึงเสด็จกลับห้องส่วนตัวเพื่ออาบน้ำแต่งตัวไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับที่พระบิดาจัดให้ ซึ่งเขารู้ว่าพระบิดาหาเหตุจัดงานให้เหล่าข้าราชบริพารได้สนุกสนานรื่นเริงกันต่างหาก
ณ ท้องพระโรง กษัตริย์อัมมานสนทนากับเหล่าข้าราชบริพารที่มาร่วมงานเลี้ยงอย่างคับคั่ง เขาเดินสนทนาหยอกเย้ากระเซ้าเย้าแหย่ข้าราชบริพารอย่างเป็นกันเอง ส่วนเจ้าชายอิสมินก็กำลังสนทนาอยู่กับบรรดาเพื่อนๆ ซึ่งเป็นลูกหลานของข้าราชบริพารอย่างสนุกสนาน
จนกระทั่ง เสียงประกาศการมาถึงของแขกส่วนตัวของกษัตริย์อัมมานดังขึ้นทำให้ทุกคนในงานหันไปมองผู้มาใหม่กันเป็นแถว แล้วทุกคนก็ต้องตกตะลึงในความงดงามของหญิงสาวดั่งต้องมนต์สะกดกันถ้วนหน้า “อา…”
ยกเว้นก็แต่กษัตริย์อัมมานซึ่งเห็นเจ้าหล่อนจนชินตาซะแล้ว จึงไม่ได้ตะลึงในความงดงามของหลานสาวคนสวยเลยแม้แต่น้อย
หญิงสาวสวมชุดราตรียาวสีน้ำเงินเข้มตัวเสื้อด้านหลังเว้าลงไปเกือบถึงช่วงเอวอวดแผ่นหลังเนียนสวยอันเป็นชุดที่นางกำนัลเลือกให้แต่งตัวสำหรับงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ ประดับประดาด้วยเครื่องประดับไพลินล้อมเพชรน้ำงามแวววาวระยิบระยับสะท้อนแสงไฟเป็นประกาย เรือนร่างบางค่อยๆ เยื้องย่างเข้ามาในงานอย่างสง่างาม เหลียวซ้ายแลขวาอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นกษัตริย์อัมมานยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าข้าราชบริพารอาวุโส หญิงสาวจึงตรงไปทักทายว่าที่น้าเขยทันที
“ถวายบังคมเพคะ” หญิงสาวย่อตัวทำความเคารพแล้วประชิดกายว่าที่น้าเขยพร้อมกับกระซิบกระซาบต่อว่าต่อขานเบาๆ พอให้ได้ยินเพียงสองคน “ไหนว่างานเลี้ยงเล็กๆ ไงเพคะ? คนเยอะขนาดนี้ไม่เล็กแล้วนะเพคะ ลีอาโกรธแล้วด้วย!”
ใบหน้างดงามสะบัดพรึ่ด ค้อนให้กษัตริย์อัมมานทีหนึ่งแล้วเจ้าหล่อนก็ถอยห่างออกมานิดหนึ่ง กษัตริย์อัมมานจึงยิ้มให้คนหน้างอตรงหน้าพร้อมกับอธิบายให้เจ้าหล่อนฟัง “ก็นี่แหละงานเลี้ยงเล็กๆ แขกที่มามีแต่คนสนิททั้งนั้น”
หญิงสาวเลยค้อนให้อีกวงจนกษัตริย์อัมมานต้องรีบต่อรองกับคนเกลียดงานเลี้ยงซะก่อนที่แม่เจ้าประคุณจะแอบหนีหายไปดื้อๆ “เอาน่าๆ ไหนๆ ลีอาก็แต่งตัวสวยๆ มาแล้ว อยู่ร่วมงานเลี้ยงจนเปิดฟลอร์เต้นรำกับฉันก่อนนะ แล้วหลังจากนั้นลีอาจะไปไหนก็ไปเถอะ ตกลงนะ”
“ก็ได้เพคะ อยู่ถึงแค่เปิดฟลอร์เท่านั้นนะเพคะ”
เมื่อได้ยินหญิงสาวตกปากรับคำ กษัตริย์อัมมานก็หยิกแก้มนุ่มเบาๆ “จ้า…แม่หลานสาวตัวแสบ”
เจ้าชายอิสมินเห็นพระบิดาหยอกล้อกับหญิงสาวก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่พอใจแขกส่วนตัวของพระบิดามากขึ้นไปอีก ยิ่งเห็นพระบิดาแนะนำตัวหญิงสาวกับบรรดาข้าราชบริพารแถมยังคอยเอาอกเอาใจเจ้าหล่อนก็ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดใจมากยิ่งขึ้น แต่เพราะอยู่ต่อหน้าข้าราชบริพารจึงพยายามระงับอารมณ์เอาไว้
จนกระทั่งเสียงเพลงในงานเปลี่ยนเป็นเพลงเต้นรำ กษัตริย์อัมมานจึงโค้งเชิญหญิงสาวไปเต้นรำเปิดฟลอร์ ก็ยิ่งทำให้เจ้าชายอิสมินหงุดหงิดยิ่งนัก เมื่อพระบิดาเต้นไปครบรอบ เขาจึงคว้าแขนนางกำนัลสาวที่อยู่ใกล้ๆ ไปเต้นรำกับเขาด้วยทันที ทำให้นางกำนัลนางนั้นร้องบอกเจ้าชายหนุ่มเบาๆ “ว้าย! ฝ่าบาทเพคะหม่อมฉันเต้นรำไม่เป็นเพคะ”
“เต้นไม่เป็นก็มาเหอะน่า แค่ก้าวตามฉันให้ดีอย่าเหยียบเท้าฉันล่ะกัน!” เขาดุแถมด้วยสายตาดุดันทำให้นางกำนัลนางนั้นรีบสงบปากสงบคำก้าวเท้าตามเจ้าชายอิสมินอย่างเก้ๆ กังๆ จนเมื่อเต้นไปใกล้ๆ พระบิดาเจ้าชายหนุ่มก็ขอเปลี่ยนคู่เต้นกับพระบิดาทันที “เสด็จพ่อครับ ลูกขอเต้นรำกับมิสมิยาโบวิทซ์หน่อยครับ”
กษัตริย์อัมมานมองพระโอรสแล้วปฏิเสธทันควัน “เสียใจ เรื่องอะไรพ่อจะให้คาสโนว่าอย่างเจ้าเข้าใกล้ลีอาของพ่อล่ะ เมินซะเถอะ”
แล้วเขาก็พาหญิงสาวเต้นรำออกห่างพระโอรสทันที เจ้าชายอิสมินจึงได้แต่มองตามพระบิดาพร้อมกับเข่นเขี้ยวในใจ เชอะ! ‘ลีอาของพ่อ’ งั้นรึ เสด็จพ่อนะเสด็จพ่อ หลงหัวปลักหัวปำเลยล่ะซิ
เจ้าชายหนุ่มสะบัดหน้า เดินจากไปโดยไม่สนใจคู่เต้นรำแม้แต่น้อย ทิ้งให้คู่เต้นรำของตัวเองยืนเดียวดายอยู่กลางฟลอร์ คู่เต้นรำจำเป็นจึงรีบหลบออกจากฟลอร์ไปทันที
เมื่อจบเพลงเปิดฟลอร์แล้วหญิงสาวจึงย่อตัวถวายความเคารพก่อนจะเอ่ยลาว่าที่น้าเขย “เพลงจบแล้วเพคะ งั้นลีอาขอตัวก่อนนะเพคะ กูดไนท์เพคะเสด็จลุง”
หญิงสาวเขย่งตัวหอมแก้มฟอดใหญ่ กษัตริย์อัมมานจึงลูบศีรษะสวยได้รูปเอ่ยตอบ “นอนหลับฝันดีนะจ๊ะหลานรัก แล้วพรุ่งนี้ฉันจะพาไปเที่ยวนะ กูดไนท์จ้ะ”
เขาประทับจุมพิตราตรีสวัสดิ์ลงบนหน้าผากเนียนทีหนึ่ง แล้วหญิงสาวก็ย่อตัวถวายความเคารพอ่อนช้อยอีกครั้งก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากงานเลี้ยง โดยมีสายตาของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่มาร่วมงานมองตามเจ้าหล่อนกันตาปรอย แต่ไม่มีใครหาญกล้าเข้าไปทำความรู้จักแขกส่วนตัวขององค์พระประมุขกันซักคน ใครจะกล้าล่ะก็องค์อัมมานเล่นคุมแจซะขนาดนั้น ขืนเจ๋อเข้าไปคุยกับเจ้าหล่อนมีหวังคงได้ถูกย้ายไปประจำอยู่แนวชายแดนแหงๆ
จากสายตาขององค์พระประมุขใครเห็นก็ดูออกว่าหวงหญิงสาวมากเพียงไร ชนิดผู้หญิงข้าใครอย่าแตะยังชิดซ้ายไปเลย แล้วใครจะกล้าหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวกันล่ะ เหอๆๆๆ…
หญิงสาวเดินออกจากงานเลี้ยงเพียงลำพังไม่ได้เรียกนางกำนัลรับใช้เลยซักคน ปล่อยให้พวกนางสนุกสนานกับงานเลี้ยงอันแสนสนุกในความคิดของพวกนาง แต่สำหรับหญิงสาวแล้วเป็นงานที่น่าเบื่อที่สุด
ร่างบางในชุดราตรีสีน้ำเงินเข้มค่อยๆ เดินกลับอาคารรับรองไปตามทางเดินปูด้วยแผ่นหินผ่านพระราชอุทยานกลางเหลียวซ้ายแลขวาชื่นชมต้นไม้ใบหญ้าไปตลอดทาง เสียงเพลงจากงานเลี้ยงค่อยๆ หายไปทีละน้อยๆ ตามระยะทางที่เดินจากมาจนไม่ได้ยินเสียงเพลงแล้วเหลือเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไรร้องระงมยามค่ำคืน หญิงสาวหยุดยืนแหงนหน้ามองดูดาวบนท้องฟ้าพร้อมกับเอื้อมมือขึ้นไปทำท่าจะเก็บดาวระยิบระยับเอาไว้ในมือ
กลิ่นหอมของดอกไม้หอมโชยตามลม กรุ่นกลิ่นอยู่รอบๆ ตัว หญิงสาวจึงเลิกมองดาวบนฟากฟ้าแล้วหันมามองหาที่มาของกลิ่นหอมที่รวยรินมาให้ชื่นใจ ท่ามกลางแสงไฟสลัวภายในอุทยานเธอก็เห็นต้นไม้ต้นหนึ่งเป็นพุ่มหนาสูงราวสองเมตรออกดอกสีขาวเต็มต้นอันเป็นที่มาของกลิ่นหอมจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วยื่นหน้าไปใกล้สูดดมกลิ่นหอมของดอกไม้สีขาวเต็มแรง
“หอมจัง ดอกอะไรเนี่ย?” มือน้อยๆ ไล้ไปตามใบยาวรีใหญ่และช่อดอกอันเต็มไปด้วยดอกสีขาวนวลเล็กๆ เต็มช่อ เธอสูดกลิ่นหอมของดอกไม้อีกครั้ง
“ดอกราตรี ยิ่งดึกก็ยิ่งหอม” เสียงห้าวที่ดังอยู่ข้างหลังทำให้หญิงสาวสะดุ้งตกใจเล็กน้อย “อุ้ย!”
เมื่อหันกลับมามองคนพูด หญิงสาวก็เชิดหน้าใส่เดินหนีทันที “เชอะ!”
แต่ยังช้ากว่ามือใหญ่ที่ฉวยคว้าข้อมือเล็กๆ ได้ทัน “จะหนีไปไหนล่ะ?”
“ปล่อย!” เสียงหวานใสตวาดใส่เจ้าของมือใหญ่พร้อมกับบิดข้อมือตนเองออกจากมือคนหน้าบูด ยิ่งทำให้เจ้าชายอิสมินกำรอบข้อมือเล็กๆ แน่นขึ้นแล้วกระชากเข้าหาตัวเองรวดเร็ว
“ว๊าย! โอ้ย!” เรือนร่างบางถลาตามแรงกระชากปะทะกับอกกว้างล่ำสันอย่างไม่ทันตั้งตัว มืออีกข้างโอบรัดหญิงสาวเอาไว้ทันที เสียงหวานใสยิ่งตวาดใส่เสียงดังยิ่งกว่าเดิม “ปล่อนนะอิสมินหน้าบูด!”
“ชิ! กล้ามากนะที่เรียกฉันอย่างนี้น่ะ ฉันจะให้เธอชดใช้ให้สาสมเลยที่กล้าเรียกฉันอย่างนี้!” เสียงห้าวเอ่ยเข่นเขี้ยวพร้อมกับปากได้รูปแนบสนิทปิดปากหญิงสาวทันที
“อี้!” ใบหน้างดงามหันหนีทันควัน แต่ใบหน้าคมเข้มก็ตามติดอย่างไม่ลดละ ท่อนแขนแข็งแรงยิ่งรัดเรือนร่างบางแน่นขึ้น แถมมือใหญ่ยังจับท้ายทอยล็อคเอาไว้ไม่ให้เจ้าหล่อนหันหน้าหนีได้ ริมฝีปากบางแดงระเรื่อจึงเม้มสนิทไม่ยอมให้ถูกรุกราน สองมือน้อยๆ ทุบรัวใส่เจ้าชายหนุ่มไม่ยั้ง ตุบ! ตุบ! ตุบ!…
แต่เจ้าชายอิสมินหาได้สนใจไม่ ประทับริมฝีปากรูปกระจับบดขยี้บนเรียวปากนุ่มรุนแรงหวังจะให้เจ้าหล่อนยอมเปิดปากแต่เรียวปากนุ่มก็ยังเม้นแน่น มือใหญ่ที่รัดเรือนร่างบางจึงลูบไล้แผ่นหลังเนียนอย่างจาบจ้วง
“อ่ะ!”
ทันทีที่หญิงสาวตกใจอ้าปากร้อง ลิ้นอุ่นร้อนที่รอจังหวะอยู่แล้วก็รุกรานไปทั่วปากนุ่มหอมหวาน พร้อมกับมือใหญ่ลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังเนียนแทบทุกตารางนิ้ว ส่วนมืออีกข้างก็ละจากท้ายทอยลงไปคลึงเค้นสะโพกงามงอนอย่างเมามัน รสจุมพิตดุดันค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอ่อนหวานเรียกร้องให้หญิงสาวตอบสนอง ทำให้อาการดิ้นหนีอย่างเอาเป็นเอาตายค่อยๆ สงบลง สองมือที่ทุบตีผลักใสเจ้าชายหนุ่มเป็นพัลวันก็ค่อยๆ หยุดลงตามไปด้วย
ปากบางแดงระเรื่อค่อยๆ ตอบสนองจุมพิตของเจ้าชายอิสมินอย่างไร้เดียงสาด้วยความเผลอไผลลืมตัวสร้างความพอใจให้เจ้าชายหนุ่มยิ่งนัก เขาเกี่ยวสายเสื้อชุดราตรีที่ร้อยด้วยไข่มุกออกเผยให้เห็นปทุมถันงามไร้ซึ่งบราเซียรัดรึง มือใหญ่ค่อยๆ เลื่อนจากแผ่นหลังเนียนเข้าครอบครองปทุมถันงามทำให้หญิงสาวสะดุ้งเฮือกรู้สึกตัวทันที “อ่ะ!”
สองมือน้อยๆ จึงผลักเจ้าชายอิสมินเต็มแรงพร้อมกับกำปั้นน้อยๆ ประเคนใส่ใบหน้าคมเข้มเต็มเหนี่ยวเสียงดังสนั่น พลั่ก!
“โอ้ยยยยย!!!!!” เขาเห็นดาวเห็นเดือนทันที ร่างกายล่ำสันค่อยๆ ทรุดลงไปนอนนับดาว วิ๊ง! วิ๊ง! วิ๊ง!…
เสียงหวานใสพยายามสรรหาคำด่ามาประเคนด่าเจ้าชายหนุ่มเป็นชุดเท่าที่จะนึกออก “คนบ้า! คนเฮงซวย! นายมันร้ายกาจที่สุดเล้ย อิสมินหน้าบูด!”
มือน้อยรีบรั้งสายเสื้อชุดราตรีขึ้นแล้ววิ่งหนีไปทันทีไม่แม้จะหันกลับมามองคนนอนนับดาวแม้แต่น้อย ส่วนคนนอนนับดาวแม้จะเจ็บจนมึนไปครู่ใหญ่แต่ก็ยังยิ้มออกมาได้เมื่อนึกถึงสัมผัสนุ่มๆ ของเรือนร่างบางงดงาม กลิ่นหอมอ่อนหวานที่ยังติดจมูกและรสจุมพิตหวานละมุนที่ฉกฉวยจากเจ้าหล่อนยังติดตรึงใจจนยากที่จะลืมเลือนได้ “อือ…”
หญิงสาววิ่งหนีไปจนถึงอาคารรับรองแล้วปิดประตูล็อคแน่นหนา
“คนเฮงซวยเอ้ย!” มือเรียวนุ่มยกหลังมือเช็ดปากแรงๆ หวังจะให้ลืมรสจุมพิตอุกอาจของเจ้าชายอิสมิน แต่มันก็ยังติดแน่นอยู่ในความรู้สึกของเธอ ไออุ่นจากเรือนกายล่ำสันยังแผดเผาผิวเนื้อนุ่มให้รู้สึกร้อนวูบวาบไม่หาย ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธเจ้าชายหนุ่มเป็นทวีคูณจนเผลอเตะตู้รองเท้าข้างประตูระบายอารมณ์เต็มแรง “อิสมินหน้าบูดเอ้ย! ปึง! โอ้ย! อูยยยยยย…”
ผลก็คือหญิงสาวต้องกุมเท้าตัวเองด้วยความเจ็บ เลยยิ่งอาฆาตแค้นเจ้าชายอิสมินมากขึ้น