Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1262

ตอนที่ 1262

เปิดใช้เวทป้องกันตระกูล

ขณะที่เสียงนั้นดังก้องออกมา แสงที่สาดประกายออกมาจากรูปปั้นก็กลายเป็นแรงกดดันพุ่งกระจายออกไป จากนั้นก็ไปรวมตัวกันบนร่างเมิ่งฮ่าว

เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในอากาศ สีสันแวบขึ้นไป สายลมกรีดร้องระงม…ขณะที่แรงกดดันอาณาจักรเต๋าตกลงมาจากด้านบน กฎธรรมชาติถอยร่นกระจายออกไป จนกระทั่งเหลืออยู่แค่สิ่งเดียวเท่านั้นซึ่งก็คือแรงกดดันอาณาจักรเต๋า

กลุ่มคนตระกูลเมิ่งมองไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เก้าผู้ฝึกตนที่อยู่ในวงจรอันยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรโบราณประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ

“ขอน้อมพบท่านปรมาจารย์!”

ผู้ฝึกตนที่อยู่ในกระแสน้ำวนต่างก็กระทำเช่นเดียวกัน สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“ขอน้อมพบท่านปรมาจารย์!”

ที่ด้านล่าง ผู้ฝึกตนตระกูลเมิ่งทั้งหมดต่างก็ก้าวเดินออกมาจากอาคารบ้านเรือนต่างๆ แม้แต่ข้ารับใช้และผู้ฝึกตนที่เป็นคนแซ่อื่น…ต่างก็โค้งตัวลงต่ำและร่วมกันร้องตะโกนออกไปโดยพร้อมเพรียงกัน “ขอน้อมพบท่านปรมาจารย์!”

เมิ่งหรูและหญิงสาวอีกสองคนมีสีหน้าสลดลง พวกนางอาจจะเชื่อมั่นต่อเมิ่งฮ่าว แต่ลึกลงไปในจิตใจ ปรมาจารย์ใดๆ ก็ตาม…เป็นตัวแทนของพลังอันสูงสุดและยิ่งใหญ่มากที่สุดในตระกูล และพวกมันก็มีศักดิ์ฐานะที่สูงส่งกว่าคนทั้งหมด แม้จะมองขึ้นไปก็ไม่อาจจะมองเห็นได้

ทั่วทั้งตระกูลเมิ่งต่างก็สั่นสะท้านไปโดยสิ้นเชิง ภายในรูปปั้นขนาดใหญ่นั้นมีห้องลับซ่อนอยู่เก้าห้อง สี่ห้องว่างเปล่า อีกห้าห้องมีผู้ฝึกตนนั่งขัดสมาธิเข้าฌานอยู่ บุคคลที่เพิ่งจะพูดออกมานั้นคือคนที่อยู่ในห้องลับที่แปด ซึ่งตอนนี้กำลังนั่งลืมตาอยู่ที่นั่นและมีใบหน้าที่เคร่งเครียดเย็นชา

มันไม่ใช่ปรมาจารย์จากสายโลหิตที่เก้า ซึ่งเป็นคนที่เมิ่งฮ่าวเคยเผชิญหน้ามาก่อน นี่คือปรมาจารย์จากสายโลหิตที่แปด!

เมื่อคิดว่าผู้ฝึกตนที่เพิ่งจะถูกสังหารไปคือกลุ่มคนในสายโลหิตของมัน มันจึงไร้ทางเลือกนอกจากต้องแสดงตัวออกมาเท่านั้น

เมิ่งฮ่าวหยุดชะงักนิ่ง หมุนตัวกลับไปมองยังรูปปั้นที่ด้านหลัง โดยไม่สนใจสายตาที่เต็มไปด้วยแรงกดดันที่กำลังกดทับลงมาบนร่าง จนทำให้สวรรค์ต้องสะท้าน ปฐพีต้องแตกกระจายไป เขาเริ่มพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ เป็นคำพูดที่ใครก็ตามที่ได้ยิน จะต้องคิดว่าช่างเย่อหยิ่งและเอาแต่ใจตัวเองเป็นอย่างยิ่ง

“เจ้ากล้าที่จะต่อสู้กับข้าจริงๆ?” เสียงเมิ่งฮ่าวเยือกเย็น แต่ก็ดังก้องออกไปในทั่วทุกทิศทาง ปลุกเร้าความกริ้วโกรธจากกลุ่มคนตระกูลเมิ่งขึ้นมาในทันที

“บังอาจ!!”

“รนหาที่ตาย!!”

“ช่างไม่รู้จักประมาณตนนัก!” เสียงร้องตะโกนด้วยโทสะนับไม่ถ้วนดังก้องขึ้นจากภายในจุดศูนย์กลางของทวีป ผู้ฝึกตนตระกูลเมิ่งต้องยอมรับว่าเมิ่งฮ่าวแข็งแกร่งจนถึงระดับที่น่ากลัว แต่ในจิตใจพวกมัน ถ้าเขาพยายามจะต่อสู้กับหนึ่งในปรมาจารย์พวกมัน เขาก็จะต้องพ่ายแพ้ไปในการปะทะเพียงแค่ครั้งเดียว!

นั่นคือความศรัทธาในตัวปรมาจารย์ของตระกูล จากกลุ่มคนทั้งหมดทั้งชราและเยาว์วัย

แม้แต่เมิ่งหรูและหญิงสาวอีกสองคนต่างก็วิตกเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่พวกนางยืนอยู่ด้านข้างเมิ่งฮ่าว และมองเห็นความตกใจกลัวอยู่บนใบหน้า

สีหน้าของปรมาจารย์ที่นั่งอยู่ในห้องลับที่แปดเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งแตกต่างไปจากความเลื่อมใสศรัทธาของกลุ่มคนในตระกูลเป็นอย่างยิ่ง

เวลาเดียวกับที่เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นมา ปรมาจารย์ก็ตรวจจับได้ถึงความผันผวนซึ่งมีแต่คนในอาณาจักรเต๋าเท่านั้นที่จะสามารถรับรู้ได้

ความผันผวนนั้นทำให้ปรมาจารย์รู้สึกได้ถึงความน่ากลัวอย่างรุนแรง และรู้ว่าต่อให้มันทุ่มพลังออกไปจนสุดตัว ก็ไม่อาจจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นมาได้

ความรู้สึกนั้นทำให้มันคล้ายกับเป็นหิ่งห้อยตัวกระจ้อยร่อย และเมิ่งฮ่าวก็เป็นคบไฟที่ลุกไหม้สว่างจ้า!

“เป็นไปไม่ได้…มัน…มันมีพื้นฐานฝึกตนอยู่ระดับใดกันแน่!?” ดวงตาชายชราเบิกกว้าขึ้น ก่อนหน้านี้มันแทบจะก้าวเดินออกไปด้วยตนเอง แต่ตอนนี้มันกำลังลังเล สุดท้ายมันไม่กล้าจะโผล่หน้าออกไป และอันที่จริง…แม้แต่คำพูดที่จะตอบกลับไป มันก็ไม่อาจจะคิดออกมาได้

สีหน้าเมิ่งฮ่าวสงบนิ่ง ขณะที่มองไปยังรูปปั้นอย่างเยือกเย็นอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่จะหมุนตัวมุ่งหน้าออกไปพร้อมกับเมิ่งหรูและหญิงสาวอีกสองคน เหตุผลเดียวเท่านั้นที่เขาถอยหลังกลับไป นั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่ต้องการเป็นศัตรูกับคนตระกูลเมิ่งทั้งหมด

“นี่คือตระกูลเมิ่ง เมื่อไหร่ที่ไว่ผอได้พื้นฐานฝึกตนกลับคืนมาแล้ว นางก็จะตัดสินใจเองว่าจะต้องทำอะไรบ้าง” เขาไม่ต้องการจะทำเกินหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถึงแม้ว่ามารดาจะเป็นสมาชิกของตระกูลเมิ่ง และตนเองเป็นนายน้อยแห่งตระกูลฟางก็ตามที

มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เมิ่งฮ่าวมั่นใจว่าสามารถจะทำได้ถ้าตนเองต้องการ แต่ก็ต้องกระทำด้วยความรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้เขามีเจตนาดีก็ตาม ถ้าไม่ระวังก็อาจจะทำให้เกิดเป็นความเข้าใจผิดขึ้นมาได้ ซึ่งเขาไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมหลังจากที่ขบคิดอยู่เล็กน้อย เมิ่งฮ่าวจึงตัดสินใจที่จะถอยกลับไป ผู้ฝึกตนต่างๆ ของตระกูลเมิ่งที่อยู่ด้านหลัง ต่างก็ไล่ติดตามมา พร้อมกับจ้องมองไปด้วยสีหน้าที่ดุร้าย หรือแม้แต่เย้ยหยันอีกด้วย

แต่สีหน้าที่ที่ดุร้ายเหล่านั้นเริ่มหายไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งในที่สุดก็ไม่มีเสียงให้ได้ยินมาอีกเลย สีหน้าของผู้ฝึกตนตระกูลเมิ่งเหล่านี้เปลี่ยนเป็นความสับสนงุนงง บางคนยังมีสีหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยความประหลาดใจอีกด้วย

นั่นเป็นเพราะว่าหลังจากที่เมิ่งฮ่าวพูดออกมาแล้ว ก็คาดไม่ถึงว่าปรมาจารย์ของพวกมัน…ไม่ได้กล่าวตอบโต้แม้แต่น้อย แม้แต่กลิ่นอายของมันก็ดูเหมือนว่าจะอ่อนแอลงไปมากขึ้น

ราวกับว่า…เมิ่งฮ่าวพูดถูกต้องเกี่ยวกับปรมาจารย์ของพวกมัน ซึ่งไม่กล้าจะเสนอหน้าออกมาต่อสู้ด้วย!

ความจริงนั้นทำให้จิตใจของกลุ่มคนตระกูลเมิ่งมากมายต้องหมุนคว้างด้วยความตกตะลึง สำหรับผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรโบราณ คลื่นแห่งความประหลาดใจบดขยี้ลงมาในจิตใจ ก่อนหน้านี้พวกมันสงสัยว่าเมิ่งฮ่าวอยู่ในอาณาจักรเต๋า แต่ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าไม่จำเป็นต้องสงสัยอะไรอีกแล้ว เห็นได้ชัดว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้…อยู่ในอาณาจักรเต๋าอย่างแท้จริง!

“มัน…มันอยู่ใน…อาณาจักรเต๋าจริงๆ!”

เสียงหอบหายใจได้ยินมาจากท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกตนขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรโบราณ ขณะที่พวกมันมองดูเมิ่งฮ่าวจากไป

เวลาเดียวกันนั้น ปรมาจารย์ที่อยู่ในห้องลับที่แปดของรูปปั้นกำลังกัดฟันจนแน่น ช่วงเวลานั้นมันรับรู้ได้ว่าปรมาจารย์ที่อยู่ในห้องลับที่เก้าและห้องแรก ตื่นขึ้นมาแล้วเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ยอมทำอะไรเลย

“บัดซบ พวกมันต้องการให้ข้าไปลองหยั่งเชิงคนผู้นี้ก่อน หือ…?” แสงแห่งความมุ่งมั่นสาดประกายขึ้นในแววตาของปรมาจารย์รุ่นแปด ไม่มีใครจะบรรลุถึงอาณาจักรเต๋าได้โดยที่ปราศจากความกล้าหาญ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วพวกมันจะผ่านทัณฑ์อาณาจักรเต๋ามาได้อย่างไรกัน?

“ด้วยค่ายกลเวทของตระกูล ข้าจะลองดูสักครั้ง!” มันกล่าวขึ้นพร้อมกับกัดฟันแน่น ทันใดนั้นพื้นฐานฝึกตนก็ปะทุขึ้นด้วยพลัง ทำให้ความผันผวนของผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าหนึ่งแก่นแท้ พุ่งออกไปจากภายในรูปปั้น

สมาชิกคนอื่นๆ ของตระกูลเมิ่งมองเห็นแสงสีทองกำลังสาดประกายขึ้นเป็นมหาสมุทรสีทอง จากนั้นก็กลายเป็นหัตถ์ยักษ์พุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าว

สีสันแวบขึ้นไปขณะที่หัตถ์ยักษ์สีทองบดบังไปทั่วท้องฟ้า เกิดเป็นเงาดำปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นดินที่ด้านล่าง!

เสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในอากาศ ขณะที่พลังอันไร้ขอบเขตกดทับลงมายังเมิ่งฮ่าว ขณะที่ใบหน้าของเมิ่งหรูและหญิงสาวอีกสองคนซีดขาว เมิ่งฮ่าวก็หมุนตัวไปและดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยความเย็นเยียบราวน้ำแข็ง

“ช่างกล้าหาญนัก” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงราบเรียบ ไม่ทำอะไรเพื่อหลบเลี่ยงหัตถ์ยักษ์สีทองที่พุ่งใกล้เข้ามา และจริงๆ แล้วก็พุ่งทะยานตรงขึ้นไปหามันอีกด้วย

จากนั้นเขาก็ใช้ร่างกระแทกเข้าไปอย่างไม่แยแส เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องขึ้น ขณะที่หัตถ์ยักษ์สีทองพยายามจะบดขยี้เมิ่งฮ่าวไป แต่ในทันทีที่ร่างเขาสัมผัสโดนหัตถ์ยักษ์ มันก็เริ่มสั่นสะท้าน และจากนั้น…ก็พังทลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไป!

ขณะที่หัตถ์ยักษ์แตกกระจายออกไป มหาสมุทรสีทองก็สลายตัวไป

เห็นได้ชัดว่าการโจมตีของอาณาจักรเต๋าไม่อาจจะต่อต้านกับการขยับตัวเพียงแค่ครั้งเดียวของเมิ่งฮ่าวได้

เมื่อหัตถ์ยักษ์พังทลายลงไป ชายชราที่อยู่ในห้องลับที่แปดของรูปปั้น ก็สั่นสะท้านและกระอักโลหิตออกมากองโต ขณะที่ร่างมันลอยละลิ่วไปทางด้านหลังอย่างที่ไม่อาจจะควบคุมตนเองได้ ไม่นานต่อมามันก็ปรากฏกายขึ้นที่ด้านนอกของรูปปั้น และกระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง ใบหน้าซีดขาว จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความหวาดกลัวและประหลาดใจโดยสิ้นเชิง

“เต๋า…ราชันเต๋า? จักรพรรดิเต๋า?” ความหวาดกลัวอย่างรุนแรงกดทับลงไปในจิตใจของปรมาจารย์แห่งสายโลหิตที่แปด

ผู้ที่สั่นสะท้านอยู่เช่นเดียวกันก็คือปรมาจารย์แห่งสายโลหิตที่เก้า มันจำเมิ่งฮ่าวได้จากการพบกันก่อนหน้านี้ และเมื่อได้เห็นการโจมตีเช่นนี้ของเขา ก็ทำให้ต้องตื่นตระหนกขึ้นอย่างถึงที่สุด

พวกมันตื่นตระหนก แต่สำหรับกลุ่มคนตระกูลเมิ่งที่เหลือ ต่างก็อึ้งไปตามๆ กัน อ้าปากค้างขณะที่มองเห็นปรมาจารย์ของพวกมันกำลังกระอักโลหิตออกมา ในขณะที่เมิ่งฮ่าวกำลังยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าที่เยือกเย็นโดยสิ้นเชิง สิ่งที่เขากระทำมาทั้งหมดก็คือเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว!

แค่ก้าวเดียวนั้นก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าต้องล่าถอยและได้รับบาดเจ็บไป ความศรัทธาของผู้ฝึกตนตระกูลเมิ่งที่มีต่อปรมาจารย์ของพวกมันพลิกคว่ำไปโดยสิ้นเชิง

ใบหน้าทั้งหมดต่างก็ซีดขาวไปโดยสิ้นเชิง ภายในกลุ่มฝูงชนเป็นบุรุษหนุ่มเมิ่งเต๋อ ซึ่งเฝ้ามองมาโดยตลอด และจดจำเมิ่งฮ่าวได้ในทันที ดวงตามันเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ ขณะที่มองดูทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้

นอกจากเสียงหอบหายใจแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นๆ อีกแม้แต่น้อย เมิ่งฮ่าวมองไปยังปรมาจารย์แห่งสายโลหิตที่แปดซึ่งได้รับบาดเจ็บด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย แต่ในตอนนี้เองที่ดวงตาของปรมาจารย์เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม จู่ๆ มันก็แหงนหน้าขึ้นและกู่ร้องออกมา จากนั้นก็ใช้มือขวาตบไปที่หน้าผากของตัวเองอย่างดุร้าย เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องขึ้น และท้องฟ้าก็มืดสลัวลงไป ทันใดนั้นแรงกดดันขนาดใหญ่ก็พุ่งกระจายออกมาจากรูปปั้นขนาดใหญ่ ในชั่วพริบตาก็เต็มไปทั่วทั้งบริเวณนั้น ถึงแม้ว่ากลุ่มคนที่มุงดูอยู่ทั้งหมดจะไม่มีใครมองเห็นสิ่งใดๆ ที่ผิดปกติไป แต่เมิ่งฮ่าวสามารถจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเกราะป้องกันกำลังพุ่งขึ้นมา

“ค่ายกลเวทเกราะป้องกัน…” เมิ่งฮ่าวคิดแต่ก็ไม่ยอมถอยหลัง กลับยืนนิ่งอยู่กับที่ ดวงตาสาดประกายขึ้นขณะที่เกราะป้องกันขยายตัวออกตรงมาที่เขา และจากนั้นก็พุ่งเข้ามาปะทะในทันที

การปะทะกันในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ ทำให้ม่านตาเมิ่งฮ่าวต้องหรี่เล็กลง เขารู้สึกได้ถึงพลังที่ทำลายล้างสวรรค์หั่นปฐพีให้สิ้นสูญในเกราะป้องกันนี้ เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจจะต่อต้านได้เป็นเวลานานด้วยพลังของกายเนื้อเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

“ค่ายกลเวทเกราะป้องกันนี้จริงๆ แล้วน่าจะมีความแข็งแกร่งมากกว่านี้ ถึงแม้ว่าจะควบคุมได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ถ้ามีหลายคนร่วมมือกัน ข้าก็คงจะตกอยู่ในอันตรายอย่างแท้จริง” หลังจากที่รู้สึกได้ถึงพลังของเกราะป้องกัน เมิ่งฮ่าวก็ตัดสินใจที่จะไม่ต่อสู้กลับไป แต่หมุนตัวโบกสะบัดชายแขนเสื้อ นำเมิ่งหรูและหญิงสาวอีกสองคนหายลับไปยังที่ห่างไกล

ขณะที่เมิ่งฮ่าวจากไป ปรมาจารย์แห่งสายโลหิตที่แปดมองตามไปด้วยสีหน้าที่น่าเกลียด การที่เมิ่งฮ่าวสามารถจะยืนหยัดต่อการโจมตีจากค่ายกลเวทนี้ ทำให้มันตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิง

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า…มันสามารถจะต่อต้านค่ายกลเวทบรรพบุรุษ โดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย…มันอยู่ในอาณาจักรอะไรกันแน่? มันไม่ใช่ราชันเต๋า หรืออาจจะเป็น…เป็นจักรพรรดิเต๋าจริงๆ? แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้!!”

ย้อนกลับไปในรูปปั้น ปรมาจารย์ที่อยู่ในห้องลับที่หนึ่งและที่เก้า ต่างก็มีสีหน้าที่เคร่งเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งปรมาจารย์จากสายโลหิตแรก

“สายโลหิตที่สิบ…?” มันพึมพำอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าที่ดุดัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!