ตอนที่ 1110
เจ้ากำลังทำอะไรอยู่!?
ขณะที่เสียงหัวเราะของอวี่เหวินเจียนดังก้องออกไปในอากาศ มันสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ในทันที และจากนั้นเสียงที่คล้ายกับเป็นลมพายุก็ดังก้องขึ้นมาอยู่รอบๆ ตัวมัน
อากาศในบริเวณนั้นพังทลายลงไป ราวกับว่าการสูดลมหายใจเข้าไปเพียงหนึ่งครั้งของมัน ได้ดูดเอาพลังแห่งฟ้าดินที่อยู่รอบๆ ตัวมันทั้งหมดเข้าไปหลอมรวมอยู่ภายในร่าง
ผลลัพธ์ก็คือร่างกายของมันเริ่มขยายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งมีความสูงมากกว่าหกจ้าง!
“ร่างเทพหกจ้างเก้าเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงครั้งที่หนึ่ง!”
อวี่เหวินเจียนแผดร้องออกมา ขณะที่ร่างกายเริ่มขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วจากหกจ้างจนสูงไปถึงเก้าจ้าง ดูคล้ายกับเป็นยักษ์ที่กำลังลอยตัวอยู่ในกลางอากาศ กระจายแรงกดดันอันน่าตกใจออกมา
มันยกมือขวาขึ้นมาและกำเป็นหมัดต่อยตรงไปยังเมิ่งฮ่าว เป็นการเคลื่อนไหวที่เรียบง่าย แต่เสียงแตกร้าวก็ดังก้องออกมา ขณะที่อากาศรอบๆ บริเวณนั้นแตกกระจายออกไป มันส่งเสียงคำรามออกมาอีกครั้ง มีท่าทางคล้ายกับเป็นภูเขาขณะที่พุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าว
ถึงร่างกายมันจะมีขนาดที่ใหญ่โตมโหฬาร แต่ก็เคลื่อนที่ไปด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ ในชั่วพริบตาก็ไปอยู่ที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว หมัดขนาดใหญ่ของมันต่อยออกไปด้วยพลังทำลายล้างอันน่ากลัว
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นด้วยแสงแปลกๆ โลหิตพลุ่งพล่านอยู่ในเส้นเลือด และความต้องการต่อสู้ก็รุนแรงมากขึ้น
ขณะที่หมัดของอวี่เหวินเจียนใกล้เข้ามา เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และถึงแม้ว่าพลังของเขาจะไม่ได้พุ่งขึ้นมาเหมือนกับของอวี่เหวินเจียน แต่กลิ่นอายก็ยังคงพุ่งขึ้นไปอย่างบ้าคลั่งด้วยการสูดลมหายใจเข้าไปแค่ครั้งเดียว
ความบ้าคลั่งพุ่งขึ้นมา เป็นความบ้าคลั่งที่คล้ายกับเป็นปีศาจ มันคือความมุ่งมั่นที่ไม่เหมือนใคร เป็นสิ่งที่ไม่สนใจในเรื่องราวใดๆ แม้แต่กระดูกทั้งหมดต้องแตกสลายไปก็ตามที เพื่อที่จะไล่ติดตามโลหิตที่พลุ่งพล่านอยู่ในเส้นเลือด
เจตจำนงทั้งหมดนั้นได้เพ่งนิ่งไปที่หนึ่งหมัดซึ่งส่งเสียงดังก้องพุ่งฝ่าอากาศไป นี่คือหมัดที่สองซึ่งโจมตีออกไปด้วยพลังกายเนื้อของเมิ่งฮ่าว
หมัดเผาไหม้ตนเอง! และเป็นที่รู้จักกันในนามว่า…
หมัดกลายเป็นปีศาจ!
เสียงระเบิดขนาดใหญ่ดังเต็มอยู่ในอากาศ ขณะที่เมิ่งฮ่าวและอวี่เหวินเจียนกระแทกเข้าหากัน พื้นดินสั่นสะเทือน ภูเขาพังทลายลงไป และท้องฟ้าก็แวบสีสันขึ้นมา เมิ่งฮ่าวส่งเสียงคำรามออกมา และโซเซถอยไปทางด้านหลังเกือบยี่สิบก้าว เมื่อเขามองขึ้นไป ก็เห็นอวี่เหวินเจียนลอยฝ่าอากาศไปคล้ายกับเป็นว่าวที่ถูกตัดสายป่าน โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปากมัน เพียงแค่หมัดเดียวของเมิ่งฮ่าว ก็ส่งให้มันลอยคว้างออกไป คล้ายกับว่าร่างของมันแทบจะถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ
“การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สอง!”
“การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สาม!”
“การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สี่!”
เสียงของอวี่เหวินเจียนดังก้องออกมา ขณะที่มันถอยไปทางด้านหลัง และร่างกายก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมีความสูงถึงสามสิบหกจ้าง ตอนนี้มันกลายเป็นยักษ์ไปแล้วจริงๆ พร้อมกับพลังที่ระเบิดออกไป
มันแผดร้องคำรามออกมา ในที่สุดก็หยุดลง จากนั้นก็ค้ำยันตัวเองไว้ และเตรียมตัวที่จะโจมตีกลับไปยังหมัดกลายเป็นปีศาจของเมิ่งฮ่าว ขณะที่มันก้าวเดินตรงไป ก็พูดว่า
“การเปลี่ยนแปลงครั้งที่ห้า!”
เสียงแผดร้องคำรามได้ยินขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่มันมีความสูงมากขึ้น ในตอนที่เมิ่งฮ่าวประชิดมาถึงตัว มันก็มีความสูงถึงสี่สิบห้าจ้าง ถ้ามองมาจากที่ห่างไกล ก็จะเห็นว่าเมิ่งฮ่าวตัวเล็กไปโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเงาร่างที่เล็กกระจ้อยร่อยนั้น ประกอบไปด้วยพลังที่ทำให้กายเนื้อของอวี่เหวินเจียนต้องสั่นสะท้าน
สายตาเมิ่งฮ่าวเย็นชาราวน้ำแข็ง อวี่เหวินเจียนเคยพูดว่าหมัดของมันเมื่อครู่นี้คือหมัดสุดท้ายของมัน แต่ตอนนี้มันกำลังโจมตีมาอีกครั้ง ทำให้เมิ่งฮ่าวหมดความอดทนไป ทันใดนั้นหมัดของเขาก็คลายออกกลายเป็นฝ่ามือ การกระทำเช่นนั้นน่าจะทำให้พลังของเขาลดลงไป แต่กลับมีระลอกคลื่นอันน่าตกใจพุ่งกระจายออกไป
ราวกับว่าฝ่ามือของเขา ได้หลอมรวมเข้ากับโลกแห่งนี้ เพื่อกลายเป็นเจตจำนงแห่งสวรรค์!
ในตอนนี้ที่ด้านนอกของกรงผนึก แรงกดดันขนาดใหญ่ดูเหมือนว่ากำลังกดทับลงมา กลิ่นอายที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมานั้นได้พุ่งผ่านกรงผนึกเข้ามาอยู่ภายในร่างเมิ่งฮ่าว
ฝ่ามือของเขาค่อยๆ กำเป็นหมัดเหมือนเดิม ทำให้กลิ่นอายระเบิดออกไปจนคล้ายกับเป็นเจตจำนงแห่งสวรรค์ ปลดปล่อยรังสีสังหารอันเข้มข้นอย่างที่ยากจะอธิบายได้ออกมา
“สังหารเทพ!” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงราบเรียบ
อย่างไรก็ตามในตอนที่เขาพูดขึ้น การโจมตีมาของอวี่เหวินเจียนก็สั่นสะท้านขึ้นในทันที
ขณะที่มันรู้สึกได้ถึงวิกฤตอันร้ายแรงที่พุ่งขึ้นมาในจิตใจ เป็นลางสังหรณ์อันเข้มข้นจนสุดที่จะพรรณนาออกมาได้ว่า ถ้ามันยังคงโจมตีต่อไป ก็คงจะต้องจบลงด้วยความตาย!!
“บัดซบ! ทำไมมันถึงได้แข็งแกร่งเช่นนี้!? มันต้องแอบซ่อนความแข็งแกร่งนี้ไว้ ในตอนที่ต่อสู้กับหลินชงอย่างแน่นอน!”
สีหน้าอวี่เหวินเจียนสลดลง และพลังที่พุ่งขึ้นมาของมันก็จางหายไปในทันที รีบพุ่งถอยไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว ร่างกายหดเล็กลงไปจนมีขนาดเท่าปกติ จากนั้นมันก็มีใบหน้าที่เคร่งเครียดเป็นอย่างยิ่งและกล่าวขึ้นมาด้วยโทสะว่า “พี่เมิ่ง, ท่านกำลังทำอะไรอยู่! ท่านคิดว่าท่านกำลังทำอะไร!?!? พวกเราไม่ใช่ตกลงกันแล้ว?
พวกเราแค่แลกเปลี่ยนเคล็ดลับการต่อสู้กันเท่านั้น ใช่หรือไม่? ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าท่านกำลังโจมตีมาจนถึงตายเช่นนี้!?!?”
“ในฐานะที่เป็นพี่น้อง ทำให้ข้ารู้สึกเจ็บปวดใจจริงๆ! ถึงแม้ว่าพวกเราเพิ่งจะพบหน้ากัน แต่ก็กลายเป็นสหายกันในครั้งแรกที่ได้เห็น! ไม่จำเป็นที่จะต้องสังหารซึ่งกันและกัน! ท่านมีคุณสมบัติที่จะแลกเปลี่ยนตราประทับกับข้า! ฮา ฮา ฮา! ท่านพี่ ข้าเคยบอกว่าหมัดที่โจมตีไปนั้นคือหมัดสุดท้ายของข้า และข้าก็มักจะรักษาคำพูดเสมอ”
ดูเหมือนว่าอวี่เหวินเจียนไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือละอายใจแม้แต่น้อย ที่เปลี่ยนจากทีท่าที่เย่อหยิ่งและถือตัว มาเรียกเมิ่งฮ่าวว่าท่านพี่ สีหน้าของมันเต็มไปด้วยความสัตย์ซื่อจริงใจ เหมือนกับที่ผู้ฝึกตนกายเนื้อควรจะเป็น กระจายบรรยากาศที่ตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ออกมา
“เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนตราประทับ พี่เมิ่งฮ่าว ทำไมพวกเราถึงไม่ไปยังภูเขากั๋วยิ่นแห่งชนเผ่าที่เจ็ดด้วยกัน? การแลกเปลี่ยนตราประทับก็หมายความว่า พวกเราจะไม่ทำลายความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และท่านก็สามารถจะได้รับความรู้แจ้งของแก่นแท้อื่นๆ ได้อีกด้วย แล้วจะมีข้อเสียอะไรอีก?”
สีหน้าแปลกๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเมิ่งฮ่าว และเขาก็กระแอมไอออกมา ขณะที่คลายหมัดออก
“เช่นนั้นน่าจะดีที่สุด”
“โปรดตามข้ามา!” อวี่เหวินเจียนแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา จากนั้นก็หัวเราะเป็นเสียงดังขณะที่นำทางไป
คนทั้งสองกลายเป็นสองลำแสงพุ่งตรงไปยังภูเขากั๋วยิ่นแห่งชนเผ่าที่เจ็ด ไม่นานนักก็ไปถึง และเมื่อเมิ่งฮ่าวได้รับการเชื้อเชิญจากอวี่เหวินเจียน ภูเขากั๋วยิ่นก็ไม่มีการต่อต้านมาที่เขา
เมื่อคนทั้งสองไปถึงรูปปั้น อวี่เหวินเจียนก็ทำท่าคว้าจับ ทำให้เปลวไฟของตราประทับลอยมาอยู่บนฝ่ามือของมัน
เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย ขณะที่ยื่นมือออกไปเช่นเดียวกัน ทำให้เปลวไฟตราประทับปรากฏขึ้น
คนทั้งสองจ้องมองซึ่งกันและกันด้วยความระมัดระวังตัวอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่จะโบกสะบัดมือ ทำการแลกเปลี่ยนเปลวไฟกัน
อวี่เหวินเจียนยิ้มออกมา จากนั้นก็พยักหน้าและนั่งลงขัดสมาธิ มันไม่ได้เริ่มเข้าฌานเพื่อไตร่ตรองความรู้แจ้งในทันที แต่มองไปยังเมิ่งฮ่าว และรอคอยให้เขาเริ่มก่อน นอกจากนี้เมื่อไหร่ที่เริ่มต้นขั้นตอนนี้ขึ้นมา ก็ไม่มีทางจะหยุดลงไปได้ในทันที ถ้าคนใดคนหนึ่งเริ่มต้นโดยที่อีกคนยังไม่เริ่ม ก็รู้สึกว่าจะไม่ค่อยสบายใจต่อสถานการณ์ของตนเอง
ยิ่งไปกว่านั้นอวี่เหวินเจียนก็ไม่ยินดีที่จะส่งมอบตราประทับของชนเผ่าที่เจ็ดให้อย่างถาวร
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เมิ่งฮ่าวก็โบกสะบัดมือซ้ายขึ้นไป ทำให้ภูติเกราะดำกระจายออกไปรอบๆ บริเวณนั้น และทำตัวเป็นผู้พิทักษ์เต๋า จากนั้นเขาก็นั่งลงและมองไปยังเปลวไฟที่อยู่บนฝ่ามือ
อวี่เหวินเจียนสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ทำให้แสงอันเจิดจ้าเริ่มหมุนวนอยู่รอบๆ ตัวมัน จากนั้นก็กลายเป็นเกราะป้องกัน
คนทั้งสองสบตากันเป็นครั้งสุดท้าย โดยที่ไม่พูดอะไรออกมาอีก ต่างก็จมลงไปในการเข้าฌานโดยพร้อมเพรียงกัน
ทันใดนั้นแรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วร่างคนทั้งสอง ต่างคนต่างก็ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เริ่มเพ่งสมาธิไปที่แก่นแท้และกฎธรรมชาติ
เวลาผ่านไป สามวันต่อมา คนทั้งสองก็บรรลุถึงจุดวิกฤตของการเข้าฌาณ ถึงแม้ว่าอวี่เหวินเจียนจะไม่เคยได้รับกระแสลมปราณจากอาณาจักรสายลมเหมือนกับเมิ่งฮ่าวมาก่อน แต่ที่แห่งนี้คืออาณาเขตของมัน ดังนั้นขั้นตอนการได้รับความรู้แจ้งของมันก็มีความรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง
กลับกันเมิ่งฮ่าวไม่ได้อยู่ในภูเขาป๋ายเฟิงของชนเผ่าตัวเอง แต่อยู่บนภูเขากั๋วยิ่นของชนเผ่าที่เจ็ด ทำให้ความรวดเร็วในการรู้แจ้งของเขาต้องเชื่องช้าลงกว่าเดิมมากนัก แต่ก็มีข้อได้เปรียบของกระแสลมปราณแห่งอาณาจักรสายลม ดังนั้นถึงแม้ว่าความรวดเร็วของเขาจะลดลง แต่ก็เป็นความรวดเร็วที่พอจะยอมรับได้ ทำให้เขานำหน้าอวี่เหวินเจียนไปเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงวันที่สี่ เมิ่งฮ่าวแทบจะรู้แจ้งได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว แรงกดดันของชนเผ่าที่เจ็ดกลับเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัว และเสียงกระหึ่มก็ดังเต็มอยู่ในอากาศ
อวี่เหวินเจียนลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และสีหน้าก็เต็มไปด้วยความน่ากลัว
“มีคนมา!” มันแผดร้องขึ้น แต่ก็อยู่ในท่ามกลางการเข้าฌาณเพื่อได้รับความรู้แจ้ง ทำให้ไม่อาจจะทำอะไรได้ มันมองไปยังเมิ่งฮ่าวซึ่งได้ลืมตาขึ้นมาด้วยเช่นกัน และกำลังขมวดคิ้วอยู่ขณะที่มองออกไปยังที่ห่างไกล
เวลาผ่านไปไม่นานมากนัก ก่อนที่สามลำแสงจะปรากฏขึ้น พุ่งฝ่าอากาศมาอย่างรวดเร็ว ที่นำหน้าอยู่เป็นบุรุษหนุ่มเยาว์วัยซึ่งมีเส้นผมครึ่งหนึ่งเป็นสีดำ ครึ่งหนึ่งเป็นสีขาว มันไม่ได้แค่หล่อเหลาเท่านั้น แต่ยังดูงดงามอีกด้วย และมีเครื่องหมายลำดับขั้นกำลังส่องแสงระยิบระยับอยู่บนหน้าผาก
มันมีผู้ติดตามมาเป็นสองผู้ฝึกตนที่เป็นหนึ่งบุรุษหนึ่งหญิงสาว ทั้งสองต่างก็เยาว์วัย แต่กระจายกลิ่นอายพื้นฐานฝึกตนที่น่ากลัวออกมา พวกมันอยู่ในอาณาจักรโบราณ พร้อมกับตะเกียงวิญญาณที่ดับลงไปแล้วห้าดวง ยิ่งไปกว่านั้นความรู้สึกที่พวกมันกระจายออกมาไม่ใช่เป็นพื้นฐานฝึกตนของอาณาจักรโบราณธรรมดา ดูเหมือนว่าพวกมันจะแข็งแกร่งมากไปกว่านั้น เป็นการบ่งบอกว่าพวกมันคือผู้ถูกเลือก
“ผู้ติดตามของอันดับหนึ่งเต้าเทียน (เต๋าสวรรค์) ผู้ถูกเลือกลำดับขั้นที่สิบเอ็ด ไห่ตงชิง!!” สีหน้าอวี่เหวินเจียนเปลี่ยนไป และดวงตาก็เบิกกว้างขึ้น
“ผู้ติดตาม? ไห่ตงชิง?” เมิ่งฮ่าวถาม
“ไห่ตงชิงเคยเป็นเหมือนกับข้า เป็นผู้ฝึกตนลำดับขั้นจากขุนเขาที่เจ็ด แต่หลังจากที่มันพ่ายแพ้ให้กับเต้าเทียน (เต๋าสวรรค์) มันก็เข้าสังกัดกลายเป็นผู้ติดตามไปอย่างลึกลับ ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตนลำดับขั้น มันช่างน่าละอายใจนักที่ต้องกลายเป็นผู้ติดตามของคนอื่น!”
อวี่เหวินเจียนกัดฟันแน่น และจ้องมองไปยังผู้ฝึกตนทั้งสามที่ใกล้เข้ามา “บัดซบ ไม่ใช่ว่าเป้าหมายของเต้าเทียน น่าจะเป็นชนเผ่าที่สามและชนเผ่าที่หก? ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะไม่สนใจคนพวกนั้น แต่มายังที่แห่งนี้!”
สีหน้าของอวี่เหวินเจียนเปลี่ยนไป และแอบก่นด่าสาปแช่งอยู่ภายในใจ การเข้าฌาณเพื่อความรู้แจ้งของมันยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะต่อสู้กลับไป
“ท่านมีความแค้นกับไห่ตงชิง?” จู่ๆ เมิ่งฮ่าวก็ถามขึ้น
สีหน้าอวี่เหวินเจียนหมองคล้ำลงมากขึ้น และมันก็พยักหน้า
“ข้าเคยสังหารมันมาครั้งหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อน”
เมื่อคิดว่าพวกมันต่างก็เป็นผู้ฝึกตนลำดับขั้นจากขุนเขาทะเลที่เจ็ดด้วยกัน จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกมันคงยากจะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และต้องจบลงด้วยการต่อสู้จนถึงแก่ความตายไป
เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ชั่วขณะ ในขณะที่อวี่เหวินเจียนกัดฟันแน่น ถึงแม้ว่าอวี่เหวินเจียนไม่อาจจะโจมตีไปด้วยตนเอง แต่สามารถจะเรียกร้องขอความช่วยเหลือได้ มันตบมือลงไปบนพื้น และเสียงกระหึ่มก็ดังก้องออกไปทั่วทั้งชนเผ่าที่เจ็ด อย่างน่าตกใจยิ่งรูจำนวนมากได้ปรากฏขึ้นเหนือร่างของมันในทันที ซึ่งจากนั้นก็ระเบิดออก เผยให้เห็นเป็นเงาร่างกลุ่มหนึ่ง
พวกมันเป็นหุ่นเชิด มีทั้งหมดสิบกว่าตัว พร้อมกับพื้นฐานฝึกตนที่แข็งแกร่ง ดวงตาเมิ่งฮ่าวเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย
แต่เมื่อคิดว่าอวี่เหวินเจียนก็อยู่ในลำดับขั้นเช่นกัน ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่มันจะมีกลยุทธ์บางอย่าง ที่ไม่ยอมจะเปิดเผยออกมา ถ้าไม่มีสาเหตุที่ดีพอ
แทบจะในทันทีที่หุ่นเชิดปรากฏขึ้น ไห่ตงชิงก็เริ่มพุ่งลงมาจากด้านบน เส้นผมของมันพลิ้วไปมาอยู่รอบๆ ตัว ร่างกายกระจายพลังอันน่าตกใจออกมา
“พวกเราได้พบกันอีกแล้ว อวี่เหวินเจียน!”
แสงแห่งความเกลียดชังสาดประกายขึ้นมาอยู่ในแววตาของไห่ตงชิง เสียงของมันแผ่วเบาและอ่อนแอคล้ายกับเสียงของหญิงสาว ขณะที่ลอยตัวอยู่ที่ด้านบน จากนั้นสายตาของมันก็เลื่อนมองไปยังเมิ่งฮ่าว
“เมิ่งฮ่าว? คาดไม่ถึงว่าจะได้พบกับเจ้าในที่แห่งนี้! แต่ก็ดี วันนี้ไหโหม่วจะนำตราประทับทั้งสี่ไปมอบให้กับพี่เต้าเทียน! (เต๋าสวรรค์)”
ดวงตาอวี่เหวินเจียนเบิกกว้างขึ้น และเริ่มก่นด่าเป็นเสียงดังออกมา “พี่เต้าเทียน!? ให้บิดาบอกกับเจ้าเถอะ เจ้าก็เป็นแค่สุนัขรับใช้ของเต้าเทียนเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าสมาชิกในลำดับขั้นจะกลายเป็นผู้ติดตามของใครบางคน ไห่ตงชิง เจ้าไม่รู้จักละอายใจบ้างหรืออย่างไร!?”