Skip to content

Ebook คู่แฝดแสบสุดขั้ว เล่ม 1

Cover Kf 1

วันที่เริ่มเขียน 6 กุมภาพันธ์ 2551

คู่แฝดแสบสุดขั้ว

Chapter 1

ขอหย่า

ณ บ้านเดชารงค์ บนเนื้อที่ 5 ไร่กว่าๆใจกลางกรุงเทพมหานคร ภายในห้องทำงานอันโอ่อ่าของพลเอกณรงค์ฤทธิ์ เดชารงค์ ผู้บัญชาการกองทัพบกและประธานกรรมการบริษัทเดชารงค์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย พลเอกณรงค์ฤทธิ์ผู้เป็นเจ้าของห้องกำลังนั่งอ่านรายงานผลกำไรประจำไตรมาสบนโต๊ะทำงานด้วยสีหน้าพอใจ พลัน! เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พลเอกณรงค์ฤทธิ์จึงเงยหน้ามองประตูห้องพร้อมกับพูดว่า “เชิญครับคุณคุณหญิง”

ก็ดึกขนาดนี้แล้วมีแต่ศรีภรรยาสุดที่รักของเขาเท่านั้นแหละที่กล้ามาเคาะประตูอย่างนี้ คุณหญิงจิตตรา เดชารงค์ภรรยาของพลเอกณรงค์ฤทธิ์จึงเปิดประตูห้องเข้ามาเมื่อได้ยินสามีอนุญาต เธอถามสามีด้วยความเกรงใจว่า “จิตตรามารบกวนคุณหรือเปล่าคะ?”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ลุกขึ้นยืนโค้งคำนับยิ้มกว้างก่อนเอ่ยเย้าแหย่ผู้เป็นภรรยาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ไม่ครับ คุณหญิงมีอะไรให้กระผมรับใช้หรือขอรับ? ขอเชิญคุณหญิงได้โปรดบัญชามาได้เลยขอรับ”

“คุณณรงค์คะ คือว่าจิตตรามีเรื่องจะบอกน่ะค่ะ”

สีหน้าเคร่งเครียดของคุณหญิงจิตตราทำให้พลเอกณรงค์ฤทธิ์สงสัยยิ่งนักว่าภรรยาของเขากำลังมีเรื่องไม่สบายใจแน่ๆ เขาจึงเดินอ้อมโต๊ะทำงานไปนั่งที่โซฟาริมหน้าต่าง “มีเรื่องอะไรเหรอครับ?”

คุณหญิงจิตตราปิดประตูห้องแล้วเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ สามี

“มีเรื่องอะไรจะบอกผมเหรอครับ?” พลเอกณรงค์ฤทธิ์กุมมือภรรยาเอาไว้ คุณหญิงจิตตรามองหน้าสามีอยู่นานด้วยสีหน้าอึดอัดใจ “เอ่อ…”

เธอไม่แน่ใจว่าจะพูดดีไหมนะ

“เอ่อ…คือว่า…คือว่า…เฮ้อ…” เธอถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีกก็ยังไม่กล้าพูด “เอ่อ…คือ…”

จนพลเอกณรงค์ฤทธิ์รู้สึกสงสัยยิ่งนักว่าภรรยาของเขามีเรื่องหนักอกหนักใจอะไรนักหนา “มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือครับ?”

คุณหญิงจิตตราสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ “ฮึ่ม!”

แล้วตัดสินใจว่ายังไงซะวันนี้ก็ต้องพูดให้ได้ เธอจึงค่อยๆ พูด ช้าๆ ชัดๆ ทีละคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “คุณณรงค์คะ จิตตราต้องการหย่าค่ะ”

“อะไรนะคุณ!? คุณพูดใหม่อีกทีซิ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ตกใจมองหน้าภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานานอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เขาต้องหูฝาดไปแน่ๆ ‘ใช่ๆ ต้องหูฝาดแน่นอน!’

คุณหญิงจิตตราจึงย้ำประโยคเดิมอีกครั้งว่า “จิตตราต้องการหย่าค่ะ”

“เพราะอะไรหรือครับคุณจิตตรา? ผมทำอะไรผิดหรือครับคุณถึงขอหย่าจากผม?” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ถามภรรยาด้วยสีหน้างงงวยอย่างที่สุด ‘ทำไมถึงอยากหย่าล่ะ?’

เพราะตั้งแต่แต่งงานกันมาจนถึงขณะนี้ก็ร่วม 25 ปีแล้ว ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่เขาและภรรยาทะเลาะกัน อย่างมากก็แค่ขัดคอกับแง่งอนกันบ้างตามประสาสามีภรรยาเท่านั้น

“จิตตราจะแต่งงานใหม่ค่ะ จิตตราจะแต่งงานกับทอมสันค่ะ แล้วจิตตราก็จะย้ายไปอยู่กับทอมสันที่แคนนาดาค่ะ” คุณหญิงจิตตราบอกอย่างตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว เธอมองหน้าสามีที่กำลังตกตะลึงอึ้งงันอยู่

คำพูดของคุณหญิงจิตตราทำให้พลเอกณรงค์ฤทธิ์เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นอย่างดีเมื่อนึกย้อนไปในอดีตตั้งแต่สมัยที่เธอยังเป็นสาว กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ปี 1 สถานที่ๆ หล่อนได้รู้จักกับ ทอมสัน นักศึกษาชาวแคนนาดาซึ่งเป็นนักศึกษาในโครงการแลกเปลี่ยนจากแคนนาดา ผู้ซึ่งกุมหัวใจของเธอมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งตัวเขาเองเพิ่งจะมารู้ความจริงทีหลังว่าที่เธอแต่งงานกับเขานั้นเป็นเพราะถูกผู้ใหญ่บังคับให้แต่งงานด้วย กว่าจะรู้ความจริงก็จนกระทั่งเธอได้ให้กำเนิดลูกชายให้กับเขาแล้ว และทางฝ่ายนายมิสเตอร์ทอมสันเองก็ได้แต่งงานไปกับเพื่อนคนหนึ่งของจิตตราหลังจากที่จิตตราแต่งงานกับเขาแล้ว ซึ่งทั้งคู่แต่งงานอยู่กินด้วยกันมาจนกระทั่งภรรยาของนายทอมสันได้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อปีที่แล้วโดยที่ทั้งคู่ไม่มีทายาทไว้สืบสกุลเลยซักคน คุณหญิงจิตตราก็เดินทางไปร่วมไว้อาลัยในพิธีฝังศพของเพื่อนคนนั้นด้วย และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณหญิงจิตตราและทอมสันหวนกลับมาสนิทสนมกันอีกครั้ง

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ลุกจากโซฟาเดินไปที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่มเปิดตู้เย็นหยิบเหยือกน้ำออกมารินใส่แก้วให้ตัวเองก่อนจะถามภรรยาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลว่า “แล้วคุณบอกลูกหรือยังครับ?”

“ยังค่ะ จิตตราต้องการคุยกับคุณก่อนแล้วค่อยบอกลูกทีหลังค่ะ” คุณหญิงจิตตราตอบเมื่อสามีกลับมานั่งที่โซฟาตามเดิม

“ผมรู้ว่าที่ผ่านมาคุณไม่เคยรักผมเลย แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ได้ วันที่คุณขอ…หย่า…จากผม” พลเอกณรงค์ฤทธิ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ทำให้คุณหญิงจิตตราน้ำตาซึม เพราะถึงเธอจะไม่รักผู้เป็นสามีแต่เธอก็รู้สึกผูกพันกับเขาในฐานะพ่อของลูกและสามีที่ดีเลิศของเธอ หยาดน้ำตาค่อยๆ ไหลอาบแก้ม “จิตตราขอโทษ อึกๆ…”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ปาดน้ำตาบนใบหน้าภรรยาด้วยกริยาทนุถนอม “อย่าร้องไห้เลยคุณ คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ผมต่างหากที่ผิด เพราะผมทำให้คุณกับเขาไม่ได้แต่งงานกัน ถ้าไม่มีผมซะคนคุณก็คงจะแต่งงานกับเขา มีลูกด้วยกัน ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขไปนานแล้ว ไม่ต้องมาทนอยู่กับคนที่คุณไม่ได้รักอย่างผม”

“อย่าค่ะ” คุณหญิงจิตตรารีบยกมือห้ามไม่ให้สามีพูดต่อ “คุณณรงค์ค่ะ อย่าพูดอย่างนั้นซิคะ คุณก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นเพราะอะไร ต่อให้ไม่มีคุณ คุณพ่อคุณแม่ของจิตตราก็ไม่มีวันยอมให้จิตตราแต่งงานกับทอมสันหรอกค่ะ แล้วจิตตราก็ไม่เคยต้องทนอยู่กับคุณเลย จิตตราอยู่กับคุณมาจนถึงตอนนี้จิตตรามีความสุขมากค่ะ แต่เรื่องความรักมันบังคับกันไม่ได้คุณก็รู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว ที่จิตตราขอหย่าเพราะจิตตราไม่อาจห้ามหัวใจตัวเองต่อไปได้อีกแล้วค่ะ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองหน้าภรรยาด้วยความรักแล้วก็ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่า “ผมรู้ เพราะผมรักคุณทั้งๆ ที่รู้ว่าคุณไม่เคยรักผมเลย ผมจึงจะหย่ากับคุณตามที่คุณต้องการ ผมอยากเห็นคุณมีความสุขนะครับคุณจิตตรา”

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณค่ะคุณณรงค์” คุณหญิงจิตตราพยักหน้าให้สามี น้ำตาอาบแก้มด้วยความรู้สึกสงสารเขาทั้งๆ ที่เขารักเธอมากเหลือเกิน เขาไม่หย่าให้เธอก็ได้ แต่ที่เขาทำไปก็เพราะเขารักเธอมากนั้นเอง

ณ อพาร์ทเม้นต์สุดหรูใจกลางเมืองนิวยอร์ก ปฐวี เดชารงค์ลูกชายคนเดียวของพลเอกณรงค์ฤทธิ์และคุณหญิงจิตตรากำลังนั่งอ่านธีซิสที่จะต้องพรีเซ้นต์ต่อหน้าคณะอาจารย์ในวันพรุ่งนี้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะถ้าหากเขาพรีเซ้นต์ไม่ผ่านนั่นหมายถึงว่าเขาจะต้องรอพรีเซ้นต์ธีซิสใหม่อีกครั้งในปีหน้าและทำให้เขาจบปริญญาโทช้าไปถึง 1 ปี แน่นอนว่าเขาจะต้องไม่ให้มันเกิดขึ้นแน่ๆ ใบหน้าหล่อคมเข้มขั้นเทพยิ่งกว่าดาราซุปเปอร์สตาร์จึงย่นคิ้วนิ่วขมวดจนแทบจะผูกโบว์ได้ พลัน!เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ปฐวีเอื้อมมือไปรับโดยไม่ทันมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ “ฮัลโหล”

“ฮัลโหลจ้ะลูก”

ปฐวีละสายตาจากจอโน๊ตบุ๊คทันทีเมื่อได้ยินเสียงแม่

“สวัสดีครับคุณแม่ ผมกำลังคิดถึงคุณแม่อยู่เชียวครับ” เขาอ้อนทันที

“แม่ก็คิดถึงลูกเหมือนกันจ้ะ” คุณหญิงจิตตราบอกแล้วถามว่า “เป็นยังไงบ้างจ๊ะลูก? วีสบายดีไหมจ๊ะ? อากาศหนาวมากรึเปล่า?”

“ผมสบายดีครับแม่ วันนี้ไม่ค่อยหนาวเท่าไหร่ครับ แต่เห็นข่าวเขาว่าอีกซัก 2 วันหิมะอาจจะตกครับ แล้วแม่ละครับสบายดีรึเปล่าครับ?” ปฐวีย้อนถาม ทำให้คุณหญิงจิตตราน้ำตาคลอเมื่อคิดว่าจะบอกลูกชายอย่างไรดีเรื่องที่เธอจะหย่าขาดจากสามี “แม่สบายดีจ้ะลูก”

“แต่เสียงคุณแม่เหมือนเป็นหวัดนะครับ”

คุณหญิงจิตตรารีบเช็ดน้ำตาทันทีพยายามปรับเสียงให้เป็นปกติ “แม่ไม่เป็นอะไรจริงๆ ลูก แม่สบายดีทุกอย่าง ว่าแต่เรื่องเรียนของลูกเถอะไปถึงไหนแล้วล่ะ?”

“ตอนนี้ผมกำลังเตรียมตัวพรีเซ้นต์ตาตั้งเลยครับ พรุ่งนี้ก็จะพรีเซ้นต์แล้วล่ะครับคุณแม่ ถ้าพรุ่งนี้พรีเซ้นต์ผ่านก็จบแล้วล่ะครับ”

คุณหญิงจิตตรารีบอวยพรว่า “แม่ขอให้ลูกพรีเซ้นต์ผ่านนะจ๊ะ ลูกจะได้กลับบ้านไวๆ  แม่คิดถึงลูกจะแย่อยู่แล้ว”

“สาธุ…ขอให้สมพรปากคุณแม่ด้วยเถอะครับ ผมจะได้กลับไปกินแกงเขียวหวานฝีมือคุณแม่เร็วๆ ครับ” ปฐวีหยอดคำหวานอ้อนแม่แล้วก็ถามว่า “แล้วคุณพ่อล่ะครับ?”

“คุณพ่ออยู่ในห้องทำงานจ้ะลูก” คุณหญิงจิตตราตอบแล้วก็รีบตัดบททันทีเมื่อน้ำตามันพานจะไหลให้ได้ “งั้นลูกก็เตรียมตัวพรีเซ้นต์ให้ดีนะจ๊ะ ดึกแล้วแม่ไปนอนก่อนล่ะ แม่รักลูกมากๆ นะจ๊ะ”

“ครับคุณแม่ ผมก็รักคุณแม่มากครับ กู้ดไนท์ครับ”

“จ้ะ กู้ดไนท์จ้ะลูก” คุณหญิงจิตตราตัดสายแล้วก็ถอนหายใจอย่างหนักใจ

“คุณหญิง” พลเอกณรงค์ฤทธิ์เดินเข้ามาในห้องรับแขกทันได้ยินภรรยาคุยกับลูกชาย เขาก็ถามว่า “เจ้าวีเป็นยังไงบ้างล่ะ?”

“ตาวีสบายดีค่ะ” คุณหญิงจิตตราตอบแล้วรีบปาดน้ำตาทิ้ง พลเอกณรงค์ฤทธิ์เดินไปยืนตรงหน้าภรรยา

“คุณบอกเจ้าวีเรื่องหย่าหรือยังครับ?” เขาถามเสียงนุ่ม คุณหญิงจิตตราส่ายหน้า “ยังค่ะ พรุ่งนี้ตาวีจะต้องพรีเซ้นต์ธีซิส จิตตราไม่อยากให้ลูกคิดมากก็เลยยังไม่ได้บอกค่ะ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์พยักหน้ารับรู้ “ดีแล้วล่ะครับ เอาไว้ให้เจ้าวีเสร็จเรื่องธีซิสก่อนแล้วค่อยบอกก็ได้ครับ นี่ก็ดึกมากแล้วผมว่าเราไปนอนดีกว่าครับ”

คุณหญิงจิตตราพยักหน้ารับแล้วก็เดินตามสามีขึ้นห้องนอน

วันต่อมา ปฐวีโทรหาคุณแม่ทันทีหลังเดินออกจากห้องพรีเซ้นต์ คุณหญิงจิตตรารีบรับสายเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของลูกชาย “สวัสดีจ้ะลูก”

“สวัสดีครับคุณแม่ ผมมีข่าวดีจะบอกครับ คือว่าผมพรีเซ้นต์ผ่านแล้วครับคุณแม่ ผ่านฉลุยเลยครับ” ปฐวีรีบบอกอย่างตื่นเต้นดีใจ ทำให้คุณหญิงจิตตราดีใจมาก “จริงเหรอจ๊ะลูก แม่ดีใจจริงๆ เลยที่ลูกจะเรียนจบโทแล้ว อย่างนี้ก็ต้องฉลองกันหน่อยนะจ๊ะ แล้วลูกจะกลับมาบ้านเมื่อไหร่ล่ะ? แม่จะได้ไปรับ”

“ผมว่าจะไปจองตั๋วเครื่องบินเดี๋ยวนี้เลยครับถ้าวันมะรืนมีที่นั่งว่างผมก็จะกลับไปวันมะรืนเลยครับคุณแม่ แล้วเดี๋ยวตอนเย็นผมขอไปฉลองกับเพื่อนๆ ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจองตั๋วได้แล้วผมจะโทรไปบอกคุณแม่อีกทีนะครับ ผมรักคุณแม่มากนะครับ จุ๊บๆ ครับ”

“จ้ะลูก จุ๊บๆ จ้ะ”

แล้วปฐวีก็ตัดสายไป คุณหญิงจิตตราเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า แล้วก็หันไปบอกสามีว่า “คุณณรงค์คะ ตาวีบอกว่าพรีเซ้นต์ผ่านแล้วค่ะ”

“เหรอครับ ดีแล้วล่ะครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์พยักหน้ารับรู้แล้วก็ก้มหน้าอ่านหนังสือธรรมะต่อ ท่าทีเฉยๆ ของสามีให้เธอนึกหมั่นไส้จึงหยิกหมับเข้าให้ “แหมคุณนี่ล่ะก็…ขอซักทีเถอะ”

“โอ้ย! คุณ ผมเจ็บนะครับ เรื่องอะไรมาหยิกผมล่ะครับ?” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ร้องลั่นรีบถูแขนตัวเองตรงรอยหยิก คุณหญิงจิตตราค้อนควับตาขุ่น “แหม ก็ลูกเรียนจบปริญญาโททั้งทีคุณพูดแค่ว่า…เหรอครับ…ดีแล้วล่ะครับ คุณพูดแค่นี้เองเหรอ คุณไม่ดีใจเลยหรือไงคะที่ลูกเรียนจบแล้วน่ะค่ะ”

“อ้าว…ก็แล้วคุณจะให้ผมพูดว่ายังไงล่ะครับ เจ้าวีเรียนจบก็ดีแล้วนี่ครับ มันจะได้รีบๆ กลับมาเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่เร็วๆ เพราะเดี๋ยวมันก็รีบแจ้นกลับไปเอาปริญญาเอกมาฝากคุณอีกใบ แล้วก็ทิ้งให้ผมนั่งบริหารบริษัทหลังขดหลังแข็งอยู่คนเดียว เอาไว้ให้มันจบปริญญาเอกแล้วกลับมาช่วยผมทำงานซิครับผมจะได้ร้องไชโยโห่หิ้วให้ลั่นบ้านเลย” เขาตอบภรรยาหน้าเฉย จนคนฟังนึกหมั่นไส้สุดกำลัง เธอลุกขึ้นค้อนควับๆ “ฮึ! ไม่อยากจะคุยกับคุณแล้วล่ะค่ะ จิตตราไปแช่น้ำร้อนดีกว่า หมั่นไส้นักเชียว เชอะ!”

แล้วเธอก็เดินไปเข้าห้องน้ำไป พลเอกณรงค์ฤทธิ์ได้แต่มองตามอย่างงุนงง “เออหนอ…เป็นงั้นไป”

แล้วเขาก็ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ

ณ สนามบินสุวรรณภูมิ

คุณหญิงจิตตรานั่งรอลูกชายด้วยความกระวนกระวายตื่นเต้นดีใจอยู่ที่จุดรอผู้โดยสารขาเข้า ส่วนพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็นั่งอ่านหนังสือในมือรออย่างใจเย็น

“พี่จิตตราคะ เที่ยวบินของตาวีจะแลนดิ้งแล้วค่ะ” จิตตรีน้องสาวของคุณหญิงจิตตรารีบเดินมาบอกหลังจากที่เที่ยวบินของสายการบินไทยจากนิวยอร์กขึ้นโชว์ว่ากำลังจะแลนดิ้งอยู่บนหน้าจอ

“ขอบใจจ้ะจิตตรี” คุณหญิงจิตตราพยักหน้ารับรู้แล้วลุกขึ้นเดินไปดูตารางสายการบินด้วยตัวเอง จิตตรีจึงหันไปพูดกับพี่เขยพร้อมกับส่งสายตาหวานเยิ้ม “คุณพี่คะ เที่ยวบินของตาวีจะแลนดิ้งแล้วนะคะ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์เงยหน้าขึ้นมามองแล้วให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ เมื่อน้องเมียทอดสายตาหวานเยิ้มหยดย้อยมาให้

“เหรอครับ…ขอบคุณครับ” เขาพูดแล้วปิดหนังสือในมือฉับ! จากนั้นก็รีบลุกขึ้นเดินตามภรรยาไปโดยเร็วเมื่อน้องเมียทำท่าจะเข้ามานั่งข้างๆ เขาไม่เปิดโอกาสให้คุณเธองาบได้ หากเป็นผู้ชายคนอื่นก็คงจะดีใจจนเนื้อเต้นที่น้องเมียแอบทอดสะพานอ่อยให้ตั้งแต่สาวยันแก่…เพราะไม่มีใครกล้าเอาไปทำเมีย

แต่ถึงมีโอกาสพลเอกณรงค์ฤทธิ์ผู้รักมั่นในศรีภรรยาตนก็หาทางเลี่ยงเรื่อยมา แถมน้องเมียของเขาคนนี้ก็ร้ายยิ่งนัก ปากร้าย ใจร้าย ขี้อิจฉาตาร้อน ริษยาเป็นที่หนึ่ง ใช้เงินฟุ่มเฟือยติดการพนันงอมแงมจนทรัพย์สินที่คุณเธอได้รับจากกองมรดกนั้นถูกคุณเธอผลาญละลายไปจนเกือบจะหมดเหลือเพียงบ้านที่ซุกหัวนอนกับตึกแถวย่านรังสิตที่ให้เช่าทำรายได้ให้คุณเธอยังพอมีกินมีใช้ แต่ก็ยังไม่พอให้คุณเธอเอาไปละลายในบ่อนจนต้องมาขอยืมเงินพี่สาวอยู่เป็นประจำ ซึ่งคุณหญิงจิตตราไม่ต้องการให้มรดกที่บรรพบุรุษหามาได้นั้นตกเป็นของคนอื่นจึงรับซื้อทรัพย์สินของน้องสาวไว้ในราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายในท้องตลาดมากนัก แต่เพราะเป็นเรื่องของพี่น้อง พลเอกณรงค์ฤทธิ์จึงไม่ยุ่งด้วย นี่ขนาดว่าคุณเธอยังไม่รู้ว่าคุณหญิงจิตตรากำลังจะหย่าจากเขาไปแต่งงานใหม่ยังให้ท่าไม่เว้นแต่ละวัน นี่ถ้ารู้เข้าก็คง…หยึ่ย!…ไม่อยากจะคิด!

จิตตรีกระฟัดกระเฟียดที่พี่เขยเดินหนีไปโดยไม่สนใจหล่อนเลยซักนิด ฮึ! ทำเป็นเมินดีไปเถอะ…มีโอกาสเมื่อไหร่ล่ะก็…แม่จะ…ปล้ำทำผัวเอาให้ดิ้นไม่หลุดเลยเชียว!

“เมื่อไหร่ตาวีจะมาซักทีนะ” คุณหญิงจิตตราเปรยกับตัวเอง พลเอกณรงค์ฤทธิ์เดินเข้าไปยืนข้างภรรยาแล้วก็บอกว่า “เดี๋ยวก็มาแหละคุณ เจ้าวีมันไปๆ มาๆ อยู่เป็นประจำคุณก็ยังไม่เลิกเห่อซักที รู้ว่ามันจะกลับวันไหนเป็นต้องรีบแจ้นมารอรับมันเลยเชียว”

“เอ๊ะคุณนี่! พูดอย่างนี้อยากจะโดนใช่ไหมเนี่ย อยู่ตรงนี้ฉันก็หยิกคุณได้นะคะ” คุณหญิงจิตตราหันไปเสียงเขียวใส่พร้อมขยับนิ้วเป็นปูหนีบ จนพลเอกณรงค์ฤทธิ์ต้องรีบถอยให้ห่างรัศมีมือของภรรยาพร้อมกับยกมือยอมแพ้ “ไม่เอาน่าคุณ ผมแค่ล้อเล้นเท่านั้นเอง”

คุณหญิงจิตตราสะบัดหน้าพรึ่ดค้อนควับๆ ให้สามี พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบเปลี่ยนเรื่อง ชี้ให้ภรรยาดูบนหน้าจอ “ดูนั่นซิ เครื่องแลนดิ้งแล้วล่ะคุณ”

“ฮึ!” คุณหญิงจิตตราค้อนขวับ! แล้วก็เดินไปรอหน้าประตูทางออกอย่างใจจดใจจ่อ

หลังจากยืนรออยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ปฐวีก็เดินออกมาปะปนกับผู้โดยสารคนอื่นๆ คุณหญิงจิตตรารีบโบกมือเรียกด้วยความดีใจ “ตาวีแม่อยู่นี่ลูก”

ปฐวีเห็นแล้วรีบเดินเข้าไปหาทันที “คุณแม่”

นายนพคนขับรถรีบยกมือไหว้ “สวัสดีครับคุณวี”

ปฐวีรับไหว้พร้อมกับยิ้มให้ “สวัสดีครับน้านพ”

แล้วเขาก็ส่งรถเข็นกระเป๋าเดินทางให้น้านพ จากนั้นเขาก็หันไปยกมือไหว้พ่อแม่ “สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่”

“แม่คิดถึงลูกมากที่สุดเลย” คุณหญิงจิตตราโผกอดลูกชายด้วยควาทคิดถึงแล้วก็หอมแก้มซ้ายขวาเสียหลายที ปฐวกอดตอบ “ผมก็คิดถึงคุณแม่ครับ”

คุณหญิงจิตตรากอดลูกชายสมใจแล้วจึงปล่อยให้เขาได้ทักทายกับคุณพ่อบ้าง พลเอกณรงค์ฤทธิ์เดินเข้าไปกอดบ้างพร้อมกับตบบ่าถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “ไงล่ะไอ้เสือ เที่ยวนี้จะอยู่ซักกี่วันล่ะ?”

“แหมคุณล่ะก็…ลูกก็ต้องอยู่นานๆ ซิคะ จริงไหมตาวี” คุณหญิงจิตตรารีบตอบแทนลูก ปฐวีพยักหน้ารับ “ครับคุณแม่”

แล้วเขาก็หันไปไหว้จิตตรี “สวัสดีครับคุณน้า”

จิตตรีรีบจีบปากจีบคอต่อว่าต่อขาน “แหม…คิดว่าจะลืมน้าซะแล้วซิ เห็นเอาแต่คุยกับคุณพ่อคุณแม่อยู่นั้นแหละ”

“โธ่…คุณน้าล่ะก็…ทำเป็นน้อยอกน้อยใจไปได้ ใครจะกล้าลืมคุณน้าคนสวยได้ลงคอล่ะครับ”ปฐวีรีบเข้าไปอ้อนพร้อมกับกอดคุณน้า ทำให้จิตตรียิ้มแป้น “จ้าๆ…น้าดีใจจริงๆ ที่ตาวีจบโทกลับมาซักที รู้ไหมคุณแม่เราบ่นกับน้าว่าคิดถึงเราเป็นประจำเลย ทีนี้พี่คุณหญิงจิตตราจะได้เลิกบ่นซักที”

“เอ้า กลับไปคุยกันต่อที่บ้านดีกว่ามัวแต่ยืนคุยกันอยู่อย่างนี้เมื่อไหร่จะได้ไปล่ะเนี่ย” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ขัดขึ้นเพราะอยากกลับบ้านเต็มแก่ คุณหญิงจิตตราค้อนควับเข้าให้ “แหมคุณล่ะก็…บ้านมันไม่หนีไปไหนหรอกค่ะ!”

“โธ่…ก็ผมเมื่อยขาจะแย่อยู่แล้ว คุณเล่นลากผมมารับเจ้าวีตั้งแต่ไก่โห่…” พลเอกณรงค์ฤทธิ์หยุดพูดทันควันเมื่อเห็นภรรยาทำปูหนีบหยับๆ “ไม่เอาน่าคุณ ใจเย็นๆ”

ปฐวีรีบห้ามทัพ “ไปกันเถอะครับคุณพ่อคุณแม่คุณน้า ผมหิวจะแย่อยู่แล้ว ข้าวบนเครื่องไม่ค่อยอร่อยเลยครับสู้ฝีมือคุณแม่ก็ไม่ได้”

เขารีบเข้าไปอ้อนกอดเอวคุณแม่ คุณหญิงจิตตราเชิดใส่สามีแล้วก็หันไปพูดกับลูกว่า “งั้นก็รีบกลับบ้านเถอะ แม่ทำขนมจีนแกงเขียวหวานไว้ให้ด้วยนะจ๊ะ”

“เย้! คุณแม่น่ารักที่สุดเลยครับ” ปฐวีดีใจรีบหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่ คุณหญิงจิตตราหอมกลับแล้วก็บอกว่า “ไปกันเถอะจ้ะ”

ปฐวีเดินโอบแม่พร้อมกับคล้องแขนพ่อเดินตามคนขับรถไป ส่วนจิตตรีก็เดินตามไปติดๆ

หลังจากที่ปฐวีกลับมาเมืองไทยได้ 3 วัน คุณหญิงจิตตราก็ตัดสินใจว่าจะบอกลูกเรื่องหย่า “วีจ๊ะ คือว่าแม่…….”

ครั้นบอกแล้วปฐวีก็ลุกขึ้นยืนกระฟัดกระเฟียดใส่คุณแม่ทันที “ไม่ได้นะครับคุณแม่ ผมไม่ยอมเด็ดขาด! ทำไมคุณแม่จะต้องหย่ากับคุณพ่อด้วยล่ะครับ? ทำไมครับ? ทำไมคุณแม่จะต้องแต่งงานใหม่ด้วยล่ะครับ?”

“แม่คุยกับคุณพ่อแล้วน่ะจ้ะ” คุณหญิงจิตตราตอบอย่างใจเย็น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ปฐวีอารมณ์เย็นตามไปด้วย “ยังไงผมก็ไม่ยอม!”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ทนดูพฤติกรรมที่เริ่มจะก้าวร้าวของลูกชายต่อไปไม่ไหวก็ลุกขึ้นตวาดเสียงดังว่า “เอ๊ะ! เจ้าวีนี่ชักจะพูดไม่รู้เรื่องแล้วนะ แกจะให้แม่เขาแต่งงานใหม่ทั้งๆ ที่ยังไม่หย่ากับพ่อรึไงห๊า!”

“คุณคะ ใจเย็นๆ ก่อนเถอะค่ะ” คุณหญิงจิตตรารีบห้ามทัพด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ ปฐวีชะงักไป! เขารีบยกมือไหว้ “ผมขอโทษครับคุณแม่คุณพ่อ”

แล้วเขาก็เดินปึงๆ ออกจากห้องรับแขกไปด้วยสีหน้าเศร้าเสียใจและยังทำใจไม่ได้ที่พ่อแม่จะหย่าขาดจากกัน พลเอกณรงค์ฤทธิ์หันไปปลอบใจภรรยาว่า “ปล่อยมันไปก่อนเถอะคุณ เดี๋ยวอีกหน่อยมันก็ทำใจได้เองแหละ”

“ค่ะคุณ” คุณหญิงจิตตราพยักหน้ารับอย่างกังวลใจ เพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้กระทบกระเทือนใจลูกยิ่งนัก

หลายวันต่อมา พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็พาคุณหญิงจิตตราไปจดทะเบียนหย่าที่สำนักงานเขตอย่างเงียบๆ โดยที่ปฐวีค้านหัวชนฝาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่อยากจะเห็นแม่เป็นทุกข์

หลังจากหย่าขาดจากสามีแล้วคุณหญิงจิตตราก็ย้ายออกจากบ้านเดชารงค์ไปอยู่คอนโดที่พลเอกณรงค์ฤทธิ์สร้างเอาไว้และยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเธอ จิตตรีรีบแจ้นไปหาพี่สาวทันทีเมื่อรู้ข่าว “พี่จิตตราจะแต่งงานใหม่จริงๆ เหรอคะ?”

“จริงจ้ะ”

Chapter 2

เลขาคนใหม่

คำตอบของพี่สาวทำให้จิตตรีดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น จากนั้นเธอก็รีบพูดเสี้ยมว่า “แต่แหม…คุณพี่ก็ช่างกระไรยอมหย่าให้ง่ายจัง อย่างนี้แสดงว่าคุณพี่ไม่ได้รักพี่จิตตราเลยล่ะซิถึงได้ไม่หึงไม่หวงเลยซักนิดที่พี่จิตตราจะแต่งงานใหม่ จิตตรีล่ะสงสารพี่จิตตราจริงๆ เห็นไหมล่ะคะจิตตรีพูดผิดซะที่ไหน สุดท้ายพี่จิตตราก็ต้องขอหย่าจนได้ นี่ถ้าคุณพ่อคุณแม่ยังอยู่ท่านคงนึกเสียใจแล้วก็โทษตัวเองอยู่แน่ๆ เลยที่ไม่น่าจับพี่จิตตราคลุมถุงชนเลย เฮ้อ…”

คุณหญิงจิตตรานั่งฟังเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร เพราะรู้ดีว่าอตีดสามีนั้นรักเธอมากต่างหากจึงยอมหย่าให้แต่โดยดี แต่เรื่องอะไรจะต้องพูดให้น้องสาวฟังด้วยล่ะเพราะรู้ดีแก่ใจว่าจิตตรีนั้นคิดอะไรอยู่ รู้ทั้งรู้ว่าน้องสาวพยายามให้ท่าพี่เขยอยู่ตลอดเวลาก็ไม่เคยพูด ได้แต่เก็บเอาไว้อยู่ในใจ

“เอ่อ…แล้วพี่จิตตราจะแต่งงานใหม่เมื่อไหร่คะ?” จิตตรีถามด้วยความอยากรู้ คุณหญิงจิตตราตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ก็คงเร็วๆ นี้แหละจ้ะ แต่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ รอให้ทอมสันเขาบินมาก่อนน่ะ”

เธอบอกแล้วก็ถือแก้วน้ำไปไว้ในครัว เมื่อกลับเข้าไปในห้องก็เห็นน้องสาวกำลังยืนคุยโทรศัพท์ตวาดแว้ดๆ เสียงดังว่า “อีเดือน แกนี่มันโง่จริงๆเล้ย! ก็บอกมันไปซิว่าไม่อยู่ ไม่รู้ไปไหน แล้วก็อย่าสะเออะเปิดบ้านให้มันเข้ามานั่งรอล่ะนังโง่”

จิตตรีวางสายฉับ! พร้อมกับบ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้ง “โอ้ย…โง่จริงๆ เลยอีนี่ ปล่อยให้มันมาทวงอยู่ได้ ไอ้เสี่ยนี่ก็พูดไม่รู้เรื่องเล้ย! ก็บอกแล้วว่าอีกสองวันๆ เสือกส่งคนมาตามทวงอยู่ได้ น่ารำคาญจริงๆ!”

คุณหญิงจิตตราถอยหลังไปนิดยังไม่เดินเข้าไปในห้องรับแขกรอจนไม่ได้ยินเสียงน้องสาวแล้วจึงเดินเข้าไปใหม่ด้วยสีหน้าราบเรียบเหมือนไม่ได้ยินอะไรเลย จิตตรีหันไปเห็นเข้าก็สะดุ้งตกใจ “อุ้ย! พี่จิตตราเดินเข้ามาเงียบๆ จิตตรีตกใจหมดเลย”

“อ้าว ก็แล้วจะให้พี่เดินดังๆ เอะอะมะเทิ้งมารึไงล่ะจ๊ะ” คุณหญิงจิตตราย้อนถาม จิตตรีได้แต่ยิ้มหน้าเจื่อนนั่งลงบนโซฟาตัวเดิม “แหมไม่ใช่อย่างงั้นหรอกค่ะ ก็จิตตรี…เอ่อ…”

เธอรีบเปลี่ยนเรื่องทันทีว่า “พี่จิตตราคะ จิตตรีอยากจะขอยืมเงินพี่ซักหน่อยน่ะค่ะ”

ทำให้คุณหญิงจิตตราถามอย่างเอือมระอาว่า “นี่ไปเข้าบ่อนอีกแล้วใช่ไหม?”

“…” จิตตรีนั่งนิ่งไม่ยอมตอบ คุณหญิงจิตตราเทศนาน้องสาวแม้จะรู้ว่าพูดไปเท่าไหร่คนเป็นน้องก็ไม่เคยฟัง “พี่บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าให้เลิกไปบ่อนซักทีทำไมถึงไม่ฟังกันบ้างฮึจิตตรี แล้วเที่ยวนี้จะเอาเท่าไหร่ล่ะ?”

แม้จะเอือมระอาแต่ถึงอย่างไรจิตตรีก็ยังเป็นน้องของเธอผู้มีสายเลือดเดียวกันแล้วจะให้ทิ้งขว้างไม่ดูดำดูดีได้ยังไงกัน จิตตรีรีบประจบพี่สาวทันที “จิตตรีขอยืมซักสองแสนค่ะเผอิญว่าช่วงนี้เงินมันช็อตหมุนไม่ทันจริงๆ ค่ะ”

คุณหญิงจิตตรามองน้องสาวนิ่งแล้วถอนหายใจด้วยความเอือมระอา “เฮ้อ…”

เธอเปิดกระเป๋าถือหยิบสมุดเช็คมาเซ็นต์ให้ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่เคยได้คืนเลยแม้แต่ครั้งเดียว “เลิกเข้าบ่อนเถอะนะจิตตรีการพนันมันมีแต่ทำให้ล่มจม มันไม่เคยทำให้ใครร่ำรวยได้หรอกนะเลิกเล่นซะเถอะนะพี่ขอร้อง”

จิตตรีนิ่งฟังพี่สาวพูดแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอย่างไม่โต้แย้งเลยซักนิดขอเพียงให้พี่ยอมให้ยืมเงินก็พอ

หนึ่งเดือนต่อมา หลังจากที่คุณหญิงจิตตราหย่าร้างกับพลเอกณรงค์ฤทธิ์แล้ว เธอก็เข้าพิธีแต่งงานกับทอมสันอย่างเงียบๆ ท่ามกลางญาติสนิทมิตรสหายที่มาร่วมเป็นสักขีพยาน ปฐวีก็ไปร่วมงานด้วย ถึงแม้ว่าเขาไม่อยากจะไปเลยซักนิด แต่เขาก็จำใจไปเพราะไม่อยากเห็นแม่เป็นทุกข์

หลังจากนั้นคุณหญิงจิตตราก็ย้ายไปอยู่แคนนาดากับสามีใหม่ ส่วนพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็กลายเป็นพ่อหม้ายเนื้อหอมขึ้นมาทันที วันๆ มีแต่สาวน้อยสาวใหญ่แวะเวียนมาทอดสะพานให้จนนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะอดีตน้องเมีย จิตตรีแวะเวียนไปทอดสะพานให้ท่าอดีตพี่เขยไม่เว้นแต่ละวันด้วยความหวังว่าจะได้เป็นคุณผู้หญิงของบ้านเดชารงค์แทนพี่สาว ซึ่งเธอจ้องจะงาบอดีตพี่เขยอยู่เป็นประจำหากโอกาสเอื้ออำนวย จนพลเอกณรงค์ฤทธิ์ขยาดไม่กล้าอยู่กับอดีตน้องเมียตามลำพัง

“คุณพี่ขา วันนี้จิตตรีซื้อเป็ดปักกิ่งมาฝากค่ะ” จิตตรีบอกขณะที่เดินไปหาอดีตพี่เขย พลเอกณรงค์ฤทธิ์ซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือธรรมะอยู่เพลินๆสะดุ้งเฮือก! หยึ๋ย!…มาอีกแล้ว!

เขารีบเงยหน้าไปพูดด้วยอย่างจำใจด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เหรอครับ ขอบคุณมากครับ”

จิตตรียิ้มหน้าบาน หันไปยื่นถุงเป็ดปักกิ่งส่งให้คนรับใช้ “เอ้า…แม่นิ่ม เอาไปใส่จานแล้วเดี๋ยวยกมาขึ้นโต๊ะเลยนะ”

“ค่ะ” นิ่มนวลรับถุงเป็นปักกิ่งจากจิตตรีแล้วก็ลุกขึ้นเดินเอาไปส่งให้เด็กรับใช้ “ฟองจันทร์เอาไปใส่จานแล้วยกมาตั้งโต๊ะ แล้วทำดีๆ จัดให้สวยๆ ล่ะ”

“จ้าป้านิ่ม” ฟองจันทร์รับถุงเป็ดปักกิ่งไปแล้วก็รีบเดินเข้าครัวไป นิ่มนวลรีบเดินกลับไปนั่งอยู่ใกล้ๆ เจ้านาย

“แม่นิ่มจะไปไหนก็ไปเถอะ” จิตตรีไล่ นึกโมโหที่คนรับใช้มานั่งเสนอหน้าเป็นก้างขวางคอเธออยู่ได้ นิ่มนวลย้อนถามหน้าตาย “จะให้ดิฉันไปไหนล่ะคะ ท่านสั่งว่าให้อยู่ใกล้ๆ คอยรับใช้เผื่อท่านจะเรียกใช้อะไรจะได้ไม่ต้องเรียกหาให้เสียเวลานี่คะ”

ใบหน้าที่พอกเครื่องสำอางไว้จนหนาของจิตตรีจึงเปลี่ยนสีทันควัน หนอย…อีนิ่ม!

แต่เพียงแวบเดียวเธอปรับสีหน้าเป็นปกติตามเดิม แล้วก็หันไปถามพลเอกณรงค์ฤทธิ์ว่า “คุณพี่คะ แล้วนี่ตาวีไปไหนคะเนี่ย?”

“เจ้าวีมันไปสถานทูตครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ตอบเสียงเรียบ พลัน! เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของเขาก็ดังขึ้น เขารีบล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสายพร้อมกับหันมาบอกจิตตรีว่า “ขอตัวก่อนนะครับ”

แล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินไปยืนคุยโทรศัพท์อยู่ริมหน้าต่าง “สวัสดีครับท่าน”

จิตตรีเห็นสีหน้าของพลเอกณรงค์ฤทธิ์เคร่งเครียดขึ้นมาฉับพลันทันด่วน! เธอได้ยินแต่เสียงของเขาพูดโทรศัพท์ว่า “ครับท่าน ครับ จะรีบไปเดี๋ยวนี้เลยครับ”

แล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วเดินไปพูดกับจิตตรีด้วยสีหน้าเคร่งเครียดคิ้วขมวดจนแทบจะชนกัน “ผมขอตัวก่อนนะครับ”

“ค่ะคุณพี่” จิตตรีรีบยกมือไหว้ เธออยากจะถามเขาว่าใครโทรมา แต่ก็ไม่กล้าถาม ได้แต่นึกเสียดายโอกาสพร้อมกับก่นด่าอยู่ในใจว่า โธ่โว้ย! วันหยุดแท้ๆ มันเป็นใครกันนะ เสือกจะต้องโทรมาเรียกหาคุณพี่ตอนนี้ทำหอกอะไรว่ะ มันน่านักเชียว!

แล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็สั่งนิ่มนวลว่า “คุณนิ่มไปสั่งให้นพเอารถออกเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

“ค่ะคุณท่าน” นิ่มนวลรับคำแล้วเดินไปกดอินเตอร์คอมทันที “นพ นพ นพ”

“ครับป้านิ่ม” เสียงคนขับรถตอบกลับมา นิ่มนวลรีบบอกว่า “เอารถออกเร็ว ท่านจะไปข้างนอก”

“ครับป้านิ่ม” เสียงคนขับรถรับคำ พลเอกณรงค์ฤทธิ์เดินไปรออยู่หน้าตึกทันที โดยมีนิ่มนวลและจิตตรีเดินตามไปด้วย

ไม่นานนักรถเบนซ์ฯสีน้ำเงินเงาวับก็มาจอดหน้าบันได นิ่มนวลรีบเดินไปเปิดประตูรถด้านหน้าข้างคนขับให้เจ้านายทันที เพราะเจ้านายของเธอไม่ชอบนั่งข้างหลังซึ่งเป็นนิสัยส่วนตัวที่หากไม่ขับเองก็ต้องนั่งข้างหน้า ยกเว้นเวลาออกงานไปไหนมาไหนอย่างเป็นทางการพลเอกณรงค์ฤทธิ์จึงจะยอมนั่งข้างหลัง พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบเดินไปนั่งในรถฉับ! นิ่มนวลรีบปิดประตูรถให้ หลังจากนั้นคนขับรถก็ขับรถออกจากบ้านไปพร้อมกับหันไปถามเจ้านายว่า “ท่านจะให้ไปไหนครับ?”

“ไปวัดดีกว่า เงียบสงบดีไร้คนรบกวน” พลเอกณรงค์ฤทธิ์สั่งแล้วก็ล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมาหยิบแบงค์ใบละพันออกมาใบนึงยื่นส่งให้นายนพ “เอ้า…เอาไป  นี่รางวัลที่นพรีบโทรไปเมื่อกี้นี้”

“ขอบคุณครับท่าน” นพรับเงินจากเจ้านายใส่กระเป๋าเสื้อของตัวเองพร้อมกับพูดไปขำไปว่า “หุๆๆๆ…ป่านนี้คุณจิตตรีคงจะกระฟัดกระเฟียดกลับบ้านไปแล้วล่ะครับท่าน”

“เออ ให้รีบๆ กลับไปเถอะ แล้วก็อย่าเผลอไปพูดให้ใครฟังล่ะว่าเป็นนพเองที่โทรหาฉัน” พลเอกณรงค์ฤทธิ์กำชับกับนพ เพราะถ้าอดีตน้องเมียรู้เข้า แผนหลบคุณเธอก็แตกกันพอดี

ณ บริษัทเดชารงค์ หน้าห้องประธานกรรมการของบริษัท โชติรสเลขาผิวคล้ำกำลังเดินอุ้ยอ้ายๆ อยู่หลังโต๊ะทำงานเพราะเธอกำลังตั้งครรภ์ได้ 8 เดือนกว่าแล้ว

“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณโรส ท่านอยู่หรือเปล่าคะ?” สมศรีเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลเดินเข้าไปถามโชติรส โชติรสรีบหันไปตอบว่า “อยู่ค่ะคุณสมศรี”

“ดีเลยค่ะ สมศรีจะได้พาเลขาคนใหม่ที่จะมาทำงานแทนช่วงที่คุณโรสลาคลอดมาพบท่านน่ะค่ะ” สมศรีบอกกับเลขา แล้วก็หันไปพูดกับสาวน้อยหน้าใสที่เดินตามเธอมาพลางรีบแนะนำว่า  “น้องพะพิมคะ นี่คุณโรสเลขาของท่านประธานค่ะ”

สาวน้อยหน้าใสชื่อ ‘พะพิม’ รีบยกมือไหว้โชติรส “สวัสดีค่ะคุณโรส”

โชติรสรับไหว้แล้วมองสำรวจเลขาคนใหม่ที่จะมาทำงานแทนตัวเอง แล้วหันไปถามสมศรีว่า “คุณสมศรีคะ คนนี้เหรอคะที่จะมาทำงานแทนโรส?”

“ก็ใช่ซิคะคุณโรส” สมศรีตอบแล้วก็ถามว่า “ทำไมเหรอค่ะคุณโรส?”

“ก็น้องเขาดูยังเด็กมากน่ะซิคะ จะทำงานไหวเหรอคะ? ไม่ใช่ว่าทำวันเดียวแล้วก็เผ่นหายนะคะ”โชติรสกระซิบกับสมศรี สมศรีรีบกระซิบตอบ “ก็คนนี้แหละค่ะคุณสมบัติตรงตามที่ท่านต้องการทุกอย่าง โสด ทนงาน ทำงานนอกสถานที่ได้ หน้าตาท่าทางฉลาดๆ ไม่ปากมาก อย่างที่ท่านต้องการไงคะ แล้วน้องเขาก็จบเลขามาโดยตรงด้วยนะคะ เกียรตินิยมอันดับ 1 จากจุฬาฯ เชียวนะคะ”

“งั้นคุณสมศรีก็พาไปพบท่านก่อนเถอะค่ะ แต่โรสว่าเดี๋ยวท่านต้องติเหมือนอย่างที่โรสพูดแน่ๆ ค่ะ” โชติรสบอก ทำให้สมศรีเริ่มไม่มั่นใจ “ก็ต้องแล้วแต่ท่านล่ะค่ะ”

“งั้นเดี๋ยวโรสเรียนท่านให้นะคะ” จากนั้นโชติรสก็กดอินเตอร์คอมบนโต๊ะ “ท่านคะ คุณสมศรีจากฝ่ายบุคคลมาขอพบค่ะ”

“ครับคุณโรส เชิญคุณสมศรีเข้ามาได้เลยครับ” เสียงทุ้มนุ่มตอบกลับมา สมศรีจึงพูดว่า “งั้นสมศรีขอตัวก่อนนะคะ”

แล้วเธอก็หันไปพูดกับเลขาคนใหม่ว่า “น้องพะพิมรออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ”

สาวน้อยหน้าใสพะพิมรีบพยักหน้ารับ “ค่ะ”

สมศรีเคาะประตู รอจนได้ยินเสียงว่า “เชิญครับ”

แล้วเธอก็ผลักประตูเดินเข้าไปในห้องท่านประธาน

ภายในห้อง พลเอกณรงค์ฤทธิ์กำลังง่วนอยู่กับแฟ้มเอกสารตรงหน้า สมศรียกมือไหว้ “สวัสดีค่ะท่าน”

“สวัสดีครับคุณสมศรี” พลเอกณรค์ฤทธิ์ยิ้มให้สมศรี ทำให้สมศรีซึ่งทำงานมานานกล้าแซวว่า “แหม…วันนี้ท่านอารมณ์ดีเป็นพิเศษนะคะ”

“อ้าว…แล้วจะให้ผมอารมณ์เสียหรือไงครับคุณสมศรี?” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ย้อนถามล้อเล้น สมศรีค้อนขวับ! “แหม…ท่านล่ะก็…ชอบแกล้งสมศรีเรื่อยเลย”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ล้อเล่นกับสมศรีพอหอมปากหอมคอแล้วก็ถามเป็นการเป็นงานว่า “คุณสมศรีครับเรื่องเลขาคนใหม่ที่จะมาทำงานแทนคุณโรสหาได้หรือยังครับ?”

“ได้แล้วค่ะท่าน ตอนนี้รออยู่หน้าห้องค่ะ ท่านจะให้เข้าพบเลยไหมคะ? หรือว่าจะให้ไปฝึกงานกับคุณโรสเลยคะ?” สมศรีตอบพร้อมกับยื่นแฟ้มประวัติเลขาคนใหม่วางบนโต๊ะ พลเอกณรงค์ฤทธิ์หยิบแฟ้มไปเปิดดูแล้วบอกสมศรีว่า “ก็ให้เข้ามาพบเลยซิครับจะได้ทำความรู้จักกันไว้ แล้วเดี๋ยวจะได้ส่งไปฝึกงานกับคุณโรส”

“ค่ะท่าน” สมศรีรับคำแล้วก็เดินไปเปิดประตูห้องเรียกเลขาคนใหม่ “น้องพะพิมคะ เชิญค่ะ”

เลขาคนใหม่เดินเข้าไปในห้องท่านประธาน พลเอกณรงค์ฤทธิ์วางแฟ้มลงบนโต๊ะแล้วมองสำรวจเลขาคนใหม่ สมศรีจึงรีบแนะนำตัวว่า “ท่านคะ นี่น้องพิมพิราเลขาคนใหม่ของท่านค่ะ”

พะพิมหรือชื่อจริงว่า ‘พิมพิรา’ ยกมือไหว้ด้วยกริยาอ่อนช้อยพร้อมกับแนะนำตัวเองว่า “สวัสดีค่ะท่าน ดิฉันชื่อพิมพิรา เมธากุลค่ะ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์รับไหว้พร้อมกับมองเลขาคนใหม่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วหันไปพูดกับสมศรีว่า “อายุยังน้อยอยู่เลยนะครับคุณสมศรี เพิ่งจบมาหมาดๆ เลยนี่ครับ ประสบการณ์ก็ยังไม่มี จะสู้งานไหวหรือครับ?”

สมศรีหน้าจ๋อย น่าน…เหมือนที่คุณโรสพูดเป๊ะ!

เธอรีบอวดอ้างสรรพคุณของเลขาคนใหม่ให้ท่านประธานฟังว่า “ก็น้องพะพิมนี่แหละค่ะคุณสมบัติตรงตามที่ท่านต้องการไงคะ โสด ทนงาน ทำงานนอกสถานที่ได้ หน้าตาท่าทางฉลาดๆ ไม่ปากมาก อย่างที่ท่านบอกไงคะ แล้วน้องพะพิมเขาก็สอบผ่านเป็นที่หนึ่งเลยนะคะ แล้วเขาก็จบเลขามาโดยตรงด้วยค่ะ เกียรตินิยมอันดับ 1 จากจุฬาฯเชียวนะคะท่าน แล้วทางฝ่ายบุคคลเองก็ลงความเห็นว่าน้องเขาน่าจะทำงานให้ท่านได้ค่ะ สมศรีว่าลองให้น้องเขาทดลองงานดูก่อนนะคะ แล้วถ้าท่านไม่พอใจสมศรีจะหาคนใหม่ให้ค่ะ”

“งั้นก็เอาตามที่คุณสมศรีว่าล่ะกัน” พลเอกณรงค์ฤทธิ์บอกเสียงเรียบ สมศรีสบโอกาสก็รีบขอตัวทันที “ถ้างั้นสมศรีขอพาน้องเขาไปฝึกงานกับคุณโรสเลยนะคะ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์พยักหน้าอนุญาต สมศรีรีบไหว้ลาท่านประธาน “สมศรีขอตัวก่อนนะคะ สมศรีลาล่ะค่ะท่าน”

แล้วเธอก็หันไปพยักหน้าส่งสัญญาณกับพิมพิราให้ลาท่านประธาน พิมพิราจึงย่อตัวไหว้ด้วยกริยาอ่อนช้อยเช่นเดิม แล้วสมศรีก็รีบจูงมือพิมพิราออกจากห้องท่านประธานไปโดยเร็ว พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองตามพร้อมกับคิดในใจว่า หน้าตาท่าทางก็ใช้ได้อยู่หรอก แต่ตัวเล็กๆ ผอมๆ แบบนี้จะไหวรึ? เพิ่งจะเรียนจบมาประสบการณ์ก็ยังไม่มี อายุยังไม่ถึง 25 ด้วยซ้ำ อ่อนกว่าเจ้าวีแค่ 2 ปีเอง เดี๋ยวก็คงจะได้หาคนใหม่แหงๆ เฮ้อ…

เมื่อออกจากห้องท่านประธานมาแล้วสมศรีก็พาพิมพิราไปฝึกงานกับโชติรส โชติรสรีบถามว่า “ท่านว่ายังไงบ้างล่ะคุณสมศรี?”

สมศรีถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เฮ้อ…”

แล้วก็ตอบว่า “ท่านก็ถามเหมือนคุณโรสนั่นแหละค่ะว่า จะไหวรึ ท่านติว่าอายุน้อย ยังไม่มีประสบการณ์ แต่ท่านก็ให้ลองทำดูก่อนค่ะ”

โชติรสพยักหน้ารับรู้ “เห็นไหมล่ะคะ โรสว่าแล้วเชียว โรสล่ะคิดไว้เลยเชียวว่าเดี๋ยวท่านให้หาคนใหม่แหงๆ แต่ก็ยังดีนะคะที่ท่านให้ลองทำงานก่อนน่ะค่ะ”

แล้วเธอก็หันไปพูดกับพิมพิราว่า “เพราะฉะนั้นน้องพะพิมต้องตั้งใจทำงานนะคะ งานดีๆ สมัยนี้มันหายากจะตายไปค่ะ”

“ค่ะคุณโรส” พิมพิรารับคำ ยิ้มสดใส แล้วบอกกับตัวเองว่า จะต้องตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดให้สมกับที่มีโอกาสได้ทำงานในบริษัทใหญ่ๆ แบบนี้

สมศรีเห็นว่าหมดธุระแล้วก็ขอตัวว่า “ถ้างั้นสมศรีไปทำงานต่อล่ะค่ะคุณโรส ฝากดูแลน้องพะพิมด้วยนะคะ”

แล้วเธอก็หันไปพูดกับพิมพิราว่า “ตั้งใจทำงานนะคะน้องพะพิม ให้สมกับที่พี่อวดสรรพคุณกับท่านไว้นะคะ อย่าให้พี่ต้องหาคนใหม่มาแทนซะล่ะ พี่ไปล่ะค่ะ”

เธอตบบ่าให้กำลังใจ พิมพิรายกมือไหว้สมศรี “ขอบคุณค่ะพี่สมศรี”

จากนั้นสมศรีก็เดินจากไป โชติรสพูดกับพิมพิราด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “น้องพะพิมคะ ไม่ต้องกลัวนะคะ เดี๋ยวพี่จะสอนงานให้จนน้องสามารถทำงานแทนพี่ได้เลยล่ะค่ะ”

“ค่ะ” พิมพิราพยักหน้ายิ้มตอบ จากนั้นโชติรสก็เริ่มสอนงานให้เลขาคนใหม่ทันที โดยที่พิมพิราก็สู้งานเต็มที่

เวลาผ่านไปจนเกือบจะเที่ยงวัน โชติรสก็เดินอุ้ยอ้ายอุ้มท้องแก่ใกล้คลอดเข้าไปพูดกับพิมพิราว่า “น้องพะพิมคะ จะเที่ยงอยู่แล้วเดี๋ยวลงไปกินข้าวด้วยกันนะคะ”

“ค่ะพี่โรส” พิมพิรารับคำแล้วก็รวบเอกสารต่างๆ เรียงให้เป็นระเบียบ พลัน! เสียงแหลมๆ ห้วนๆ ไร้หางเสียงของจิตตรีก็ดังนำหน้ามาก่อนตัว “นี่คุณโรส คุณพี่อยู่รึเปล่า!?”

โชติรสหันไปมอง ยกมือไหว้แล้วก็ตอบว่า “สวัสดีค่ะคุณจิตตรี ท่านประธานอยู่ในห้องค่ะ”

พิมพิรารีบไหว้ตาม “สวัสดีค่ะ”

แต่จิตตรีไม่ได้สนใจรับไหว้เลยสักนิด เธอผลักประตูห้องท่านประธานเข้าไปทันที โชติรสรีบเดินตามเข้าไปด้วย

“คุณพี่คะ จิตตรีมาชวนคุณพี่ไปทานอาหารกลางวันด้วยกันค่ะ” จิตตรีปรี่เข้าไปยืนตรงหน้าโต๊ะทำงาน พลเอกณรงค์ฤทธิ์ชะงัก! หยึ๋ย!

เขารีบเงยหน้ามอง มาอีกแล้ว!

แล้วเขาก็มองผ่านจิตตรีไปยังเลขาผิวคล้ำที่เดินอุ้ยอ้ายๆ ตามเข้ามาติดๆ โอ…ดีๆ

โชติรสรีบพูดว่า “เอ่อ…ท่านคะตอนกลางวันนี้ท่านมีนัดทานข้าวกับมิสเตอร์อัลแบร์นี่ ท่านจะให้โรสยกเลิกนัดให้รึเปล่าคะ?”

“ยกเลิกได้ยังไงล่ะคุณโรส กว่าจะนัดเขาได้ก็ยากเย็นแสนเข็น แล้วอีกอย่างผมต้องคุยกับเขาเรื่องโครงการใหม่ของบริษัทด้วย ขืนไม่คุยวันนี้เดี๋ยวก็ถูกคู่แข่งตัดหน้าไปก่อนล่ะยุ่งเลย” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดพูดกับเลขา แล้วเขาก็หันไปบอกกับจิตตรีว่า “ขอโทษนะจิตตรีที่ผมไปทานข้าวกลางวันด้วยไม่ได้ ผมไม่ว่างจริงๆ ต้องขอโทษด้วยนะครับ”

แล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็หันไปพูดกับโชติรสต่อ “คุณโรส แล้วเรื่องประชุมตอนบ่ายคุณเตรียมงานเรียบร้อยแล้วเหรอครับ?”

“ยังไม่ค่อยเรียบร้อยค่ะท่าน ยังมีงบประจำเดือนที่ทางฝ่ายการเงินยังไม่ได้ส่งมาให้ค่ะท่าน” โชติรสตอบด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ ทำให้พลเอกณรงค์ฤทธิ์ตำหนิทันที “แย่จริงๆ เลยคุณโรส แล้วทำไมไม่รีบบอกล่ะครับผมจะได้โทรไปถามเอง จนป่านนี้เพิ่งจะมาบอก แย่จริงๆ เลยทำงานกันประสาอะไรเนี่ย!”

ปัง! เขาตบโต๊ะเสียงดังจนทุกคนสะดุ้งตกใจ

“อุ้ย!” จิตตรีรีบขอตัวทันทีเมื่อเห็นว่าอดีตพี่เขยอารมณ์เสียสุดๆ “เอ่อ…คุณพี่คะถ้าคุณพี่งานยุ่งมากงั้นจิตตรีขอตัวก่อนนะคะ”

“เชิญครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์บอกพร้อมกับทำตาขวางๆ เผื่อแผ่อดีตน้องเมียด้วย จิตตรีรีบโกยอ้าวทันที

เมื่อจิตตรีไปแล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ยิ้มกว้างชูนิ้วโป้งให้คุณเลขาคนเก่ง “เยี่ยมมากครับคุณโรส  เฮ้อ…ไปซักที”

“ค่ะท่าน แต่ทีหลังท่านอย่าตบโต๊ะเสียงดังอีกนะคะ ยัยหนูของโรสตกใจหมดเลย” โชติรสยิ้มให้แล้วก็เอามือลูบหน้าท้องนูนๆ ของตัวเอง “โอ๋…โอ๋…โอ๋…คนเก่งของแม่”

“ขอโทษครับเผอิญมันอินไปหน่อย” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ้มแหยๆ

“ค้าท่าน” โชติรสยิ้มตอบ จากนั้นเธอก็เดินออกจากห้องกลับไปที่โต๊ะทำงานของตนเองพร้อมกับบอกกับพิมพิราว่า “น้องพะพิมคะ คนเมื่อกี้นี้คือคุณจิตตรีนะคะ น้องพะพิมจำไว้เลยนะคะว่าถ้าคุณจิตตรีมาหาท่านน้องพะพิมต้องรีบเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนท่านเลยนะคะ”

“ทำไมเหรอคะพี่โรส?” พิมพิราถามสีหน้างุนงง โชติรสรีบบอกพร้อมกับออกท่าออกทาง “ไม่งั้นเดี๋ยวคุณจิตตรีเธอก็จ้องจะขย้ำแล้วก็งาบ…ท่านประธานน่ะซิคะ”

“อุ้ย พี่โรสพูดจริงหรือพูดเล่นคะเนี่ย” พิมพิราถามด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ โชติรสรีบย้ำ “พี่พูดจริงๆ ค่ะ จำไว้เลยนะคะว่าไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตามน้องพะพิมจะต้องเกาะติดท่านประธานหนึบเป็นตังเม อย่าให้ท่านอยู่ตามลำพังกับคุณจิตตรีเด็ดขาดเลยนะคะ แล้วถ้าคุณจิตตรีโทรมาหาท่านนะคะ น้องพะพิมก็บอกไปได้เลยว่าท่านไม่อยู่ ไม่รู้ ไม่ทราบ เข้าใจไหมคะ”

“ค่ะพี่โรส” พิมพิราพยักหน้ารับแบบงงๆ โชติรสตบไหล่เลขาคนใหม่ “อยู่ไปนานๆ เดี๋ยวก็รู้เองแหละค่ะ ตอนนี้ไปกินข้าวกันดีกว่าค่ะ”

แล้วโชติรสก็เดินนำพิมพิราลงไปยังศูนย์อาหารของบริษัท

วันต่อมา พิมพิราก็ได้พบกับปฐวี โชติรสรีบทักทายกับปฐวีว่า “สวัสดีค่ะคุณวี”

แล้วเธอก็รีบแนะนำให้พิมพิราได้รู้จักกับปฐวี “น้องพะพิมคะนี่คุณปฐวีลูกชายท่านประธานค่ะ”

พิมพิรารีบไหว้เขา “สวัสดีค่ะ”

Chapter 3

เป็นลมเพราะเห็นเลือดตัวเอง

“สวัสดีครับ” ปฐวีรับไหว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“คุณวีคะ นี่น้องพะพิมเลขาคนใหม่ของท่านค่ะ” โชติรสแนะนำตัว

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ปฐวีพูดพร้อมกับยิ้มให้ พิมพิรายิ้มตอบ “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ”

แล้วปฐวีก็หันไปพูดกับโชติรสว่า “คุณโรสครับวันนี้คุณพ่อไม่เข้าบริษัทนะครับ ถ้ามีอะไรด่วนก็ส่งมาให้ผมได้เลยนะครับ”

“ค่ะคุณวี” โชติรสรับคำ แล้วปฐวีก็ผลักประตูห้องท่านประธานเข้าไป โชติรสหันมาพูดกับพิมพิราว่า “น้องพะพิมคะ คุณวีเนี่ยเป็นลูกชายคนเดียวของท่านประธานเลยนะคะ เรียนก็เก๊ง…เก่งค่ะ เพิ่งจบโทบริหารจากอเมริกามาหมาดๆเลยนะคะ ช่วงนี้ก็เลยเข้ามาช่วยงานท่านเกือบทุกวันเลย แต่เดี๋ยวเดือนหน้าคุณวีก็จะกลับไปเรียนต่อปริญญาเอกที่อเมริกาแล้วล่ะค่ะ เห็นท่านว่าพอคุณวีกลับมาท่านก็จะยกตำแหน่งรองประธานให้ค่ะ แล้วถ้าถึงวันนั้นพี่จะลองคุยกับท่านให้นะคะ ขอจองตำแหน่งเลขาของคุณวีไว้ให้น้องพะพิมนะคะ”

พิมพิราได้แต่ยิ้มฟังโชติรสพูด

พิมพิราฝึกงานกับโชติรสได้สามอาทิตย์โชติรสก็ลาคลอดบุตร พิมพิราจึงเริ่มทำงานเป็นเลขาให้ท่านประธานอย่างเต็มตัว

“คุณพะพิมวันนี้ผมไม่เข้าบริษัทนะครับ”

“ค่ะท่าน” พิมพิรารับคำ รอจนท่านประธานตัดสายแล้วเธอก็วางโทรศัพท์ เธอนั่งทำงานง่วนจนกระทั่งเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้น กริ้งๆๆๆ

เธอละมือจากแป้นคอมพิวเตอร์ไปรับสาย “สวัสดีค่ะบริษัทเดชารงค์ จำกัดค่ะ ดิฉันพิมพิรารับสายค่ะ”

“คุณพี่ณรงค์อยู่รึเปล่า” เสียงแหลมๆ ห้วนๆ ถามอย่างไร้หางเสียงดังออกมา ทำให้พิมพิราจำได้ทันทีว่าเป็นคุณจิตตรีโทรมา เธอจึงตอบไปด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ท่านประธานไม่อยู่ค่ะ วันนี้ท่านไม่เข้าบริษัทค่ะ”

“แล้วหล่อนรู้ไหมว่าท่านไปไหน?” จิตตรีจิกถามไร้หางเสียงเช่นเดิม พิมพิราจึงตอบไปตามความจริงว่า “ดิฉันไม่ทราบค่ะ ท่านไม่ได้บอกค่ะคุณจิตตรี”

“โอ้ย…อีโง่! แล้วทำไมหล่อนไม่ถามล่ะย่ะว่าท่านไปไหน ไปทำอะไร อยู่ที่ไหน หล่อนเป็นเลขาประสาอะไรถึงไม่รู้ว่าเจ้านายตัวเองไปไหนห๊า! โง่จริงๆเลยนังคนนี้นี่!” จิตตรีจิกด่าอารมณ์เสียสุดๆ แล้วก็วางสายไป พิมพิราได้แต่ส่ายหน้ากับตัวเอง เฮ้อ…ซวยแต่เช้าเลยเรา

แล้วเธอก็หันไปทำงานของตัวเองต่อโดยไม่เก็บเอาคำพูดของจิตตรีมาใส่ใจให้รกสมอง

จนกระทั่งอินเตอร์คอมบนโต๊ะทำงานดังขึ้น “คุณพิมพิราครับผมขอรายงานงบการเงินของครึ่งเดือนแรกด้วยครับ”

“ค่ะคุณวี” พิมพิราตอบแล้วก็รีบหยิบแฟ้มงบการเงินที่เขาต้องการเข้าไปให้ในห้องท่านประธานทันที เธอเคาะประตู

“เชิญครับ”

พอปฐวีอนุญาต พิมพิราก็เปิดประตูห้องเข้าไปแล้วเอาแฟ้มงบการเงินส่งให้กับเขา “นี่ค่ะคุณวี แฟ้มที่คุณต้องการค่ะ”

“ขอบคุณครับ” ปฐวีรับแฟ้มไปเปิดอ่านทันที พิมพิราก็ออกจากห้องกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง

ปฐวีช่วยคุณพ่อทำงานอย่างขยันขันแข็งจนกระทั่งถึงวันที่เขาต้องเดินทางกลับไปเรียนต่อที่อเมริกา พลเอกณรงค์ฤทธิ์ไปส่งปฐวีที่สนามบิน หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้วปฐวีก็หันไปรับกระเป๋าเป้ของตัวเองจากนพพร้อมกับพูดว่า “น้านพดูแลคุณพ่อดีๆ ล่ะ”

“ไม่ต้องห่วงครับคุณวี ผมจะดูแลคุณท่านให้ดีที่สุดเลยครับ” นพยกมือไหว้ ปฐวีรับไหว้ แล้วก็หันไปลาพ่อ “ผมไปล่ะครับคุณพ่อ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์กอดลูกชายแน่นแล้วพูดว่า “รีบๆ เรียนให้จบไวๆ ล่ะเจ้าวี จะได้รีบกลับมาช่วยพ่อทำงาน แล้วก็แวะไปเยี่ยมแม่เขาบ่อยๆ ด้วยล่ะ”

“ครับพ่อ” ปฐวีพยักหน้ารับกอดตอบกลับแน่นเช่นกัน หลังจากนั้นเขาก็หันไปลาคุณน้า “ผมไปล่ะครับคุณน้า”

“จ้ะตาวี น้าขอให้ตาวีเดินทางปลอยภัยนะจ๊ะ” จิตตรีกอดหลานชายหอมแก้มซ้ายขวาข้างละทีแล้วเธอก็ปล่อยหลานชาย

หลังจากร่ำลาทุกคนแล้วปฐวีก็เดินเข้าไปภายในจุดตรวจผู้โดยสารขาออก พลเอกณรงค์ฤทธิ์หันไปพูดกับจิตตรีและคนขับรถว่า “กลับกันเถอะ”

แล้วเขาก็เดินนำหน้าทั้งสองคนไปขึ้นรถ ทำให้จิตตรีบ่นอยู่ในใจ ฮึ! คุณพี่นะคุณพี่ เดินไม่รอกันบ้างเลย

พอขึ้นรถเรียบร้อยพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็สั่งนพว่า “นพเดี๋ยวไปส่งชั้นที่กระทรวงก่อนนะ”

“ครับท่าน” นายนพรับคำแล้วก็แอบหัวเราะอยู่ในใจ ท่านหาเรื่องชิ่งอีกแล้ว

เพราะรู้ดีว่าคุณจิตตรีไม่กล้าตามท่านเข้าไปในยุ่มย่ามในกระทรวงให้ท่านโกรธเอาหรอก ส่วนจิตตรีก็หน้างอทันที โอ้ย! จะขยันอะไรกันนักกันหนา!? เอาแต่ทำงานๆ อย่างนี้แล้วเมื่อไหร่จะมีเวลาว่างให้ฉันพาไปงาบได้ล่ะเนี่ย! โธ่โว้ย!

ณ บริษัทเดชารงค์ พิมพิราถือแฟ้มเอกสารตามท่านประธานเข้าไปในห้องทันทีเมื่อท่านประธานมาถึงบริษัท

“ท่านคะเช้านี้ท่านมีประชุมกับฝ่ายการตลาดนะคะ แล้วตอนบ่ายท่านก็ต้องไปเป็นประธานเปิดโครงการเดชาแลนด์ 10 ที่สยามพารากอน ส่วนตอนเย็นท่านมีนัดทานอาหารกับมิสเตอร์จอห์นสันที่โรงแรมพลาซ่าแอทธีนี่ค่ะ”

“ขอบคุณครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์เอ่ยขอบใจพร้อมกับรับแฟ้มเอกสารจากพิมพิราไปเปิดดู พิมพิราเดินไปที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม ชงลาเต้ร้อนให้เจ้านาย พลัน! เธอก็ได้ยินเสียงดัง เพล้ง!

พร้อมกับเสียงท่านประธานร้องลั่น “โอ้ย!”

พิมพิรารีบหันไปดู บนโต๊ะทำงานเต็มไปด้วยเศษแก้วกระจายเกลื่อน ส่วนท่านประธานนั่งกุมมือตัวเองเลือดโชกเต็มไปหมด

“ตายแล้วท่าน! เกิดอะไรคะ!?”

“ยังไม่ตายครับ พอดีหลอดไฟมันติดๆ ดับๆ ผมก็เลยจะหมุนหลอดให้มันแน่นน่ะครับ สงสัยผมคงจะหมุนแรงไปหน่อยหลอดมันก็เลยแตก อูย” พลเอกณรงค์ฤทธิ์บอกพร้อมกับยิ้มให้ พิมพิรารีบเข้าไปดูพร้อมกับจับมือข้างที่เจ็บแบออกดูบาดแผล

“ตายแล้ว เลือดไหลเยอะเลยค่ะ” เธอรีบดึงทิสชูบนโต๊ะมาซับเลือดให้ ครั้นพอเห็นบาดแผลกลางอุ้งมือเธอก็ร้องอุทานอีกว่า “ตายแล้ว แผลลึกมากเลยนะคะ”

พูดแล้วก็ล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าของตัวเองขึ้นมากดปากแผลไว้

“คำก็ตาย สองคำก็ตาย ผมถามจริงๆ เถอะพวกผู้หญิงนี่เขาอุทานอย่างอื่นไม่เป็นกันรึไงครับ?” พลเอกณรงค์ฤทธิ์แซวทั้งๆ ที่เจ็บ จนพิมพิราไม่รู้จะตอบท่านว่ายังไงดี เธอจึงเผลอค้อนไปทีนึง “ท่านล่ะก็…เจ็บขนาดนี้ยังปากดีอีกนะคะ”

“อ้าว ก็ปากผมไม่ได้เจ็บด้วยนี่ครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ต่อปากต่อคำ จนพิมพิราเผลอค้อนเข้าให้อีกที “แหมท่านนี่นะ…จริงๆเลย! รีบไปโรงพยาบาลทำแผลเถอะค่ะ  เลือดออกเยอะขนาดนี้คงต้องไปให้หมอเย็บล่ะค่ะ”

เธอรีบดึงท่านประธานให้ลุกขึ้นแล้วประคองแขนเขาไว้

เมื่อประคองท่านประธานออกมาหน้าห้อง พิมพิราก็สั่งคนขับรถซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่แถวโต๊ะทำงานของเธอว่า “น้านพรีบพาท่านไปโรงพยาบาลเร็วเข้า ท่านถูกหลอดไฟบาดมือแผลลึกมากเลยค่ะ”

“ครับๆๆ” นายนพผุดลุกขึ้นทันทีรีบเข้าไปจะช่วยประคองเจ้านายด้วยอีกคน พลเอกณรงค์ฤทธิ์โบกมือห้าม “ไม่ต้องเลยนพ ฉันยังเดินเองได้ นายน่ะรีบไปกดลิฟท์เลยไป”

“ครับๆ” นายนพรีบวิ่งไปกดลิฟท์

เมื่อลิฟท์มาถึง ทั้ง 3 คนก็เข้าไปในลิฟท์ จากนั้นเมื่อลิฟท์ไปถึงชั้นล่าง นพก็รีบวิ่งไปขับรถมารับโดยเร็ว

ครึ่งชั่วโมงต่อมา พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ไปถึงโรงพยาบาลทำแผลเรียบร้อย พิมพิราก็ตามจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายอย่างคล่องแคล่ว ซึ่งระหว่างที่ท่านประธานกำลังทำแผลอยู่นั้นพิมพิราก็ได้โทรไปบอกเลื่อนการประชุมออกไปก่อน ครั้นเมื่อกลับไปถึงบริษัทพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็สั่งให้เข้าประชุมทันที

หลังจากประชุมกับฝ่ายการตลาดเสร็จแล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็กลับไปห้องทำงานของตัวเองด้วยสีหน้าซีดเซียวเล็กน้อยจนพิมพิราอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ “ท่านคะ พักซักหน่อยเถอะค่ะ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์มีท่าทีเหมือนจะปฏิเสธแต่พอเขาสบสายตากับดวงตาหวานซึ้งที่มีแววเป็นห่วง เขาก็ยิ้มให้แล้วไม่พูดอะไรนอกจากทำตามคำบอกของเลขาวัยกระเตาะแต่โดยดี เขานั่งลงที่โซฟา พิมพิราเดินตามเข้าไปในห้องพร้อมกับยื่นกล่องนมยูเอชทีส่งให้เจ้านาย “ท่านคะ ดื่มซักหน่อยเถอะค่ะ”

“ของใครครับเนี่ย?” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ถามเพราะเขาจำได้ว่าในห้องทำงานของเขาไม่มีนมเลยซักกล่อง

“ของพะพิมเองค่ะ”

พอเลขาบอกแบบนั้น พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็รับไปพร้อมกับยิ้มให้ “ขอบคุณครับ”

แล้วเขาก็ดื่มนมจนหมดกล่อง จากนั้นพิมพิราก็ถือแฟ้มไปวางไว้บนโต๊ะ พลัน! เธอก็เห็นเศษแก้วชิ้นหนึ่งอยู่บนโต๊ะทำงาน ตายแล้ว! แม่บ้านเก็บไปไม่หมดเหรอเนี่ย

เธอเอื้อมมือไปหยิบทิ้ง

“อุ๊ย!” เธอสะดุ้ง! เมื่อถูกเศษแก้วชิ้นนั้นบาดนิ้วเข้าให้ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ได้ยินเสียงเลขาร้องเขาจึงหันไปมอง “เป็นอะไรครับคุณพะพิม?”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะท่าน แค่แก้วบาดนิดหน่อยค่ะ” พิมพิราหันไปตอบพร้อมกับรีบดึงทิสชูบนโต๊ะมาซับเลือด พลเอกณรงค์ฤทธิ์ลุกขึ้นเดินไปดูใกล้ๆ “ขอผมดูแผลหน่อยครับ”

แล้วเขาก็ดึงมือเธอไปดู แม้ว่าแผลจะเล็กนิดเดียวแต่เลือดก็ไหลโชกพอสมควร

“ไปล้างแผลก่อนเถอะครับ” เขาบอกพร้อมกับจูงมือเธอให้เดินตามเขาเข้าไปในห้องน้ำซึ่งอยู่ภายในห้องทำงาน โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่าเลขาสาวมีสีหน้าซีดเผือด เขาเปิดก๊อกน้ำแล้วดึงมือเธอไปล้างแผลจนเลือดหยุดไหลแล้ว

พลัน! พิมพิราก็ค่อยๆ หมดสติจนพลเอกณรงค์ฤทธิ์เกือบจะรับร่างอรชรอ้อนแอ้นแทบไม่ทัน “คุณพะพิม! คุณพะพิม! ตายละหว่า!”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบช้อนร่างพิมพิราไว้ในอ้อมแขนแล้วอุ้มออกจากห้องน้ำอย่างทุลักทุเล เขาวางเธอลงบนโซฟาแล้วรีบปฐมพยาบาลเธอทันที

“คุณพะพิมครับ คุณพะพิม คุณพะพิมครับ” เขาปฐมพยาบาลอยู่ครู่ใหญ่พิมพิราก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสติลืมตาขึ้น เธอลุกพรวด พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบกดบ่าบอบบางไว้ “อย่าเพิ่งลุกครับเดี๋ยวจะเป็นลมไปอีก”

“พะพิมไม่เป็นอะไรแล้วค่ะท่าน” พิมพิราบอกพร้อมกับพยายามจะลุกขึ้นนั่ง พลเอกณรงค์ฤทธิ์เห็นสีหน้าของเลขาไม่ค่อยซีดเซียวแล้วและเธอก็มีท่าทีเขินอาย เขาจึงช่วยประคองให้ลุกขึ้นนั่งพิงโซฟาพร้อมกับถามด้วยความเป็นห่วงว่า “คุณมีโรคประจำตัวอะไรหรือเปล่าครับ? ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นลมได้? ดีนะว่าผมรับไว้ทันไม่งั้นหัวคุณฟาดพื้นแน่ๆ”

พิมพิรายิ่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่ โอ้ย…จะตอบท่านได้ยังไงล่ะว่าที่หน้ามืดก็เพราะเห็นเลือดตัวเอง ขืนท่านรู้เข้าท่านต้องหัวเราะเยาะแน่ๆเลย โธ่…

เธอก้มหน้างุดๆไม่ยอมมองหน้าท่านประธาน ทำให้พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ่งสงสัยอยากรู้ “คุณพะพิมครับ ทำไมเอาแต่หลบหน้าหลบตาไม่ยอมตอบล่ะครับ?”

พิมพิราก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาตอบ เธอก้มหน้างุดๆ แก้มแดงจนถึงใบหู ทำให้พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ่งอยากรู้นักว่าเลขาของเขาเป็นลมเพราะเหตุใด เขาจึงแกล้งขู่ว่า “คุณพะพิมครับ คุณมีโรคประจำตัวอะไรหรือเปล่า? ถ้าคุณยังไม่ยอมตอบล่ะก็…ผมจะไล่คุณออกนะครับ”

คำว่า ‘ไล่ออก’ จากปากท่านประธานทำให้พิมพิราตกใจรีบเงยหน้าพูดว่า “ท่านอย่าไล่พะพิมออกนะคะ พะพิมไม่ได้เป็นโรคอะไรหรอกค่ะ คือว่า…เอ่อ…คือว่า…”

เธอหน้าแดงอ้ำๆอึ้งๆ “คือว่า…เอ่อ…”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์จึงแกล้งขู่อีกครั้งว่า “คือว่า…คือว่า…อยู่นั่นแหละ ถ้าคุณไม่พูดซักทีผมไล่คุณออกจริงๆ ด้วย”

พิมพิรากลัวว่าท่านประธานจะไล่หล่อนออกตามที่ท่านพูดจริงๆ เธอจึงมองเขาด้วยสายตาอ้อนวอนพร้อมกับรีบบอกอย่างเขินๆ ว่า “คือว่าพะพิมเห็นเลือดตัวเองก็เลยหน้ามืดน่ะค่ะ ท่านอย่าไล่พะพิมออกนะคะ”

“อะไรนะ ที่คุณเป็นลมก็เพราะเห็นเลือดตัวเองงั้นเหรอ ฮ่าๆๆๆๆ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์หัวเราะใหญ่ โอ้ยขำ ทีเห็นเลือดเราไหลโจ๊กๆ ไม่ยักจะกลัวแฮะ แต่ทีเห็นเลือดตัวเองไหลจิ๊ดเดียวดันกลัวจนเป็นลมซะนี่

พิมพิราอายจนหน้าแดงเถือกยิ่งกว่าเดิมจนไม่อาจจะสู้หน้าท่านประธานต่อไปได้ เธอจึงรีบผุดลุกขึ้น แต่เพราะเธอรีบร้อนลุกขึ้นเร็วเกินไปขาจึงไปสะดุดกับโต๊ะกระจกจนล้มลง “ว้าย!”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบรับไว้ทันที “อุ๊บ!”

เรือนร่างอรชรทาบทับอยู่กับอกกว้าง ใบหน้ารูปไข่สวยหวานห่างจากใบหน้าของเขาเพียงคืบเดียว ดวงตากลมโตคมขำกะพริบปริบๆ ด้วยความตกใจ เขาจ้องมองใบหน้าเลขาสาวอย่างตกตะลึง ขนตายาวจัง ดูทำตาโตเข้าซิ…น่ารักดี ถึงว่าซิหนุ่มๆถึงได้รุมจีบกันจัง

เขาจ้องหน้าเลขาสาวอยู่นาน อืม…

จนกระทั่งพิมพิราได้สติ เธอรีบกล่าวคำขอโทษอย่างร้อนรนอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี  “อุ้ย! ขอโทษค่ะท่าน”

เธอรีบลุกขึ้นแล้วผละออกห่าง จากนั้นก็รีบวิ่งออกจากห้องไปทันที ทิ้งให้พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยังนอนพังพาบอยู่กับโซฟาด้วยความเสียดายนิดๆ ตั้งแต่ทำงานร่วมกันมา เขาก็เพิ่งจะมีโอกาสมองหน้าเลขาสาววัยกระเตาะใกล้ๆ ก็วันนี้แหละ ใบหน้ารูปไข่ คิ้วโค้งโก่งเป็นคันศร ขนตายาวเป็นแพ ดวงตากลมโตคมขำหวานซึ้ง จมูกโด่งคมสัน ริมฝีปากบางอวบอิ่ม ผิวแก้มขาวเนียนใสแดงระเรื่อจนถึงใบหูยังติดตาเขาอยู่เลย

พิมพิราวิ่งออกจากห้องท่านประธาน เธออายขายหน้าสุดขีด ตายแล้วยัยพะพิมเอ้ย…น่าขายหน้าจริงๆ เล้ย กลัวเลือดจนเป็นลมแล้วยังซุ่มซ่ามหกล้มทับท่านอีก แล้วทีนี้จะมองหน้าท่านได้ยังไงล่ะเนี่ย โอ้ย…ตาย…ตาย…ตาย…ยัยพะพิมงี่เง่า!

เธอวิ่งเข้าห้องน้ำไปสงบสติอารมณ์อยู่นานจ้องมองแผลที่นิ้วซึ่งปากแผลปิดสนิทไม่มีเลือดไหลแล้วอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น ไอ้แผลงี่เง่าเอ้ย!

ครั้นพอหายเขินอายลงบ้างแล้วเธอก็กลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง นพซึ่งนั่งอยู่แถวๆ นั้นได้แต่มองพิมพิราด้วยสีหน้างงๆ คุณเลขาเป็นอะไรไปหว่า…

พลัน! ประตูห้องท่านประธานก็เปิดออกแล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็เดินออกมาเรียกพิมพิราด้วยตัวเอง “คุณพะพิมครับ เดี๋ยวผมจะออกไปงานเปิดตัวโครงการตอนบ่ายเลยนะครับ”

เขาสั่งแล้วก็กลับเข้าไปในห้องทันที นพได้ยินเจ้านายบอกกับเลขาเช่นนั้นเขาก็รีบไปเตรียมรถรอโดยไม่ต้องรอให้ใครสั่ง พิมพิรารีบเตรียมสคริปที่ท่านประธานจะต้องกล่าวเปิดงานใส่แฟ้มอย่างรวดเร็วพร้อมกับหยิบกระเป๋าถือของตัวเองอย่างว่องไว

เมื่อพลเอกณรงค์ฤทธิ์เดินออกมาอีกครั้งพิมพิราก็พร้อมจะติดตามเขาไปทันที

“เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วนะครับ”

“ค่ะท่าน”  พิมพิราก้มหน้าตอบแบบไม่ยอมมองหน้าท่านประธานเลยซักนิด แก้มเนียนใสแดงระเรื่อน้อยๆ พลเอกณรงค์ฤทธิ์แอบยิ้มขำไม่ให้เธอเห็น ท่าจะยังอายอยู่แน่ๆ

เขาวางสีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติแล้วเดินนำหน้าเลขาเหมือนเช่นเคย พิมพิราก็รีบเดินตามไป

จิตตรีนั่งกระฟัดกระเฟียดอยู่ในห้องรับแขกหลังจากที่โทรหาพลเอกณรงค์ฤทธิ์ตั้งแต่เช้าแต่ก็ไม่เจอตัว “คุณพี่นะคุณพี่วันหยุดแท้ๆโทรไปก็ไม่อยู่ที่บ้าน ที่กระทรวงก็ไม่ได้ไป ที่บริษัทก็ไม่อยู่ แล้วไปไหนของเขานะ โธ่โว้ย! เซ็งจริงๆ เลยโว้ย!”

ชายหนุ่มคนหนึ่งเปิดประตูบ้านเข้ามา ทันได้ยินจิตตรีตะโกนลั่นห้อง เขาเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ จิตตรีแล้วก็เชยคางเธอขึ้นมา

“คนสวยของผมเซ็งอะไรล่ะครับ ดูทำหน้าเข้าซิ เดี๋ยวไม่สวยนะครับ” แล้วเขาก็ยื่นหน้าไปหอมแก้มซึ่งพอกเมคอัพหนาดั่งฉาบปูน จิตตรีมองชายหนุ่มคราวลูกที่เข้ามานั่งข้างๆ ด้วยสายตาเขินอาย “แหม มิตรล่ะก็…มาถึงก็ปากหวานเชียวนะ”

“ผมไม่ได้ปากหวานนะครับ ผมพูดจริงๆ นะครับ ก็คุณจิตตรีของผมทั้งสวยทั้งน่ารักน่าหม่ำขนาดนี้”

อีแก่โง่…ถ้าไม่ใช่เพราะมึงมีเงินให้กูถลุงล่ะก็…กูคงไม่มาหร้อก

มิตรไม่พูดเปล่า เขาเขยิบเข้าไปจนชิดแล้วกอดรัดจิตตรีไว้พร้อมกับพรมจูบไปทั่วใบหน้าแก่ๆ ของเธอ จิตตรีแสร้งผลักออกทั้งๆ ที่ใจของเธอนั้นอยากให้มิตรหนุ่มรุ่นลูกที่เพิ่งรู้จักกันในบ่อนได้ไม่นานพาเธอขึ้นสวรรค์จะแย่ “อย่ามาพูดเลยค่ะ พี่ทั้งแก่ทั้งเหี่ยวจะไปสู้พวกสาวๆ ที่รุมล้อมมิตรได้ยังไงล่ะคะ? มิตรอย่ามาหลอกให้พี่ดีใจเลยค่ะ”

เออ…รู้ตัวก็ดีแล้วว่ามึงทั้งแก่ทั้งเหี่ยว  อย่างมึงน่ะสู้อีพวกนั้นไม่ได้หรอกอีแก่!

มิตรรีบยิ้มประจบ “โถๆๆๆ ใครบอกว่าคุณจิตตรีของผมทั้งแก่ทั้งเหี่ยวกันล่ะครับ ดูซิครับออกจะเต่งตึงขนาดนี้ ยังส่งเข้าประกวดได้สบายเลยนะครับเนี่ย”

ส่งประกวดตำแหน่งอีแก่แร้งทึ้งประจำปีน่ะซิ!

เขายื่นมือไปขย้ำหน้าอกหย่อนยานใต้เสื้อลายดอกรัดรูปพร้อมกับระดมจูบไปทั่วใบหน้าเหี่ยวย่น จิตตรียิ้มหน้าบานงึมงำอ่อนระทวย “จริงๆ นะคะ  มิตรไม่ได้หลอกพี่นะ”

“จริงซิครับคนสวยของผม”

สวยเหมือนผีซิอีแก่โง่!

มิตรรีบรุกหนักจนจิตตรีไม่อาจจะทนชั้นเชิงหนุ่มน้อยคราวลูกได้ เธอครวญครางดังลั่นผ้าผ่อนหลุดลุ่ยเนื้อตัวล่อนจ้อนอย่างไม่อายผีสางเทวดา

เดือนสาวรับใช้ในบ้านซึ่งกำลังเดินเข้ามาในห้องรับแขกพร้อมแก้วน้ำที่จะมาเสิร์ฟให้แขกต้องรีบระเห็ดกลับไปทางเดิมแทบไม่ทัน อุ้ยตายแล้ว! พ่อแก้วแม่แก้วช่วยอีเดือนด้วยจ้า! โอ้ย…จะเล่นผีผ้าห่มกันก็ไม่บอก แถมมาเล่นกันกลางห้องรับแขกไม่อายผีอายคนกันเล้ย!

เธอเผ่นแนบกลับไปนั่งอยู่ในครัวเอามือปิดหูตัวเองไว้แน่นเมื่อได้ยินเสียงเจ้านายครางกระเส่าลั่นบ้าน

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ขึ้นนั่งในรถคู่กับคนขับรถหลังจากเสร็จงานเปิดตัวโครงการเดชาแลนด์ 10 แล้วโดยมีเลขาสาวนั่งอยู่ด้านหลัง พลัน! เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าถือของพิมพิราก็ดังขึ้น เธอรีบเปิดกระเป๋ารับสายทันทีเพราะเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องที่ใช้ติดต่อเรื่องงานของบริษัท “สวัสดีค่ะบริษัทเดชารงค์ จำกัดค่ะ ดิฉันพิมพิรารับสายค่ะ”

“ซาหวัดดีค้า  ดีช้านเอรีนเลขาของมิสเตอร์จอห์นสันนะค้า  เนื้องจ๊ากว่ามิสเตอร์จอห์นสันบอสของดีช้านค้าวไม่ซาบายกาทานหา  ก่อเลยไปดินเนอร์กับมิสเตอร์เดชารงค์บอสของคุณม้ายด้าย ดีช้านจึงอยากจะพูดกับบอสของคุณเพื่อขอโต๊ดแทนบอสของดีช้านด้วยค้า”

เสียงปลายสายพูดภาษาไทยไม่ค่อยชัดแบบสำเนียงฝรั่งพูดภาษาไทย พิมพิราจึงตอบกลับไปว่า “ค่ะคุณเอรีน กรุณารอซักครู่นะคะ”

แล้วเธอก็ชะโงกหน้าไปบอกเจ้านายว่า “ท่านคะ คุณเอรีนเลขาของมิสเตอร์จอห์นสันโทรมาบอกว่ามิสเตอร์จอห์นสันป่วยกระทันหันไม่สามารถมาร่วมรับประทานอาหารค่ำกับท่านได้ค่ะ คุณเอรีนจึงอยากจะคุยกับท่านเพื่อขอโทษแทนมิสเตอร์จอห์นสันน่ะค่ะ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์พยักหน้ารับรู้แล้วก็หันไปบอกว่า “เหรอครับ งั้นก็ส่งโทรศัพท์มาเลยครับ”

พิมพิรารีบยื่นโทรศัพท์ส่งให้เจ้านาย หลังจากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงท่านประธานพูดภาษาอังกฤษกับเลขาของมิสเตอร์จอห์นสันอยู่ครู่ใหญ่ แล้วก็หันมาส่งโทรศัพท์คืนให้ “ขอบคุณครับคุณพะพิม มิสเตอร์จอห์นสันไม่สบายเข้าโรงพยาบาลด่วน เดี๋ยวคุณช่วยจัดการส่ง…”

“ส่งดอกไม้ไปเยี่ยมมิสเตอร์จอห์นสันที่โรงพยาบาล แล้วก็แคนเซินโต๊ะที่โรงแรม แล้วก็นัดกับมิสเตอร์จอห์นสันใหม่อีกครั้งหลังจากที่เขาหายป่วยแล้วใช่ไหมคะท่าน” พิมพิราพูดแทรกพร้อมกับจดลงบนสมุดพกเล่มเล็กๆ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ้มกว้างที่เลขารู้งานจนไม่ต้องสั่งให้มากความ “ถูกต้องแล้วครับ แต่เรื่องแคนเซินโต๊ะไม่ต้องครับ ไหนๆ ก็จองโต๊ะไว้แล้วผมก็จะไปกินข้าวเย็นที่นั่นซะเลย”

Chapter 4

ทานข้าวร่วมกับท่านประธาน

“ค่ะท่าน” พิมพิรารับคำแล้วก็ก้มหน้าก้มตาจดยิกๆ ลงบนสมุดพก พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก้มมองนาฬิกาข้อมือตัวเองนิดนึงแล้วก็บอกว่า “นี่ก็เกือบจะหกโมงแล้ว นพไปโรงแรมพลาซ่าแอทธีนี่เลยนะ กว่าจะฝ่ารถติดไปถึงก็คงทุ่มนึงพอดี”

“ครับท่าน” นพรับคำแล้วก็หันไปสนใจถนนหนทางต่อ พลเอกณรงค์ฤทธิ์หันไปมองรถราที่ติดอยู่บนท้องถนนเป็นแพยาวเหยียด

จนกระทั่งรถวิ่งไปจอดหน้าโรงแรม พนักงานของโรงแรมรีบเดินเข้าไปเปิดประตูรถอย่างว่องไว พิมพิรารีบลงจากรถมายืนคอยเจ้านาย พลเอกณรงค์ฤทธิ์หันไปสั่งคนขับรถก่อนลงจากรถว่า “นพเอารถไปเก็บแล้วรีบตามไปที่ห้องอาหารนะ”

“ครับท่าน” นพรับคำ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ลงจากรถแล้วเดินเข้าไปภายในโรงแรม พิมพิราเดินตามไปติดๆ พนักงานของโรงแรมให้การต้อนรับเป็นอย่างดีสมกับที่ถูกฝึกมา

ครั้นเมื่อไปถึงห้องอาหารพนักงานต้อนรับประจำห้องอาหารก็รีบเข้ามาทักทาย “สวัสดีครับท่าน เชิญที่โต๊ะเลยครับ”

พนักงานรีบเชื้อเชิญไปที่โต๊ะเพราะจำได้เป็นอย่างดีว่าเป็นลูกค้าประจำของห้องอาหารแห่งนี้ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ทักทายตอบระหว่างที่เดินตามไป “สวัสดีครับ เผอิญว่าวันนี้เพื่อนผมมาไม่ได้ ผมก็เลยอยากจะเปลี่ยนจากที่จองไว้ 2 โต๊ะเป็นโต๊ะเดียวครับ”

“ได้ครับท่าน เชิญเลยครับ” พนักงานต้อนรับบอกแล้วก็รีบเลื่อนเก้าอี้ให้ลูกค้านั่ง โต๊ะที่จองไว้อยู่ชิดกระจกบานใหญ่ติดกับน้ำพุด้านนอก บรรยากาศโดยรอบสวยงาม สงบร่มรื่น พลเอกณรงค์ฤทธิ์หันไปบอกเลขาหน้าหวานพร้อมกับชี้ไปยังเก้าอี้ที่พนักงานต้อนรับเลื่อนไว้รอ “คุณพะพิมครับ เชิญนั่งครับ”

“ให้พะพิมนั่งตรงนี้เหรอคะ อ้าวแล้วท่านจะนั่งตรงไหนล่ะคะ?” พิมพิราทำหน้าเหวอ เมื่อจู่ๆ ท่านประธานก็สั่งให้เธอนั่งร่วมโต๊ะด้วย เพราะปกติเธอจะนั่งร่วมโต๊ะกับคนขับรถระหว่างที่รอเจ้านาย พลเอกณรงค์ฤทธิ์จึงชี้ไปที่เก้าอี้อีกตัว “ผมก็นั่งตรงนี้ซิครับ”

เขาบอกพร้อมกับเลื่อนเก้าอี้เองแล้วก็นั่งลงเสร็จสรรพแล้วหันไปสั่งเธอว่า “นั่งซิครับคุณพะพิม”

“ค่ะ” พิมพิราจึงนั่งลงตามคำสั่ง  พนักงานต้อนรับเลื่อนเก้าอี้เข้าไปให้พอดีพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดปากบนโต๊ะมากางปูให้บนตัก

โอ้ยตาย! งานเข้าแล้วเรา นั่งร่วมโต๊ะกับท่านจะกินข้าวอร่อยป่ะเนี่ย อย่าเผลอทำซุ่มซ่ามให้ท่านหัวเราะเยาะนะย่ะยัยพะพิม ไม่งั้นล่ะก็…ขายหน้าท่านแย่เลย พิมพิราทำหน้าเจื่อนๆ ทำตัวลีบๆ จนพลเอกณรงค์ฤทธิ์ได้แต่แอบขำอยู่ในใจ เอ้า…ดูทำหน้าเข้าซิ ยังกับอยู่บนลานประหารงั้นแหละ

เขารู้ว่าพิมพิราเกร็งๆ ที่ต้องนั่งร่วมโต๊ะด้วยกัน เขาบอกเธอว่า “เดี๋ยวนพมาให้นพนั่งตรงนี้ วันนี้กินข้าวด้วยกันครับ”

พิมพิรามีสีหน้าดีขึ้นเมื่อได้ยินเจ้านายบอก ค่อยยังชั่ว นึกว่าจะต้องนั่งกินข้าวกับท่านสองคนซะอีก

เมื่อนพมาถึงพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็หันไปบอกว่า “นพนั่งซิ วันนี้กินข้าวด้วยกันนะ”

“ขอบคุณครับท่าน” นพไหว้พร้อมกับกล่าวขอบคุณ แล้วเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่อย่างไม่เก้อเขินเพราะถูกเจ้านายชวนร่วมโต๊ะอยู่บ่อยครั้ง พนักงานต้อนรับเข้ามาดูแลบริการให้ทันทีพร้อมกับส่งเมนูเครื่องดื่มให้ดู “เมนูครับ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์รับเมนูไปดูแล้วก็สั่งว่า “ลาเต้ร้อนแก้วนึงครับ”

แล้วเขาก็หันไปถามเลขาว่า “คุณพะพิมจะดื่มอะไรครับ?”

พิมพิราเงยหน้าจากเมนูเครื่องดื่มที่กำลังดูอยู่มองเจ้านายแล้วก็หันไปสั่งกับพนักงานต้อนรับว่า “ขอนมเย็นแก้วนึงค่ะ”

อ้อ ลืมไป เด็กน้อยยังไม่อดนมนี่หว่า พลเอกณรงค์ฤทธิ์คิดในใจแล้วก็พูดว่า “งั้นเราไปตักอาหารกันเถอะครับ ไปเถอะนพ”

ห้องอาหารแห่งนี้จัดแบบบุบเฟ่ต์คิดค่าอาหารเป็นรายหัว มีอาหารให้เลือกมากมายเต็มไปหมด พอเจ้านายลุก ลูกน้องก็รีบลุกตาม พิมพิราเดินไปตักอาหารที่ตัวเองชอบใส่จานมาพอประมาณ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็คอยแอบชำเลืองดูว่าเลขาชอบกินอะไรบ้างด้วยความสนใจพร้อมกับตักอาหารใส่จานตัวเองไปด้วย ‘อ้อ ชอบกิน……’

ส่วนนายนพก็เดินไปเลือกๆ หยิบๆ แต่ของที่ตัวเองชอบมาจนเต็มจาน แต่ก่อนที่พลเอกณรงค์ฤทธิ์จะลงมือทานอาหาร พิมพิราก็ยื่นถุงยาไปให้พร้อมกับบอกว่า “ท่านคะ ยาก่อนอาหารค่ะ”

“ขอบคุณครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์รับถุงยาไป เขาเปิดถุงหยิบยาออกมา 2 เม็ดตามที่ระบุไว้บนซองยา แล้วเขาก็หยิบยาใส่ปากตามด้วยน้ำกลืนอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาก็ลงมือทานอาหาร แม้จะทุลักทุเลเพราะเจ็บแผลที่มืออยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรนักหนา พิมพิราจึงลงมือจัดการกับอาหารในจานตัวเองบ้าง แม้จะรู้สึกแปลกๆ เขินๆ ที่ต้องร่วมโต๊ะกับเจ้านายแต่เธอก็พยายามเก็บอาการ ส่วนนพนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะเก้อเขินเอียงอายไม่เคยอยู่ในหัวสมองมีแต่คำว่า ‘ลาภปาก’ ที่เจ้านายมีเมตตาให้ร่วมโต๊ะด้วย

ระหว่างที่กำลังรับประทานกันอยู่นั้น พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ชวนพิมพิราคุยไปด้วย “คุณพะพิมครับ ตั้งแต่คุณมาทำงานกับผมถ้ามีเรื่องอะไรที่ทำให้คุณลำบากใจก็บอกผมได้นะครับ ผมอยากให้คุณทำงานกับผมอย่างมีความสุขนะครับ”

“ขอบคุณค่ะท่าน” พิมพิราไหว้ขอบคุณแล้วก็กินต่อไปเรื่อยๆ จนนพมีท่าทีว่ากินอิ่มแล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์จึงหันไปขยิบตาส่งสัญญาณไล่ ‘ไปได้แล้ว’

นพจึงรีบบอกว่า “ท่านครับผมขอไปห้องน้ำก่อนนะครับ”

“เออไปเถอะ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์พยักหน้าให้ นพก็รีบลุกไปทันที เมื่อนพไปแล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็หันไปชวนพิมพิราคุยต่อ “คุณพะพิมครับ จะเป็นการเสียมารยาทรึเปล่าครับ หากว่าผมจะถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของคุณ”

“คะ ท่านจะถามอะไรล่ะคะ?” พิมพิราทำหน้าตาสงสัย  เอ…ท่านจะถามอะไรหว่า?

“เอ่อ…ผมอยากรู้ว่าครอบครัวของคุณ เอ่อ…ผมหมายถึงคุณพ่อคุณแม่ของคุณน่ะครับ ทำอาชีพอะไรครับ?”

“อ๋อ…คือว่าคุณพ่อคุณแม่ของพะพิมทำสวนมะกรูดกับสวนมะนาวอยู่ต่างจังหวัดน่ะค่ะท่าน”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์พยักหน้ารับรู้แล้วก็ถามต่อว่า “แล้วรายได้ดีหรือเปล่าครับ ผมหมายถึงว่าปีๆ นึงมีรายได้เท่าไหร่น่ะครับ?”

พิมพิราคำนวณคร่าวๆ แล้วก็ตอบว่า “ก็ไม่มากหรอกค่ะท่าน ซักประมาณปีละ 5 แสนค่ะท่าน หักค่าปุ๋ยค่ายาค่าคนงานแล้วก็เหลือไม่เท่าไหร่หรอกค่ะท่าน แค่พอให้กินพอให้ใช้ไม่ต้องเป็นหนี้เขาเท่านั้นแหละค่ะ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบถามต่อว่า “แล้วคุณพะพิมมีพี่น้องกี่คนครับ?”

“พะพิมมีน้องสาวอีกคนนึงค่ะ” พิมพิราตอบแล้วก็ยกแก้วน้ำขึ้นจิบนิดนึง พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยกแก้วน้ำขึ้นจิบบ้างก่อนจะถามต่ออีก “อายุซักเท่าไหร่ครับ? กำลังเรียนชั้นไหนอยู่ครับ?”

“น้องสาวของพะพิมเขาอ่อนกว่าพะพิมนิดเดียวเองค่ะ ตอนนี้กำลังเรียนต่อปริญญาโทอยู่ที่อังกฤษน่ะค่ะ” พิมพิรารีบพูดต่อทันทีเมื่อท่านประธานทำหน้าสงสัยประมาณว่าทำสวนรายได้ปีละ 5 แสนมีเงินเหลือขนาดส่งลูกเรียนต่อต่างประเทศเลยหรือเนี่ย

“คือว่าเขาสอบชิงทุนได้น่ะค่ะท่าน”

“อ๋อครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์พยักหน้าเข้าใจแล้วก็ชมว่า “แสดงว่าคงจะเรียนเก่งเหมือนกับคุณพะพิมแน่ๆ เลยใช่ไหมครับ แหมผมชักอยากจะรู้แล้วล่ะซิว่าคุณพ่อคุณแม่ของคุณสอนลูกยังไงถึงเรียนเก่งทั้งพี่ทั้งน้องเลย อย่างนี้ว่างๆ ผมคงต้องหาโอกาสไปกราบท่านแล้วขอเรียนรู้วิธีเลี้ยงลูกให้เรียนเก่งซักหน่อยแล้วล่ะครับ”

พิมพิราหน้าแดงน้อยๆ ที่จู่ๆ ท่านประธานก็ชมกันซึ่งๆหน้า “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะท่าน พะพิมก็ไม่ได้เรียนเก่งอะไรนักหนากว่าจะเรียนจบมาได้ก็ต้องขยันอ่านหนังสือจนตาแฉะเลยค่ะ วันๆ เอาแต่ท่องตำราขลุกอยู่แต่ในห้องสมุดจนแทบจะไม่เห็นเดือนเห็นตะวันกับเขาหรอกค่ะ”

“โห…ขนาดว่าไม่เก่งยังคว้าเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง แล้วถ้าเรียนเก่งสงสัยคงจะเป็นอัจฉริยะแน่ๆ เลยมั้งครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์แกล้งแซว จนพิมพิราเผลอค้อนให้ด้วยความหมั่นไส้ “แหมท่านล่ะก็…พะพิมขอตัวไปตักของหวานดีกว่า”

แล้วเธอก็รีบลุกไปทันที พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองตามพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ น่ารักดีแฮะ

เมื่อพิมพิรากลับมาที่โต๊ะพร้อมกับผลไม้เต็มจาน พลเอกณรงค์ฤทธิ์จึงลุกไปตักของหวานบ้าง

หลังจากทานเสร็จแล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ชวนกลับบ้าน “ผมว่าเรากลับกันเถอะครับ นี่ก็เกือบจะ 3 ทุ่มแล้วกว่าจะถึงบ้านเดี๋ยวจะดึก พรุ่งนี้ผมต้องตื่นแต่เช้าเข้ากระทรวงซะด้วยซิครับ”

“ค่ะท่าน” พิมพิราพยักหน้ารับแล้วก็จัดการเช็กบิลทันที “น้องคะเช็กบิลด้วยค่ะ”

พอสั่งพนักงานเสิร์ฟแล้ว เธอก็รีบโทรบอกคนขับรถให้เอารถมารับ “น้านพคะท่านจะกลับแล้วค่ะ น้านพเอารถมาคอยรับท่านได้เลยค่ะ”

“ครับคุณพะพิม” นพรับคำสั่งแล้วก็วางสาย เขารีบเดินไปที่รถทันที

หลังจากนั้นพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็เดินออกไปพร้อมกับพิมพิรา พิมพิรายกมือไหว้ลาท่านประธานทันที “งั้นพะพิมลาล่ะค่ะท่าน”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบบอกว่า “เดี๋ยวผมให้นพไปส่งที่บ้านนะครับ”

พิมพิราทำหน้าเหวออีกครั้ง “ให้น้านพไปส่งพะพิมที่บ้าน แล้วท่านล่ะคะจะกลับยังไง?”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ้มขำกับท่าทีของเลขาสาว “ผมก็นั่งไปด้วยซิครับ คือผมหมายความว่าให้นพไปส่งคุณที่บ้านก่อน เพราะตอนนี้มันก็ดึกแล้วจะให้คุณไปขึ้นรถเมล์กลับบ้านก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คุณจะถึงบ้าน แล้วอีกอย่างผมก็ไม่อยากให้คุณเรียกแท็กซี่ด้วย เกิดแท็กซี่มันพาคุณไปฆ่าปาดคอขึ้นมาผมก็เสียเลขาซิครับ”

พิมพิราพยักหน้าเข้าใจ ก็ดีเหมือนกันแฮะ ถ้านั่งรถเมล์กว่าจะถึงบ้านก็คงเกือบ 4 ทุ่มแหงๆ ขืนเรียกแท็กซี่ไปก็แพงแถมอันตรายด้วย ท่านให้น้านพไปส่งก็ประหยัดตังค์ไปได้เยอะเลย

เธอรีบไหว้ขอบคุณ “ขอบคุณค่ะท่าน”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์พยักหน้ารับแล้วก้าวเข้าไปนั่งในรถ พิมพิรารีบขึ้นรถตามอย่างว่องไว พนักงานของโรงแรมซึ่งเปิดประตูรถรอก็รีบปิดประตูให้พร้อมกับค้อมไหว้ด้วยความนอบน้อม

“นพเดี๋ยวไปส่งคุณพะพิมกลับบ้านก่อนนะ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์สั่ง นพรับคำ “ครับท่าน” แล้วเขาก็มองกระจกหลังพลางถามพิมพิราว่า “คุณพะพิมครับ บ้านคุณอยู่ไหนครับ?”

“อยู่ใกล้ๆ กับออฟฟิตนั่นแหละค่ะน้านพ เลยออฟฟิตไปซอยเดียวแล้วเข้าซอยไปประมาณ 300 เมตรค่ะ” พิมพิราตอบ พลเอกณรงค์ฤทธิ์หันไปถามด้วยความสงสัยแกมอยากรู้ว่า “อ้าว…บ้านคุณพะพิมอยู่ใกล้ๆ กับออฟฟิตเหรอครับเนี่ย?”

“ค่ะท่าน คือพะพิมเพิ่งย้ายมาน่ะค่ะ เมื่อก่อนพะพิมเช่าห้องอยู่ใกล้ๆ กับจุฬาฯน่ะค่ะ พอมาทำงานที่นี่ พะพิมก็เลยย้ายมาอยู่ใกล้ๆ กับออฟฟิตน่ะค่ะ  จะได้ไม่ต้องตื่นแต่เช้ามากนัก แล้วก็ไม่ต้องเจอรถติดด้วยค่ะท่าน”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์พยักหน้ารับรู้ ถึงว่าซิ มาทำงานแต่เช้าทุกวัน ที่แท้ก็อยู่ใกล้ๆ กับออฟฟิตนี่เอง มิน่าล่ะ เวลาเลิกงานเลยไม่เห็นต้องรีบกลับบ้านเหมือนคนอื่นเขา เด็กคนนี้ฉลาดจริงๆ ตอนเรียนก็อยู่ใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัย พอทำงานก็ย้ายมาอยู่ใกล้ๆ ออฟฟิต ประหยัดค่ารถแล้วก็ประหยัดเวลาด้วย เยี่ยมไปเลย

แล้วเขาก็หันกลับไปมองถนนต่อ

จนกระทั่งมาถึงหน้าอพาร์ทเม้นต์อันเป็นที่พักของพิมพิราซึ่งเป็นอาคารขนาดกลางสูง 8 ชั้น บรรยากาศโดยรอบก็พอใช้ได้ไม่พลุ่กพล่านเกินไป พิมพิรารีบไหว้ขอบคุณท่านประธาน “ขอบคุณค่ะท่านที่กรุณามาส่ง”

แล้วเธอก็หันไปไหว้นพ “ขอบคุณค่ะน้านพ”

จากนั้นเธอก็รีบเปิดประตูรถ ก้างลงจากรถอย่างรวดเร็ว แล้วหันไปไหว้ท่านประธานอีกครั้ง “ราตรีสวัสดิ์ค่ะท่าน”

“ราตรีสวัสดิ์ครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ลดกระจกลงตอบพร้อมกับยิ้มให้ แล้วเขาก็กดปุ่มเลื่อนกระจกปิด แล้วนพก็ขับรถออกไป พิมพิรายืนรอส่ง

จนกระทั่งรถเจ้านายพ้นประตูรั้วอพาร์ทเม้นต์ไปแล้ว เธอจึงเดินขึ้นห้องพักของตัวเองซึ่งอยู่ชั้นที่ 3 โดยไม่ใช้ลิฟท์เป็นการออกกำลังกายไปในตัวแล้วแถมยังช่วยลดภาวะโลกร้อนอีกด้วย

พิมพิราทำงานจนครบกำหนดทดลองงาน 3 เดือน ฝ่ายบุคคลก็ทำเรื่องบรรจุเข้าเป็นพนักงานประจำของบริษัท ท่ามกลางความยินดีของใครหลายๆ คน โดยเฉพาะหนุ่มๆ ที่มาจีบพิมพิรา แต่ข่าวนี้กลับสร้างความไม่พอใจให้กับจิตตรียิ่งนัก เพราะเธอเกลียดพิมพิราที่คอยเป็นก้างขวางคอทำให้เธอไม่มีโอกาสที่จะอยู่ตามลำพังกับพลเอกณรงค์ฤทธิ์เลย เธอจึงเพียรพยายามหาทางที่จะเขี่ยพิมพิราออกจากบริษัทให้ได้

ก็อุตส่าห์โล่งใจว่านังโชติรสลาคลอดแล้วเชียว เธอก็หมดเสี้ยนหนามที่คอยเป็นก้างขวางคอยามที่เธอไปพบคุณพี่ที่บริษัทแล้วแท้ๆ แต่พอมาเจอนังเลขาคนใหม่ที่มาทำงานแทน เธอก็แทบอกแตกตาย ก็แทนที่นังเลขาคนใหม่มันจะยอมเปิดทางให้เธอ มันดันเสือกทำตัวเป็นก้างชิ้นโตอีกคน อย่างนี้มันก็ต้องเจอกันหน่อยล่ะ!

“นี่เธอรู้รึป่ะ เขาลือกันให้แซดว่าเลขาคนใหม่ของท่านประธานอ่ะนะคิดจะรวยทางลัดด้วยการเอาเต้าไต่แทนไต่เต้านะเธอ”

“ต๊ายหล่อน! ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนมายะถึงเพิ่งจะรู้เนี่ย เขารู้กันทั้งออฟฟิตแล้วล่ะย่ะหล่อนว่าชีคนนี้อ่ะนะเห็นหน้าใสๆ อย่างนั้นก็เหอะขอบอกว่าชีแร๊งงง…เมื่อวานนี้ตอนเลิกประชุมแล้วอ่ะนะเผอิญว่าเดี้ยนลืมแฟ้มไว้ในห้องประชุมเดี้ยนก็เลยกลับไปเอา แต่พอเดี้ยนเปิดประตูเข้าไปเท่านั้นแหละพวกหล่อนรู้ไหมว่าเดี้ยนเห็นอะไร…”

สมชายกระเทยร่างยักษ์ฝ่ายโฆษณาเล่าแล้วแกล้งเว้นจังหวะเอาไว้ บรรดาขาเม้าส์จึงแทบอยากจะเขย่าตัวสมชายให้เล่าต่อด้วยความอยากรู้ “ก็แล้วหล่อนเห็นอะไรล่ะยะ?”

“แหม…เดี้ยนอ่ะนะแทบอยากจะร้องกรี๊ดให้ลั่นออฟฟิตเลยแหละย่ะ เดี้ยนเห็นชีกำลังคุกเข่าทำ…”  สมชายไม่พูดแต่ชูมือตัวเองขึ้นมาแล้วกำมือไว้เหลือแต่นิ้วกลางขึ้นมา แล้วเขาก็ทำท่าอมรูดนิ้วตัวเองโชว์ให้บรรดาขาเม้าส์ดู แล้วเขาก็รีบเม้าส์ต่อว่า “ชีกำลังทำ…ให้ท่านประธานอยู่น่ะซิ”

บรรดาขาเม้าส์ต่างกรี๊ดวี๊ดว๊ายกันเป็นแถว “ต๊าย! ไม่อยากจะเชื่อว่าชีช่างกล้าขนาดนั้น”

“แล้วพอชีเห็นหล่อนแล้วชีทำยังไงล่ะยะ?” ขาเม้าส์บางคนถามขึ้นมา สมชายก็รีบเม้าส์ต่อทันทีว่า “จะทำหน้ายังไงล่ะยะ เดี้ยนก็เห็นชีทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วก็ลุกขึ้นยืนเฉยน่ะซิย่ะ ส่วนท่านประธานก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนกันนั่นแหละย่ะหล่อน”

“ต๊าย…ตาย ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ นะเนี่ย” ขาเม้าส์บางคนพูดขึ้นมา สมชายก็รีบพูดพร้อมกับออกท่าออกทางเต็มที่ “ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะย่ะ เดี้ยนเห็นเต็มสองตาจนตาแทบจะเป็นกุ้งยิง นี่ขนาดในห้องประชุมนะชียังกล้า แล้วลองคิดดูซิย่ะว่าในห้องทำงานท่าน ชีจะขนาดไหน เห็นชีเดินหายเข้าไปในห้องท่านเวลาท่านเข้ามาทำงานตั้งนานสองนาน เดี้ยนว่าชีคงจะเอาเต้าไต่ทำงานให้ท่านจน…แหกไปถึงไหนต่อไหนแน่ๆ เลยล่ะย่ะ”

แล้วสมชายก็แกล้งดูนาฬิกาบนข้อมือตัวเอง “ต๊าย…ตาย เดี้ยนต้องรีบไปแล้วล่ะ เดี้ยนยังไม่ได้เอาบอร์ดโฆษณาตัวใหม่ไปให้ผู้จัดการเลย ป่านนี้ฮีคงรอเดี๊ยนแย่แล้วแน่ๆ เลย เดี้ยนไปก่อนล่ะย่ะ”

แล้วเขาก็รีบเดินจ้ำแยกตัวออกไปทันที พอคล้อยหลังบรรดาขาเม้าส์แล้วสมชายก็รีบโทรหาจิตตรี พอปลายสายรับสาย เขาก็รีบบอกว่า “อรุณสวัสดิ์ฮ่ะคุณจิตตรีฮ้า สมชายจัดการตามที่คุณจิตตรีสั่งเรียบร้อยแล้วนะฮ่ะ”

“ดีมากสมชาย ถ้านังเลขาคนใหม่ของคุณพี่มันลาออกไปได้เมื่อไหร่ชั้นจะโป๊ะรางวัลให้หล่อนอย่างงามเลยล่ะ” จิตตรีเอ่ยชมพลางยิ้มเหี้ยมๆ สมชายรีบประจบว่า “คุณจิตตรีไม่ต้องห่วงหรอกฮ่ะ รับรองว่ามันจะต้องรีบลาออกเร็วๆ นี้แน่นอนฮ้า”

“ชั้นก็ขอให้มันเป็นอย่างที่หล่อนพูดจริงๆ เถอะย่ะ กลัวแต่ว่าหล่อนจะแค่ราคาคุยนะซิยะ”

สมชายรีบรับประกันอย่างแข็งขัน “โถมือชั้นนี้แล้วมีหรือจะพลาดล่ะฮ้าคุณจิตตรี สมชายรับรองว่านังพิมพิรามันจะต้องถูกใครๆ ในออฟฟิตมองว่ามันแรดมันร่านยิ่งกว่าอีตัวอีกนะฮ้า มันจะต้องอับอายขายหน้าจนทนไม่ไหวลาออกไปแน่ๆ ฮ้า”

“ชั้นก็ขอให้มันเป็นอย่างที่หล่อนพูดล่ะกัน แล้วนี่วันนี้คุณพี่เข้าบริษัทหรือเปล่ายะ?” จิตตรีถาม สมชายรีบตอบเอาหน้า “เห็นว่าไม่เข้าฮ้าคุณจิตตรี”

“งั้นก็แค่นี้แหละย่ะ” แล้วจิตตรีก็วางสายไปทันที สมชายจึงได้แต่แอบด่าฝากลมไปเท่านั้นเอง “หนอย! อีแก่หนังเหี่ยวจะขอบใจซักนิดก็ไม่มี”

หลังจากนั้นไม่นานเรื่องของพิมพิราก็กลายเป็นทอคออฟเดอะทาวน์ไปทั้งบริษัท พิมพิราถูกเม้าส์ซุบซิบนินทาใส่สีตีไข่กันไปทั่วว่าเธอจ้องจะจับเจ้านายเพื่อความสบาย

ภายในห้องอาหารของบริษัท พิมพิรากับสมศรีกำลังมองหาโต๊ะนั่งกันอยู่ พอสมศรีเห็นมีโต๊ะว่างริมหน้าต่างเธอรีบบอกพิมพิราว่า “น้องพะพิมคะ ตรงนู้นมีโต๊ะว่างอยู่แน่ะค่ะ เดี๋ยวน้องพะพิมไปนั่งจองไว้ก่อนนะคะ วันนี้คนเยอะจังค่ะ เดี๋ยวพี่ตามไปนะคะ”

“ค่ะพี่สมศรี” พิมพิรารับคำแล้วก็เดินไปที่โต๊ะ สมศรีก็หันไปสั่งแม่ค้าว่า “ข้าวอบสัปปะรดจานนึงแล้วก็กะเพราหมูไข่เจียวอีกจานค่ะ”

เธอสั่งเสร็จแล้วก็เดินไปซื้อน้ำต่อ พิมพิราเดินไปถึงโต๊ะตัวที่ว่างอยู่แต่เก้าอี้เหลืออยู่ตัวเดียว เธอจึงหันไปมองหาเก้าอี้มาเพิ่มอีกตัว

“ขอโทษค่ะ เก้าอี้ตัวนี้มีใครนั่งหรือเปล่าคะ” เธอถามพนักงานฝ่ายการเงินที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะข้างๆ ซึ่งพวกนั้นนั่งกันอยู่สามคนและมีเก้าอี้เหลืออยู่อีกตัว ทั้งสามหันมามองพิมพิราด้วยสายตาเหยียดหยาม แล้วเกศเกล้าหนึ่งในนั้นก็พูดกับพิมพิราด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นสะบัดสะโบกว่า “เก้าอี้ตัวนี้ไม่ว่างหรอกนะพิมพิราไลย”

เธอจงใจเพิ่มพยางค์ให้แล้วเน้นอย่างสะใจ แล้วเธอก็พูดต่อว่า “พวกชั้นจะเอาไว้วางกระเป๋าน่ะ”

จากนั้นทั้งสามก็เอากระเป๋าถือของตัวเองมาวางไว้บนเก้าอี้อย่างจงใจแกล้ง สมศรีซึ่งถือถาดอาหารมาถึงพอดี ทันได้ยินที่เกศเกล้าพูดกับพิมพิรา เธอรีบวางถาดอาหารลงบนโต๊ะแล้วหันไปพูดกับเกศเกล้าว่า “นี่ยัยเกศเกล้า พวกหล่อนไม่คิดจะมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เลยรึไงยะ ก็เห็นๆ อยู่ว่าวันนี้คนแน่นไปหมดจนแทบจะไม่มีที่นั่งอย่างนี้ พวกหล่อนยังจะเห็นแก่ตัวไม่แบ่งเก้าอี้ให้คนอื่นเขานั่งบ้างรึไงยะ”

เธอจงใจพูดเสียงดังให้คนอื่นๆ ได้ยินด้วย เกศเกล้าหน้าซีดทันควันเพราะรู้ดีว่าสมศรีนั้นปากจัดขนาดไหน เธอรีบหยิบกระเป๋าถือของพวกตนออกแล้วรีบเลื่อนเก้าอี้ส่งให้สมศรีทันที “เปล่านะคะพี่สมศรีใครจะกล้าแล้งน้ำใจกับพี่ล่ะคะ”

“ก็เมื่อกี้หล่อนเพิ่งจะบอกกับน้องพะพิมอยู่แหม็บๆ ว่าหล่อนจะเอาเก้าอี้ไว้วางกระเป๋า” สมศรีใส่แบบไม่ให้ตั้งตัว จนเกศเกล้าต้องรีบแก้ตัวว่า “พวกเราก็แค่ล้อพิมพิราไลยเล่นเท่านั้นเองค่ะพี่สมศรี”

“งั้นก็แล้วไปย่ะ” สมศรีสะบัดหน้าใส่แล้วก็รีบพูดต่อว่า “แล้วนี่ยัยเกศเกล้าหล่อนไม่ต้องมาเพิ่มชื่อให้น้องพะพิมเขาหรอกนะย่ะ ชื่อเขาพ่อแม่ตั้งให้มาแค่สามพยางค์หล่อนไม่ต้องมาเพิ่มให้เขาเป็นสี่พยางค์หรอกนะย่ะแม่เกศเกล้าเกศกระจุย!”

เธอพูดแล้วก็ดึงเก้าอี้ไปที่โต๊ะตัวเองโดยไม่สนใจว่าคนอื่นๆ ที่ได้ยินจะคิดเช่นไร ซึ่งบางคนก็แอบหัวเราะคิกคักที่เกศเกล้าอยู่ดีไม่ว่าดีดันไปหาเรื่องให้ถูกสมศรีด่า สมน้ำหน้า! เหอๆๆๆ…

“ฮึ!” เกศเกล้ากับเพื่อนสาวอีกสองคนจึงรีบลุกจากโต๊ะไปทันที ส่วนพิมพิรานั้น ทันทีที่สมศรีลากเก้าอี้มานั่ง เธอก็รีบนั่งลงพูดกับสมศรีว่า “พี่สมศรีคะ เขาแค่ล้อเล่นนิดๆ หน่อยๆ เองนะคะ พี่ไม่น่าไปว่าเขาแรงๆ อย่างนั้นเลยค่ะ ดูซิคะคนอื่นมองกันใหญ่เลย”

“นี่น้องพะพิมคะ แค่นั้นพี่ว่ามันยังน้อยไปด้วยซ้ำค่ะ พวกนั้นจงใจแกล้งน้องพะพิมชัดๆ แถมยังมาเรียกน้องพะพิมว่าพิมพิราไลยอีก แม่พวกนั้นตั้งใจที่จะว่าน้องพะพิมว่าเป็นนางวันทองนะคะ แล้วเรื่องอะไรจะปล่อยให้เขามาว่าฝ่ายเดียวล่ะคะน้องพะพิม อย่าไปใส่ใจเลยค่ะว่าใครจะมองยังไง พี่ว่าเรารีบกินข้าวเถอะค่ะ พี่หิวจะแย่แล้วล่ะค่ะ”

แล้วสมศรีก็ก้มหน้าก้มตาทานข้าวอบสัปปะรดของเธออย่างเอร็ดอร่อย พิมพิราก็รีบก้มหน้าก้มตาทานข้าวทั้งๆ ที่รู้สึกอายแทบแย่ที่จู่ๆ ก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งห้องอาหาร แถมพวกเขายังมองมาที่เธอด้วยสายตาแปลกๆ แล้วก็หันไปซุบซิบนินทาหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างสนุกปาก

หลังจากกินข้าวเสร็จพิมพิราก็ถามสมศรีว่า “พี่สมศรีคะ ค่าข้าวของพะพิมเท่าไหร่คะ?”

“รวมน้ำด้วยทั้งหมดก็ 50 บาทค่ะน้องพะพิม” สมศรีตอบอย่างไม่ต้องคิดนาน พิมพิราเปิดกระเป๋าสตางค์หยิบแบงค์ห้าสิบส่งให้พร้อมกับกล่าวขอบคุณ “นี่ค่ะพี่สมศรี ขอบคุณนะคะ”

“ไม่เป็นไรค่ะน้องพะพิม” สมศรีบอกพร้อมกับรับเงินจากพิมพิรามาใส่กระเป๋าตัวเอง แล้วยื่นหน้าไปใกล้ๆ จากนั้นก็กระซิบพอให้ได้ยินกันสองคนว่า “เอ…ทำไมวันนี้คนอื่นๆ เขามองเราด้วยสายตาแปลกๆ จังค่ะ ชุดพี่มันขาดตรงไหนหรือเปล่าคะน้องพะพิม?”

Chapter 5

ลือกันทั่วออฟฟิต

“ไม่นี่คะพี่สมศรี เสื้อผ้าหน้าผมของพี่ก็ปกตินะคะ เอ๋…หรือว่าของพะพิมคะ?” พิมพิราก้มลงมองตัวเองใหญ่ สมศรีช่วยมองสำรวจแล้วก็ตอบว่า “ก็ไม่มีนะคะน้องพะพิม ของน้องพะพิมก็ปกติดีทุกอย่าง แล้วนี่เขามองอะไรกันนักหนาเนี่ย เดี๋ยวน้องพะพิมรอพี่แป๊บนะคะ”

เธอบอกแล้วก็ลุกไปทันที ทิ้งให้พิมพิรานั่งรออยู่ที่โต๊ะ สมศรีเดินไปหาสาว ‘จอย’ สุดสวยประจำฝ่ายประชาสัมพันธ์ซึ่งกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่กับนิดเพื่อนหญิงแผนกเดียวกัน

“สวัสดีค่ะน้องจอย น้องนิด” สมศรีทักพร้อมกับยิ้มให้

“สวัสดีค่ะพี่สมศรี” จอยสาวประเภทสองทักทายตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม นิดซึ่งเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นานยังไม่สนิทสนมกับสมศรีจึงเพียงแค่ยกมือไหว้พร้อมกับกล่าวทักทายตามมารยาทว่า “สวัสดีค่ะ”

สมศรีรับไหว้แล้วก็นั่งข้างจอย

“น้องจอยคะ พี่ล่ะสงสัยจริงๆ ค่ะว่าคนอื่นๆ เขาเป็นอะไรกันคะ ทำไมเขามองพี่กันแปลกๆ แบบนี้ล่ะคะ?” เธอถามจอยเบาๆ จอยเลยดึงสมศรีเข้าไปจนชิดแล้วพูดเบาๆ ว่า “คนอื่นเขาไม่ได้มองพี่สมศรีกันหรอกค่ะ เขามองเลขาท่านประธานต่างหากค่ะ พี่สมศรีถามแบบนี้แสดงว่าพี่ยังไม่รู้แน่ๆ เลยใช่ไหมคะ?”

“รู้อะไรล่ะคะน้องจอย?” สมศรีย้อนถามอย่างงงๆ ปนอยากรู้อยากเห็น จอยเลยรีบเม้าส์ให้ฟังอย่างคันปาก “ก็ตอนนี้เขาลือกันไปทั่วแล้วล่ะค่ะว่ามีคนเห็นเลขาท่านประธานกำลังเล่นจ้ำจี้กับท่านประธานในห้องประชุมเมื่อวานนี้น่ะค่ะ”

จากแค่ ‘อมนกเขา’ ถูกเม้าส์กันไปเม้าส์กันมาจนกลายเป็นจ้ำจี้ไปซะแล้ว ดั่งเช่นที่เขาว่าพูดกันปากต่อปากจริงๆ

“ต๊าย! อกอีแป้นแตก! จริงเหรอคะเนี่ย” สมศรีตกใจอุทานลั่นตาเบิกกว้าง ดีกรีความอยากรู้พุ่งปรี๊ดเต็มประดา

“ก็จริงซิคะพี่สมศรี เขาลือกันให้แซดเลยล่ะค่ะ ไม่น่าเชื่อนะคะเห็นหน้าใสๆ ซื่อๆ อย่างนั้นจะกล้าขนาดนั้นน่ะค่ะ” จอยพูดแล้วก็หันไปมองพิมพิรา สมศรีตั้งสติได้ เธอก็รีบถามว่า “แล้วใครเป็นคนเห็นคะน้องจอย? เห็นยังไง? เห็นที่ไหน? เห็นเมื่อไหร่? น้องจอยช่วยเล่าให้พี่ฟังอย่างละเอียดยิบเลยนะคะ”

“เห็นเขาว่านังหมีควายฝ่ายโฆษณาเป็นคนเห็นแล้วก็เอามาเม้าส์ให้ฟังน่ะค่ะ เขาว่านังหมีควายมันว่า ว่าเมื่อวานตอนเย็นหลังเลิกประชุม แล้วมันลืมของไว้ในห้องประชุม มันก็เลยกลับไปเอา พอเปิดประตูเข้าไปเท่านั้นล่ะค้า มันก็เลยเห็นเต็มๆ เลยล่ะค่ะว่าท่านประธานกำลังจ้ำจี้กับคุณเลขากันป๊าบๆ สนั่นห้องประชุมเลยค่ะพี่สมศรี แหมพูดแล้วก็จั๊กกะจี้ปากจังค่ะ มันบอกว่าคุณเลขาเสื้อผ้างี้หลุดลุ่ยไม่เหลือซักชิ้น กำลังขึ้นขย่มให้ท่านบนโต๊ะประชุมเลยล่ะค่ะ” จอยเล่าไปก็ทำมือทำไม้ประกอบไปด้วยพร้อมกับบุ้ยปากไปทางพิมพิราเป็นระยะๆ “ตอนนี้เขาก็เลยเอามาเม้าส์กันสนั่นเป็นทอคออฟเดอะทาวน์เลยค่ะพี่สมศรี จอยไม่คิดเลยนะคะว่าคุณเลขาจะกล้าขนาดนั้น นี่คงจะอยากรวยทางลัดล่ะมั้งคะ ก็เลยคิดจะจับท่านประธานซะเลย สงสัยว่าคงจะจุดๆๆ กับท่านตั้งแต่เริ่มทำงานแล้วล่ะมั้งคะพี่สมศรี”

สมศรีได้ยินได้ฟังแล้วอยากจะเป็นลม เพราะเธอก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าท่านประธานจะกลายเป็นพวกโคแก่กินหญ้าอ่อนไปได้ แต่ก็อย่างว่าแหละ เลขาสาวกับเจ้านายมันมีตัวอย่างให้เห็นถมเถไป แล้วอีกอย่างพิมพิราก็เป็นผู้หญิงที่สวยมาก สวยขนาดจับส่งประกวดนางงามได้อย่างสบายๆ พอได้ฟังแล้วเธอก็รีบขอตัวทันที “ขอบใจนะคะน้องจอย งั้นพี่ขอตัวก่อนล่ะคะ”

“ค่ะพี่สมศรี” จอยยกมือไหว้ นิดก็ยกมือไหว้ตาม แล้วสมศรีก็รีบเดินกลับไปหาพิมพิราที่โต๊ะด้วยจิตใจร้อนรุ่มกระวนกระวายสอดรู้สอดเห็น อยากจะรู้ความจริงจากปากคนตกเป็นข่าวจนอกแทบระเบิด

“น้องพะพิมคะเราไปกันเถอะค่ะ” สมศรีคว้าแขนพิมพิราให้เดินตามเธอไปทันที พิมพิรารู้สึกงงที่จู่ๆ สมศรีก็มีท่าทางแปลกๆ “พี่สมศรีคะจะรีบไปไหนคะ?”

“รีบกลับไปทำงานซิคะน้องพะพิม” สมศรีบอกพร้อมกับเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น พิมพิราจึงได้แต่เดินตามสมศรีไป

จนกระทั่งถึงโต๊ะทำงานของพิมพิรา ซึ่งค่อนข้างเป็นส่วนตัวไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาได้ยินเพราะอยู่ห่างจากโต๊ะทำงานของคนอื่นมาก สมศรีก็หันไปทำตาซอกแซกอยากรู้อยากเห็น “น้องพะพิมคะ รู้ไหมคะว่าตอนนี้เขาเม้าส์กันให้แซดเรื่องที่น้องพะพิมเอ่อ…เอ่อ…เรื่องของน้องพะพิมกับท่านในห้องประชุมเมื่อวานนี้น่ะค่ะ”

“อะไรคะพี่สมศรี? เรื่องของพะพิมกับท่านในห้องประชุมเมื่อวานนี้ พี่สมศรีพูดเรื่องอะไรคะเนี่ย?” พิมพิรางงไม่เข้าใจว่าสมศรีหมายถึงอะไร?

“ก็เรื่องน้องพะพิมกับท่านในห้องประชุมเมื่อวานนี้ซิคะ อย่ามาปิดกันเลยค่ะตอนนี้เขารู้กันทั้งออฟฟิตแล้วล่ะค่ะ แหมที่หนุ่มๆ มารุมจีบแล้วน้องพะพิมไม่สนก็เพราะอย่างนี้นี่เอง แล้วนี่น้องพะพิมแอบไปกุ๊กกิ๊กๆ กับท่านตอนไหนคะเนี่ยไม่เห็นเล่าให้พี่ฟังมั่งเลย” สมศรีทำตาซอกแซกๆ พิมพิราได้แต่ยืนงงสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก “พี่สมศรีพูดเรื่องอะไรคะเนี่ย? กุ๊กกิ๊กๆ กับท่านอะไรกันคะ?”

สมศรีเข้าใจว่าพิมพิราเขินจนไม่กล้าเล่า เธอจึงตัดบทว่า “เอาเถอะค่ะพี่ไม่ถามแล้วล่ะ พี่ไปทำงานดีกว่าค่ะ”

แล้วเธอก็เดินจากไปทิ้ง ให้พิมพิรายืนงงอยู่อย่างนั้น “อะไรของพี่สมศรีง่ะ?”

ใครต่อใครในบริษัทต่างพากันมองพิมพิราแล้วก็ซุบซิบนินทาลับหลังอย่างสนุกปาก ส่วนบรรดาหนุ่มๆ ที่เข้ามารุมจีบพิมพิราต่างก็พากันคิดไปต่างๆ นานา แม้ว่าจะมีบางคนที่ไม่เชื่อข่าวลือ ดังเช่น ‘ชัยชนะ’ หนุ่มหล่อมาดแมนหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ “น้องพะพิมครับเที่ยงนี้ไปกินข้าวด้วยกันนะครับ”

พิมพิราเงยหน้าจากจอคอมฯ ส่งยิ้มให้ แล้วก็ปฏิเสธอย่างบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นว่า “ขอโทษนะคะคือว่าพะพิมยังทำงานไม่เสร็จเลยค่ะ แล้วพะพิมก็ฝากเขาไปซื้อข้าวให้แล้วล่ะค่ะ ขอบคุณนะคะที่ชวน”

สมศักดิ์เพื่อนสนิทในแผนกเดียวกันกับชัยชนะตบบ่าเพื่อนแล้วก็พูดว่า “ไอ้นะเอ็งอย่าไปชวนให้เสียเวลาเลยว่ะ คุณพิมพิราเขาไม่แลเอ็งหรอก สวย เริ่ด เชิด หยิ่งอย่างเขาต้องรวยๆ มีเงินเป็นร้อยเป็นพันล้านอย่างท่านประธานนู้น ไว้เอ็งรวยอย่างท่านประธานเมื่อไหร่เอ็งค่อยเสนอหน้ามาจีบเขาเถอะว่ะ รับรองว่าเขาจะรีบแบให้จนเอ็งแก้ผ้าแทบไม่ทันเลยล่ะโว้ย”

พิมพิราหน้าร้อนฉ่า รู้สึกโกรธและอายที่จู่ๆ ก็ถูกคนอื่นพูดจาดูถูกเหน็บแนมด้วยคำพูดที่ทำให้รู้สึกโกรธจนอยากจะตบคนพูดให้หน้าหัน เพี๊ยะ!ๆๆๆ

แต่ก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไรให้คนปากเสียได้เจ็บๆ คันๆ กลับไปบ้าง พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็เดินเข้ามาพอดีพร้อมกับคนขับรถ

“คุณพะพิมครับรายงานยอดขายประจำเดือนได้หรือยังครับ ถ้าได้แล้วเอามาให้ผมเดี๋ยวนี้เลยนะครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์บอกกับเลขา แต่สายตามองไปที่พนักงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่ชื่อสมศักดิ์ด้วยสายตาดุๆ จนสมศักดิ์ไม่กล้าสบตาด้วยรีบก้มหน้าหลบตาแทบไม่ทัน ‘จ๊าก!…ปากพาซวยแล้วซิกู’

ท่านประธานเดินผ่านชัยชนะและสมศักดิ์เข้าห้องทำงานไป นพถือกระเป๋าตามเข้าไปติดๆ พิมพิราหันไปจิกตามองสมศักดิ์อย่างไม่พอใจ แล้วก็พูดว่า “น้ำหน้าอย่างคุณต่อให้รวยล้นฟ้าดิฉันก็ไม่แลให้เป็นเสนียดกับตัวหรอกค่ะ เพราะใจสกปรกปากสกปรกคิดได้แต่เรื่องต่ำๆ แบบนี้หาความเจริญได้ยากจริงๆ ค่ะ”

แล้วเธอก็หันไปพูดกับชัยชนะว่า “ขอตัวก่อนนะคะ”

เธอคว้าแฟ้มงานเดินไปเคาะประตูห้อง โดยไม่หันไปมองทั้งสองคนแม้แต่นิดเดียว ชัยชนะหน้าจ๋อย แล้วก็ลากเพื่อนออกไปต่อว่า “เพราะแกทีเดียวไปว่าน้องพะพิมเขาแบบนั้น ดูซิเขาเลยโกรธกูไปด้วยเลยเห็นไหม”

สมศักดิ์หน้าจ๋อย ไม่ได้จ๋อยเพราะถูกเพื่อนต่อว่า แต่จ๋อยเพราะกลัวท่านประธานจะเอาเรื่องมากกว่า ‘กูจะตกงานไหมวะ!’

พิมพิราวางแฟ้มลงบนโต๊ะ “สวัสดีค่ะท่าน”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองหน้าเลขาแล้วก็สั่งว่า “คุณพะพิม เดี๋ยวช่วยเรียกคุณนิชานันท์มาพบผมด้วยนะครับ”

“ค่ะท่าน” พิมพิรารับคำ แล้วก็เดินออกไปที่โต๊ะของเธอ กดโทรศัพท์ไปยังแผนกกฎหมายซึ่งนิชานันท์ทำงานอยู่ กริ๊ง…กริ๊ง…กริ๊ง…

นพเดินไปนั่งเล่นรอแถวๆ โต๊ะพิมพิราทันทีหลังจากวางกระเป๋าให้เจ้านายแล้ว

ไม่นานนัก นิชานันท์เลขาผู้จัดการฝ่ายกฎหมายก็มาพบท่านประธานตามคำสั่ง

“สวัสดีค่ะท่าน”  นิชานันทร์ยกมือไหว้ ใจเต้นตึกๆ เพราะไม่รู้ว่าท่านประธานเรียกพบด้วยเรื่องอะไร?

“เชิญนั่งครับคุณหนิง” พลเอกณรงค์ฤทธิ์สั่ง นิชานันท์รีบนั่งลงทันที

“คุณหนิงครับที่ออฟฟิตมีอะไรหรือเปล่าครับ? ทำไมคนในออฟฟิตถึงมีท่าทีแปลกๆ ล่ะครับ? พอผมเดินผ่าน พวกเขาก็มองผมแล้วก็แอบซุบซิบๆอะไรกันก็ไม่รู้” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ถามตาก็จ้องมองลูกน้องเขม็ง

“เอ่อ…เอ่อ…คือว่า…เอ่อ…”

‘โอ้ย! จะพูดยังไงล่ะเนี่ย!?’ นิชานันท์อึกๆ อักๆ ไม่รู้จะบอกยังไงดี ถึงเธอจะทำหน้าที่เป็นหูเป็นตา คอยรายงานความเคลื่อนไหวต่างๆ ในบริษัทให้ท่านประธานทราบ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่แค่ไหนเธอก็จะพูดเป็นต่อยหอยให้ท่านได้รับรู้ แต่เรื่องนี้เธอจะกล้ารายงานได้ยังไงล่ะ? แค่คิดก็กระดากปากแล้ว!

พลเอกณรงค์ฤทธิ์จ้องเขม็ง “มีอะไรก็พูดมาเถอะครับคุณหนิง”

นิชานันท์สบตาท่านประธาน แล้วสูดลมหายใจเฮือกใหญ่รวบรวมกำลังใจ ‘เอาวะอีหนิง  สู้โว้ย!’

“คือว่าตอนนี้ที่ออฟฟิต เขาพูดกันให้แซดเรื่องที่ท่านกับน้องพะพิมจ้ำจี้กันในห้องประชุมเมื่อวันก่อนน่ะค่ะ”

“อะไรนะคุณหนิง!?” พลเอกณรงค์ฤทธิ์อุทานลั่นห้อง เขาตกตะลึง! อึ้งไปเลย นิชานันท์รีบพูดต่อว่า “คือมีคนเห็นตอนที่ท่านเล่นจ้ำจี้กับน้องพะพิมในห้องประชุมเมื่อวันก่อนน่ะค่ะ ตอนนี้เขาก็เลยเม้าส์กันไปทั่วทั้งออฟฟิตแล้วล่ะค่ะท่าน”

เธอพูดแล้วก็ก้มหน้าหลบตา ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ

“โอ้ยตาย! จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว ผมไม่เคยทำอย่างนั้นเลยนะ แล้วนี่มันมีข่าวแบบนี้ออกไปได้ยังไงเนี่ย? ใครเป็นคนปล่อยข่าวกันนะ!?  ชื่อเสียงผมป่นปี้หมด!” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ฮึดฮัดโกรธจนหน้าเขียว ที่จู่ๆ ก็มีข่าวคาวๆ น่าบัดสีปล่อยออกมาทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว

“มิน่าล่ะ! นายสมศักดิ์ถึงได้พูดจาดูถูกคุณพะพิมอย่างงั้น” ดวงตาคมเข้มของเขาวาวโรจน์ ‘เอ็งเตรียมแป๊กได้เล้ย!’

นิชานันท์ไม่กล้าสบตาด้วย ‘ต๊าย…ตาย! ทำงานที่นี่มาเป็นสิบๆ ปีเพิ่งจะเห็นท่านโกรธก็วันนี้แหละ น่ากลัวจัง!’

“คุณหนิง คุณไปหาตัวคนปล่อยข่าวบ้าๆ นี้มาให้ได้โดยเร็วที่สุด! คุณไปได้แล้ว ขอบคุณมากครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์เค้นเสียงสั่งซะจนนิชานันท์กลัวจนหัวหด ‘งานนี้ไอ้คนปล่อยข่าวมันไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดแน่ๆ อยู่ดีไม่ว่าดีเสือกมากระตุกหนวดเสือซะได้ ตั้งแต่ทำงานมาก็เพิ่งจะเคยเห็นท่านโกรธจัดก็คราวนี้แหละ มันเป็นใครกันนะเสือกหาเรื่องให้ดวงกุดซะแล้ว เหอๆๆๆ…’

“ค่ะท่าน” นิชานันท์รับคำแล้วเธอก็รีบออกไปโดยเร็ว ใครจะกล้าอยู่ล่ะ ท่านดูน่ากลัวซะขนาดนั้น

เมื่อนิชานันท์ไปแล้ว พิมพิราก็นึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้ชงกาแฟให้ท่านเลย เธอเคาะประตูห้อง “ขออนุญาตค่ะท่าน”

“เชิญครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์บอกแล้วก็หมุนเก้าอี้หันหลังไปมองดูรูปภาพที่แขวนข้างหลังอย่างพยายามสะกดกลั้นความโกรธ พิมพิราเปิดประตูเดินเข้าไป เธอรีบตรงไปที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม จัดการชงกาแฟให้เจ้านายทันที “ท่านคะ กาแฟค่ะท่าน”

“ขอบคุณครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์หมุนเก้าอี้กลับไปแล้วยกกาแฟขึ้นดื่มหน้าตาถมึงทึง พิมพิรามองอย่างสงสัย “ท่านเป็นอะไรหรือเปล่าคะ? ทำไมวันนี้ท่านหน้าบึ้งจัง?”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองเลขาสาว พอสบตากับดวงตาหวานซึ้งซึ่งมีแววเป็นห่วง ใบหน้าถมึงทึงจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง “ผมกำลังโกรธที่มีคนปล่อยข่าวว่าผมจ้ำจี้กับคุณในห้องประชุมน่ะครับ ไม่รู้ว่าใครมันกุข่าวน่าบัดสีแบบนี้ออกมาได้ มันน่าจริงๆ! เจอตัวเมื่อไหร่เถอะ! ฮึ่ม!”

“อ๋อค่ะ” พิมพิราพยักหน้ารับรู้ น้ำเสียงราบเรียบสีหน้าเรียบเฉยซะจนพลเอกณรงค์ฤทธิ์นึกสงสัย “เอ๊ะ! มันยังไงกันครับคุณพะพิม เรื่องใหญ่ขนาดนี้คุณพูดแค่ว่า…อ๋อค่ะ…เท่านั้นเองเหรอครับ”

พิมพิรายิ้มพร้อมกับย้อนถามว่า “อ้าว แล้วท่านจะให้พะพิมพูดว่าอะไรล่ะคะ ก็ในเมื่อพะพิมรู้แล้วนี่คะ รู้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะค่ะท่าน”

แถมรู้ด้วยว่าใครเป็นคนปล่อยข่าว

‘คอยดูเถอะนังสมชายเดี๋ยวแม่จะเอาคืนให้หนักเล้ย!’ เธออาฆาตอยู่ในใจ พลเอกณรงค์ฤทธิ์เลยยิ่งสงสัยกับท่าทีที่ช่างนิ่งเฉยเย็นเป็นน้ำแข็งของเลขาสาว “แล้วคุณไม่โกรธเลยหรือครับที่มีคนปล่อยข่าวฉาวโฉ่ทั้งๆ ที่มันไม่เป็นความจริงเลยน่ะ”

พิมพิรายิ้มให้เจ้านาย “โกรธซิคะ พะพิมโกรธมากด้วยค่ะ แต่ถ้าพะพิมยิ่งเที่ยวไปพูดแก้ตัวกับใครๆ มันก็จะยิ่งไปกันใหญ่น่ะซิคะ ยิ่งแก้ตัวคนอื่นเขาก็จะยิ่งคิดว่ามันเป็นเรื่องจริงแน่ๆ ถึงได้ร้อนตัวจนต้องเที่ยววิ่งโร่ไปแก้ข่าว พะพิมก็เลยทำเฉยๆ ซะ เดี๋ยวเรื่องมันก็เงียบไปเองแหละค่ะ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ทึ่งในความคิดของเลขาสาวจนนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก ‘โอ๊ว…หล่อนเป็นแม่พระลงมาจุติหรือไงนะ’

“พะพิมรู้ว่าเขาเอาไปพูดกันว่าพะพิมทำออรัลให้ท่านในห้องประชุมหลังจากเลิกประชุมแล้ว พอพูดกันไปพูดกันมา ปากต่อปากจนกลายเป็นว่าพะพิมจ้ำจี้กับท่านในห้องประชุม แล้วท่านจะให้พะพิมแก้ข่าวยังไงล่ะคะในเมื่อจากที่ตอนแรกมันแค่อมนกเขา จนตอนนี้มันกลายเป็นจ้ำจี้กันสนั่นห้อง พะพิมก็เลยคิดว่าไม่พูดอะไรดีกว่าค่ะ” เธออธิบาย ใช้คำพูดเกี่ยวกับเรื่องเซ็กส์ด้วยสีหน้าเฉยๆ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ได้แต่คิดอยู่ในใจว่า ‘โอ้ว! แม่เจ้า! เห็นหน้าใสๆ เด็กๆอย่างนี้เถอะนะ ปากคอแม่คุณเลาะร้ายใช่ย่อยซะเมื่อไหร่ นี่ถ้าด่าใครล่ะก็…แสบบบบ…นักล่ะ  อา…อย่างนี้ต้องบอกว่าเวลาแม่เจ้าประคุณดีล่ะก็…หล่อนเหมือนพระแม่อุมาเทวีลงมาโปรดเลยนะ แต่อย่าให้คุณเธอร้ายขึ้นมาได้เชียวนะ…เจ้าแม่กาลีจำแลงลงมาเลยล่ะ…ฮึ่ม!’

“ท่านมีอะไรจะใช้พะพิมอีกรึเปล่าคะ?” พิมพิราถาม พลเอกณรงค์ฤทธิ์โบกมือ “ไม่มีแล้วล่ะครับ เชิญคุณไปทำงานต่อเถอะครับ”

“ค่ะท่าน” แล้วพิมพิราก็เดินออกไป เธอหมายใจว่าเดี๋ยวพอเลิกงานแล้วเธอจะเคลียร์กับนังสมชายให้รู้เรื่องไปเลย

จนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน พิมพิราก็เดินไปหาสมชายที่แผนก เธอมองหาแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา

“คุณสมชายอยู่ไหนคะ?” เธอถามเพื่อนร่วมแผนกของสมชาย

“กลับไปแล้วค่ะคุณพะพิม” พนักงานสาวตอบแล้วก็ถามว่า “คุณพะพิมมีธุระอะไรกับเจ้สมชายเหรอคะ?”

“ก็มีนิดหน่อยค่ะ” พิมพิราบอกแล้วก็เหลือบดูนาฬิกาแล้วก็ถามว่า “แล้วคุณมีที่อยู่ของคุณสมชายไหมคะ? พอดีว่าพะพิมมีธุระด่วนที่ต้องคุยกับเขาน่ะค่ะ”

“อ๋อ มีค่ะเดี๋ยวแก้วจดให้นะคะ” แก้วหันไปเปิดสมุดโน้ตแล้วก็จดที่อยู่ยิกๆ พอจดเสร็จเธอก็ยื่นให้พร้อมกับบอกว่า “แต่กว่าเจ้แกจะกลับบ้านก็ตีสองนู้นแหละค่ะ”

พิมพิรานึกสงสัย ยังไม่ทันจะถามแก้วก็รีบบอกว่า “คือเจ้แกไปรับจ๊อบแต่งหน้าให้กับคณะคาบาเร่ทุกคืนน่ะค่ะ กว่าแกจะกลับถึงบ้านก็ตีสองตีสามทุกคืนแหละค่ะ วันเสาร์วันอาทิตย์แกก็ไปรับจ๊อบอยู่ร้านเสริมสวย โอ๊ย แกทำงานหัวไม่วางหางไม่เว้นไม่ได้หยุดไม่ได้พักกับเขาหรอกค่ะ ภาระแกเยอะน่ะค่ะคุณพะพิม ทั้งแม่ทั้งหลานเจ้แกหาเลี้ยงอยู่คนเดียวน่ะค่ะ เอ่อ…แล้วคุณพะพิมมีธุระอะไรกับแกเหรอคะ? เรื่องงานรึเปล่าคะ? ให้แก้วโทรตามให้ไหมคะ?”

พิมพิราส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่ธุระส่วนตัวน่ะค่ะ ขอบคุณนะคะ”

แล้วเธอก็รับกระดาษแผ่นนั้นแล้วก็เดินจากไป แก้วมองตามแล้วก็หันไปเก็บของใส่กระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน “ล้า…ลัน…ลา…”

พิมพิรามองที่อยู่แล้วก็นึกถึงคำพูดของแก้ว เธอเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเองเก็บของหยิบกระเป๋าแล้วก็เดินไปกดลิฟท์ เย็นนี้เธอว่างเพราะท่านประธานกลับไปตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว เธอจึงตั้งใจว่าจะไปดูที่บ้านของสมชายซักหน่อย เธอเดินไปขึ้นรถไฟฟ้า จากรถไฟฟ้าก็ต่อด้วยรถเมล์ พอลงจากรถเมล์เธอก็เดินเข้าซอยไปอีกหน่อย ซอยนี้เธอเคยมาหาเพื่อนตอนสมัยเรียนอยู่จุฬาฯ ด้วยกัน เธฮจึงหาบ้านของสมชายเจออย่างไม่ยากนัก เธอยืนมองที่อยู่หน้าบ้านซึ่งเป็นทาวน์เฮ้าส์สองชั้น เธอเห็นมีคนอยู่ในบ้านจึงกดกริ่ง กริ๊ง…กริ๊ง…กริ๊ง…

สักพักก็มีเด็กผู้ชายอายุราวสิบสามปีออกจากบ้านมายืนมอง พิมพิรายิ้มให้เด็กคนนั้นแล้วก็ถามว่า “คุณสมชายอยู่ไหมจ๊ะ?”

“มาหาลุงสมชายเหรอครับ” เด็กชายถามพลางมองอีกฝ่ายอย่างระวังตัว ก็สมัยนี้มิจฉาชีพมันเยอะนี่นา

พิมพิราพยักหน้า “จ้ะ”

“ไม่อยู่หรอกครับ ถ้าพี่จะหาลุงชายต้องไปที่บาร์ครับ” เด็กชายบอก

“มาหาไอ้ชายเหรอคุณ มันไม่อยู่หรอกค่ะคุณ กว่ามันจะกลับก็ตีสามนู้นแหละค่ะ” หญิงสูงวัยเดินออกมาบอก พิมพิรายกมือไหว้ “สวัสดีค่ะคุณป้า”

แล้วเธอก็ถามว่า “แล้วบาร์ที่คุณสมชายทำงานอยู่ที่ไหนคะ?”

“เต้ ไปจดชื่อบาร์ให้คุณเขาหน่อยไป” หญิงสูงวัยสั่งหลานชาย

“ครับยาย” เต้รับคำแล้วก็เดินเข้าบ้านไป แม่ของสมชายหันไปยิ้มให้แขกที่มาหาลูกชาย “รอซักครู่นะคะคุณ”

แต่เธอก็ไม่คิดจะเชิญเข้าบ้านเพราะกลัวว่าจะเป็นพวกมิจฉาชีพ

“มาหาไอ้ชายมีธุระอะไรกับมันเหรอคะคุณ?” เธอถามพลางมองสำรวจอีกฝ่าย

“มีธุระกับคุณสมชายนิดหน่อยน่ะค่ะ” พิมพิราตอบพลางยิ้มให้ เต้เดินมาแล้วก็ยื่นกระดาษให้ “นี่ครับพี่ บาร์ที่ลุงชายทำงานครับ”

“ขอบใจนะจ๊ะ” พิมพิรารับมาแล้วก็ยิ้มให้เต้ แล้วเธอก็หันไปไหว้ลาแม่ของสมชาย “ขอบคุณค่ะคุณป้า ถ้างั้นหนูขอตัวนะคะ”

“ค่ะคุณ” แม่ของสมชายรับไหว้ พิมพิราก็เดินกลับไปทางปากซอย สองยายหลานชะเง้อมองตามแล้วก็ชวนกันเข้าบ้าน “ไปๆ ไอ้เต้เข้าบ้าน”

จากนั้นพิมพิราก็มุ่งหน้าไปที่บาร์ ระหว่างทางที่นั่งรถเมล์เธอก็นั่งคิดถึงภาพครอบครัวของสมชาย เท่าที่เห็นมีแค่คุณป้าคนนั้นกับเด็กผู้ชายคนนึงแล้วก็เด็กผู้หญิงอีกคนที่ยืนชะเง้อมองจากในบ้าน แล้วเธอก็หวนคิดถึงคำพูดของแก้ว ‘คือเจ้แกไปรับจ๊อบแต่งหน้าให้กับคณะคาบาเร่ทุกคืนน่ะค่ะ กว่าแกจะกลับถึงบ้านก็ตีสองตีสามทุกคืนแหละค่ะ วันเสาร์วันอาทิตย์แกก็ไปรับจ๊อบอยู่ร้านเสริมสวย โอ๊ย แกทำงานหัวไม่วางหางไม่เว้นไม่ได้หยุดไม่ได้พักกับเขาหรอกค่ะ ภาระแกเยอะน่ะค่ะคุณพะพิม ทั้งแม่ทั้งหลานเจ้แกหาเลี้ยงอยู่คนเดียวน่ะค่ะ’

จนกระทั่งถึงป้ายรถเมล์ที่เธอต้องลง เธอจึงลงจากรถเมล์ แล้วก็เดินไปเรื่อยๆ จนถึงบาร์ที่สมชายทำงานอยู่ เมื่อไปถึงแล้วเธอหล่อนก็ยืนคิดในใจว่า ‘จะทำยังไงต่อไป?’

ระหว่างนั้นเองเธอก็เห็นสมชายเดินออกมาจากบาร์ เธอรีบหลบไม่ให้อีกฝ่ายเห็น สมชายเดินออกมาพร้อมกับสาวประเภทสองอีกคน ทั้งสองเดินไปที่รถคันหนึ่ง สาวประเภทสองกดรีโมทปลดล็อค “ซินดี้แกอย่าลืมเอาวิกข้างหลังนั่นไปด้วยล่ะ เดี๋ยวชุดนั่นฉันถือไปเอง”

“เออน่านังแจนนี่ฉันไม่ลืมหรอกย่ะ” แล้วสมชายก็เดินไปเปิดประตูข้างหลังก้มตัวเข้าไปหยิบของ ส่วนสาวประเภทสองเจ้าของรถก็เปิดประตูรถแล้วหยิบชุดที่จะใช้โชว์ออกมา หลังจากหยิบของแล้วทั้งสองก็ปิดประตูรถแล้วก็เดินกลับเข้าไปในบาร์

พิมพิราแอบมองตามจนกระทั้งทั้งคู่เข้าไปในบาร์ เธอยืนคิดถึงคำพูดของแก้ว ซึ่งเป็นความจริงอย่างที่แก้วบอกทุกอย่าง เธอหมุนตัวเดินกลับไปที่ป้ายรถเมล์ แล้วก็ขึ้นรถเมล์ไปลงที่สถานีรถไฟฟ้า จากนั้นเธอก็ต่อรถไฟฟ้ากลับบ้าน

เมื่อถึงบ้าน พิมพิราก็จัดแจงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็เดินลงไปสั่งข้าวแกงนั่งกิน พอกินเสร็จก็กลับห้องไปนั่งทำงานต่อจนกระทั่งได้เวลาเข้านอน

เมื่อแผนการใส่ร้ายป้ายสีให้พิมพิราต้องอับอายจนไม่อาจจะทนทำงานต่อไปได้ต้องขอลาออกไม่เป็นผล แถมพลเอกณรงค์ฤทธิ์ยังมีสนิทสนมกับพิมพิรามากขึ้นอีก จนจิตตรีกลัวว่าอดีตพี่เขยจะใกล้ชิดสนิทสนมกับเลขาสาวสวยมากเกินไป เธอจึงหาทางสกัดดาวรุ่งสารพัดวิธีดังเช่นในขณะนี้

“หวัดดีจ้ะตาวี”

“สวัสดีครับคุณน้า” ปฐวีรับสายล้มตัวลงนอนเอกเขนกพิงหมอนเมื่อเห็นว่าคุณน้าโทรมา จิตตรีถามหลานชายว่า “เป็นยังไงบ้างจ๊ะตาวี? สบายดีรึเปล่าจ๊ะฒ”

“สบายดีครับคุณน้า” ปฐวีตอบแล้วก็ย้อนถามกลับไปว่า “แล้วคุณน้าล่ะครับสบายดีไหมครับ?”

จิตตรีซึ่งรอจังหวะอยู่แล้วรีบแกล้งทำเสียงเศร้าๆ “น้าสบายดีจ้ะ แต่น้าไม่ค่อยสบายใจเลยจ้ะ”

Chapter 6

ข่าวลือดังไปถึงอเมริกา

“ทำไมล่ะครับคุณน้า? มีเรื่องไม่สบายใจอะไรเหรอครับ?” ปฐวีย้อนถามด้วยความเป็นห่วง จิตตรียิ้มกับตัวเองที่หลานชายตกหลุมพรางของเธออย่างง่ายดาย หุๆๆๆ

แล้วเธอก็รีบตีหน้าเศร้าทำเสียงอ่อยๆ ว่า “ก็เรื่องคุณพ่อเราน่ะซิจ๊ะ น้ากลัวว่าคุณพ่อของวีจะถูกหลอกน่ะจ้ะ”

“มีเรื่องอะไรเหรอครับคุณน้า?” ปฐวีผุดลุกขึ้นนั่ง จิตตรียิ้มกริ่ม หุๆๆๆ นังพิมพิราแกกระเด็นแน่!

แล้วเธอก็รีบสาธยายว่า “ก็แม่พิมพิราเลขาของคุณพ่อเราน่ะจ้ะ น้าว่าเขาต้องคิดไม่ดีกับคุณพ่อเราแน่ๆ เลย อย่างวันนี้นะจ๊ะ แม่นี่ก็แกล้งอ่อยทำนมหกโชว์ขาอ่อนให้คุณพ่อเราดูจนตาแทบจะเป็นกุ้งยิงแน่ะ น้าว่าแม่นี่ต้องคิดจะจับคุณพ่อเราอยู่แน่ๆ เลยล่ะจ้ะ นี่ขนาดน้านั่งอยู่ด้วยนะจ๊ะ แม่พิมพิรายังกล้าให้ท่าคุณพ่อเราขนาดนี้ แล้วนี่ถ้าอยู่กันสองต่อสองจะขนาดไหน น้าล่ะไม่อยากจะคิด…เอ่อ…อย่าให้น้าต้องเล่าต่อเลยนะมันกระดากปากน่ะจ้ะ”

เธอแกล้งทำเป็นกระดากปากไม่อยากจะพูดต่อ

“จริงเหรอครับคุณน้า!” ปฐวีย้อนถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะเท่าที่เห็น เลขาคนใหม่ของคุณพ่อก็ดูเป็นผู้หญิงสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ไม่น่าจะกล้าทำอะไรก๋ากั่นไร้ยางอายอย่างที่คุณน้าของเขาเล่าให้ฟังเลย

“จริงซิจ๊ะตาวี น้าเห็นเต็มๆ สองตาน้าเลยนะจ๊ะ น้าก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าเห็นหน้าใสๆ ซื่อๆ อย่างนั้น จะกล้าทำเรื่องไร้ยางอายอย่างให้ท่าผู้ชายต่อหน้าธารกำนัลได้ วีจ๊ะน้าล่ะไม่อยากจะพูดเลย แม่พิมพิราเลขาของคุณพ่อเราคนนี้นะร้ายกาจมากๆ เลยล่ะจ้ะ ให้ท่าออดอ้อนคุณพ่อเราสารพัดสารเพ จนน้าล่ะอายแทนจริงๆ แล้วไม่ใช่แค่นี้นะจ๊ะตาวี เดี๋ยวนี้นะเขาพูดกันให้แซดทั้งบริษัทว่าแม่พิมพิรากับคุณพ่อเราเนี่ยถึงขั้นขย่มกันสนั่นออฟฟิตแล้วนะจ๊ะ”

“อะไรนะครับคุณน้า!” ปฐวีอุทานลั่น ไม่อยากจะเชื่อว่าคุณพ่อที่เคารพรักของเขาจะกล้าทำอะไรแบบนั้นได้! นี่พ่อของเขากลายเป็นพวกโคแก่กินหญ้าอ่อน เป็นสมภารกินไก่วัดอย่างที่คุณน้าของเขาพูดมาจริงๆ หรือนี่!

จิตตรีรีบย้ำ “จริงๆ จ๊ะตาวี ตอนนี้นะทั่วทั้งออฟฟิต เขาพูดกันให้แซดว่าเห็นแม่พิมพิราขึ้นขย่มคุณพ่อเราในห้องประชุมแน่ะจ้ะ น้าล่ะอยากจะบอกคุณพ่อเราให้ระวังตัวป้องกันเอาไว้บ้าง น้าก็ไม่กล้า น้าก็ไม่รู้จะพูดยังไง เพราะถ้าน้าพูดไปเดี๋ยวคุณพ่อเราเขาก็จะหาว่าน้าเสือก ที่น้าพูดเนี่ยก็เพราะหวังดีนะจ๊ะ เพราะน้าเห็นว่าแม่พิมพิราเนี่ยเที่ยวมั่วไปหมด เดี๋ยวไปกับคนนั้นทีคนนี้ที น้าก็กลัวว่าเกิดพลาดพลั้งติดโรคมาคุณพ่อเราก็จะติดไปด้วยนะจ๊ะ ถ้ายังไงวีก็เตือนๆ คุณพ่อบ้างนะจ๊ะ แล้วเราก็อย่าเผลอไปบอกท่านล่ะว่ารู้จากน้าน่ะ น้าไม่อยากให้คุณพ่อเรามาว่าน้าน่ะจ้ะ”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณน้า ผมไม่มีทางหลุดปากแน่ๆ ครับ ขอบคุณนะครับที่เล่าให้ฟัง เดี๋ยวผมจะลองคุยกับคุณพ่อดูก่อนนะครับ” ปฐวีบอกหน้าเครียด จิตตรีได้ทีก็รีบตัดบทว่า “จ้ะตาวี งั้นก็แค่นี้นะจ๊ะ น้าต้องไปธุระแล้วล่ะจ้ะ”

“ครับคุณน้า ถ้างั้นก็สวัสดีครับ”

“จ้า สวัสดีนะจ๊ะ” จิตตรีบอกลาแล้วก็วางสายนั่งยิ้มกริ่มอารมณ์ดี “นังพิมพิรา มึงจะทนได้ซักเท่าไหร่เชียวเจอข่าวฉาวโฉ่บ่อยๆ เข้า มึงทนไม่ไหวก็ต้องลาออกจนได้ล่ะ หึๆๆๆ…”

ส่วนปฐวีพอวางสายแล้วเขาก็ร้อนอกร้อนใจ “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? คุณพ่อไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบนั้นแน่ๆ ต้องโทรไปถามให้รู้เรื่อง”

แล้วเขาก็ไม่รอช้า รีบกดโทรศัพท์หาคุณพ่อทันที

“หวัดดีไอ้เสือ เป็นยังไงบ้างล่ะเจ้าวี สบายดีไหม?” พลเอกณรงค์ฤทธิ์รับสายด้วยความดีใจ

“สวัสดีครับคุณพ่อ ผมสบายดีครับ” ปฐวีตอบแล้วก็ยิงคำถามอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “เอ่อ…คุณพ่อครับ จริงรึเปล่าครับที่เขาพูดกันว่าคุณพ่อมีอะไรกับเลขาน่ะครับ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์นิ่งไป ‘แหมข่าวมันไวจริงๆ รู้ไปถึงหูเจ้าวีจนได้’

แล้วเขาก็ตอบลูกชายว่า “ก็จริงน่ะซิเจ้าวี”

“คุณพ่อ!” ปฐวีตกใจ ‘นี่คุณพ่อทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอเนี่ย!’

“นี่หมายความว่าคุณพ่อกับเลขามีอะไรกันจริงๆ เหรอครับ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณพ่อจะทำเรื่องน่าบัดสีแบบนั้นได้ ทำไมคุณพ่อถึงกลายเป็นพวกสมภารกินไก่วัดซะเองแบบนี้ละครับ ถึงเขาจะสวยมาก แต่เขาอายุน้อยกว่าผมอีกนะครับ ผมไม่คิดเลยนะครับว่าคุณพ่อจะกลายเป็นพวกโคแก่กินหญ้าอ่อนแบบนี้ไปได้ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ” เขาพูดรัวๆ รู้สึกเสียใจและผิดหวังในตัวคุณพ่อมากมายนัก

“หยุดเลยนะเจ้าวีชักจะไปกันใหญ่แล้วนะ!” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ตวาดใส่ลูกชายเสียงเข้มแล้วรีบพูดว่า “พ่อกับคุณพะพิมไม่ได้มีอะไรกันอย่างที่แกว่าหรอกนะ มันเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้นแหละ”

ปฐวีงง “อ้าว…แล้วมันยังไงกันครับคุณพ่อ?”

“คือมันเป็นอย่างนี้นะเจ้าวี คือว่ามีคนปล่อยข่าวว่าเห็นพ่อกับคุณพะพิมมีอะไรกันที่ออฟฟิต ตอนนี้พ่อกำลังสืบหาตัวไอ้คนปล่อยข่าวอยู่น่ะลูก เจอตัวเมื่อไหร่พ่อจะจับมันฝังทั้งเป็นซะเลย! ให้สาสมกับที่มันทำให้พ่อต้องเสียชื่อเสียง ไอ้ชื่อเสียงพ่อน่ะไม่เท่าไหร่หรอกนะ แต่คุณพะพิมซิแย่ ชื่อเสียงเขาเสียหายป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดีเลยล่ะ ถูกคนอื่นตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี คิดจะเอาเต้าไต่เพื่อความสบายเพื่อหน้าที่การงาน พ่อล่ะสงสารเขาจริงๆ แล้วไอ้เรื่องอย่างนี้นะ ยิ่งไปพูดว่าไม่ได้ท๊ำ…ไม่ได้ทำก็เหมือนกับว่ายิ่งไปตอกย้ำว่าทำจริงๆ พ่อเลยไม่รู้จะทำยังไงนอกจากจะปล่อยให้เรื่องมันเงียบไปเอง”

“งั้นเหรอครับคุณพ่อ ผมค่อยโล่งใจหน่อยครับ ทีแรกผมก็หลงคิดว่าคุณพ่อทำอย่างงั้นจริงๆ ซะอีก” ปฐวีถอนหายใจโล่งอก

“อ้าว…เจ้าวีนี่แกเห็นพ่อเป็นพวกชอบกินไก่วัดรึไงห๊า! หนอยแน่ะไอ้ลูกคนนี้! รีบๆ กลับมาให้พ่อเตะซะดีๆ เล้ย”

ปฐวีเห็นท่าไม่ดีก็รีบตัดบทว่า “งั้นผมขอตัวก่อนล่ะครับคุณพ่อ ดูแลตัวเองดีๆ นะครับคุณพ่อ ระวังอย่าให้ไก่แก่แม่ปลาช่อนที่ไหนมางาบได้นะครับ แบบเอ๊าะๆ วัยกระเตาะก็ระวังๆ ไว้ด้วยนะครับ”

แล้วเขาก็รีบตัดสายทันที พลเอกณรงค์ฤทธิ์จึงได้แต่ด่าฝากลมฝากแล้ง “ไอ้ลูกคนนี้นี่!”

หลังจากไปบ้านของสมชายมาแล้ว พิมพิราก็เริ่มตะล้อมถามเรื่องของสมชายกับคนในออฟฟิตอย่างเนียนๆ ซึ่งคนที่ให้ข้อมูลได้ดีที่สุดก็คือสมศรีกับแก้ว

ครั้นพอรู้ว่าสมชายเป็นเสาหลักของครอบครัว ความคิดที่จะเอาเรื่องเอาราวกับสมชายจึงมลายหายไป แต่เธอก็ยังนึกไม่ออกว่าเธอไปเหยียบหัวเหยียบหางนายสมชายตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงทำให้อีกฝ่ายปล่อยข่าวลือทำลายชื่อเสียงของเธอแบบนี้ ‘เฮ้อ…คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก’

จิตตรีกำลังโทรไปด่าสมชายยกใหญ่ “นี่แก! ไหนคุยนักคุยหนาไงว่านังนั่นมันจะต้องลาออกแน่ๆ จนป่านนี้ชั้นยังไม่เห็นจะได้ข่าวว่ามันจะยื่นใบลาออกเลยนะยะ!”

“โธ่ คุณจิตตรีฮ้า สมชายจะไปทราบได้ยังไงล่ะฮ้าว่ามันจะหน้าด้านหน้าทนขนาดนี้น่ะ เป็นคนอื่นน่ะเหรอฮ้าเจอเข้าไปขนาดนี้ไม่เกิน 3 วันมันก็ลาออกไปแล้วล่ะฮ้า” สมชายรีบแก้ตัว แต่จิตตรีไม่ฟังเสียง จิกด่าฉอดๆ “หล่อนไม่ต้องมาแก้ตัวเลยนะยะ หนอย! ทำเป็นคุยนักคุยหนาที่แท้ก็ดีแต่ปากน่ะซิ ไหนหล่อนว่าแผนของหล่อนเหมือนยิงทีเดียวได้นกสองตัวไงล่ะยะ ทำให้นังนั่นมันลาออกแล้วทางของฉันจะสะดวกยังไงล่ะ ฉันไม่เห็นมันจะได้ผลเลยซักกะติ๊ด แถมเดี๋ยวนี้นะฉันเห็นมันแทบจะเป็นเงาตามตัวคุณพี่พอๆ กับไอ้นพแล้วนะยะ ฉันเห็นคุณพี่จะไปทางไหนก็ต้องเห็นไอ้อีสองตัวนี่ตามประกบไม่เคยห่างจนฉันไม่เคยมีโอกาสอยู่กับคุณพี่สองต่อสองเลยนะยะ แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่ฉันจะได้เป็นเมียคุณพี่ซักทีล่ะยะไอ้โง่!”

สมชายทนฟังจิตตรีด่าไม่ไหวจึงด่าสวนกลับไปบ้างว่า “นี่อีแก่หนังเหี่ยว! ถ้ามึงฉลาดนักมึงก็หาทางเอาเองเถอะโว้ย แต่ปากหมาด่าไม่เลือกอย่างนี้ อย่าคิดนะว่าท่านจะเอามึงทำเมียน่ะ ฝันไปเหอะ! แล้วมึงก็ไม่ต้องโทรหากูอีกนะอีแก่เหนียงยาน!”

ด่าเสร็จก็ตัดสายฉับ! “ชิ!”

จิตตรีกรี๊ดลั่นบ้าน “กรี๊ด! ไอ้สมชายยยยยย—”

ตอนบ่าย หลังจากเคลียร์งานหมดแล้ว พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็เรียกสมชายมาพบ

“สวัสดีฮ่ะท่าน” สมชายยกมือไหว้อ่อนช้อย ยิ้มประจบ พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองสมชายหน้าตาถมึงทึง

ปัง! เขาตบโต๊ะเสียงดังลั่น แล้วตวาดว่า “คุณสมชาย! ทำไมคุณถึงเที่ยวปล่อยข่าวว่าผมมีอะไรกับคุณพิมพิราห๊า!? คุณทำแบบนี้ทำไมห๊า!?”

สมชายตกใจหน้าซีดตัวสั่นรีบปฏิเสธว่า “ปะ…เปล่านะฮ้าท่าน สม…สมชายไม่เคยพูดนะฮ้า”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์จ้องเขม็ง หน้าตาดุดันถมึงทึงน่ากลัว “คุณไม่ต้องมาปฏิเสธเลยนะ ผมมีหลักฐานทั้งพยานบุคคลทั้งภาพจากกล้องวงจรปิดเพียบว่าคุณเป็นคนปล่อยข่าวว่าผมมีอะไรกับคุณพิมพิรา คุณยังจะกล้าปฏิเสธอีกรึ! หรือจะต้องให้ผมเอาภาพจากกล้องวงจรปิดมาเปิดแล้วเรียกพวกพยานมาพูดต่อหน้า คุณจะเอาอย่างงั้นก็ได้นะ ผมจะไล่คุณออก! แล้วก็ให้ทนายจัดการฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ทำให้ผมต้องเสียชื่อเสียง”

เพียงแค่ได้ยินคำว่า ‘ไล่ออก’ สมชายก็เข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นน้ำตานองหน้า “ท่านฮ้า ฮือๆๆๆ ท่านอย่าไล่สมชายออกเลยนะฮ้า ฮือๆๆๆ สมชายผิดไปแล้วฮ้า ท่านยกโทษให้สมชายด้วยนะฮ้า ฮือๆๆๆ สมชายทำไปก็เพราะคุณจิตตรีมาจ้างให้สมชายช่วยใส่ร้ายคุณพะพิมเพื่อให้คุณพะพิมทนไม่ไหวขอลาออกฮ้า ฮือๆๆๆ”

“อะไรนะ! จิตตรีจ้างคุณให้ทำอย่างนั้นเหรอ!?” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน พิมพิราก็ตกใจอึ้งงันไป! ตกตะลึงไปเหมือนกัน นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเธอไปทำอะไรให้คุณป้าคานทองคนนั้นเกลียดนักหนา ถึงขนาดต้องจ้างคนมาดิสเครดิตเธอแบบนี้!?

สมชายรีบพูดทันที ‘ไหนๆ เรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว แม่จะแฉให้หมดเล้ย!…’

“จริงๆ ฮ้าท่าน คุณจิตตรีมาจ้างให้สมชายปล่อยข่าวจริงๆ นะฮ้า แกจ้างสมชายตั้ง 2 หมื่นเชียวนะฮ้า สมชายอยากได้ตังค์ไปรักษาแม่น่ะฮ้า สมชายก็เลยทำฮ้า ฮือๆๆๆ สมชายผิดไปแล้วฮ้า ท่านอย่าไล่สมชายออกเลยนะฮ้า ฮือๆๆๆ ถ้าท่านไล่สมชายออกแล้วสมชายจะเอาตังค์ที่ไหนเลี้ยงแม่ล่ะฮ้า ฮือๆๆๆ สมชายต้องหาตังค์เลี้ยงแม่เลี้ยงหลาน ถ้าสมชายตกงานแม่กับหลานๆ ของสมชายต้องแย่แน่ๆ ฮ้า ฮือๆๆๆ ท่านฮ้า อย่าไล่สมชายออกเลยนะฮ้า ฮือๆๆๆ จะให้สมชายกราบแทบเท้าสมชายก็ยอมฮ้า  ฮือๆๆๆ”

แล้วเขาก็คลานกะดุ๊บๆ เข้าไปกราบแทบเท้าท่านประธานน้ำตานองหน้า แต่พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ไม่ใจอ่อน “คุณไม่ต้องมาขอร้องอ้อนวอนผมหรอกนะ ยังไงๆ ผมก็จะไล่คุณออก เพราะคุณทำให้ผมต้องเสียชื่อเสียง แถมยังทำให้บริษัทคู่แข่งเอาเรื่องนี้ไปพูดจนผมเกือบจะเสียลูกค้า แล้วไม่ใช่แค่ผมที่เสียหาย คุณทำให้คุณพิมพิราต้องเสียชื่อเสียงไปด้วย ข่าวลือของคุณทำให้ใครต่อใครเข้าใจคุณพิมพิราผิดๆ จนถูกคนอื่นพูดจาดูถูกเหยียดหยามแสดงท่าทีรังเกียจ การกระทำของคุณมันเลวทรามต่ำช้ามากๆ นี่ถ้าหากผมเอาคุณเข้าคุกได้ล่ะก็…ผมไม่ปล่อยคุณไว้แน่!”

สมชายกลัวจนตัวสั่น ก้มลงกราบแล้วกราบอีกท่านประธานก็ไม่ใจอ่อนเสียที เขาจึงหันไปอ้อนวอนพิมพิราแทน ‘ตอนนี้ต้องทำยังไงก็ยอมทุกอย่างแล้ว ขอเพียงให้ท่านประธานใจอ่อนทีเถอะ…’

“ฮือๆๆๆ คุณพะพิมฮ้า คุณช่วยพูดกับท่านให้หน่อยนะฮ้า ฮือๆๆๆ อย่าให้ท่านไล่พี่สมชายออกเลยนะฮ้า ถ้าพี่ตกงาน แม่ของพี่ต้องลำบากแน่ๆ เลยฮ้า ฮือๆๆๆ แม่พี่แก่แล้วต้องเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลทุกเดือนๆ ฮือๆๆๆ ไหนจะค่ากินค่าอยู่ค่าหยุกค่ายา ฮือๆๆๆ น้องสาวของพี่ก็ตายไปแล้ว แถมมันยังทิ้งหลานไว้ให้พี่เลี้ยงอีกตั้งสองคน น้องเขยพี่มันก็ตายไปตั้งนานแล้วล่ะฮ้า ฮือๆๆๆ หลานสองคนวัยของพี่วัยกำลังกินกำลังนอนเลยล่ะฮ้า ฮือๆๆๆ ถ้าพี่ตกงานแล้วพี่จะเอาตังค์ที่ไหนเลี้ยงแม่เลี้ยงหลานล่ะฮ้า ฮือๆๆๆ คุณพิมพิราช่วยพูดกับท่านให้พี่ด้วยนะฮ้า อย่าให้ท่านไล่พี่ออกเลยนะฮ้า จะให้พี่กราบก็ได้ฮ้า ฮือๆๆๆ” เขารีบคลานไปกราบแทบเท้า จนพิมพิราตกใจ “อุ๊ย!”

แม้ว่าเธอจะรู้สึกเกลียดสมชายมาก แต่ก็อดสงสารไม่ได้ ยิ่งพอมาเห็นท่าทางร้องไห้คร่ำครวญกราบท่านประธานกับเธอปะหลกๆ อย่างไม่เหลือศักดิ์ศรี เธอก็อดที่จะสงสารไม่ได้จนต้องหันไปพูดกับท่านประธานว่า “ท่านคะ เห็นกับความขยันของคุณสมชายลงโทษอย่างอื่นแทนได้ไหมคะ อย่าให้ถึงกับไล่ออกเลยนะคะ”

สมชายมองทั้งสองสีหน้าอ้อนวอนสุดฤทธิ์

“ไม่ได้หรอกครับคุณพะพิม แค่ไล่ออกนี่มันยังน้อยไปด้วยซ้ำครับ ชื่อเสียงผมเสียหายยังไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่นี่ทำให้คุณพะพิมเสียชื่อเสียงไปด้วยผมยอมไม่ได้จริงๆ คุณต้องถูกคนอื่นดูถูกดูแคลนพูดจาเหยียดหยามแสดงท่าทางรังเกียจไปทั้งออฟฟิตอย่างนี้ แล้วจะให้ผมยอมได้ยังไงครับ ยังไงๆก็ต้องไล่ออกครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยืนยันเสียงแข็ง “ยังไงก็ต้องไล่ออก!”

พิมพิราหันไปมองสมชายซึ่งนั่งร้องไห้อยู่แทบเท้าเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะนึกโกรธที่ถูกเขาให้ร้าย ก็สะใจมากที่เขาจะถูกไล่ออก แต่ครั้นนึกถึงอีก 3 ชีวิตที่เขามีหน้าที่หาเลี้ยงอยู่ ความมีมนุษยธรรมในใจเธอทำให้ไม่อาจทนเห็นเขาถูกไล่ออกได้ ‘เอาน่า…ถือว่าเห็นแก่คนแก่กับเด็กอีกสองคนที่เขาต้องดูแลล่ะกัน’

“ท่านคะ พะพิมขอร้องเถอะค่ะ อย่าไล่เขาออกเลยนะคะ ถ้าท่านไล่เขาออกแล้วเขาจะเอาตังค์ที่ไหนเลี้ยงครอบครัวล่ะคะ ลำพังเงินเดือนก็ไม่พอจะเลี้ยงครอบครัวอยู่แล้วนะคะ ตอนกลางคืนเขาก็ไปรับจ้างแต่งหน้าให้คณะคาบาเร่ที่บาร์อยู่ทุกคืน วันหยุดก็ไปเป็นลูกจ้างอยู่ร้านเสริมสวย เห็นแก่ความกตัญญูของเขาเถอะนะคะ”

สมชายมองหน้าพิมพิราอย่างอึ้งๆ งงๆ ‘เอ่อ…ชีรู้ได้ไงว่ากูต้องทำงานงกๆ น่ะ’

เสียงหวานๆ ยังช่วยพูดขอร้องต่อไปว่า “ถ้าท่านไล่เขาออก ครอบครัวเขาต้องลำบากแน่ๆค่ ะท่าน พะพิมพูดตรงๆ นะคะ พะพิมรู้สึกสะใจมากค่ะที่ท่านไล่เขาออก แต่พอนึกถึงว่าครอบครัวเขาจะเป็นยังไงถ้าเขาตกงาน พะพิมจึงอยากจะขอร้องท่าน ขอให้ท่านเห็นแก่คนแก่คนเฒ่ากับเด็กตัวเล็กๆ ที่เขาต้องหาเลี้ยงด้วยเถอะค่ะ ท่านอย่าไล่เขาออกเลยนะคะ พะพิมขอร้องล่ะค่ะ”

“คุณพะพิมอย่ามาขอร้องแทนคนเลวอย่างนี้ให้เสียเวลาเลยครับ ยังไงๆ ผมก็จะไล่ออกครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์บอกเสียงแข็งปรายตามองสมชายด้วยสายตาดุดัน สมชายร้องไห้โฮทันที “ฮือๆๆๆๆๆๆ…”

พิมพิราเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ เธอเดินเข้าไปก้มลงกราบท่านประธาน “ท่านคะ พะพิมขอร้องล่ะค่ะ”

“เฮ้ย!” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ตกใจที่จู่ๆ พิมพิราก็เข้ามากราบเขา เขารีบดึงเธอให้ลุกขึ้น “คุณพะพิมครับ อย่าทำอย่างนี้ครับ ลุกขึ้นเถอะครับ”

แต่พิมพิราก็ยังไม่ยอมลุกขึ้น “ท่านคะ”

สมชายได้แต่มองพิมพิราตาค้างหยุดร้องไห้ทันควัน “อึก…”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ถอนใจเฮือก “เฮ้อ…ผมไม่ไล่มันออกก็ได้ครับ ลุกขึ้นเถอะครับ”

“ขอบคุณค่ะท่าน” พิมพิรารีบไหว้ยิ้มดีใจ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ถอนใจอีกครั้ง “เฮ้อ…ผมยอมแพ้คุณเลย”

แล้วเขาก็ค่อยๆ ประคองเธอให้ลุกขึ้น พิมพิราลุกขึ้นยืนแล้ว พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ปล่อยแขนเธอแล้วหันไปพูดกับสมชายว่า “ผมไม่ไล่คุณออกก็ได้คุณสมชาย แต่ในเมื่อคุณเป็นคนปล่อยข่าว คุณก็ต้องไปแก้ข่าวให้ได้ภายใน 3 วัน ถ้าภายใน 3 วันคุณแก้ข่าวไม่ได้ผมไล่คุณออกแน่!”

สมชายมองท่านประธานอย่างงงๆ เพราะสมองมัวแต่คิดว่า ‘ทำไมพิมพิราถึงยอมช่วยกูถึงขนาดนี้ ขนาดยอมกราบขอร้องท่านประธานอย่างเมื่อกี้นี้!?”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ตวาดไล่ “เอ้า! ยังไม่รีบไปอีก มัวแต่นั่งทำหน้าซื่อบื่ออยู่นั่นแหละ”

สมชายรีบคลานเข้าไปกราบท่านประธานยกใหญ่ “ขอบพระคุณฮ้าท่าน ขอบพระคุณฮ้า ขอบพระคุณจริงๆฮ้า”

จากนั้นเขาก็รีบออกจากห้องไป

เมื่อสมชายไปแล้ว พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็หันไปบ่นพิมพิราว่า “คุณพะพิมไม่น่าไปช่วยคนอย่างมันเลย มันเป็นคนปล่อยข่าวทำให้คุณต้องอับอายไปทั้งออฟฟิต คุณยังจะไปช่วยมันทำไมก็ไม่รู้ มันน่าไล่ออกไปให้พ้นๆ เลยไอ้คนอย่างนี้ ไม่รู้จะไปช่วยมันทำไม”

พิมพิรายิ้มให้เจ้านายแล้วก็พูดว่า “ก็นึกว่าทำบุญทำทานเถอะค่ะท่าน ถ้าลำพังตัวเขาล่ะก็ ท่านจะไล่ออกจะฟ้องเรียกค่าเสียหายยังไง พะพิมก็ไม่สนหรอกค่ะ แต่นี่พะพิมสงสารแม่กับหลานๆ เขาน่ะค่ะ ถ้าเขาตกงานซะคน แล้วคนอื่นๆ จะกินจะอยู่กันยังไงล่ะคะ อีกอย่างสร้างมิตรดีกว่าสร้างศัตรูนี่คะ”

“แล้วคุณไปรู้มาจากไหนล่ะครับว่ามันเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัวอย่างที่มันพูดน่ะครับ มันอาจจะยกมาอ้างเพื่อเรียกคะแนนสงสารจากผมจากคุณก็ได้นะครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ย้อนถาม พิมพิรายิ้มกว้างแล้วก็ตอบว่า “พะพิมรู้ว่าเขาเป็นคนปล่อยข่าว พะพิมก็เลยอยากจะรู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงต้องมาปล่อยข่าวดิสเครดิตพะพิมอย่างงั้นด้วย ทั้งๆ ที่พะพิมไม่เคยมีเรื่องกับเขาเลย  พอถามคนนู้นทีคนนี้ที พะพิมถึงได้รู้ว่าเขาต้องเลี้ยงแม่กับหลานอีกสองคน น้องสาวก็ถูกรถชนตายไปได้ซักสองปีกว่าๆ ส่วนน้องเขยก็ตายไปตั้งนานแล้ว เขาก็เลยต้องรับภาระเลี้ยงแม่เลี้ยงหลาน ตอนกลางวันทำงานที่ออฟฟิต พอกลางคืนก็ไปรับจ้างแต่งหน้าทำผมอยู่ในบาร์ พอวันหยุดก็ไปเป็นลูกจ้างร้านเสริมสวยอีก ทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตตั้งแต่เช้ายันค่ำ แต่พะพิมก็ยังหาสาเหตุที่เขาปล่อยข่าวไม่ได้ เพิ่งจะได้รู้ก็วันนี้แหละค่ะว่าเพราะอะไร”

นัยน์ตาหวานเขียวปั๊ดทันทีเมื่อนึกถึงต้นเหตุ ‘หนอย…ยัยคุณป้าคานทอง…เดี๋ยวหล่อนได้เจอหนักแน่!’

พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบขอโทษแทน “ผมต้องขอโทษด้วยครับที่จิตตรีทำอย่างนี้ ผมไม่คิดเลยว่าเขาจะร้ายกาจถึงขนาดจ้างคนมาใส่ร้ายคุณอย่างนี้น่ะครับ ผมขอโทษจริงๆ ที่ทำให้คุณเดือดร้อนไปด้วย”

“ไม่เป็นไรค่ะท่าน ท่านไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อยนี่คะ” พิมพิรายิ้มให้ พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบบอกว่า “เห็นทีผมคงต้องทำอะไรบ้างแล้วล่ะครับ มันชักจะล้ำเส้นเกินไปแล้ว!”

เขากำมือแน่นตาวาวดุดันแล้วก็บอกเธอว่า “คุณพะพิมครับ ผมจะออกไปข้างนอกนะครับ  ถ้ามีอะไรด่วนก็โทรบอกนะครับ”

“ค่ะท่าน”

แล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็เดินจ้ำอ้าวออกจากห้องไป พิมพิราจึงหันไปเก็บของบนโต๊ะเจ้านายให้เรียบร้อย เมื่อเธอออกไปก็เห็นสมชายนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเธอ สมชายรีบลุกไปหาพิมพิราทันที “คุณน้องฮ้า พี่ผิดไปแล้วฮ้า พี่มันเลว พี่มันชั่วที่ไปร่วมมือกับอีแก่เหนียงยาน พี่ขอโทษจริงๆ นะฮ้า พี่ไม่น่าหลงผิดเห็นกงจักรเป็นดอกบัวเลย นี่ถ้าไม่ได้คุณน้องช่วยพูดกับท่านล่ะก็ พี่คงตกงานแน่ๆ ฮ้า  ขอบคุณคุณน้องมากๆ นะฮ้า ขอบคุณจริงๆ ฮ้า พี่จะไม่ลืมพระคุณของคุณน้องเลยฮ้า ถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยล่ะก็ คุณน้องบอกพี่ได้เลยนะฮ้า พี่จะช่วยคุณน้องทุกอย่างเลยฮ้า ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟฝ่าดงระเบิดที่ไหนคุณน้องก็สั่งมาได้เลยนะฮ้า”

พิมพิรามองสมชายอย่างงงๆ ‘อะไรของเขาหว่า…?’

แต่ยังไม่ทันที่จะพูดอะไร สมชายก็พูดขึ้นว่า “อุ้ย! ต้องรีบไปแก้ข่าวให้คุณน้องก่อนฮ้า งั้นพี่ไปก่อนนะฮ้า อ้อ…นี่เบอร์มือถือของพี่นะฮ้า ถ้าคุณน้องมีอะไรจะใช้พี่ก็โทรได้ทุกเวลาเลยนะฮ้าไม่ต้องเกรงใจฮ้า”

เขายัดนามบัตรตัวเองใส่มืออีกฝ่ายแล้วก็รีบเดินไปทันที พิมพิราได้แต่มองตามกระเทยร่างยักษ์อย่างงงสุดขีด ‘เฮ้อ…ให้มันได้งี้เด่ะ!’

แล้วเธอก็เอานามบัตรใส่ไว้ในลิ้นชักโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจแล้วก็ลงมือทำงานที่ยังค้างอยู่ต่อ

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ออกจากบริษัทด้วยความโกรธ เขาสั่งนพว่า “ไปบ้านคุณจิตตรี!”

“อะไรนะครับท่าน! ผมฟังผิดไปรึเปล่า!?” นพหันไปมองเจ้านายพร้อมกับแคะหูตัวเองใหญ่ พลเอกณรงค์ฤทธิ์จ้องหน้าลูกน้องแล้วสั่งอีกทีว่า “เอ็งฟังไม่ผิดหรอก ไปบ้านคุณจิตตรี”

นพจ้องหน้าเจ้านายเหมือนถูกผีหลอก ‘ท่านไปโดนเสน่ห์มนต์ดำที่ไหนมาหว่า!?’

พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบอธิบายอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ฉันจะไปเฉ่งที่เธอเสือกจ้างไอ้สมชายมาปล่อยข่าวเรื่องฉันกับคุณพะพิมโว้ย! เอ็งรีบๆ ขับรถไปเลยไอ้นพ!”

“ครับท่าน” นพรีบขับรถไปตามคำสั่งทันที ก็เจ้านายกำลังโกรธขืนชักช้า เดี๋ยวความโกรธมาลงที่เขาแทนล่ะยุ่งเลย

เมื่อไปถึงบ้านจิตตรี นพก็รีบลงไปกดกริ่งหน้าบ้าน เดือนเดินมาเปิดประตูพร้อมกับถามด้วยความสงสัยว่า “อ้าว…น้านพ ลมอะไรหอบมาจ๊ะน้า?”

ก็ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นคนจากบ้านเดชารงค์มาที่นี่เลย มีแต่เจ้านายของเธอนั้นแหละที่เป็นฝ่ายไปหา

“ลมโมโหน่ะซินังเดือน แล้วนี่คุณนายจิตตรีอยู่รึเปล่าล่ะ?”

“อยู่จ้ะน้า เพิ่งจะกลับมาถึงสักพักนี่แหละจ้ะ” เดือนตอบพร้อมกับชะเง้อมองไปที่รถเบนซ์ นพรีบสั่งแทนเจ้านายว่า “งั้นเอ็งไปบอกเจ้านายเอ็งทีว่าท่านมาหา รีบๆไปเลย”

“จ้ะน้า” เดือนรีบวิ่งเข้าบ้านไปทันที นพรีบเดินกลับไปรายงานเจ้านายว่า “ท่านครับ อยู่ครับท่าน”

Chapter 7

ท่านประธานนั่งวินมอเตอร์ไซด์

“ดีมาก งั้นเราเข้าไปด้วย เอ็งจะได้คอยกันท่า” พลเอกณรงค์ฤทธิ์สั่งลูกน้อง แล้วเปิดประตูลงจากรถ ก้าวอาดๆ เข้าไปในบ้านของอดีตน้องเมียพร้อมกับคนขับรถ

“ต๊ายคุณพี่!” จิตตรีพอรู้จากคนรับใช้ว่าอดีตพี่เขยมาหา เธอก็รีบออกไปต้อนรับหน้าบานเป็นกระด้งเลยเชียวล่ะ “สวัสดีค่ะคุณพี่ แหมน้องล่ะดีใจจริงๆ ค่ะที่คุณพี่อุตส่าห์มาเยี่ยมถึงบ้าน เชิญข้างในก่อนค่ะคุณพี่”

จิตตรีจะเข้าไปเกาะแขน แต่พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบเบี่ยงตัวหลบ พร้อมกับจ้องหน้าอดีตน้องเมียด้วยสายตาดุดันถมึงทึง “ฮึ่ม!”

จิตตรีรู้สึกหนาวยะเยือกในอก เธอรีบยิ้มหวานสู้ทันที “คุณพี่มาหาน้องถึงบ้าน คุณพี่มีอะไรให้น้องรับใช้หรือคะคุณพี่?”

แล้วเธอก็มองคนขับรถด้วยสีหน้าไม่พอใจ ‘หนอย! จะตามประกบไปถึงไหนยะ’

เธอรีบปรับสีหน้าแล้วพูดกับอดีตพี่เขยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “คุณพี่มาเหนื่อยๆ เชิญข้างในก่อนนะคะ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองเฉย ไม่คิดจะเข้าบ้านตามคำเชิญ เขาข่มอารมณ์แล้วพูดกับจิตตรีว่า “คุณจิตตรี ที่ผมมาวันนี้เพราะผมรู้ว่าคุณเป็นคนจ้างไอ้สมชายให้ไปปล่อยข่าวลือว่าผมมีอะไรกับคุณพิมพิรา”

“อะไรนะคะคุณพี่!” จิตตรีตกใจหน้าซีดเผือด ‘แย่ล่ะซิ! คุณพี่รู้ได้ยังไงวะ อีตุ๊ดนั่นมันเสือกปากโป้งแน่ๆ เลย หนอยอีสมชาย! มึงคงแค้นที่กูไม่จ่ายอีกหมื่นนึงให้มึงแน่ๆ มึงเลยปากโป้งบอกคุณพี่ซะเลย หนอยอีกระเทยควาย! เจอตัวเมื่อไหร่กูจะตบให้เลือดกลบปากเลยมึง!’

เธอรีบปฏิเสธแสร้งทำหน้าตาไม่รู้เรื่อง “คุณพี่เอาอะไรมาพูดคะ จิตตรีไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์จ้องจิตตรีด้วยสายตาดุดัน “คุณจะบอกว่าไม่รู้เรื่องก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีครั้งหน้าล่ะก็…ผมเอาเรื่องแน่ คุณจำไว้ให้ดีก็แล้วกันครับคุณจิตตรี ถ้าขืนคุณยังยุ่งวุ่นวายกับผมอีก ต่อไปผมไม่ไว้หน้าคุณแน่!”

แล้วเขาก็หันหลังเดินกลับ จิตตรีรีบเข้าไปเกาะแขนบีบน้ำตา “คุณพี่คะ ข่าวลืออะไร น้องไม่รู้เรื่องเลยนะคะ จู่ๆ คุณพี่ก็มาต่อว่าน้องอย่างนี้ทั้งๆ ที่น้องไม่ได้ทำได้ยังไงคะ คุณพี่ปรับปรำน้องอยู่นะคะ น้องอยู่ของน้องดีๆ คุณพี่มาถึงก็มาว่าน้องฉอดๆ อย่างนี้น้องไม่ยอมนะคะคุณพี่”

“อย่ามายุ่งกับผม แล้วก็เลิกตามผมซักที ถ้าคุณยังมียางอายอยู่บ้าง อย่าให้ผมต้องพูดอะไรมากไปกว่านี้เลยคุณจิตตรี” พลเอกณรงค์ฤทธิ์แกะมือจิตตรีออกอย่างรังเกียจ แล้วก็เดินออกจากบ้านอดีตน้องเมียทันที

“กรี๊ดดดด…” จิตตรีกรี๊ดลั่นบ้าน  เดือนรีบหลบไปทันที เมื่อเห็นเจ้านายอาละวาดขว้างปาข้าวของกระจุยกระจาย กระถางต้นไม้ใบเล็กใบน้อยที่อยู่ใกล้มือถูกหยิบขึ้นมาขว้างปาระบายอารมณ์จนแตกกระจาย เพล้ง!…เพล้ง!…เพล้ง!…เพล้ง!…เพล้ง!…

เดือนมองแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า “เฮ้อ…กูเหนื่อยอีกแล้วซิ ต้องมาคอยตามเก็บตามกวาดกันอีกแล้ว”

หลังจากที่สมชายขอเรียกประชุมเฉพาะกิจแก้ข่าวให้พิมพิราแล้ว พร้อมกับยืดอกรับว่า ‘ทำไปเพราะถูกจ้างวาน’

ทำให้คนในบริษัทเลิกซุบซิบนินทาเลิกมองพิมพิราด้วยสายตารังเกียจ แต่ก็ยังมีบางคนที่ยังแอบนินทาพิมพิราอยู่เช่นพวกของเกศเกล้า เพราะเกศเกล้าชอบชัยชนะจึงทำให้เธอเกลียดขี้หน้าพิมพิรา เมื่อข่าวลือเงียบหายไปบรรยากาศในการทำงานก็กลับเป็นปกติดังเดิม

หลังจากนั้นสมชายก็ถูกเพื่อนร่วมงานแอนตี้ แต่ก็ยังมีเพื่อนบางคนที่ยอมให้อภัยดังเช่นแก้ว สมชายดีใจจนร้องไห้โฮอย่างไม่อายสายตาใครจนแก้วต้องรีบลากตัวให้ไปร้องไห้ต่อในห้องน้ำชาย

ยิ่งนานวัน พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ยิ่งเห็นว่าพิมพิรามีนิสัยคล้ายๆ คุณหญิงจิตตรา แต่ที่แตกต่างกันก็คือพิมพิรากล้าที่จะพูด กล้าที่จะต่อว่า ดังเช่นในขณะนี้ “ท่านคะ ในเมื่อท่านกลัวว่าจะไปไม่ทันแล้วทำไมท่านไม่รีบออกจากออฟฟิตล่ะคะ? พอตอนนี้จะมาเร่งให้น้านพซิ่ง คงต้องเหาะไปแล้วล่ะค่ะ”

เธอว่าให้ เมื่อท่านประธานเอาแต่เร่งให้น้านพขับรถเร็วๆ เพื่อไปให้ทันนัด พลเอกณรงค์ฤทธิ์หันขวับ! ไปมองอย่างไม่พอใจ แต่พอสบตากับดวงตาคู่สวย ปากที่กำลังขยับจะพูดก็หุบลงทันที เพราะแม่เลขาตัวดีหันไปสั่งกับคนขับรถว่า “น้านพเดี๋ยวจอดตรงวินมอไซต์ข้างหน้าเลยนะคะ เพราะเดี๋ยวพะพิมกับท่านจะนั่งมอไซด์รับจ้างไปค่ะ”

เธอสั่งฉับ! พร้อมกับยัดแฟ้มใส่กระเป๋าสะพายใบใหญ่อย่างเตรียมพร้อม พลเอกณรงค์ฤทธิ์ได้แต่อ้าปากหวอ “อะไรนะ! นี่จะให้ผมนั่งรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างไปเหรอ…”

‘เอ่อ…คุณเธอคิดได้ไงเนี่ย!’ เขาอึ้ง! ตะลึงงันไป คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ นพรีบเปิดไฟเลี้ยวแล้วเบนรถชิดริมทางเท้า ซึ่งมีรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างจอดอยู่สามสี่คัน พิมพิราก็รีบลงจากรถพร้อมกับหันมาเร่งท่านประธานเหย็งๆ หน้าเฉย “ท่านคะ รีบๆ ลงมาซิคะเดี๋ยวก็ไปไม่ทันกันพอดี”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ทำหน้างงๆ ‘ตกลงใครเป็นเจ้านายกันแน่ฟร่ะ!’

“นี่คุณพะพิม คุณจะให้ผมนั่งมอเตอร์ไซต์รับจ้างจริงๆ เหรอครับ?” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าแม่เลขาหน้าหวานจะกล้าให้เขาใช้บริการมอเตอร์ไซต์รับจ้างจริงๆ ดังที่เธอพูด

“ก็จริงซิคะท่าน รถติดขนาดนี้ ถ้าท่านอยากจะไปให้ทันก็มีแต่มอไซด์เท่านั้นแหละค่ะที่ทำได้ รีบๆ ลงมาเถอะค่ะ” พิมพิราบอกหน้าเฉยแถมยังเร่งอีกต่างหาก แต่พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ยังนั่งเฉย จนพิมพิราบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ท่านคะถ้าไปไม่ทันก็อย่ามาโทษคนอื่นล่ะกันค่ะ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองนาฬิกาข้อมือตัวเอง ‘เฮ้อ…ระยะทางกับเวลามันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน…’

ทำให้เขาตัดสินใจทำตามที่เลขาบอก เพราะกลัวว่าจะไปไม่ทันเวลานัดจริงๆ เขาก้าวลงจากรถเบนซ์ด้วยสีหน้าปลงๆ แล้วพิมพิราก็จัดการเจ้ากี้เจ้าการให้เขาขึ้นคล่อมมอเตอร์ไซต์รับจ้างพร้อมกับเอาหมวกกันน็อคมาสวมให้

“พี่คะพาไปส่งที่โรงแรม……นะคะ ซิ่งเลยนะพี่” เธอสั่งพร้อมกับยิ้มหวานให้หนุ่มมอเตอร์ไซต์รับจ้าง

“ครับ” วินมอเตอร์ไซต์พยักหน้าให้แล้วก็รีบออกรถพาลูกค้าไปส่งตามคำสั่งทันที

“เหวอ!” พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบเกาะรถมอเตอร์ไซต์อย่างเหนียวแน่นเพราะกลัวตก แถมวินมอเตอร์ไซต์ก็ซิ่งได้สะใจขาโจ๋ จนเขาแอบภาวนาอยู่ในใจ ‘อย่าไปชนรถชนใครที่ไหนนะเฟ้ย! ตูยังไม่อยากลงไปวัดพื้นถนนเล่น’

เมื่อถึงโรงแรม เขาก็ควักตังค์จ่ายค่าโดยสารบวกทิปให้ไปอีกร้อยบาท วินมอเตอร์ไซต์รีบบอกพร้อมกับยื่นแบงค์ร้อยคืนให้ “พี่ให้ตังค์ผมมาเกินครับ”

“เอาไปเถอะพี่ให้ทิป” พลเอกณรงค์ฤทธิ์บอก วินมอเตอร์ไซต์รีบขอบคุณอย่างดีใจ “ขอบคุณครับพี่ โอกาสหน้ามาใช้บริการอีกนะครับ”

แล้ววินมอเตอร์ไซต์ก็ขี่รถจากไป พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองตามหลังไปอย่างสยอง ‘ไม่มีครั้งต่อไปหรอกไอ้น้อง แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวพี่ก็เข็ดจนตายแล้วเฟ้ย!ง

เมื่อพิมพิราตามไปถึง พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็เดินไปจ่ายค่าโดยสารให้ เมื่อวินมอเตอร์ไซต์ไปแล้วเขาก็มองเธอด้วยสายตาดุๆ

แต่ก่อนที่พลเอกณรงค์ฤทธิ์จะทันได้ต่อว่าแม่เลขาหน้าหวาน พิมพิราก็รีบชิงพูดขึ้นซะก่อนว่า “ท่านคะ เหลืออีกสิบนาทีค่ะท่าน รีบไปกันเถอะค่ะ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก้มมองนาฬิกาแล้วรีบเดินเข้าไปข้างในทันที ‘ฮึ่ม! ฝากไว้ก่อนเถอะคุณพะพิม หาเรื่องให้ผมหัวใจจะวายตาย!’

นับตั้งแต่พลเอกณรงค์ฤทธิ์ได้มีประสบการณ์นั่งวินมอเตอร์ไซต์เป็นครั้งแรกในชีวิต เขาก็ยังไม่มีโอกาสเฉ่งแม่เลขาตัวแสบเลย เพราะมัวแต่ทำงานที่กระทรวงกว่าจะมีเวลาว่างเข้าบริษัท ก็ผ่านไปเป็นอาทิตย์กว่า ครั้นพอเข้าออฟฟิต ก็เจองานกองท่วมหัวทำให้ท่านประธานอย่างเขาต้องรีบสะสางงานจนลืมไปแล้ว กว่าจะเสร็จงานก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน

“ขอบคุณครับคุณพะพิมที่อยู่ช่วยงานจนดึก” พลเอกณรงค์ฤทธิ์บอกด้วยสีหน้าอ่อนล้านิดๆ ก็อายุปูนนี้แล้ว ยังต้องมานั่งทำงานหลังขดหลังแข็งตั้งแต่เช้ายันมืด ถ้าไม่เหน็ดไม่เหนื่อยกะเขาเลยก็ต้องเรียกว่าซุปเปอร์แมนแล้วล่ะ

พิมพิรายิ้มรับด้วยสีหน้าอ่อนล้าเช่นกัน ก็ในเมื่อเจ้านายเธอสู้งานขนาดนี้ เธอจะมัวขี้เกียจอยู่ได้ยังไงไม่งั้นเสียชื่อเกียรตินิยมอันดับหนึ่งน่ะซิ

“ไม่เป็นไรค่ะท่าน เพราะยังไงพะพิมก็ได้โอทีอยู่แล้วล่ะค่ะ นี่ขนาดคิดคร่าวๆ แล้วนะคะ พะพิมว่าเดือนนี้พะพิมได้โอทีมากกว่าเงินเดือนแน่ๆ คะท่าน ส่วนเดือนที่แล้วก็ได้น้อยกว่าเงินเดือนแค่สองร้อยเองค่ะ นี่ถ้าได้โอทีแบบนี้ทุกเดือนๆ ล่ะก็…พะพิมคงมีเงินเหลือเยอะแยะเลยล่ะค่ะ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์เลยมองใบหน้าหวานๆ เขม็ง ‘เอ…พูดแบบนี้หาว่าเราใช้งานหนักทางอ้อมรึเปล่าหว่า…’

เสียงหวานๆ ยังคงพูดต่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “แล้วถ้าเหลือเยอะๆ นะคะพะพิมจะได้มีโอกาสพาพ่อกับแม่ไปเยี่ยมน้องที่อังกฤษปลายปีนี้ตอนช่วงปีใหม่ซักทีค่ะ”

เขามองใบหน้ายิ้มแป้นของเลขาซึ่งดูจะชอบซะอีกที่ได้โอทีเยอะๆ เขาจึงปัดความคิดเมื่อกี้ออกไปจากหัวสมองทันที

“นี่ก็ดึกแล้วผมว่าเรากลับกันซักที พรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อ ป่านนี้นพคงนั่งสัปหงกแย่แล้วล่ะ”

“ค่ะท่าน” พิมพิรารีบเรียงแฟ้มเก็บให้เรียบร้อย เมื่อเสร็จแล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ช่วยเลขาปิดไฟในห้องจนถึงดวงสุดท้ายข้างประตู ครั้นออกไปหน้าห้อง ทั้งคู่ก็เห็นคนขับรถนอนฟุบอยู่ที่โต๊ะเลขา น้ำลายไหลยืดเป็นทาง พิมพิราเดินไปปลุก “น้านพคะ น้านพตื่นเถอะค่ะท่านจะกลับบ้านแล้ว”

นายนพงัวเงียตื่น เงยหน้าขึ้นมาน้ำลายไหลย้อยจนพลเอกณรงค์ฤทธิ์ได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะเดินเข้าไปตบบ่า “นพไปล้างหน้าล้างตาไป๊ นอนน้ำลายไหลหมดหล่อแล้ว”

“คร้าบท่าน”นพยานคางรับคำสั่งอย่างงัวเงียแล้วก็ลุกเดินเซๆ ไปล้างหน้าในห้องน้ำ พิมพิราจึงใช้เวลาช่วงที่คนขับรถไปเข้าห้องน้ำ เก็บโต๊ะทำงานของตัวเองให้เรียบร้อย เมื่อน้านพออกมา เธอก็พร้อมจะกลับบ้านแล้ว

“ดึกขนาดนี้เดี๋ยวให้นพไปส่งนะครับคุณพะพิม” พลเอกณรงค์ฤทธิ์บอกอย่างเอื้ออารี พิมพิรารีบไหว้ขอบคุณ “ขอบคุณค่ะท่าน”

แล้วทั้งสามคนก็ออกจากออฟฟิต

หลังจากนั้นไม่นานรถเบนซ์คันงามก็มาจอดหน้าอพาร์ทเม้นต์ที่พักของเลขาสาว พิมพิราสะพายกระเป๋าลงจากรถแล้วหันไปไหว้ท่านประธาน “ขอบคุณค่ะท่าน”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์พยักหน้ายิ้มให้ แล้วพิมพิมราก็มองเลยไปทางคนขับรถ “ขอบคุณค่ะน้านพ”

เมื่อร่ำลาเสร็จแล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็หันไปพยักหน้าให้คนขับรถ นพจึงขับรถออกไปโดยที่เลขายังยืนส่งเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ก่อนที่รถจะพ้นประตูรั้ว พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็หันไปเห็นโทรศัพท์มือถือของเลขาหล่นอยู่ที่เบาะหลังเขาจึงบอกกับนพว่า “นพจอดรถก่อน คุณพะพิมทำโทรศัพท์ตกไว้แน่ะ”

“ครับท่าน” นายนพหยุดรถทันที แต่เพราะมีรถเก๋งตามหลังมา คนขับรถเก๋งจึงบีบแตรไล่ ปี๊นๆ

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ตัดสินใจคว้าโทรศัพท์มือถือของเลขามาพร้อมกับสั่งคนขับรถว่า “งั้นฉันเอามือถือไปให้คุณพะพิมเอง แล้วเดี๋ยวนพขับรถเลยไปก่อนนะ”

แล้วเขาก็เปิดประตูรถลงมาพร้อมกับเอ่ยขอโทษรถคันหลัง “ขอโทษครับ”

นพรีบขับรถออกไปเปิดทางให้รถเก๋ง พอรถเก๋งไปแล้วเขาก็ถอยรถเลี้ยวกลับเข้าไปอีกครั้ง พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบเดินจ้ำอ้าวไปหาพิมพิราซึ่งกำลังจะเดินเข้าไปในอพาร์ทเม้นต์พร้อมกับร้องเรียก “คุณพะพิมครับ คุณทำมือถือตกครับ”

พิมพิราได้ยินเสียงเจ้านายเรียกหล่อนรีบหันกลับไปทันที “คะท่าน”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์เดินไปถึงตัวพิมพิรา เขาก็รีบยื่นโทรศัพท์ให้เธอ “คุณทำมือถือตกไว้ในรถครับ”

“อุ้ยตายจริง” พิมพิรายื่นมือไปรับโทรศัพท์คืนพร้อมกับรีบยกมือไหว้ขอบคุณ “ขอบคุณมากค่ะท่าน”

“ไม่เป็นไรครับ งั้นผมไปล่ะครับ” เขาบอกพร้อมกับยิ้มให้ พิมพิรายิ้มแล้วหย่อนโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋า พลเอกณรงค์ฤทธิ์หมุนตัวกลับ เดินตรงไปที่รถของเขา แต่ยังไม่ทันจะถึงรถ ก็มีเด็กผู้ชายอายุราวเจ็บขวบวิ่งผ่านหน้าเขาไป

“แน่จริงก็ปาให้ถูกซิวะ” เด็กชายคนนั้นตะโกนบอกเด็กผู้ชายอีกคนอายุราวห้าขวบที่วิ่งตามมา เด็กชายที่วิ่งตามหลังรีบปาถุงน้ำใส่เด็กชายคนแรก โพล๊ะ!

“เฮ้ย!” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ตกใจ เมื่อถุงน้ำที่เด็กชายปาเล่นกัน ดันพลาดมาถูกเขาเต็มๆ

“ว๊าย!” พิมพิราก็ตกใจเช่นกัน เพราะเธอยังยืนรอส่งท่านประธานอยู่ เธอรีบเดินเข้าไปหาเขาทันที แต่เมื่อเข้าไปใกล้เขา เธอรีบอุดปากอุดจมูกตัวเองแน่นเพราะได้กลิ่นเหม็นฉึ่ง “ตายแล้วท่าน! ทำไมมันเหม็นแบบนี้ล่ะคะ?”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ตัวเปียกเหม็นฉึ่งไปหมด เขาหันขวับไปมองเด็กชายทั้งสองคนตาขวาง เด็กทั้งสองคนหน้าเจื่อน มองตอบด้วยความหวั่นกลัว “คือ…อึก…อึก…”

นพรีบลงจากรถไปหาเจ้านายหน้าตาตื่น พอเดินไปใกล้ ก็ต้องรีบยกมือปิดปากปิดจมูกตัวเองไปด้วยอีกคน ยามรักษาการณ์รีบวิ่งเข้ามาขอโทษหน้าซีดเป็นไก่ต้ม “ตายห่า! ขอโทษครับคุณ ต้องขอโทษด้วยครับที่ลูกของผมมันซนไปหน่อย”

‘ซนไปหน่อยเรอะ! อย่างนี้มันไม่เรียกว่าซนไปหน่อยแล้วล่ะ นี่มันต้องเรียกว่าซนนรกแตกต่างหากล่ะเฟ้ย!พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยืนเอามือปิดจมูกตัวเองจ้องหน้ายามเขม็ง ยามรีบวิ่งไปลากลูกชายมาขอโทษทันที “ไอ้เอก ไอ้อ๋อง รีบขอโทษคุณลุงเขาซะเลยนะเอ็ง เสือกเล่นพิเรนทร์บ้าอะไรกันห๊าไอ้ลูกเวร! ดูซิทำคุณลุงเขาเปียกไปหมดแล้ว”

ไอ้เปียกน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่เหม็นนี่ซิ! มันโคตรเหม็นสุดๆ ไปเลย

เด็กชายทั้งสองรีบยกมือไหว้พร้อมกับขอโทษทันทีเพราะกลัวพ่อจะตี “ขอโทษครับคุณลุง”

ทั้งสองคนพูดพร้อมๆ กันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้จนพลเอกณรงค์ฤทธิ์นึกสงสาร

“เอาเถอะๆ ช่างมันเถอะ ทีหลังอย่าเล่นอย่างนี้อีกนะไอ้หนู” พลเอกณรงค์ฤทธิ์บอกเด็กชายทั้งสองคนแล้วก็หันไปพูดกับยามผู้เป็นพ่อเด็กว่า “ช่างมันเถอะ ผมถือว่าฟาดเคราะห์ไปล่ะกัน”

“ขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆครับที่ไม่เอาเรื่อง” ยามรีบขอบคุณไหว้ปะหลกๆ “เอ็งสองคนมานี่เลยนะ ไปหาแม่เอ็งเลยไป๊ ดึกป่านนี้ยังเสือกมาวิ่งเล่นกันอยู่ได้ ทีหลังพ่อไม่ตามใจพวกเอ็งแล้ว ไปเข้านอนเลยนะ หนอย! เห็นว่าพรุ่งนี้เป็นวันหยุดไม่ต้องไปโรงเรียนเลยปล่อยให้นอนดึกหน่อยเดียวเสือกก่อเรื่องให้พ่ออีกแล้วไอ้ตัวซน!”

แล้วเขาก็ลากแขนเจ้าตัวต้นเหตุทั้งสองคนไปส่งให้ภรรยาที่ห้องพัก “แม่ไอ้หนูจัดการกับไอ้เอกไอ้อ๋องที มันเสือกเล่นพิเรนทร์เอาฉี่ไปปาใส่กันจนไปโดนคุณเขานั่นน่ะ”

แม่ของเด็กทั้งสองรีบเปิดประตูห้องออกมาทันที พอได้ยินสามีบอกเช่นนั้นเธอก็ลากตัวลูกชายทั้งสองเข้าห้องไปตีทำโทษซะคนละหลายๆ ที เด็กทั้งสองร้องไห้ “แง๊—”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์หันมาก้มมองตัวเองหน้าหงิกเพราะไม่รู้จะทำยังไงดี ‘จะกลับบ้านไปทั้งๆ อย่างนี้ล่ะก็…คงได้พากันกลั้นใจตายก่อนจะถึงบ้านแหงๆ’

พิมพิราดูสีหน้าท่านประธานก็พอจะรู้ว่าท่านคิดอะไรอยู่ เธอจึงรีบบอกว่า “พะพิมว่าเชิญท่านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องพะพิมก่อนเถอะค่ะ ขืนกลับไปทั้งๆ อย่างนี้นะคะ พะพิมว่าท่านกับน้านพคงต้องนั่งอุดจมูกไม่ต้องหายใจกันแล้วล่ะค่ะ”

“ขอบคุณครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ถอนหายใจโล่งอก ‘เฮ้อ…รอดตายแล้วเฟ้ย!’

นพยิ้มดีใจ ‘เย้!…ไม่ต้องทนเหม็นแล้ว…เย้ๆๆๆ’

แล้วพิมพิราก็หันไปบอกกับนพว่า “น้านพช่วยไปหยิบเสื้อผ้าท่านในรถให้หน่อยค่ะ”

“ครับคุณพะพิม” นพรีบวิ่งไปเปิดท้ายรถหยิบกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ ที่นิ่มนวลจัดเสื้อผ้าลำลองและชุดกีฬาใส่เอาไว้เผื่อเวลาเจ้านายไปฟิตเนสมาส่งให้กับคุณเลขา

พิมพิรารับกระเป๋ามาถือไว้แล้วหันไปบอกกับท่านประธานทั้งๆ ที่อุดจมูกว่า “เชิญค่ะท่าน”

จากนั้นเธอก็รีบเดินนำหน้า พาท่านประธานไปที่ห้องตัวเอง ส่วนนพก็เดินกลับไปรอเจ้านายที่รถ

เมื่อถึงหน้าห้อง พิมพิราก็รีบไขกุญแจ เปิดประตูห้องแล้วเอื้อมมือไปเปิดไฟ ครั้นไฟในห้องสว่างเธอก็หันไปเชิญเจ้านาย “ท่านคะ เชิญค่ะ”

เธอเดินนำเข้าไปในห้อง วางกระเป๋าไว้ข้างๆ ชั้นวางรองเท้า แล้วเธอก็ก้มลงถอดรองเท้าวางไว้บนชั้นอย่างเป็นระเบียบ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก้มลงถอดรองเท้าถุงเท้าของตัวเองถอดวางไว้หน้าห้อง พิมพิราเดินไปเปิดไฟห้องน้ำ “เชิญค่ะ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปในห้อง ตรงเข้าห้องน้ำไปล้างมือแล้วเดินออกมาเปิดกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองอย่างรีบด่วน หยิบเสื้อผ้าและอุปกรณ์อาบน้ำเดินลิ่วกลับเข้าห้องน้ำไปทันที พิมพิราเดินไปหยิบถุงพลาสติกหูหิ้วใบใหญ่ซึ่งเป็นถุงใส่ของจากซุปเปอร์มาเก็ตที่พับเอาไว้มายื่นส่งให้เจ้านาย “ท่านคะ เอาไว้ใส่เสื้อผ้าค่ะท่าน”

“ขอบคุณครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองอย่างเข้าใจรับถุงใบนั้นไปแล้วก็ปิดประตูห้องน้ำ เขาอาบน้ำชำระล้างตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า สระผมแล้วสระผมอีก ฟอกสบู่แล้วฟอกสบู่อีกจนหมดกลิ่นฉี่เหม็นๆ

ระหว่างที่รอ พิมพิราก็เอารองเท้าของเจ้านายที่เปื้อนฉี่นิดหน่อย แต่กลิ่นเหม็นสุดๆ ใส่ถุงพลาสติดผูกปากจนแน่นวางไว้ที่เดิม แล้วเธอก็เดินไปเปิดแอร์แล้วก็หันไปเปิดตู้เย็นหยิบนมกล่องออกมานั่งดื่มอยู่ตรงหน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ จนกระทั่งพลเอกณรงค์ฤทธิ์ออกจากห้องน้ำเธอก็ลุกไปรินน้ำเย็นๆ มาให้ “ท่านคะ น้ำค่ะ”

“ขอบคุณครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์เอาผ้าขนหนูพาดบ่าแล้วก็รับแก้วน้ำไปถือไว้ พิมพิรารีบเลื่อนเก้าอี้หน้าโต๊ะคอมไปให้เจ้านายนั่ง แล้วเธอก็ถอยไปลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งแทน พลเอกณรงค์ฤทธิ์นั่งลงแล้วมองสำรวจไปรอบๆ ห้องขนาดเล็กที่เลขาสาวอาศัยอยู่

ภายในห้องพักเล็กๆ มีเตียงนอนวางชิดผนังห้องด้านติดกับประตูหันปลายเตียงไปทางประตูห้อง คลุมผ้าเอาไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย ข้างๆ หัวเตียงก็เป็นโต๊ะคอมพิวเตอร์ที่เลขาสาวนั่งอยู่ บนโต๊ะคอมฯ มีรูปภาพใส่กรอบวางอยู่ซัก 5 รูปเห็นจะได้ เขาอยากจะเดินไปหยิบดู แต่ยังก่อนเพราะเดี๋ยวเจ้าของห้องจะหาว่าเขาไม่มีมารยาทไปยุ่มย่ามกับของๆ เธอ

ส่วนทางด้านปลายเตียงก็มีชั้นวางรองเท้าวางชิดติดผนังอยู่ข้างประตูห้องพอดี แล้วก็มีทีวีขนาดยี่สิบนิ้ววางอยู่บนชั้นวางทีวี ภายในชั้นเรียงหนังสือและแผ่นซีดีเอาไว้เป็นระเบียบ ถัดจากชั้นวางทีวีก็เป็นตู้เย็นขนาดกลาง ตรงกลางห้องมีโต๊ะพับญี่ปุ่นตั้งอยู่ รอบๆ โต๊ะมีเบาะนั่งสีเขียวสดใสเข้าชุดกับหมอนอิงใบใหญ่ ส่วนตรงหน้าห้องน้ำก็เป็นตู้เสื้อผ้ากับโต๊ะเครื่องแป้งสีเดียวกันกับเตียงนอน ข้างๆ ห้องน้ำมีประตูอีกบานซึ่งน่าจะเป็นระเบียงห้อง ถัดจากประตูระเบียงก็เป็นหน้าต่างบานใหญ่ปิดไว้ด้วยผ้าม่านสีเขียว ข้างๆ หน้าต่างมีพัดลมตั้งพื้นอยู่ตัวนึง

พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองไปมองมาพร้อมกับดื่มน้ำไปด้วย ‘โห…สะอาดหมดจดเป็นระเบียบเรียบร้อยดีจัง’

จนน้ำหมดแก้วเขาก็ขอตัวกลับ “ขอบคุณครับคุณพะพิม ผมคงต้องกลับแล้วล่ะครับ มารบกวนคุณซะนาน”

“ไม่เป็นไรค่ะท่าน” พิมพิรายิ้มให้ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ลุกไปวางแก้วน้ำไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นกลางห้อง แล้วเขาก็เดินไปหยิบถุงใส่เสื้อผ้าในห้องน้ำรวมทั้งอุปกรณ์อาบน้ำและผ้าขนหนู พอเก็บของเสร็จสรรพเขาก็เดินออกไป “ขอบคุณมากนะครับ อ้อ ไม่ต้องลงไปส่งผมหรอกนะครับ ดึกมากแล้วคุณจะได้พักผ่อนซักที”

“ค่ะท่าน” พิมพิราพยักหน้ารับ พลเอกณรงค์ฤทธิ์หิ้วกระเป๋าเปิดประตูห้องเดินออกไป เมื่อพ้นประตูไปเขาก็หันไปบอกว่า “ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ปิดประตูล็อคห้องให้ดีๆ นะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับคุณพะพิม”

“ราตรีสวัสดิ์ค่ะท่าน” พิมพิรายิ้มให้ แล้วปิดประตูลงกลอนให้เรียบร้อย พลเอกณรงค์ฤทธิ์รอจนได้ยินเสียงลงกลอนประตูแล้ว เขาก็หิ้วถุงรองเท้าหน้าห้องเดินเท้าเปล่าลงไปข้างล่าง พิมพิราเดินไปคว้าผ้าขนหนูที่ตากไว้ที่ระเบียงเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำบ้าง พอออกมาเธอก็สวมชุดนอนเดินไปปิดไฟแล้วนอนหลับอย่างอ่อนล้า

ณ บริษัทฯ พลเอกณรงค์ฤทธิ์เปิดประตูห้องออกมา ไม่เห็นพิมพิราอยู่ที่โต๊ะเขาก็ถามนพว่า “นพ คุณพะพิมล่ะ”

นพรีบเงยหน้าจากหนังสือการ์ตูนขายหัวเราะหันไปตอบว่า “คุณพะพิมไปฝ่ายบุคคลครับท่าน”

Chapter 8

ซื้อของขวัญให้เลขา

“งั้นเหรอ เออขอบใจนะ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์พยักหน้ารับรู้แล้วก็เดินไปที่โต๊ะเลขาหยิบแฟ้มเอกสารบนโต๊ะซะเอง เขาเหลือบไปเห็นกรอบรูปตั้งโต๊ะแบบพับได้วางอยู่ เขาหยิบขึ้นมาดู ข้างในเป็นรูปชายหญิงคู่หนึ่งยืนโอบกันบนชายหาด ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะเป็นพ่อกับแม่ของพิมพิรา ถัดมาเป็นรูปพิมพิรายิ้มแฉ่งคนเดียวมีฉากหลังเป็นพระอาทิตย์ดวงโตสีแดงซึ่งน่าจะเป็นตอนพระอาทิตย์ตก ถัดมาอีกรูปเป็นรูปพิมพิราสวมชุดครุย บนหัวสวมมงกุฎดอกไม้ยิ้มหน้าบานฉากหลังเป็นซุ้มดอกไม้สีสดมีป้ายแสดงความยินดีตัวเบ้อเริ่ม ส่วนรูปสุดท้ายเป็นรูปพริ้ตตี้สาวสวยหุ่นเซ็กซี่ขยี้ใจชาย ยืนถ่ายรูปคู่กับรถสปอร์ตหรู พอมองหน้าคนในรูปเขาก็ต้องมองแล้วมองอีก เลื่อนกรอบรูปขยับเข้าขยับออกหาโฟกัสให้ชัดๆ เพราะนึกภาพไม่ออกเลยว่าพิมพิราก็แต่งตัวเซ็กซี่เป็นกับเขาเหมือนกัน

‘โอ้โห…มิน่าล่ะหนุ่มๆ ถึงได้ตามจีบกันจัง นี่ขนาดมีข่าวลือกันไปทั่วทั้งออฟฟิตก็ยังดิสเครดิตแม่คุณไม่ได้เลยนะนี่ ก็ยังเห็นตามกันเป็นพรวนอยู่นั้นแหละ ถึงว่าซิ!ขาวๆ อึ๋มๆ ซะขนาดนี้พวกหนุ่มๆถึงได้เทียวไปเทียวมาอยู่นี่เอง’

เขาวางรูปไว้ที่เดิม แล้วก็หยิบแฟ้มบนโต๊ะถือเข้าห้องไป

เมื่อพิมพิรากลับมา นพก็รีบบอกว่า “คุณพะพิมครับ เมื่อกี้ท่านออกมาถามหาคุณน่ะครับ”

“เหรอคะ ขอบคุณค่ะน้านพ” พิมพิราพยักหน้ารับรู้แล้วก็รีบเข้าไปพบเจ้านาย เธอเคาะประตูห้อง “ขออนุญาตค่ะท่าน”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบบอก “เชิญครับ”

พิมพิราเปิดประตูเข้าไปแล้วเธอก็ถามว่า “ท่านมีอะไรจะใช้พะพิมเหรอคะ?”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ้มให้แล้วบอกว่า “เดี๋ยวผมจะออกไปซื้อของขวัญวันเกิดให้เจ้าวีมันน่ะครับ ผมอยากจะให้คุณไปช่วยเลือกของขวัญให้เจ้าวีมันหน่อย”

พิมพิราทำหน้างงๆ ‘เอ๋! จะซื้อของขวัญให้ลูกแล้วเกี่ยวอะไรกับเราล่ะหว่า…’

พลเอกณรงค์ฤทธิ์เห็นเลขาทำหน้างงก็รีบอธิบายว่า “คือว่าทุกทีคุณคุณหญิงจิตตราแม่ของเจ้าวีเขาจะเป็นคนเลือกของขวัญให้เจ้าวีน่ะครับ ผมก็กลัวว่าถ้าผมไปซื้อเองเดี๋ยวจะไม่ถูกใจเจ้าวีน่ะครับ ผมก็เลยอยากให้คุณไปช่วยเลือกให้หน่อย แบบว่าอายุไล่ๆ กันก็น่าจะรู้รสนิยมคนวัยเดียวกันน่ะครับ”

“อ๋อ ได้ซิคะท่าน” พิมพิราพยักหน้ารับปากทันที พลเอกณรงค์ฤทธิ์ปิดแฟ้มที่อ่านค้างอยู่ฉับ แล้วพูดว่า “งั้นก็ไปกันเลยนะครับ”

เขาบอกพร้อมกับลุกขึ้นอย่างว่องไว พิมพิรารีบออกไปเก็บโต๊ะทำงานของเธอพร้อมกับบอกคนขับรถว่า “น้านพคะ ท่านจะไปข้างนอกค่ะ”

“ครับคุณพะพิม” นพพยักหน้ารับรู้แล้วก็รีบไปเตรียมรถทันที เมื่อท่านประธานเดินออกมา พิมพิราก็สะพายกระเป๋าพร้อมจะติดตามเจ้านายไปได้ทุกที่ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็เดินไปกดลิฟท์

เมื่อลงไปด้านหน้าออฟฟิตเขาก็เห็นนพเอารถมาจอดคอยอยู่แล้ว พอขึ้นรถเขาก็สั่งว่า “ไปเกษรพลาซ่านะนพ”

“ครับท่าน” นพรับคำแล้วก็ขับรถออกไปตามคำสั่งเจ้านาย

กว่าจะฝ่าการจราจรไปได้ก็เสียเวลาไปถึง 2 ชั่วโมงจนพิมพิราแอบบ่น “เฮ้อ ติดได้ติดดี นี่ถ้านั่งรถไฟฟ้าล่ะก็แป๊บเดียวก็ถึง”

แม้ว่าเธอจะบ่นเบาๆ กับตัวเอง แต่พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ยังได้ยินเขาเลยหันไปบอกว่า “งั้นตอนขากลับเรานั่งรถไฟฟ้ากลับก็ได้ครับ”

พิมพิราตกใจ ‘อุ้ยตาย! ท่านได้ยินด้วยเหรอ’

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ้มให้แล้วหันกลับไปมองถนนต่อ พิมพิราแอบถอนหายใจโล่งอกเพราะกลัวว่าจะถูกเจ้านายตำหนิ ‘เฮ้อ…รอดตัวไป’

เมื่อไปถึงเกษรพลาซ่า ก่อนจะเข้าไปเลือกซื้อของขวัญ พิมพิราก็ถามท่านประธานว่า “ท่านคะ ท่านคิดว่าจะซื้ออะไรเป็นของขวัญให้คุณวีคะ? พะพิมจะได้เลือกถูกค่ะ”

“ผมคิดว่าจะซื้อนาฬิกาให้น่ะครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ตอบ พิมพิราพยักหน้ารับรู้

หลังจากนั้นพิมพิราก็ได้รู้ว่าสินค้าในห้างนี้แพงขนาดไหน แม้ว่าจะเคยได้ยินมาบ้างแต่ก็ยังไม่เท่ากับได้มาดูได้มารับรู้ด้วยตัวเองดังเช่นในขณะนี้ เคยแต่เดินผ่านๆ ดูอยู่นอกร้าน

“เท่าไหร่นะคะ?” เธอถามพนักงานขายเสียงสูง พนักงานขายคนเดิมรีบบอกราคานาฬิกาเรือนที่คุณลูกค้ากำลังถืออยู่อีกครั้งด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “เจ็ดล้านเก้าแสนค่ะ”

‘โอ้…แม่เจ้า!’ พิมพิรารีบส่งนาฬิกาคืนให้พนักงานขายทันที ‘นาฬิกาแค่เรือนเดียวทำไมมันแพงขนาดนี้ฟร่ะ!’

หลังจากนั้นเธอก็ไม่กล้าหยิบกล้าจับนาฬิกาเรือนไหนในร้านอีกเลย ได้แต่ชี้ให้เจ้านายดูเพราะเธอกลัวจะทำของเขาตกเสียหายขึ้นมาจะเอาปัญญาที่ไหนมาจ่าย พลเอกณรงค์ฤทธิ์เลือกดูจนหมดทั้งร้านก็ยังไม่ถูกใจเลยซักเรือน เขาจึงชวนพิมพิราไปดูร้านอื่น

จากนั้นทั้งสองคนก็เดินเข้าเดินออกร้านนั้นร้านนี้ช่วยกันเลือกแต่ก็ยังไม่เจอที่ถูกใจเลยซักเรือน จนรู้สึกเหนื่อย พลเอกณรงค์ฤทธิ์จึงชวนพิมพิราไปนั่งพัก “คุณพะพิมครับ ผมว่าเราไปหาอะไรดื่มกันก่อนเถอะครับ”

“ค่ะท่าน” พิมพิราหันไปพยักหน้าเห็นด้วย พลเอกณรงค์ฤทธิ์เดินนำพิมพิราตรงไปยังร้านกาแฟเล็กๆ ที่อยู่ในห้าง

เมื่อนั่งปุ๊บ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็สั่งเครื่องดื่มกับพนักงานว่า “ลาเต้ร้อนที่นึงแล้วก็นมเย็นที่นึงครับ”

พิมพิราแปลกใจที่ท่านประธานรู้ได้ยังไงว่าเธอจะสั่งอะไรมาดื่ม ‘เอ๊ะ…ท่าน รู้ได้ไงว่าเราจะสั่งนมเย็น’

แต่เธอก็ไม่กล้าถาม จึงได้แต่นั่งเงียบ มองนู้นมองนี่ไปเรื่อยจนได้ยินเสียงเจ้านายถามว่า “คุณพะพิมจะสั่งอะไรเพิ่มไหมครับ? ร้านนี้เขามีสตอเบอรี่ชีสเค้กอร่อยมากนะครับ”

พิมพิราหันกลับไปมองเจ้านาย เธอนึกแปลกใจอีกครั้ง ‘เอ๊ะ…ท่านรู้ได้ไงว่าเราชอบสตอเบอรี่ชีสเค้ก?’

แล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ไม่รอคำตอบจากเลขา เขาหันไปสั่งกับพนักงานว่า “น้องครับเอาสตอเบอรี่ชีสเค้กมาสองที่ครับ”

แล้วเขาก็หันกลับมาพูดกับเธอว่า “ถ้าคุณพะพิมได้ลองกินสตอเบอรี่ชีสเค้กของที่นี่แล้วล่ะก็ ผมรับรองเลยว่าไม่มีที่ไหนอร่อยเท่าร้านนี้อีกแล้วครับ”

“จริงเหรอคะท่าน ขอบคุณค่ะ” พิมพิราพยักหน้ารับรู้

เมื่อเครื่องดื่มกับของว่างที่สั่งไปมาเสิร์ฟ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็พูดว่า “ขอบคุณครับ”

พนักงานเสิร์ฟยิ้มรับแล้วก็ถอยออกไป พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยกแก้วลาเต้ขึ้นจิบ แล้วก็หยิบส้อมตัดแบ่งขนมตักเข้าปาก พิมพิรามองขนมในจานตรงหน้าแล้วตักกินบ้าง ‘อืมห์…อร่อยอ่ะ’

ดวงตาหวานเป็นประกายวิบวับอย่างมีความสุขขึ้นมาทันที

“อร่อยใช่ไหมครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ถามพร้อมกับยิ้มให้ พิมพิรารีบเคี้ยวรีบกลืนขนมแล้วตอบว่า “ค่ะท่าน อร่อยมากค่ะ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ้มรับ แล้วก็ไม่ชวนเลขาคุยอีก จนกระทั่งพิมพิรากินสตอเบอรี่ชีสเค้กจนหมด

“สตอเบอรี่ชีสเค้กของที่นี่เขาอร่อยมากๆ จนผมมากินบ่อยๆ เลยล่ะครับ” เขาเล่าให้ฟัง และเมื่อพิมพิราดื่มนมเย็นหมดแล้วเขาก็สั่งเช็คบิล “น้องครับ เช็คบิลด้วยครับ”

พนักงานรีบเข้ามาบริการอย่างว่องไวทันใจ เพียงครู่เดียวก็นำบิลมายื่นให้ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็จัดการจ่ายเงิน พิมพิราเหลือบมองบิลแล้วก็แทบลมจับ เมื่อรู้ราคานมเย็นที่เธอดื่มและสตอเบอรี่ชีสเค้กที่เธอกินเข้าไป ‘จ๊าก! นมเย็นแก้วเดียวเกือบสองร้อย สตอเบอรี่ชีสเค้กชิ้นละเกือบสามร้อย ทำไมมันแพงขนาดนี้ฟร่ะ!?’

หลังจากนั้นท่านประธานก็ชวนคุณเลขาไปเดินเลือกของขวัญต่อ กว่าจะเลือกได้ก็เล่นเอาเดินกันทั่วทั้งห้าง เมื่อเลือกได้แล้วพนักงานขายก็จัดการห่อของขวัญตามคำสั่งลูกค้าทันที พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็รูดเครดิตการ์ดจ่ายปื้ดๆ จ่ายแบบชิลๆ แค่สิบล้านกว่าๆ เอง

เมื่อซื้อของเสร็จปั๊บก็กลับกันปุ๊บ แถมขากลับท่านประธานยังชวนคุณเลขานั่งรถไฟฟ้ากลับอีกต่างหาก พิมพิราจึงได้รู้ว่าพลเอกณรงค์ฤทธิ์ไม่เคยใช้บริการรถไฟฟ้าเลย จึงเป็นหน้าที่เธอจัดการซื้อตั๋วให้และคอยบอกว่าต้องทำยังไงบ้าง พลเอกณรงค์ฤทธิ์ทำตามที่พิมพิราบอกอย่างเก้ๆ กังๆ ตามประสาคนไม่เคยขึ้นรถไฟฟ้า

จนกระทั่งถึงสถานีปลายทางซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับบริษัท พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็เสียบบัตรโดยสารเข้าเครื่องตามที่พิมพิราบอก แต่เพราะเป็นบัตรโดยสารแบบเที่ยวเดียวจึงไม่มีบัตรคืนมา ทำให้พลเอกณรงค์ฤทธิ์ซึ่งมัวแต่รอจะรับบัตรคืนเหมือนที่เห็นคนอื่นๆ เขาได้คืน จนพิมพิราต้องรีบดันหลังท่านประธานให้เดินออกไปก่อนที่แผงกั้นจะปิด “ท่านคะเดินไปเลยค่ะ”

เมื่อท่านประธานเดินออกไปแล้ว พิมพิราก็แตะบัตรของตัวเองกับเครื่องแล้วเดินตามออกไป หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินจากสถานีรถไฟฟ้าไปจนถึงบริษัท

“โห…แค่แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว ถ้ารู้งี้นะผมไม่มัวนั่งรถให้เสียเวลาหรอกครับ ครั้งหน้าเรานั่งรถไฟฟ้าไปนะครับคุณพะพิม  มันเร็วดีผมชอบ”

“ค่ะท่าน” พิมพิรายิ้ม

เมื่อถึงบริษัท ท่านประธานก็กลับไปนั่งทำงานต่อ กว่านายนพจะขับรถฝ่าการจราจรกลับมาถึงที่บริษัทก็เสียเวลาไปตั้งเกือบ 3 ชั่วโมง เพราะตอนขากลับเป็นช่วงโรงเรียนใกล้เลิก การจราจรจึงเริ่มๆ จะติดอย่างมหาโหด

เมื่อใกล้จะถึงเวลาเลิกงาน ท่านประธานก็เรียกเลขาเข้าไปพบ “คุณพะพิมครับเชิญข้างในหน่อยครับ”

“ค่ะท่าน” พิมพิราตอบอินเตอร์คอม แล้วก็รีบเข้าไปตามคำสั่งทันที “ท่านมีอะไรจะใช้พะพิมเหรอคะ?”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยื่นกล่องของขวัญกล่องหนึ่งให้คุณเลขาพร้อมกับอมยิ้ม “ผมให้คุณครับ”

“อะไรคะเนี่ย? ให้พะพิมทำไมคะ? ท่านให้เนื่องในโอกาสอะไรคะ?” พิมพิราทำหน้างงๆ

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ลุกจากเก้าอี้เดินอ้อมโต๊ะมายืนตรงหน้าพิมพิรา แล้วเขาก็จับมือเธอให้แบออก แล้วเอากล่องของขวัญใบน้อยวางลงบนฝ่ามือขาวนวลพร้อมกับยิ้มให้ “ผมให้ เพราะอยากจะตอบแทนที่คุณทำงานให้ผมดีมากๆ ดีกว่าที่ผมคาดไว้ซะอีก อีกอย่างผมอยากจะตอบแทนที่ใช้งานคุณล่วงเวลาบ่อยๆ จนทำให้คุณต้องกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ เป็นประจำ รับไว้เถอะครับ ถือว่าเป็นสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากผมล่ะกัน”

“แต่ว่า…” พิมพิราปฏิเสธ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็รีบบอกว่า “อย่าปฏิเสธที่จะไม่รับนะครับ ผมซื้อมาแล้วอย่าให้ผมต้องเสียเงินเปล่าเลยนะครับ”

พิมพิราได้ยินเขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ แกมขอร้อง เธอจึงไม่อาจจะปฏิเสธได้ “ขอบคุณค่ะท่าน”

“แกะดูเลยซิครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์คะยั้นคะยอให้เธอหล่อนแกะห่อของขวัญ พิมพิราได้แต่ทำตาม ครั้นพอเธอแกะกระดาษสีสวยที่ห่อออกแล้ว เธอก็เห็นว่าข้างในเป็นกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม พอเปิดออกดูหัวใจดวงน้อยๆ ของเธอแทบหยุดเต้น เพราะสิ่งที่อยู่ภายในกล่องก็คือนาฬิกาฝังเพชรแบรนด์คาเทียที่เธอเมียงๆ มองๆ ตอนที่เลือกซื้อของขวัญเมื่อตอนบ่าย ด้วยความที่ดีไซน์สวยถูกใจ จนเธออดที่จะถามราคากับพนักงานขายไม่ได้ แต่พอได้รู้ราคาปั๊บเธอก็เลิกคิดฝันอยากจะเป็นเจ้าของทันที ก็ราคาตั้งล้านสอง เธอจะเอาปัญญาที่ไหนไปซื้อได้ล่ะ หรือต่อให้เธอทำงานหาเงินเก่งๆ ได้เหมือนอย่างน้องสาวตัวเองก็เหอะ เธอยังไม่ซื้อเลย ก็ตั้งล้านสองซื้อบ้านได้เป็นหลังเชียวนะเนี่ย!

เมื่อตั้งสติได้ เธอก็รีบปิดกล่องแล้วส่งคืนทันที “ท่านคะ ของแพงขนาดนี้พะพิมรับไม่ได้หรอกค่ะ”

ใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มของพลเอกณรงค์ฤทธิ์เลยหุบฉับพลัน “อ้าว…ทำไมล่ะครับคุณพะพิม?”

“พะพิมขี้เกียจเป็นข่าวค่ะ แค่นี้เขาก็เม้าส์กันจะแย่แล้วว่า พะพิมหวังจะรวยทางลัด ขืนคนอื่นรู้เข้าว่าท่านให้ของแพงๆ กับพะพิม ทีนี้ล่ะค่ะ เขาคงเอาไปเม้าส์กันสนั่นออฟฟิตว่าข่าวที่ลือๆ กันอยู่คงไม่ใช่แค่ข่าวโคมลอยแน่ ท่านเอาคืนไปเถอะค่ะพะพิมรับไว้ไม่ได้จริงๆ ค่ะ” พิมพิมรายื่นกล่องส่งคืนให้ แต่พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ไม่ยอมรับคืนพร้อมกับรีบบอกว่า “รับไว้เถอะครับคุณพะพิม ผมซื้อให้ก็เพราะผมอยากจะให้คุณจริงๆ ผมให้คุณแล้ว คุณจะใส่หรือไม่ใส่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย ส่วนเรื่องที่เขาลือๆ กันอยู่ คุณก็เคยพูดเองนี่ครับว่าอีกไม่นานเขาก็เลิกพูดกันไปเองแล้วคุณจะไปใส่ใจกับเสียงนกเสียงกาทำไมล่ะครับ?”

“แต่ท่านคะ…” พิมพิราปฏิเสธ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็รีบชิงพูดขึ้นซะก่อนว่า “ไม่ต้องมีแต่ครับ ผมให้คุณแล้ว ผมไม่รับคืนหรอกนะครับ คุณพะพิมครับ รับไว้เถอะครับอย่าทำให้ผมเสียน้ำใจเลย”

เมื่อท่านประธานทำหน้าดุๆ พูดแกมบังคับ พิมพิราจึงไม่อาจจะปฏิเสธต่อไปได้ เธอจำใจรับไว้พร้อมกับไหว้ขอบคุณ “ก็ได้ค่ะท่าน พะพิมจะรับไว้ค่ะ ขอบคุณค่ะท่าน”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ้มแป้นทันทีที่พิมพิรายอมรับของขวัญจากเขา

ระยะหลังๆ มานี้ พลเอกณรงค์ฤทธิ์มักจะชวนพิมพิราไปไหนมาไหนด้วยเสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งวันหยุด

“คุณพะพิมครับ วันอาทิตย์พรุ่งนี้คุณว่างไหมครับ ผมอยากจะชวนคุณไปดูที่ดินแถวลาดพร้าวด้วยกันหน่อยครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ถามเลขาในตอนเย็นวันเสาร์ก่อนเลิกงาน พิมพิราตอบได้ทันที เพราะเธอยังไม่ได้วางโปรแกรมว่าจะทำอะไรในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดเลย “ว่างค่ะท่าน”

พอได้ยินคำตอบของแม่เลขาหน้าหวาน พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็แอบดีใจ ‘เย้ส!’

แล้วเขาก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เมื่อเห็นเลขาสาวจ้องเอาๆ ด้วยความสงสัยว่า ‘ท่านเป็นอะไรหว่า? ทำไมทำท่าแปลกๆ แบบนั้นล่ะ?’

“อะแฮ่มๆ…งั้นพรุ่งนี้แปดโมงเช้าผมจะไปรับคุณที่บ้านนะครับ”

“ค่ะท่าน” พิมพิราตอบรับ ยังไม่ทันจะขอตัว ท่านประธานก็เรียกอีก “เอ่อ คุณพะพิมครับ”

“คะท่าน” พิมพิราขานรับพร้อมกับรอฟังว่าท่านประธานจะใช้อะไรเธออีก

“คือว่าเย็นนี้ เขาเชิญผมไปดูการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ตอนหมุมานเผากรุงลงกาที่…….น่ะครับ ผมก็เลยอยากจะชวนคุณไปดูด้วยกันน่ะครับ ไปเป็นเพื่อนผมหน่อยนะครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ชวนด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจแอบลุ้นแทบตาย…กลัวถูกปฏิเสธแทบแย่!

“ค่ะท่าน” พิมพิรารีบตอบตกลงทันที เพราะเธอชอบดูการแสดงนาฏศิลป์เป็นชีวิตจิตใจเลยล่ะ เธอยิ้มดีใจ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ้มหน้าบาน เพราะไม่เสียเที่ยวที่เขาอุตส่าห์ไปแอบถามกับสมศรี จนได้รู้ว่าแม่เลขาหน้าหวานมีรสนิยมยังไง? มีไลฟ์สไตล์แบบไหน? ซึ่งสมศรีก็รีบสาธยายให้ฟังแบบไม่มีหมกเม็ด

เขาชำเลืองดูนาฬิกาแล้วก็บอกว่า “ถ้างั้นเดี๋ยวหกโมงเย็นผมไปรับที่บ้านนะครับ นี่ก็ใกล้จะเลิกงานแล้วผมว่าคุณพะพิมรีบกลับไปแต่งตัวเถอะครับ”

“อ้าว…ทำไมต้องกลับไปแต่งตัวใหม่ด้วยล่ะคะท่าน ใส่ชุดนี้ไปดูไม่ได้เหรอคะ?” พิมพิราย้อนถามอย่างงุนงง เธอก้มมองตัวเอง เพราะชุดเสื้อสูทกับกระโปรงที่เธอสวมอยู่ก็ดูเรียบร้อยดีนี่นา

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ส่ายหน้าแล้วรีบบอกว่า “คือว่าเป็นรอบปฐมทัศน์น่ะครับ”

พิมพิราก็ยังทำหน้างงๆ ไม่เข้าใจอยู่ดี พลเอกณรงค์ฤทธิ์จึงต้องอธิบายเพิ่มว่า “คือรอบปฐมทัศน์เขาจะเชิญแต่คนดังๆ อย่างพวกดารา เซเลบ นักธุรกิจใหญ่ๆ กับนักข่าวไปกันน่ะครับ ผู้ชายก็จะใส่ทักซิโด้ ส่วนผู้หญิงก็จะแต่งชุดราตรีไปดูกันน่ะครับ ไม่มีผู้หญิงคนไหนแต่งสูทไปดูหรอกครับ”

“อ๋อ เข้าใจแล้วล่ะค่ะ” พิมพิราพยักหน้าถึงบางอ้อทันที ‘มีแต่พวกไฮโซไฮซ้อว่างั้นเถอะ’

“ถ้างั้นพะพิมขอตัวก่อนนะคะ” เธอบอก พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบพยักหน้าอนุญาต “เชิญครับ อ้อ คุณพะพิมครับแต่งให้สวยที่สุดเลยนะครับ เพราะเดี๋ยวต้องไปเจอนักข่าวถ่ายรูปเอาไปลงหน้าสังคมด้วยนะครับ”

“ค่ะท่าน” พิมพิรารับคำ แล้วก็เดินออกจากห้องไปเก็บโต๊ะทำงาน แล้วก็รีบกลับบ้านไปอาบน้ำแต่งตัว

เมื่ออาบน้ำเสร็จ พิมพิราก็พันผ้าขนหนูไว้ แล้วออกมานั่งแต่งหน้าเกล้ามวยผมให้เข้ากับชุดที่เธอจะใส่ พอแต่งหน้าทำผมเสร็จ เธอก็เปิดตู้เสื้อผ้าหาชุดเดรสที่เธอเคยใส่ตอนงานเลี้ยงปัจฉิมนิเทศน์

“เอ…อยู่ไหนนะ?” เธอหาจนหมดทั้งตู้ แต่ก็ไม่พบชุดเดรสราตรียาวที่เธอต้องการเลย “อยู่ไหนล่ะเนี่ย? ก็จำได้ว่าใส่ไว้ในตู้นี่แหละ แล้วมันไปไหนกันนะ?”

พลัน! เธอก็นึกขึ้นได้ว่า “อุ้ยตาย! ลืมไปเลยว่าตอนย้ายห้อง เราเอาใส่กล่องให้แม่เอาไปไว้ที่บ้านแล้วนี่นา แย่ล่ะซิมีชุดนั้นชุดเดียวซะด้วยซิ ทำไงดีล่ะยัยพะพิมเอ้ย? แล้วจะเอาชุดที่ไหนใส่ไปล่ะเนี่ย? งานนี้มีแต่ไฮโซไฮซ้อแถมท่านยังย้ำแล้วว่ามีนักข่าวด้วย ขืนแต่งตัวสะเหร่อๆไปล่ะก็…คงได้ทำให้ท่านขายหน้าแย่แน่ๆ เลย พี่โรสก็เคยบอกแล้วว่าถ้าต้องตามท่านไปออกงานด้วยล่ะก็ ต้องแต่งตัวเริ่ดๆ เข้าไว้ห้ามทำให้ท่านขายหน้าเด็ดขาด แล้วนี่เราจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย?”

เธอมองไปมองมา แล้วสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับกระเป๋าเสื้อผ้าของน้องสาวซึ่งวางแอบอยู่ด้านล่างของตู้เสื้อผ้า “อุ้ย! นี่มันกระเป๋าของละลินนี่ ลืมไปเลยว่าละลินทิ้งเอาไว้เผื่อตอนกลับมากรุงเทพนี่นา ไหนดูซิ…เผื่อจะมีชุดไหนพอจะยืมใส่ไปงานได้มั่งน้า”

เธอรีบยกกระเป๋าเสื้อผ้าของน้องสาวมาเปิดดูทันที มือเรียวหยิบเสื้อผ้าที่พับซ้อนๆ กันเอาไว้ออกมาดู  พอเกือบจะถึงก้นกระเป๋าเธอก็ดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น “เย้! เจอแล้ว โชคดีจริงๆ ที่ละลินทิ้งชุดราตรีไว้ด้วย”

พิมพิรารีบหยิบชุดเดรสที่พับใส่ถุงพลาสติกใสไว้ 3 ชุดมาคลี่ดูทันที เธอเอามาทาบกับตัวแล้วส่องกระจกดู

“อึ่ย! ตัวนี้สั้นจัง ไม่เอาหรอก” เธอติทันที แล้วก็หยิบชุดใหม่ขึ้นมาดู

“ไอ้หย่า! ตัวนี้ก็ผ่าซะสูงเชียว” เธอรีบวางชุดลง แล้วก็หยิบชุดต่อไปขึ้นมาทาบ

“ว้า ตัวนี้ก็โป๊จัง ข้างหลังเปิดหมดเลย”

พอเหลือบไปดูนาฬิกา เธอก็รีบๆ เลือกเพราะเกือบจะหกโมงแล้ว “เอาตัวนี้แหละ ขืนชักช้าเดี๋ยวจะไม่ทัน”

จากนั้นพิมพิราก็กวาดเสื้อผ้าตัวอื่นๆ ยัดลงกระเป๋าแล้วเก็บเข้าตู้เอาไว้อย่างลวกๆ เธอรีบตะกุยตะกายหาชุดชั้นในมานุ่ง แล้วรีบสวมชุดเดรสของน้องสาวโดยเร็ว ถึงแม้ว่าชุดจะเล็กไปนิดนึงสำหรับตัวเธอที่อวบกว่าน้องสาวนิดหน่อย แต่พอจะใส่ได้อยู่

เมื่อแต่งตัวเสร็จก็รีบเติมหน้าอีกนิดให้เข้ากับชุด แล้วเธอก็รีบสวมรองเท้าคว้ากระเป๋าถือใบน้อยออกจากห้องลงไปข้างล่างทันที พลเอกณรงค์ฤทธิ์มาถึงก่อนเวลานัดห้านาที เมื่อรถจอดปั๊บ พิมพิราก็เดินออกจากอาคารมาพอดี พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองเธออย่างตกตะลึง ‘แม่เจ้าโว้ย!’

ก็ทุกวันๆ เห็นแต่คุณเลขาหน้าหวานใส่แต่ชุดสูทกระโปรงยาวเหนือเข่านิดเดียวซะจนชินตา เทียบกับขณะนี้มันช่างแตกต่างกันลิบลับเลยล่ะ ชุดเดรสเกาะอกสีแดงสดชายกระโปรงรัดรูปยาวถึงข้อเท้าแต่ผ่าสูงโชว์เรียวขาขาวๆ จนใครต่อใครต้องหันไปมองตามจนต้องเหลียวหลังเลยเชียว

ใบหน้าสวยหวานแต่งแต้มเครื่องสำอางไว้อย่างบรรจงแบบมืออาชีพ เพราะพิมพิรานั้นเคยช่วยพิมไพลินผู้เป็นน้องสาวแต่งหน้าอยู่บ่อยๆ จนฝีมือเข้าขั้นไม่แพ้มืออาชีพเลยล่ะ

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ได้แต่นั่งตะลึงมองอยู่ในรถ จนพิมพิราเดินไปถึงตัวรถ ส่วนนพก็อึ้งไปเลย จะไม่ให้อึ้งได้ไงล่ะ ก็สวยขนาดส่งเข้าประกวดนางงามได้เลยอ่ะ อกเป็นอก เอวเป็นเอว ก้นงอนเด้งซะจนได้สัดส่วนนางงามแท้ๆ กะดูคร่าวๆ น่าจะซักราวๆ ‘37…25…38 สูงร้อยกว่าๆ ชอบมะ…ชอบม่า…’ เพลงฮิตของเจ๊ฮาย อาภาพรแว๊บขึ้นมาในหัวสมองของเขาซึ่งยังนั่งตะลึงมองตาค้าง

พิมพิราเปิดประตูเข้ามานั่งในรถแล้วเธอก็ถามทันทีว่า “ท่านมารอนานรึยังคะ? ขอโทษนะคะที่พะพิมแต่งตัวช้าไปหน่อยน่ะค่ะ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์สะดุ้ง! “อ่ะ! ไม่…ไม่นานครับ ผมก็เพิ่งจะมาถึงนี่แหละครับ”

เขาตอบแล้วก็หันไปสะกิดคนขับรถ ที่เอาแต่มองเลขาคนสวยจนแมลงวันแทบจะบินเข้าปากได้

“นพ นพ ไอ้คุณนพ! ไปได้แล้ว” เขาเรียกคนขับรถเสียงเข้มพร้อมกับตบไหล่คนที่มัวแต่ตะลึงตาค้าง ผั๊วะ!

นพสะดุ้ง “คะ…ครับ ครับท่าน”

จากนั้นเขาก็รีบหันไปปลดเบรกมือใส่เกียร์ขับรถออกไปทันที

พอไปถึงสถานที่จัดงาน คุณหญิงสายสมรผู้จัดงานก็รีบเข้าไปทักทาย “สวัสดีค่ะท่าน ขอบพระคุณนะคะที่อุตส่าห์มาเป็นเกียรติในวันนี้ค่ะ”

“สวัสดีครับคุณหญิง ก็คุณหญิงให้เกียรติเชิญทั้งทีผมจะไม่มาได้ยังไงล่ะครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ทักทายตอบ แล้วหันไปแนะนำตัวคุณหญิงสายสมรกับเลขา “คุณพะพิมครับนี่คุณหญิงสายสมรผู้จัดงานนี้ครับ”

Chapter 9

พาเลขาออกงาน

พิมพิราย่อตัวไหว้อย่างอ่อนช้อย “สวัสดีค่ะคุณหญิง”

คุณหญิงสายสมรรับไหว้พร้อมกับมองลอดแว่น “สวัสดีจ้ะหนู”

แล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็รีบแนะนำว่า “คุณหญิงครับ นี่คุณพิมพิราเลขาของผมครับ”

เมื่อแนะนำตัวกันเสร็จสรรพ คุณหญิงสายสมรก็ถามว่า “อ้าว แล้วคุณโรสล่ะคะท่าน?”

“อ๋อ… คือว่าคุณพิมพิรามาทำงานแทนช่วงที่คุณโรสลาคลอดน่ะครับคุณหญิง” พลเอกณรงค์ฤทธิ์บอก คุณหญิงสายสมรพยักหน้าหงึกๆ “อ๋อค่ะ”

แล้วคุณหญิงก็มองลอดแว่นอีกที

“เอ หนูนี่หน้าคุ้นๆ อยู่นะคะ เราเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่าคะ?” คุณหญิงสายสมรถามด้วยความสงสัย ก็หญิงสาวตรงหน้าช่างคุ้นหน้าคุ้นตาซะเหลือเกิน!

พิมพิรารีบตอบว่า “ไม่เคยหรอกค่ะคุณหญิง”

“งั้นเหรอคะ งั้นก็ช่างเถอะคะ” คุณหญิงสายสมรพยักหน้า แล้วก็หันไปพูดกับพลเอกณรงค์ฤทธิ์ว่า “อุ้ยตายจริง! ขอโทษค่ะท่าน มัวแต่ชวนคุยเพลิน เชิญค่ะท่าน เชิญข้างในเลยค่ะ”

คุณหญิงเชื้อเชิญพลางเดินนำไปที่เก้าอี้ด้วยตัวเอง

“ครับคุณหญิง” พลเอกณรงค์ฤทธิ์เดินตามคุณหญิงสายสมรเข้าไปในงาน พิมพิราก็รีบเดินตามไปติดๆ

“เมื่อครู่นี้คุณน้องจิตตรีก็เพิ่งจะมาถึงเหมือนกันค่ะ แหมนี่นัดกันมารึเปล่าคะท่าน ถึงได้มาถึงไล่ๆ กันเลย” คุณหญิงสายสมรแซวยิ้มๆ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ชะงักกึก! ‘หยึ๋ย…’

“นี่คุณจิตตรีก็มาด้วยเหรอครับคุณหญิง?”

“มาซิคะท่าน เพิ่งจะเดินเข้าไปเมื่อกี้นี้เองค่ะ” คุณหญิงสายสมรบอกยังไม่ทันจะขาดคำ เสียงแหลมๆ ดั่งเสียงเปรตจากนรกอเวจีก็ดังนำมาก่อนตัวเลยเชียว “ต๊าย…ตายคุณพี่ นี่คุณพี่ก็มางานนี้ด้วยเหรอคะไม่เห็นบอกจิตตรีเลยนะคะ”

จิตตรีเดินตรงเข้าไปต่อว่าพร้อมกับทำท่าจะเข้าไปควงแขน พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบหันไปกระซิบเรียกพร้อมกับขยิบตากับเลขา “คุณพะพิมครับ”

“อ้อ…ค่ะท่าน” พิมพิรารีบเดินไปยืนขนาบข้างกันไม่ให้จิตตรีเข้าใกล้เจ้านาย ‘หุๆๆๆ ยัยป้าคานทอง คราวนี้แหละฉันจะเอาคืนมั่งล่ะ…’

จิตตรีหน้าบึ้งทันควัน! ‘กรี๊ด!…นี่คุณพี่เอาอีนังนี่มาด้วยเหรอ!?’

พิมพิรายืนอยู่ข้างๆ เจ้านายทำหน้าที่เป็นไม้กันหมา เธอจิกสายตาเย็นชาใส่อีกฝ่าย

‘หนอยน่ะอีนี่…น่าตบให้คว่ำนัก!’ จิตตรีรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วยิ้มหวานให้อดีตพี่เขย “แหม…นี่ถ้าคุณพี่บอกจิตตรีซักคำล่ะก็…จิตตรีคงไม่ปล่อยให้คุณพี่ต้องมากับเลขาหรอกค่ะ”

ทั้งปากทั้งน้ำเสียงหวานหยด แต่ดวงตาฉายแววร้ายกาจจิกใส่เลขาหน้าหวาน ฉึก! ฉึก! ฉึก!…

พิมพิราก็จิกตามองตอบอย่างท้าทาย ‘ฉึก! ฉึก! ฉึก!…เชอะ! ยัยป้าคานทอง!’

พลเอกณรงค์ฤทธิ์แย้มยิ้มให้พร้อมกับพูดว่า “ขอบคุณครับคุณจิตตรี แต่ผมไม่อยากจะไปรบกวนเวลาอันมีค่าของคุณหรอกครับ”

‘เฮอะ…เรื่องอะไรจะบอกล่ะ นี่ถ้ารู้ว่าต้องมาเจอกันล่ะก็…จ้างให้ก็ไม่มาหรอกเฟ้ย!’

คุณหญิงสายสมรรีบเบือนหน้าไปแอบยิ้มขำที่เห็นจิตตรีถูกปฏิเสธ ก็พอจะรู้ข่าวมาบ้างว่าจิตตรีจ้องจะงาบอดีตพี่เขย แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นจะๆ วันนี้เอง ก็ดูซิ…ฝ่ายหญิงอุตส่าห์ทอดสะพาน แทบจะเอาตัวใส่พานประเคนให้ ส่วนฝ่ายชายก็เอาแต่ตั้งท่าปฏิเสธ

ก็น่าเห็นใจท่านนายพลยิ่งนัก ถ้าจิตตรีจะมีนิสัยละม้ายคล้ายคุณหญิงจิตตราบ้าง ท่านนายพลก็คงจะสนใจอยู่หรอก แต่นี่…แตกต่างกันลิบลับ จนแทบจะไม่อยากเชื่อว่าเป็นพี่น้องกันจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าได้บัตรเชิญไปยังไงเพราะตัวคุณหญิงไม่เคยคิดจะเชิญจิตตรีมาร่วมงานอยู่แล้ว คุณหญิงจึงรีบช่วยกันท่าให้

“เชิญท่านไปนั่งเถอะค่ะ นี่ก็ใกล้จะเริ่มการแสดงแล้วล่ะค่ะ” แล้วคุณหญิงสายสมรก็หันไปบอกกับจิตตรีว่า “ขอตัวก่อนนะคะคุณน้องจิตตรี”

คุณหญิงสายสมรรีบพาท่านนายพลกับเลขาไปนั่งที่เก้าอี้ด้วยตัวเอง จิตตรีได้แต่ยืนฟึ่ดฟัดกระฟัดกระเฟียด ‘หนอยแน่ะ!…อีคุณหญิง! เสือกไม่เข้าเรื่องจริงๆ!’

เมื่อส่งท่านนายพลกับเลขาไปนั่งที่เก้าอี้แถวหน้าแล้ว คุณหญิงสายสมรก็ขอตัวไปต้อนรับแขกต่อ

“นี่หล่อน พอจะรู้ไหมว่าเลขาของท่านณรงค์เป็นลูกเต้าเหล่าใครกัน?” คุณหญิงสายสมรถามกับบรรดาเพื่อนๆ ที่เป็นคุณหญิงด้วยกัน เพราะรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาคุณเลขาหน้าหวานมากๆ แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน?

แล้วก็ได้คำตอบกลับมาทันทีว่า “อ้าว นี่หล่อนจำไม่ได้เหรอจ๊ะ? ก็เด็กคนนี้ไงที่รำถวายพระพรเมื่อตอนงานห้าธันวาน่ะ เด็กคนนี้แหละที่ฉันชี้ให้หล่อนดู แล้วหล่อนยังให้คนไปทาบทามจะส่งเข้าประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ปีนี้ไงล่ะ แหมลืมง่ายจังนะหล่อนนี่”

เพื่อนที่เป็นคุณหญิงด้วยกันจีบปากจีบคอบอก คุณหญิงสายสมรนึกขึ้นได้ “ต๊าย! ถึงว่าซิ ว่าหน้าคุ้นๆ แต่เสียดายจังที่เด็กคนนั้นไม่ยอมเข้าประกวด นี่ถ้าเด็กคนนั้นยอมเข้าประกวดล่ะก็…รับรองว่าคว้ามงกุฏปีนี้มาครองแน่ๆ เลยเชียว”

แล้วคุณหญิงสายสมรก็มองไปทางพิมพิราอย่างแสนเสียดาย

จนกระทั่งใกล้จะถึงเวลาเปิดม่านคุณหญิงจึงรีบไปนั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง แขกทุกคนที่มาในงานต่างพากันตบมือ เมื่อพิธีกรหนุ่มรูปหล่อกับพิธีกรสาวสวยเดินขึ้นไปบนเวที

หลังจากพิธีกรกล่าวเปิดงานจบ การแสดงก็เริ่มขึ้น พิมพิรานั่งดูการแสดงอย่างตื่นเต้นและมีความสุข ก็เธอเพิ่งจะมีโอกาสได้นั่งดูใกล้ๆ ติดหน้าเวทีขนาดนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็คอยลอบมองเลขาสาวบ่อยๆ ‘โห คงจะชอบมาก ถึงขนาดนั่งดูไม่กะพริบตาเลยแบบนี้แฮะ’

เขาแทบจะไม่ได้ดูการแสดงบนเวทีเลย เพราะใบหน้าหวานๆ ตรึงสายตาของเขาไว้จนไม่อยากจะหันไปมองอย่างอื่น

จิตตรีซึ่งนั่งอยู่แถวที่สิบนับจากหน้าเวที พอมองเห็นกริยาท่าทางและสายตาของพลเอกณรงค์ฤทธิ์ที่เอาแต่มองนังเลขานั่น เธอก็อยากจะลุกไปกระชากแม่เลขาหน้าหวานมาตบๆๆ ให้หายโมโห แต่ก็ทำไม่ได้

‘หนอย!  อีนังพิมพิรา มึงจงใจแต่งตัวยั่วคุณพี่ชัดๆ มันน่าจับตบให้เลือดกลบปากนักเชียว! แล้วดูคุณพี่ซิ เอาแต่มองมันอยู่นั่นแหละ! โธ่โว้ย! ทีกูไม่เห็นมองมั่งเล้ย! คุณพี่นะคุณพี่!ง จิตตรีนั่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกรอดๆ

จนกระทั่งการแสดงปิดม่านลง แขกที่มาในงานต่างพากันทยอยกลับ จิตตรีอยากจะแล่นไปหาคุณพี่ณรงค์ซะเดี๋ยวนั้น ก็ทำไม่ได้เพราะติดแขกคนอื่นๆ ที่ยืนออกันอยู่ ‘โอ้ย! ไอ้อีพวกนี้ก็แม่ง!…จะรีบๆ เดินออกไปให้มันเร็วๆ หน่อยไม่เป็นกันรึไงวะ! มัวแต่ชักช้ายืดยาดกันอยู่ได้ เซ็งจริงๆ เลยโว้ย!’

ครั้นจะก้าวข้ามเก้าอี้ตะกายไปหาก็กลัวว่าคนอื่นจะเอาไปนินทา เธอจึงจำใจต้องรออยู่อย่างนั้น ‘โว๊ย!’

ส่วนพลเอกณรงค์ฤทธิ์พอการแสดงจบลง เขาก็หันไปลาคุณหญิงสายสมรซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ทันที “เอ่อ…คุณหญิงครับ ผมเห็นจะต้องรีบกลับก่อนล่ะครับ”

“อ้าว…ทำไมรีบกลับนักล่ะคะท่าน?” คุณหญิงสายสมรถามด้วยความสงสัย พลเอกณรงค์ฤทธิ์เหลือบตาไปมองทางอดีตน้องภรรยาแล้วก็อึกอักๆ  “เอ่อ…เอ่อ…คือว่าผม…”

คุณหญิงสายสมรหันไปมองตาม พอเห็นจิตตรี เธอก็พยักหน้าเข้าใจ “อ๋อ…เข้าใจแล้วล่ะค่ะ”

แล้วคุณหญิงก็หันไปพูดกับท่านนายพลว่า “ท่านมีธุระก็เลยจะรีบกลับ ไม่เป็นไรค่ะท่าน ไว้โอกาสหน้าท่านมีเวลาว่างค่อยอยู่คุยกันก็ได้ค่ะ เชิญท่านเถอะค่ะ”

“งั้นผมลาเลยนะครับคุณหญิง ขอบพระคุณมากครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบขอตัวกับคุณหญิง พิมพิราก็รีบยกมือไหว้ลา “สวัสดีค่ะคุณหญิง”

คุณหญิงสายสมรรับไหว้พร้อมกับยิ้มให้ แล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็รีบชวนพิมพิรากลับทันที “กลับกันเถอะครับคุณพะพิม”

“ค่ะท่าน”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์พาพิมพิราเดินออกไปทางด้านหลังเวทีโดยเร็ว เพราะเคยเดินเข้าเดินออกจนรู้ทาง กว่าจิตตรีจะหลุดจากแถวเก้าอี้ที่นั่งออกมาได้ พลเอกณรงค์ฤทธิ์กับพิมพิราก็นั่งรถออกจากโรงละครไปแล้ว แม้ว่าจิตตรีจะเที่ยวเดินตามหาจนทั่วเธอก็ไม่มีทางเจอ ‘เอ…เห็นอยู่เมื่อกี้นี้นี่หว่า…ไปไหนซะแล้วล่ะ?’

“ชอบไหมครับคุณพะพิม?” พลเอกณรงค์ฤทธิ์เอี้ยวตัวหันไปถามเลขาซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะหลัง พิมพิรารีบตอบว่า “ชอบค่ะท่าน สนุกมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่ชวนพะพิมมาด้วย”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ้มรับคำขอบคุณจากเลขาสาว แล้วเขาก็หันกลับไปมองถนนต่อ

เมื่อถึงอพาร์ทเม้นต์ พิมพิราก็รีบลงจากรถอย่างว่องไว “ขอบคุณค่ะท่าน ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”

เธอไหว้ท่านประธานเหมือนเช่นเคย พลเอกณรงค์ฤทธิ์ลดกระจกลงแล้วยิ้มให้ “ราตรีสวัสครับ”

แล้วพิมพิราก็หันไปลานายนพ “ขอบคุณค่ะน้านพ ขับรถกลับดีๆ นะคะ”

“ครับคุณพะพิม” นพยิ้มรับ พลเอกณรงค์ฤทธิ์เลื่อนกระจกขึ้นแล้วหันไปสั่งนายนพว่า “ไปได้แล้ว”

นพจึงขับรถออกจากอพาร์ทเม้นต์ โดยที่พิมพิรายืนรอส่งจนกระทั่งรถเบนซ์คันงามลับตาไป เธอจึงเดินขึ้นห้อง

เช้าวันอาทิตย์ นพเดินเข้าไปในครัว พอเห็นนิ่มนวลนั่งอยู่ เขาก็ชวนคุยว่า “ป้านิ่ม ผมว่ามันชักจะยังไงๆ แล้วนะป้า”

นิ่มนวลกำลังนั่งห่อแป้งทำสาคูไส้หมูอยู่กับฟองจันทร์ นิ่มนวลจึงเงยหน้าไปถามอย่างสงสัยว่า “ไอ้ชักจะยังไงๆ ของเอ็งนี่มันยังไงล่ะไอ้นพ?”

“นั่นซิน้านพ ชักจะยังไงเรื่องอะไรเหรอน้า?” ฟองจันทร์ถามอีกคน นพเลื่อนเก้าอี้นั่งลงแล้วก็หันไปตอบว่า “ก็คุณท่านน่ะซิป้านิ่ม เดี๋ยวนี้นะท่านชวนคุณพะพิมไปไหนมาไหนด้วยตลอดเลยน่ะซิป้า ขนาดวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ท่านยังชวนคุณพะพิมไปดูที่ดินด้วยกันเลย”

“ก็ท่านไปดูที่แล้วชวนคุณพะพิมไปด้วย แล้วมันแปลกตรงไหนล่ะไอ้นพ ท่านไปติดต่อเรื่องธุรกิจแล้วเอาเลขาไปด้วย ข้าก็ไม่เห็นมันจะแปลกยังไงเลย” นิ่มนวลพูดไปก็ปั้นลูกสาคูไปด้วย นพเลยรีบพูดให้ฟังว่า “จะไม่แปลกได้ไงล่ะป้า ก็ท่านขับรถไปเองน่ะซิ นี่แหละที่ผมว่ามันชักจะยังไงๆ แล้วน่ะซิป้า”

“อะไรนะ! ท่านน่ะเหรอขับรถไปเอง ไอ้ธงไม่ได้ขับรถให้ท่านเหรอ!?” นิ่มนวลหันถามเสียงสูง ละมือจากการทำของว่างทันที

“ขับเขิบที่ไหนล่ะป้า ไอ้ธงมันยังนอนตูดโด่งอยู่เลย ผมไปรอจะขับรถให้ท่าน ท่านก็บอกว่าไม่ต้องเพราะท่านจะขับรถเอง อย่างนี้ป้าว่ามันไม่แปลกเหรอ”

นิ่มนวลได้ฟังก็พยักหน้าเห็นด้วย “เออ…แปลกจริงๆ ด้วยซิ เอ…ท่านนึกยังไงของท่านหว่า ถึงอยากจะขับรถเอง”

เธอเปรยอย่างสงสัย นายนพก็รีบพูดว่า “ท่านก็คงนึกอยากจะอยู่กับคุณพะพิมตามลำพังบ้างน่ะซิป้า”

“น้านพจะบอกว่าท่านชอบคุณเลขาเหรอน้า?” ฟองจันทร์นั่งฟังอยู่ถามแทรกขึ้นมา นิ่มนวลรีบหันไปดุหลานสาวทันที “เอ๊ะ นังฟองนี่ชักจะพูดจาเลอะเทอะใหญ่แล้วนะ ชอบเชิบอะไรกัน คุณเลขาแกเพิ่งจะยี่สิบกว่าๆ อ่อนกว่าคุณวีอีก ท่านจะไปชอบได้ยังไงล่ะ นังคนนี้นี่จะหาว่าท่านเป็นพวกวัวแก่กินหญ้าอ่อนรึไงห๊ะ”

นพรีบบอก ก่อนที่ฟองจันทร์จะถูกป้าดุมากไปกว่านี้ “ก็ไม่แน่นะป้า ผมเป็นผู้ชายด้วยกัน ผมดูออกนะป้า ว่าท่านชอบคุณพะพิมแน่ๆ ไม่งั้นท่านคงไม่ชวนไปไหนมาไหนด้วยหรอกป้า แล้วเวลาท่านมองคุณพะพิมนะป้า ตางี้หวานเยิ้มจนน้ำตาลหกเลยล่ะ ถ้าไม่ชอบ ท่านไม่มองอย่างงั้นหรอก ไม่เชื่อป้าคอยดูซิ”

“น้านพว่าท่านชอบคุณพะพิมจริงๆ เหรอ” ฟองจันทร์ชะโงกหน้าเข้าไปถาม นพรีบย้ำ “ก็เออซิวะ”

พอได้ฟังอย่างนั้น ฟองจันทร์ก็ลุกขึ้นกระโดดดีอกดีใจใหญ่ “เย้! ถ้าคุณท่านชอบคุณเลขาจริงๆก็ดีซิจ๊ะ ไชโยๆๆ”

“ดีใจอะไรของเอ็งห๊านังฟอง?” นิ่มนวลหันไปถามหลานสาว ฟองจันทร์หยุดกระโดดแล้วหันไปตอบว่า “ก็ดีใจที่คุณนายจิตตรีอดที่จะมาเป็นคุณผู้หญิงของบ้านนี้ซิป้า ป้าไม่ดีใจรึไงล่ะ?”

“ดีใจกะผีซิ เกิดท่านคว้าคุณเลขามาทำเมียจริงๆ ชาวบ้านชาวช่องมันคงเอาท่านไปนินทากันสนุกปากล่ะว่า ท่านเป็นพวกวัวแก่กินหญ้าอ่อน เป็นสมภารกินไก่วัดแน่ๆ” นิ่มนวลตอบสะบัดๆ นพเลยแกล้งแหย่ว่า “งั้นป้าก็ยุให้ท่านคว้าคุณนายจิตตรีมาทำเมียซิ จะได้ไม่มีใครนินทาดี”

“หนอยไอ้นพนี่!” นิ่มนวลหันมาเงี้อมะเหงกใส่ ฟองจันทร์ก็ผสมโรงด้วยอีกคน “น้านพยุไปคนเดียวเถอะ ฟองไม่เอาด้วยคนนึงล่ะ ถ้าคุณนายจิตตรีมาเป็นคุณผู้หญิงของบ้านนี้วันไหน ฟองขอลากลับไปอยู่บ้านนอกดีกว่า”

นพรีบโบกมือ “เฮ้ย! น้าก็แค่พูดเล่นเท่านั้นแหละนังฟอง น้าก็คิดเหมือนเอ็งนั่นแหละโว๊ย ถ้าต้องมีนายผู้หญิงเป็นคุณนายจิตตรีล่ะก็…น้าก็ขอลาออกกลับไปทำไร่ทำนาดีกว่า ไม่อยู่ให้ยัยคุณนายแกจิกด่า เช้ายันค่ำหรอกเฟ้ย อีกอย่างท่านคงไม่ตาถั่วไปคว้าก้อนกรวดอย่างคุณนายจิตตรีหรอกว่ะ ก็ในเมื่อท่านมีเพชรน้ำงามอย่างคุณพะพิมให้เปรียบเทียบอยู่ทั้งคน จริงไหมจ๊ะป้า?”

เขาหันไปถามนิ่มนวล นิ่มนวลรีบพูดสะบัดๆ ตอบ “ไม่รู้โว้ย เรื่องของเจ้านายท่าน ขี้ข้าอย่างพวกเราไม่เกี่ยว แต่ถ้าท่านเกิดหน้ามืดตามัวเอาคุณนายจิตตรีทำเมียเมื่อไหร่ข้าก็ขอลาออกเมื่อนั้นแหละว่ะ เอ้า!…นังฟองรีบๆ ปั้นเข้าซิ มัวแต่คุยแล้วเมื่อไหร่มันจะเสร็จล่ะ ไอ้นพก็ไม่ต้องชวนคุยแล้ว เอ็งก็อย่านั่งเฉยๆ รีบมาช่วยข้าปั้นลูกสาคูเร็วๆ เลย”

พอถูกป้าดุ ฟองจันทร์ก็เลิกคุยแล้วหันไปช่วยปั้นลูกสาคูทันที ส่วนนพก็ถูกใช้ให้ช่วยปั้นลูกสาคูด้วยอีกคน

พิมพิราแต่งตัวด้วยชุดลำลองลงมายืนคอยตั้งแต่ก่อนถึงเวลานัด พอเห็นรถเบนซ์สีน้ำเงินเลี้ยวเข้ามา เธอก็รีบเดินไปหาทันที แต่เมื่อมองไปที่เบาะหน้าข้างคนขับซึ่งว่างเปล่า ‘เอ๊ะ! แล้วท่านล่ะ?’

ครั้นมองไปที่คนขับ เธอก็ต้องแปลกใจ ‘เอ๊ะ! น้านพไปไหนทำไมปล่อยให้ท่านขับรถเองแบบนี้ล่ะ?’

เธอเปิดประตูหน้าฝั่งคนนั่ง แล้วก็รีบยกมือไหว้ท่านประธาน “สวัสดีค่ะท่าน น้านพไปไหนล่ะคะ?”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ้มให้ ‘กะแล้วเชียวว่าต้องถามแบบนี้’

แล้วเขาก็ตอบว่า “ผมให้นพเขาหยุดพักผ่อนน่ะครับ วันอาทิตย์ทั้งทีเขาก็คงอยากหยุดงานบ้าง ผมก็อยากขับรถเองบ้างเหมือนกันครับ เชิญครับคุณพะพิม”

“อ๋อ ค่ะท่าน” พิมพิราพยักหน้าเข้าใจ แล้วเธอก็รีบเข้าไปนั่งในรถ เมื่อเลขาขึ้นรถแล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ขับรถออกจากอพาร์ทเม้นต์

“กินอะไรมารึยังครับคุณพะพิม” เขาถามขณะขับรถ พิมพิราละสายตาจากถนนหันไปตอบว่า “พะพิมทานนมกับขนมปังปิ้งมาแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะท่าน”

“เหรอครับ งั้นเราก็ไปดูที่กันเลยนะครับ”

‘เฮ้อ…ว่าจะชวนไปกินข้าวเช้าซักหน่อย อดเลยเรา’ เขาแอบทำหน้าผิดหวัง แล้วก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

“ค่ะท่าน” พิมพิรารับคำด้วยน้ำเสียงปกติ เธอเก็บซ่อนความสงสัยไว้อย่างมิดชิด ‘เอ พักนี้ท่านทำตัวแปลกๆ เดี๋ยวชวนไปนั่น เดี๋ยวชวนไปนี่เรื่อยเลย แถมยังชอบแอบมองบ่อยๆ ท่านคิดอะไรกับเรารึเปล่าเนี่ย?’

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ขับรถไปเรื่อยๆ จนถึงที่ดินเปล่าเนื้อที่ 7 ไร่กว่าๆ ริมถนนลาดพร้าว เขาก็เลี้ยวรถเข้าไปจอดบนที่ดินผืนนั้นทันที เมื่อเจ้านายลงจากรถ พิมพิราก็รีบลงจากรถตาม แล้วมองไปรอบๆ

“คิดว่ายังไงครับคุณพะพิม”

พิมพิราทำหน้างงเมื่อจู่ๆ ก็เจอคำถามแบบนี้ ‘คิดอะไรยังไงของท่านเนี่ย มันหมายความว่ายังไงล่ะหว่า? ถามแบบนี้แล้วใครจะไปตอบได้ล่ะคะ’

“คิดอะไรล่ะคะท่าน?” เธอย้อนถาม พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองใบหน้าหวานๆ ที่กำลังทำหน้างงๆ เขาก็นึกขี้นได้ว่าเธอยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับโปรเจ็กค์ใหม่ที่เขาวางแผนเอาไว้

“อ๋อ ขอโทษทีครับ ผมลืมไปว่า ยังไม่ได้บอกคุณเรื่องโปรเจ็กค์ใหม่ คือผมกำลังจะสร้างคอนโดตรงนี้น่ะครับ คุณคิดว่ายังไงบ้างครับ”

พิมพิราพยักหน้า “อ๋อค่ะ”

แล้วเธอก็มองไปรอบๆ ที่ดิน บางส่วนมีต้นไม้ใหญ่ๆ บางส่วนก็เป็นพงหญ้ารกๆ ส่วนด้านหน้าที่จอดรถอยู่นี้ เป็นพื้นที่โล่ง เพราะถูกใช้เป็นที่จอดรถของคนแถวๆนี้ พอมองจนทั่วแล้ว เธอก็หันไปพูดกับท่านประธานตามความคิดของตัวเอง “เอ่อ ถ้าจะสร้างคอนโด พะพิมเสียดายต้นไม้ต้นใหญ่ๆที่อยู่ตรงนู้นน่ะค่ะ”

เธอชี้ไปที่ต้นไม้แล้วก็พูดต่อว่า “กว่าจะโตได้ขนาดนั้นคงต้องใช้เวลาเป็นสิบๆ ปีมั้งคะ แต่ถ้าไม่ตัดออกก็สร้างไม่ได้ เพราะอยู่แถวๆ ตรงกลางทั้งนั้นเลย แล้วท่านคิดว่ายังไงล่ะคะ?”

เธอหันไปถาม

“ผมก็เสียดายต้นไม้พวกนั้นเหมือนกันครับ แต่ถ้าไม่ตัดออกก็สร้างคอนโดไม่ได้อย่างที่คุณพูดนั่นแหล่ะครับ ก็ยังคิดๆ อยู่ว่าจะทำยังไงดี?”

“เอ่อ…แล้วท่านคิดโครงการไว้ยังไงบ้างล่ะคะ?”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์นึกถึงแบบที่เขาคิดไว้คร่าวๆ แล้วก็พูดว่า “ผมก็กะว่าจะสร้างเป็นคอนโดห้องขนาดสี่สิบตารางเมตร สูงซักสามสิบชั้น มีที่จอดรถสำหรับทุกห้อง มีฟิตเนส มีสระว่ายน้ำ แล้วก็มีสวนหย่อม ขายซักห้องละห้าล้านน่ะครับ”

พอได้ยินว่ามีสวนหย่อม พิมพิราก็รีบเสนอว่า “งั้นท่านก็ให้เขาขุดต้นไม้ใหญ่ๆ พวกนั้นไปไว้ตรงสวนหย่อมซิคะ ได้อนุรักษ์ต้นไม้พวกนั้น แถมยังช่วยประหยัดงบที่จะต้องซื้อต้นไม้มาแต่งสวนหย่อมด้วยค่ะ”

“เออ จริงซินะ ความคิดคุณเข้าท่าดีผมชอบ”

พิมพิรายิ้มแป้น ที่ท่านประธานชอบไอเดียของเธอ พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองใบหน้าหวานๆ รอยยิ้มสวยๆ อยู่นานอย่างพึงพอใจ จนพิมพิรารู้สึกเขิน เธอรีบหลบสายตาเบนมองไปทางอื่น พลเอกณรงค์ฤทธิ์หันไปมองรอบๆ ที่ดินอีกครั้ง แล้วเขาก็บอกกับพิมพิราพร้อมกับเปิดประตูรถให้ “คุณพะพิมครับ ขึ้นรถเถอะครับ”

“ค่ะท่าน” พิมพิรารีบเข้าไปนั่งในรถอย่างว่องไว เมื่อเลขานั่งเรียบร้อย พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ปิดประตูให้ แล้วเดินอ้อมไปนั่งประจำที่คนขับ แล้วเขาก็หันไปถามเธอว่า “คุณพะพิมครับ เอ่อ…คือว่าหลังจากดูที่แล้ว คุณมีธุระที่ไหนรึเปล่าครับ?”

“ไม่มีค่ะท่าน ก็พะพิมไม่รู้ว่าท่านจะมาดูที่นานไหม วันนี้พะพิมก็เลยไม่มีนัดไม่มีธุระที่ไหนค่ะ”

เมื่อเลขาสาวบอกเช่นนั้น พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็แอบดีใจ เขารีบชวนเธอว่า “งั้นถ้าคุณว่าง คุณไปเดินห้างกับผม ช่วยผมเลือกเสื้อซักสามสี่ตัวได้ไหมครับ?”

“ได้ค่ะท่าน” พิมพิราตอบพร้อมกับยิ้มให้

จากนั้นพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ขับรถออกจากที่ดิน ซึ่งในอนาคตจะกลายเป็นคอนโดตามที่เขาวางแผนไว้ เขาขับรถมุ่งหน้าไปสยามพารากอน ระหว่างทาง เขาก็ชวนพิมพิราคุยไปตลอดทาง

เมื่อถึงสยามพารากอน เขาก็จอดรถแล้วชวนพิมพิราไปทานข้าวเที่ยงด้วยกัน “เดี๋ยวเราไปกินข้าวกันก่อนนะครับ”

“ค่ะท่าน”

“แล้วคุณพะพิมอยากกินอะไรล่ะครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ถาม พิมพิรานิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วก็ตอบว่า “อืมห์ เกี๊ยวซ่าค่ะท่าน”

“ถ้างั้นเราไปร้านฟูจิดีไหมครับ?” เขาชวน พิมพิรารีบพยักหน้าเห็นด้วย “ค่ะท่าน”

Chapter 10

ตบ!

พลเอกณรงค์ฤทธิ์พาพิมพิราไปทานอาหารกลางวันที่ร้านฟูจิ

เมื่อไปถึง เขาก็สั่งอาหารมาหลายอย่างซึ่งล้วนแต่เป็นอาหารที่พิมพิราชอบทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเทมปุระกุ้ง เกี๊ยวซ่า โอนิกิริ ปลาแซลมอนย่างราดซอสเทริยากิ ซุปมิโซ ทาโกยากิ ซาซิมิรวม และอูด้ง ฯลฯ

ส่วนเครื่องดื่มเขาก็สั่งชาเขียวร้อนให้ตัวเอง และสั่งชาเขียวเย็นให้เลขา

“ท่านคะสั่งมาตั้งเยอะจะทานกันหมดเหรอคะ?” พิมพิราถาม เพราะถึงแม้ว่าอาหารที่สั่งไปจะเป็นของชอบเธอทั้งนั้น แต่มันเยอะมากจนเธอรู้ดีว่าตัวเองทานไม่หมดแน่ๆ พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองหน้าเลขาสาวแล้วก็หัวเราะ “หมดซิครับ แค่แปดอย่างแค่นี้ จิ๊บๆ ครับ คุณพะพิมไม่ต้องกลัวหรอกครับว่าจะไม่หมด ของชอบของผมทั้งนั้นจะกินไม่หมดได้ไงล่ะครับ”

‘อุ้ย! ไอ้ที่สั่งๆ ไปนี่ ท่านก็ชอบกินเหรอ? ไม่ยักรู้แฮะว่าท่านก็ชอบเหมือนกัน’ พิมพิรามองหน้าเจ้านายอย่างประหลาดใจ เพราะดูเหมือนว่าตัวเองกับท่านประธานจะมีอะไรหลายๆ อย่างที่ชอบคล้ายกัน

ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ทาน เพลงที่ชอบฟัง หนังสือที่ชอบอ่าน รวมทั้งชอบดูนาฏศิลป์เหมือนกันอีกต่างหาก

เมื่ออาหารมาเสิร์ฟ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็สั่งกับเด็กเสิร์ฟว่า “น้องขอวาซาบิเยอะๆ เลยนะ”

“ค่ะ” เด็กเสิร์ฟยกอาหารเสิร์ฟวางบนโต๊ะ แล้วก็รีบไปเอาวาซาบิมาเพิ่มให้ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็คว้าถ้วยวาซาบิไปตักวาซาบิใส่ถ้วยน้ำจิ้มแล้วก็เทซอสถั่วเหลืองใส่ลงไป แล้วก็คนๆๆ จนเข้ากัน พิมพิราก็ไม่น้อยหน้า เธอตักวาซาบิใส่ถ้วยตัวเองบ้าง จนพลเอกณรงค์ฤทธิ์มองอย่างตะลึง ‘โห…ชอบวาซาบิเยอะๆ เหมือนเราเลยแฮะ’

แล้วเขาก็ถามว่า “คุณพะพิมก็ชอบทานวาซาบิเหรอครับ?”

“ค่ะท่าน ยิ่งเยอะยิ่งอร่อยค่ะ มันจี๊ดสะใจดีค่ะ” พิมพิราเงยหน้าตอบพร้อมทั้งคนน้ำจิ้มไปด้วย แล้วทั้งคู่ก็ยิ้มให้กัน จากนั้นก็ลงมือจัดการอาหารบนโต๊ะจนเรียบราบคาบ เมื่อทานอิ่มแล้ว พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็จัดการเช็กบิล “น้องเช็กบิลด้วย”

“ค่ะ” เด็กเสิร์ฟรีบเดินไปจัดการตามคำสั่ง ครู่ต่อมาเด็กเสิร์ฟก็กลับมาพร้อมบิลค่าอาหาร พลเอกณรงค์ฤทธิ์ดูบิลแล้วก็ควักกระเป๋าจ่าย “ไม่ต้องทอนนะน้อง”

“ขอบคุณค่ะโอกาสหน้าเชิญอีกนะคะ” เด็กเสิร์ฟไหว้พร้อมกับยิ้มหน้าบานก็ทิปตั้งห้าร้อย นานๆ ทีถึงจะเจอลูกค้าทิปหนักแบบนี้ เย้!

พลเอกณรงค์ฤทธิ์หันไปพยักหน้ากับพิมพิรา “ไปกันเถอะครับคุณพะพิม”

“ค่ะท่าน” พิมพิรารีบลุกจากที่นั่งเดินตามเจ้านายไปโดยเร็ว โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ตัวเลยว่า ถูกปาปารัสซี่ซึ่งบังเอิญมาเห็นเข้าแอบถ่ายรูปเอาไว้ ตั้งแต่นั่งกินข้าวแล้ว พลเอกณรงค์ฤทธิ์เดินนำหน้าพิมพิราขึ้นบันไดเลื่อนตรงไปยังแผนกเสื้อผ้าบุรุษ เมื่อไปถึงเขาก็เดินดูเสื้อผ้าที่โชว์อยู่ แล้วก็หันไปพูดกับเลขาหน้าหวานว่า “คุณพะพิมครับช่วยเลือกให้ผมหน่อยครับ”

“ค่ะท่าน” พิมพิราเดินเข้าไปช่วยเลือกเสื้อยืดโปโลแขนยาวที่แขวนอยู่บนราวมาสามสี่ตัว “ท่านคะ ตัวนี้พะพิมว่าก็สวยนะคะ ตัวนี้ก็ดูดีนะคะ ส่วนตัวนี้ก็เข้าท่านะคะ อ่ะ…ตัวนี้ก็ใช้ได้ค่ะท่าน”

ไม่ว่าพิมพิราจะเลือกแบบไหนมา พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ซื้อหมด หลังจากรูดบัตรเสร็จ พิมพิราก็ยื่นมือจะไปรับถุงกระดาษจากพนักงานขาย พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็รีบแย่งถุงไปถือเอง “ผมถือเองครับคุณพะพิม”

“พะพิมถือให้ดีกว่าค่ะท่าน” พิมพิราบอกพร้อมกับยื่นมือไป พลเอกณรงค์ฤทธิ์แกล้งทำหน้าดุๆ “จะให้คุณถือได้ยังไงล่ะครับ ให้ผมถือแหละดีแล้ว ขืนให้คุณถือนะครับใครๆ เขาจะได้หาว่าผมไม่เป็นสุภาพบุรุษน่ะซิครับให้ผู้หญิงถือของให้”

พิมพิราหดมือกลับ “ค่ะท่าน”

แล้วทั้งคู่ก็เดินเลือกเสื้อผ้าแบรนด์นั้นแบรนด์นี้จนถุงเสื้อผ้าแทบจะล้นมือ จนพนักงานขายต้องเอารถเข็นมาให้ใส่ จนกระทั่งเดินเลือกจนพอใจ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็บอกว่า “คุณพะพิมครับ ผมขอตัวซักครู่นะครับ”

“ค่ะท่าน”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์เดินไปเข้าห้องน้ำ เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จ เขาก็แอบแว๊บลงไปแถวๆ เคาน์เตอร์เครื่องสำอางตรงดิ่งไปยังเคาน์เตอร์ชาแนลทันที

“ชาแนลนัมเบอร์ไฟว์ขวดนึงครับ”

“จะรับขนาดไหนดีคะ? มีขนาด 50 มิลกับ 100 มิลค่ะ” พนักงานขายสาวยิ้มต้อนรับพร้อมกับหยิบขวดน้ำหอมทั้งสองขนาดมาให้ดูเป็นตัวอย่าง พลเอกณรงค์ฤทธิ์ชี้ไปที่ขวดใหญ่ “เอาขวดใหญ่นี่แหละครับ ห่อของขวัญให้ด้วยนะครับ”

“ค่ะ จะรับอะไรเพิ่มอีกไหมคะ? ตอนนี้เรามีน้ำหอมกลิ่นใหม่เพิ่งออกมานะคะ ลองดมดูก่อนซิคะ” พนักงานขายถามพร้อมกับเสนอขายสินค้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบปฏิเสธ “ขอบคุณครับ เอาไว้โอกาสหน้านะครับ ตอนนี้ผมรีบครับ”

“อ๋อค่ะ งั้นเชิญชำระเงินด้านนี้เลยค่ะ” พนักงานขายบอกพร้อมกับหันไปหยิบขวดน้ำหอมในสต๊อกแล้วเดินนำหน้าลูกค้าไปยังเคาน์เตอร์ชำระเงิน พลเอกณรงค์ฤทธิ์เดินตามไปรูดการ์ด พอจ่ายเงินเสร็จพนักงานขายก็รีบเอาสินค้าไปห่อของขวัญให้ตามที่ลูกค้าต้องการ ระหว่างรอ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็เขียนการ์ดแล้วส่งให้ให้พนักงานขายติดกล่องของขวัญ ไม่นานนักเขาก็ได้รับสินค้า

“เรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ”

“ขอบคุณครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองดูภายในถุงกระดาษแล้วยิ้มให้พนักงานขาย แล้วก็รีบเผ่นทันที ‘โอย…เกือบจะเป็นลมตาย นี่ถ้าไม่คิดจะซื้อให้คุณพะพิมล่ะก็…จ้างให้ก็ไม่เดินเฉียดมาแถวนี้หร๊อก’

แล้วเขารีบขึ้นบันไดเลื่อนไปหาพิมพิรา เมื่อไปถึงเขาก็เห็นเธอกำลังเลือกเสื้ออยู่กับพนักงานขาย เขาจึงแอบเอาถุงกระดาษใส่ไว้ในรถเข็นพยายามไม่ให้เธอเห็น ครั้นหย่อนถุงกระดาษเรียบร้อยแล้วเขาก็เดินไปหาเธอ “คุณพะพิมครับ ขอโทษครับที่ช้าไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรค่ะท่าน พอดีพะพิมก็กำลังเลือกเสื้อไปฝากพ่อซักตัวน่ะคะ” พิมพิราหันไปบอก พลเอกณรงค์ฤทธิ์เดินไปยืนข้างๆ “งั้นก็เลือกไปหลายๆ ตัวเลยนะครับ ผมจ่ายให้เองครับ”

พิมพิรารีบปฏิเสธ “อุ้ย! ไม่เอาหรอกค่ะ พะพิมจ่ายเองดีกว่าค่ะ คือว่าพะพิมเกรงใจน่ะค่ะ”

เธอมองเขาแล้วก็คิดในใจว่า ‘เอ่อ…ไหงท่านคิดจะทำตัวเป็นป๋าใจป้ำแบบนี้ล่ะหว่า?’

พลเอกณรงค์ฤทธิ์พูดแกมขอร้องว่า “ให้ผมจ่ายเถอะครับ ถือว่าตอบแทนที่ใช้งานคุณวันหยุดก็แล้วกันครับ”

“ไม่…” พิมพิราจะปฏิเสธ แต่พอเจอสายตาขอร้องแกมบังคับเธอก็ไม่กล้าปฏิเสธ “เอ่อ…ก็ได้ค่ะท่าน”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ้มหน้าบาน เขาเข้าไปช่วยเลือกด้วยอีกคน จากเสื้อตัวเดียวจึงกลายเป็นเสื้อครึ่งโหล เมื่อจ่ายเงินเสร็จ เขาก็คะยั้นคะยอให้เธอไปเลือกเสื้อให้คุณแม่ด้วย “งั้นเราไปดูเสื้อให้คุณแม่คุณด้วยนะครับ”

“ไม่ดีกว่าค่ะท่าน” พิมพิรารีบปฏิเสธ เพราะรู้ดีว่าถ้าไปดูไปเลือกตอนนี้เธอก็ไม่ได้จ่ายเงินเองแหงๆ แต่พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็หาข้ออ้างมาจนได้ “จะไม่ซื้อได้ไงล่ะครับ ซื้อให้แต่คุณพ่อไม่ยอมซื้อให้คุณแม่ด้วย เดี๋ยวคุณแม่ของคุณก็น้อยใจแย่หรอกครับไปเถอะครับ”

“เฮ้อ…ก็ได้ค่ะ” พิมพิราถอนหายใจอยากจะปฏิเสธ แต่ก็ทำไม่ได้ จึงได้แต่เดินตามเจ้านายลงไปที่แผนกเสื้อผ้าสตรี

ขณะที่พิมพิรากำลังเลือกเสื้อให้คุณแม่อยู่นั้น จู่ๆ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ยื่นชุดเดรสกระโปรงยาวดีไซน์หรูสีส้มพาสเทลมาให้ “คุณพะพิมครับ ผมว่าชุดนี้เหมาะกับคุณมากเลยนะครับ”

พิมพิราหันไปมองอย่างงงๆ “คะท่าน?”

เขาเอาชุดหรูใส่มือเธอพร้อมกับออกคำสั่งว่า “เอาไปลองครับ”

แล้วเขาก็หันไปสั่งพนักงานขายว่า “น้องพาคุณไปลองชุดหน่อยครับ”

พนักงานขายรีบเดินเข้ามายิ้มแฉ่ง “คุณคะเชิญทางนี้ค่ะ”

พิมพิราเดินตามพนักงานขายไปอย่างงงๆ ‘เอ…อะไรของท่านอีกล่ะหว่า? อยู่ๆ ก็เอาเสื้อมาให้ลอง  ดูๆ แล้วคงแพงซะด้วย”

เธอพลิกราคาป้ายดูแล้วก็ทำตาโต ‘จ๊าก!… ตั้งห้าหมื่นเก้า!’

เธอหันไปมองเจ้านายทันที ปากบางเคลือบลิปสติกสีหวานขยับจะพูด แต่พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ชิงพูดซะก่อนว่า “วันพฤหัสนี้ผมต้องไปงานแต่งของลูกชายเพื่อนผมแล้วคุณก็ต้องไปกับผมด้วยครับ งานนี้นักข่าวเพียบ ผมก็เลยจะซื้อชุดนี้ให้คุณใส่ไปงานน่ะครับ”

“ค่ะท่าน” พิมพิราหมดโอกาสคัดค้าน ‘เฮ้อ…ออกงานอีกแล้วหนอเรา  เซ็งจริงๆ เล้ย ไอ้งานที่มีแต่พวกไฮโซไฮซ้อเนี่ย แต่งตัวแข่งกันเข้าไป อวดร่ำอวดรวยกันเข้าไป ทั้งๆ ที่บางคน เราเห็นมีแต่หนี้บานตะไท’

เธอเดินตามพนักงานเข้าไปลองเสื้อในห้องลอง เมื่อสวมชุดเรียบร้อยเธอก็ส่องกระจก ‘โห…พอดีเป๊ะ! สงสัยยัยคนขายคงช่วยท่านเลือกแหงๆ เมื่อกี้เห็นมาเมียงๆ มองเราอยู่ นึกว่ามองอะไรที่แท้ก็กะไซส์นี่เอง’

แล้วพิมพิราก็ออกมาโชว์ให้เจ้านายดู

“เป็นยังไงบ้างคะท่าน แพงหูฉี่ขนาดนี้คงออกงานได้ไม่ทำให้ท่านขายหน้าแน่ๆ ค่ะ” เธอประชดนิดๆ พลเอกณรงค์ฤทธิ์อมยิ้มมองชื่นชม “ครับคุณพะพิม สวยมากเลยครับ นี่ขนาดยังไม่แต่งหน้าทำผมนะเนี่ย ถ้าแต่งตัวครบเครื่องรับรองว่าสวยกว่าเจ้าสาวแน่ๆ เลยครับ”

พิมพิราถูกชมซึ่งหน้าจึงเขินจนหน้าแดง ‘ท่านล่ะก็…เล่นชมกันต่อหน้าแบบนี้ก็เขินเป็นนะคะ แถมมองซะตาหวานเชียว อุ้ย! ดูเด่ จ้องเอาจ้องเอาอยู่ได้’

เธอรีบกลับเข้าไปในห้องลองเสื้อทันที พลเอกณรงค์ฤทธิ์หันไปบอกพนักงานขายว่า “ผมซื้อชุดนี้แหละ”

เมื่อพิมพิราเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา พนักงานขายก็รีบรับชุดเดรสสุดหรูตามท่านลูกค้าซึ่งเดินนำหน้าไปที่เคาน์เตอร์ชำระเงินแล้ว เมื่อจ่ายเงินเสร็จ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็เดินกลับมาช่วยพิมพิราเลือกเสื้อให้คุณแม่ของเธอ

“จะซื้อแค่ตัวสองตัวได้ไงล่ะครับคุณพะพิม ซื้อให้คุณพ่อ 6 ตัว ขืนซื้อให้คุณแม่น้อยกว่าเดี๋ยวท่านก็น้อยใจแย่หรอกครับ”

“แต่ว่า…” พิมพิราจะบอกว่าเกรงใจ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็แย่งพูดซะก่อนว่า “ไม่ต้องเกรงใจผมหรอกครับ ผมเต็มใจจะจ่ายให้ ตอบแทนที่คุณช่วยงานผมไงครับ อย่าคิดที่จะปฏิเสธเลยครับ ให้ผมได้ตอบแทนคุณบ้างเถอะครับ นะครับคุณพะพิม”

เจอสายตาขอร้องแกมบังคับเข้าไป พิมพิราจะพูดอะไรได้นอกจากคำว่า “ค่ะท่าน”

‘เฮ้อ…จะตอบแทนอะไรกันนักฟะ โอทีเราก็ได้  ไอ้ที่รูดปรี๊ดๆ ตอนซื้อเสื้อให้พ่อก็ตั้งเกือบหมื่น  แล้วเมื่อกี้นี้ก็อีกห้าหมื่นเก้า แล้วนี่ท่านจะรูดอีกซักเท่าไหร่เนี่ย เฮ้อ…ไม่เข้าใจคนรวยเลยเฟ้ย’

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ช่วยพิมพิราเลือกเสื้อจนครบ 6 ตัว แล้วเขาก็เดินตามพนักงานขายไปรูดการ์ดจ่ายเงิน พิมพิราหันไปมองรถเข็นที่มีแต่ถุงใส่ของเต็มไปหมดอย่างนึกเสียดายเงินตังค์แทน ‘เฮ้อ…ช้อปวันเดียวตั้งแสนกว่า เท่ากับเงินเดือนเราเกือบทั้งปีเลยนะเนี่ย เห็นแล้วเสียดายตังแทนจังเลยง่ะ’

“คุณพะพิมครับเดี๋ยวเราไปหาอะไรดื่มก่อนนะครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ชวนหลังจากจ่ายเงินเสร็จแล้ว พิมพิราพยักหน้าเห็นด้วย “ค่ะท่าน”

เพราะเธอก็กำลังรู้สึกหิวน้ำอยู่พอดี พลเอกณรงค์ฤทธิ์เข็นรถขึ้นลิฟท์ไปยังร้านสตาร์บัคซึ่งอยู่ชั้นสี่ของห้าง ร้านนี้คนไม่พลุ่กพล่านเท่ากับร้านที่อยู่ชั้นล่าง

“คุณพะพิมอยากดื่มอะไรครับ?” เขาถามเธอหลังจากเลือกโต๊ะด้านหน้าแล้วจอดรถเข็นไว้ข้างๆ พิมพิราหันไปตอบแบบไม่ต้องคิดนาน “นมเย็นค่ะ”

“ครับ ถ้างั้นคุณนั่งรอผมนะครับ เดี๋ยวผมไปสั่งให้” แล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็เดินเข้าไปในร้าน พิมพิรานั่งลงพิงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนล้า ก็เดินช้อปปิ้งตั้งแต่บ่ายยันสี่โมงเย็นไม่เมื่อยไม่เหนื่อยก็ให้มันรู้ไปซิ!

ไม่นานนักพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ถือแก้วมา 2 ใบ ใบนึงเป็นลาเต้ร้อนของเขาเอง ส่วนอีกใบเป็นนมเย็นของพิมพิรา เขาวางแก้วลงบนโต๊ะ พิมพิรารีบขอบคุณทันที “ขอบคุณค่ะท่าน”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ้มรับแล้วก็หย่อนก้นนั่งลงตรงข้ามเลขาคนสวย เขายกแก้วลาเต้ขึ้นจิบ จิบไปก็มองดูผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาอย่างอารมณ์ดี เมื่อดื่มหมด เขาก็ชวนเธอกลับบ้าน “คุณพะพิมครับผมว่าเรากลับกันเถอะครับ”

แม้ว่าใจของเขาจะต่อต้าน อยากจะอยู่กับเลขาหน้าหวานอีกซักนิด ขอให้เห็นหน้าหวานๆ รอยยิ้มสวยๆ อีกซักหน่อย แต่ท่าทางเหนื่อยล้าของเธอทำให้เขาไม่อยากให้เธอต้องฝืนตัวเองมากเกินไป

“ค่ะท่าน” พิมพิราพยักหน้ารับ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ลุกขึ้น เข็นรถใส่ของเดินลิ่วๆ ไปที่รถทันที เมื่อไปถึงที่รถ พิมพิราก็ช่วยขนของใส่ท้ายรถ พอเสร็จสรรพเรียบร้อย เขาก็ขับรถออกจากสยามพารากอนไปส่งพิมพิราที่อพาร์ทเม้นต์

ครั้นไปถึงอพาร์ทเม้นที่พักของเลขาสาว พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ลงไปช่วยแยกถุงเสื้อผ้าท้ายรถส่งให้เธอ พร้อมกับแอบเอาถุงที่ใส่กล่องน้ำหอมปนไปให้ด้วย

“ขอบคุณค่ะท่าน ขับรถดีๆ นะคะ” พิมพิรายิ้มร่ำลายกมือไหว้ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ้มรับมองเลขาสาวหอบถุงพะรุงพะรัง อยากจะช่วยหิ้วไปส่งให้ถึงห้อง แต่พิมพิราก็ปฏิเสธเพราะเกรงใจเขา และเขาก็ไม่อยากขัดใจเธอ อีกทั้งก็ไม่อยากให้ใครๆ เอาเธอไปนินทาได้ว่าพาผู้ชายขึ้นห้อง

เมื่อเจ้านายไปแล้ว พิมพิราก็หอบหิ้วของเดินไปกดลิฟท์ ใช้บริการมันซะบ้างเดี๋ยวมันจะเสียใจ! หึๆๆๆ…

ครั้นพอเข้าห้องแล้ว เธอก็วางถุงทั้งหมดลงหันไปถอดรองเท้าวางไว้บนชั้น แล้วก็หันมารื้อของที่ซื้อมาออกจากถุง เธอแยกเสื้อผ้าของพ่อกับแม่เรียงซ้อนกันเอาไว้คนละกองแต่พอถึงถุงกระดาษใบเล็กซึ่งข้างในมีกล่องของขวัญห่อกระดาษผูกโบว์เอาไว้ “เอ๊ะ! ถุงนี้ไม่ใช่ของเรานี่น่า สงสัยท่านคงหยิบผิดติดมาแหงๆ”

เธอหยิบกล่องของขวัญออกมาพลิกดู พอเห็นการ์ดที่เสียบอยู่หน้ากล่อง เธอก็รู้ว่าเจ้านายไม่ได้หยิบผิดมาให้อย่างที่เข้าใจ บนการ์ดใบเล็กๆ เขียนไว้ว่า ‘สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้าครับคุณพะพิม ขอโทษครับที่อาทิตย์หน้าผมต้องไปต่างประเทศไม่ได้อยู่ฉลองวันเกิดด้วย หวังว่าคุณคงจะใช้บ้างนะครับ ไม่อยากให้ของชิ้นนี้เป็นหมันเพราะคุณไม่ยอมใช้เหมือนนาฬิกาเลย’

พิมพิราค่อยๆ แกะกล่องของขวัญออกดู “เอ…ท่านให้อะไรหว่า? แล้วแอบไปซื้อตอนไหนล่ะเนี่ย?”

พอแกะออกดูเธอก็อุทานลั่น “ต๊าย! ชาแนลนัมเบอร์ 5 ขวดเบ้อเริ่มเลยอ่ะ”

เธอหยิบขวดน้ำหอมมาฉีดใส่ข้อมือตัวเองแล้วยกขึ้นดม “โห…ห๊อม…หอม”

เธอมองขวดน้ำหอมแล้วก็ยิ้มขำเมื่ออ่านการ์ดอีกหน “ขอบคุณค่ะท่าน รับรองว่าไม่เป็นหมันเหมือนนาฬิกาแน่ๆ ค่ะ ก็แหมใครจะกล้าใส่ล่ะคะนาฬิกาเรือนเป็นล้าน ขืนใส่ไปอวดชาวบ้านเขาล่ะก็…คงไม่พ้นปากซอยหรอกค่ะได้ถูกโจรตีหัวชิงนาฬิกาแหงๆ ค่ะท่าน”

แล้วพิมพิราก็เอาขวดน้ำหอมไปวางไว้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วเธอก็เอาเสื้อผ้าของพ่อกับแม่ใส่ถุงเตรียมไว้คราวหน้ากลับไปเยี่ยมบ้านจะเอาไปฝากพ่อกับแม่ “นี่ถ้ารู้ราคาจะกล้าใส่ไหมนะ…?”

“กรี๊ด! อีนังพิมพิรากับคุณพี่อีกแล้ว” จิตตรีกรี๊ดลั่นบ้านเมื่อเห็นข่าวก๊อซซิบในหน้าหนังสือพิมพ์ เธอฉีกขย้ำหนังสือพิมพ์ในมือจนเป็นเศษเล็กเศษน้อย

“หนอย! เมื่อวานอุตส่าห์ไปหาคุณพี่ที่บ้านตั้งแต่เช้าก็ไม่เจอ ที่แท้ก็ไปเดินห้างกับอีนังพิมพิรานี่เอง คุณพี่นะคุณพี่! แล้วนี่กูจะทำยังไงดีถึงจะเขี่ยอีนังนี่ไปให้พ้นๆ ซักทีนะ?”

เธอนั่งหน้าหงิกอารมณ์เสียอยู่นาน “จะทำยังไงดีนะ!?”

เธอครุ่นคิดหาวิธีที่จะจัดการกับพิมพิราให้ได้แต่ก็ยังไม่เห็นหนทางเลย เธอจึงใช้วิธีการเดิมๆ นั่นก็คือโทรไปหาหลานชาย เพื่อให้ปฐวีทนฟังไม่ไหวต้องรีบแจ้นกลับมาจัดการกับพิมพิรา

“หวัดดีจ้ะตาวี”

“สวัสดีครับคุณน้า” ปฐวีรับสายขณะกำลังจะอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน

“ตาวี เรารู้รึยังว่าหนังสือพิมพ์เขาลงข่าวว่า เมื่อวานนี้คุณพ่อเราพาแม่พิมพิราไปกินข้าวไปเดินช้อปปิ้งกันจี๋จ๋าเชียวล่ะ”

“ยังไม่รู้ครับคุณน้า” ปฐวีปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเฉยชา ‘เฮ้อ…พ่อจะไปไหนกับใครแล้วเกี่ยวกับเราตรงไหนน้อ’

จิตตรีรีบใส่ไฟทันที “ยังไม่รู้ งั้นก็รู้ไว้นะจ๊ะ วีจ๊ะน้าล่ะไม่อยากจะพูดเลย วันก่อนนะ น้าเห็นแม่พิมพิราส่งเงินส่งทองให้ผู้ชายเป็นฟ่อนเลยล่ะจ้ะ น้าไม่คิดเลยนะจ๊ะว่าหน้าเด็กๆ ดูใสๆ ซื่อๆ อย่างงั้นจะกล้าเลี้ยงผู้ชาย นี่ถ้าน้าไม่เห็นกับตานะจ๊ะน้าไม่เชื่อเด็ดขาด น้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าคุณพ่อเราเขาให้แม่พิมพิราใช้เดือนล่ะเท่าไหร่กัน แต่น้าว่าถ้าแม่พิมพิราเที่ยวเลี้ยงผู้ชายอย่างนี้ล่ะก็…น้ากลัวว่าคุณพ่อเราคงจะถูกแม่คนนี้สูบจนหมดตัวแน่ๆ จ้ะ”

“เหรอครับคุณน้า” ปฐวีตอบน้ำเสียงเฉยๆ แต่ในใจนั้นร้อนรนนึกเป็นห่วงคุณพ่อกลัวว่าจะถูกเด็กหลอกอย่างที่คุณน้าบอก

เขาฟังคุณน้าโทรมาเล่าเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับพิมพิรา จนเขาจำได้เลยว่าถ้าคุณน้าของเขาขึ้นต้นด้วยประโยคที่ว่า ‘วีจ๊ะน้าล่ะไม่อยากจะพูดเลย’ เมื่อไหร่ล่ะก็…เชื่อขนมกินได้เลยว่าเดี๋ยวคุณน้าของเขาก็ต้องพูดถึงพิมพิราให้เขาฟังทุกครั้งไป จนเขาแทบอยากจะรีบกลับเมืองไทยไปดูให้เห็นด้วยตาตัวเอง แต่ก็ยังกลับไม่ได้เพราะติดเรียนหนัก จึงได้แต่รอเวลาเท่านั้น ครั้นอึดอัดใจมากก็โทรไประบายให้คุณแม่ฟัง

“คุณพ่อของลูกไม่ใช่คนโง่นะจ๊ะวี ถ้าหากคุณพ่อคิดว่าเด็กคนนั้นเป็นคนดีก็ปล่อยท่านเถอะลูก” คุณหญิงจิตตราบอกน้ำเสียงราบเรียบเตือนสติลูกชาย

“แต่คุณแม่ครับ ผมกลัวว่าคุณพ่อจะตามเล่ห์เหลี่ยมเด็กคนนั้นไม่ทันน่ะซิครับ” ปฐวีพูดอย่างเป็นห่วง คุณหญิงจิตตราถอนหายใจ “เอาเถอะถ้างั้นแม่จะลองเตือนคุณพ่อให้นะจ๊ะ”

แล้วเธอก็ถามว่า “แล้ววีจะมาหาแม่อีกเมื่อไหร่ล่ะ? แม่คิดถึงนะ”

“อาทิตย์หน้าครับคุณแม่ ผมจองตั๋วไว้แล้วครับ” ปฐวีบอก คุณหญิงจิตตราพยักหน้าดีใจ “จ้ะลูก แม่จะรอนะ”

“คุณแม่ครับ ผมต้องไปแล้วล่ะครับ ผมรักคุณแม่นะครับ” ปฐวีบอกพลางเหลือบมองนาฬิกาเพราะนัดกับเพื่อนเอาไว้

“จ้ะ รักษาตัวดีๆ นะลูก” คุณหญิงจิตตราบอกด้วยความรัก

“ครับคุณแม่ คุณแม่ก็ดูแลตัวเองดีๆ นะครับ ผมไปล่ะครับ บ๊ายบายครับ” ปฐวีพูดแล้วก็ตัดสายไป คุณหญิงจิตตรามองโทรศัพท์แล้วก็ถอนหายใจ เธอวางโทรศัพท์แล้วก็ลุกไปชงชา นึกห่วงอดีตสามีแต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ เขาจะคบกับใครก็เป็นเรื่องของเขา เธอไม่อาจเข้าไปยุ่งได้ ทำได้แต่คอยฟังข่าวจากเพื่อนๆ ที่เมืองไทย

วันต่อมา จิตตรีก็ไปหาอดีตพี่เขยที่บริษัท พิมพิราเงยหน้าจากแฟ้มเอกสารลุกขึ้นยืนมองด้วยสายตาเย็นชา

“สวัสดีค่ะ” เธอไหว้ตามมารยาท

“คุณพี่อยู่ไหน” จิตตรีถามห้วนๆ

“ท่านไม่อยู่ค่ะ” พิมพิราตอบ จิตตรีสะบัดหน้าเดินไปผลักประตูห้องเข้าไปดู พอไม่เจอก็กลับออกไปถามว่า “คุณพี่ไปไหน?”

“ไม่ทราบค่ะ” พิมพิราตอบน้ำเสียงราบเรียบ

“นังโง่เป็นเลขาภาษาอะไร! เจ้านายไปไหนทำไมถึงไม่รู้ห๊ะ!” จิตตรีตวาดด่า พิมพิรานึกโกรธปรี๊ด! เธอพยายามข่มอารมณ์สุดฤทธิ์แล้วก็ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ท่านไม่ได้บอกจะทราบได้ไง”

จิตตรีเต้นผาง! “นี่แกย้อนฉันเหรอนังโง่!”

“ค่ะดิฉันมันโง่ แต่ก็ไม่โง่ถึงขนาดเที่ยววิ่งพล่านตามจับผู้ชายเหมือนคุณป้าหรอกค่ะ” พิมพิราด่าอย่างเจ็บแสบ

“แก!” จิตตรีถลันเข้าไปตบฉาด! เพี๊ยะ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!