ตอนที่ 1361
สู้สุดชีวิต
ร่างเสวียนฟางเริ่มเลือนรางลงอย่างฉับพลัน ราวกับว่าเวลาที่อยู่รอบๆ ตัวมันกำลังบิดเบี้ยวไปมา ราวกับว่าช่วงเวลานับแสนปีกำลังเลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภายในนั้นแวบเป็นภาพนับไม่ถ้วนของ…เสวียนฟาง!
นี่คือเวทช่วยชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งเสวียนฟางเรียนรู้มา หลังจากที่กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ และได้ครอบครองแก่นแท้แห่งกาลเวลา มันเป็นตัวแทนของวัฏจักรหกสิบปีทั้งหมดจากการคงอยู่มานานนับแสนปีของมัน
วิชาเวทเช่นนี้สามารถจะบอกได้ว่าเป็นวิชาเวทที่น่ากลัวอย่างแท้จริง สามารถจะหลบหนีจากผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้ไปได้โดยที่ไม่ได้รับอันตรายใดๆ!
มีแต่ต้องทำลายวิญญาณทั้งหมดที่มันทิ้งไว้ในห้วงกระแสแห่งกาลเวลา จึงจะสามารถทำลายมันไปได้อย่างสมบูรณ์ ตราบเท่าที่ยังคงมีวิญญาณเหล่านั้นหลงเหลืออยู่ มันก็สามารถจะฟื้นฟูกลับคืนมาได้อย่างสมบูรณ์ในทันที แต่ก็น่าเสียดายที่การใช้วิชาเวทเช่นนี้ เป็นสิ่งที่มันสามารถจะใช้ออกมาได้แค่ครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น
ถ้ามันฝืนใช้ออกไป ก็จะเกิดเป็นพลังสะท้อนกลับที่ทำให้เต๋าแห่งกาลเวลาเปลี่ยนแปลงร่างกายมันให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกาลเวลาเอง สติสัมปชัญญะของมันจะจางหายไป และจะกลายเป็นทาสแก่นแท้ไป!
ในตอนนี้ช่วงเวลาหนึ่งเค่อ (15 นาที) ได้ผ่านไปแล้วหกในสิบส่วน ช่างน่าประทับใจยิ่งที่เมิ่งฮ่าวสามารถจะต่อสู้กับระดับเจ็ดแก่นแท้ได้นานเช่นนี้ ที่น่าประทับใจมากไปกว่านั้นก็คือว่า เมิ่งฮ่าวบังคับให้เสวียนฟางต้องปลดปล่อยวิชาเวทเช่นนี้ออกมาได้ ต่อให้สุดท้ายแล้วเมิ่งฮ่าวจะต้องพ่ายแพ้ไป…แต่เขาก็ต่อสู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรีและกล้าหาญ!
เสวียนฟางจื้อจุนแหงนหน้าขึ้นและกู่ร้องออกมา ปลดปล่อยสุดยอดวิชาเวทของมันออกไปอย่างเต็มกำลัง ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงแสงลูกทรงกลมที่ตรึงวิญญาณของมันให้ตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวายได้ ดังนั้นจึงต้องเผชิญหน้ากับแสงนั้นโดยตรง ยกมือขึ้นมาที่เบื้องหน้า และทิ่มนิ้วตรงไปอย่างดุร้าย
เกิดเป็นเสียงระเบิดขนาดใหญ่ดังก้องขึ้น ทุกสรรพสิ่งที่อยู่รอบๆ ร่างเสวียนฟางบิดเบี้ยวอยู่ในทิศทางของลูกทรงกลม จากนั้นก็กระแทกเข้าไปในทันที
“เปิ่นจุนพนันได้เลยว่าวิชาเวทนี้ไม่สมบูรณ์ พนันว่า…วิชาเวทที่ไม่สมบูรณ์เช่นนี้ ไม่เพียงพอที่จะทำลายวิญญาณทั้งหมดที่อยู่ในห้วงกาลเวลาของเหล่าฟูได้”
เสวียนฟางแหงนหน้าขึ้นและกู่ร้องออกมา ขณะที่แก่นแท้แห่งกาลเวลากระแทกเข้าไปยังแสงลูกทรงกลมที่ปั่นป่วนวุ่นวายนั้น ทำให้เกิดการระเบิดเป็นแสงเจิดจ้าขึ้น!
อย่างน่าแปลกใจยิ่งแสงนั้นไม่ได้พุ่งผ่านอาณาเขตของลูกทรงกลมขนาดหนึ่งร้อยจ้างออกมา แต่บริเวณที่อยู่ด้านในดูคล้ายกับเป็นดวงตะวันอีกหนึ่งดวง เต็มไปด้วยแสงอันเจิดจ้าจนแทบจะทำให้ดวงตาต้องมืดบอดไป
ภายในอาณาเขตหนึ่งร้อยจ้าง ใบหน้าของเสวียนจ้างบิดเบี้ยวขึ้นอย่างดุร้าย แสงลูกทรงกลมที่ปั่นป่วนวุ่นวายหายไป กลายเป็นกระแสกลุ่มควันหกสายที่ไหลซึมเข้าไปในแก่นแท้แห่งกาลเวลา ภายในช่วงเวลานับแสนปีเหล่านั้น หกกระแสของกลุ่มควันเริ่มกำจัดวิญญาณของเสวียนฟางไป
ไม่มีสุ้มเสียงให้ได้ยิน แต่ภายในห้วงกาลเวลาที่บิดเบี้ยวไปมา ซึ่งปกคลุมอยู่รอบๆ เสวียนฟางจื้อจุน มองเห็นประกายแสงแห่งการทำลายล้างปรากฏขึ้นเป็นจำนวนมาก ขณะที่วิญญาณของมันถูกกวาดล้างไปหนึ่งในสิบส่วน!
การสูญเสียวิญญาณไปหนึ่งส่วนนี้ ทำให้สีหน้าเสวียนฟางจื้อจุนดูน่าเกลียดขึ้น แต่จำนวนนั้นก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นสองส่วน, สามส่วน, สี่ส่วน และห้าส่วน…
เมื่อการทำลายล้างผ่านมาถึงห้าในสิบส่วน ดวงตาเสวียนฟางจื้อจุนก็สาดประกายขึ้นด้วยความหวาดกลัว ประหลาดใจ และไม่อยากจะเชื่ออย่างรุนแรง มันไม่อยากเชื่อว่าจะถูกกำจัดไปในวันนี้ และไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองคิดคำนวณผิดพลาดไป นอกจากนี้มันยังไม่อยากจะเชื่อว่าเวทช่วยชีวิตที่ทรงพลังมากที่สุดของตนเอง ซึ่งสามารถใช้ออกมาได้แค่หนึ่งครั้งในชีวิตเท่านั้น จะไม่อาจต่อต้านกับเวทแห่งเต๋าที่ไม่สมบูรณ์ได้!
“เป็นไปไม่ได้!!” มันแผดร้องคำรามออกมา โลหิตพลุ่งพล่านขึ้นมาในทันที ทำให้ปราณและโลหิตของวิญญาณที่อยู่ภายในระลอกคลื่นแห่งกาลเวลา ปะทุขึ้นด้วยพลังของวิญญาณอันเข้มข้น
เวลาเดียวกันนั้น หกเส้นใยของกลุ่มควันเริ่มมีพลังลดน้อยลงไป หลังจากที่กำจัดวิญญาณของเสวียนฟางไปแล้วห้าในสิบส่วน แต่พวกมันก็ยังคงกระจายออกไป ทำให้การทำลายล้างเพิ่มขึ้นเป็นหกในสิบส่วน จากนั้นก็เริ่มแสดงให้เห็นถึงสัญญาณของการจางหายไป
ในที่สุดวิญญาณก็ถูกกำจัดไปเจ็ดในสิบส่วน และหกกระแสของกลุ่มควันกำลังจางหายไปแล้วในตอนนี้ พวกมันพยายามกระจายออกไปด้วยความยากลำบาก แต่ในที่สุดก็ไม่อาจจะกำจัดวิญญาณของเสวียนฟางไปได้แปดในสิบส่วน ก่อนที่จะ…จางหายไปโดยสิ้นเชิง
เมื่อเกิดขึ้นเช่นนั้น เมิ่งฮ่าวก็กระอักโลหิตออกมากองโต จากนั้นก็ทรุดตัวลงไปด้วยความเหนื่อยล้า ใบหน้าไร้สีเลือดไปโดยสิ้นเชิง และพลังสะท้อนกลับจากสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นนี้ ก็ทำให้อวัยวะภายในแตกกระจายไป ทำให้ต้องสั่นสะท้านไปทั้งร่าง พื้นฐานฝึกตนเริ่มไม่มั่นคง และสติสัมปชัญญะก็เริ่มจางหายไป
เขาพ่ายแพ้แล้ว…ไม่มีแม้แต่พลังที่จะหัวเราะด้วยความขมขื่นออกมา รู้ดีว่าตนเองพ่ายแพ้ไปแล้วโดยสิ้นเชิง
เขาไม่เคยพ่ายแพ้อย่างน่าขมขื่นเช่นนี้มาก่อน ถึงแม้ว่าจะต่อสู้อย่างหมดหวังกับไป๋จู่แห่งขุนเขาทะเลที่เจ็ด แต่สุดท้ายเขาก็ชนะ แต่ในวันนี้ถึงแม้ว่าจะกระทำทุกอย่างด้วยพลังทั้งหมด ก็ยังคงไม่มีความหวังที่จะเอาชนะได้แม้แต่น้อย จิตใจเมิ่งฮ่าวพลุ่งพล่านขึ้นด้วยความขมขื่นและเจ็บปวด
เวทตราบนิรันดร์ชิงตี้ยังคงทำงานอยู่ แต่ถ้าไม่มีเวลาเพียงพอ เขาก็ไม่อาจจะฟื้นฟูร่างกาย จนสามารถจะยกมือขึ้นมาเพื่อปลดปล่อยความสามารถศักดิ์สิทธิ์ออกไปได้
นอกจากนั้นในตอนนี้…เวลาก็คล้ายกับเป็นใบมีดอันคมกริบ ที่กำลังมาจ่ออยู่ที่ลำคอเมิ่งฮ่าว ช่วงเวลาหนึ่งเค่อผ่านไปเพียงแค่เจ็ดในสิบส่วนเท่านั้น และการที่จะยืนหยัดได้อีกต่อไปก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างถึงที่สุด
เพราะว่าที่ด้านนอกของสนามรบถูกบดบังด้วยกลุ่มหมอก และเพราะว่าเมิ่งฮ่าวไม่ต้องการจะถูกรบกวนในช่วงการต่อสู้กับเสวียนฟางจื้อจุน เขาจึงได้แต่ใช้ความรู้สึกคาดเดาถึงสถานการณ์ที่ด้านนอกว่า…น่าท้อแท้ใจเช่นเดียวกัน
เสวียนฟางอยู่ห่างไกลออกไปจากค่ายกลเวทดวงตะวันด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน แสงที่อยู่รอบตัวมันหนึ่งร้อยจ้างกำลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเวทแห่งเต๋าของเมิ่งฮ่าวซึ่งก็คือการหลอมรวมกันของหกเวท ในที่สุดเสวียนฟางจื้อจุนก็เผยตัวเองออกมา
มันตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างถึงที่สุด เส้นผมยุ่งเหยิงเป็นกระเซิง ร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ มีสีหน้าซับซ้อนราวกับว่าเพิ่งจะพบเจอกับหายนะที่เกือบตายมา จากนั้นมันก็หมุนตัวมองตรงมายังค่ายกลเวท และเมิ่งฮ่าวที่กำลังนั่งอยู่ที่นั่นอย่างไร้พลังใดๆ
“ในสามสิบสามสวรรค์ คนที่สามารถบังคับให้เหล่าฟูตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้ มีแต่สองผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้เท่านั้น แต่ตอนนี้ก็ยังมีอีกหนึ่งคน…เจ้า” เสวียนฟางมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยสายตาที่ลึกล้ำ จากนั้นก็ประสานมือและโค้งตัวลง
“การโค้งตัวนี้คือการโค้งตัวเพื่อคารวะต่อเจ้า ข้าไร้ทางเลือกนอกจากต้องสังหารเจ้าไปเท่านั้น แต่ก็รู้สึกชื่นชมในตัวเจ้าด้วยเช่นกัน”
“ความเห็นที่แตกต่างทำให้เกิดเป็นสงครามนี้ขึ้นมา ทำให้เจ้าและข้าต้องมาต่อสู้กัน นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะสามารถเลือกได้ ถึงแม้ว่าเหล่าฟูจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับเจ็ดแก่นแท้ ก็ไม่มีสิทธิ์จะเลือกด้วยเช่นกัน”
“เมิ่งฮ่าว…ข้าจะจดจำนามของเจ้าไว้ และตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้ว…ที่เจ้าจะต้องจากโลกนี้ไปตลอดกาล” เสวียนฟางสูดหายใจเข้าลึกๆ วิญญาณทั้งหมดของมันที่คงอยู่ภายในกระแสแห่งกาลเวลา ซึ่งถูกทำลายไปเกือบแปดในสิบส่วน แต่ตราบเท่าที่ยังคงเหลืออยู่เพียงแค่หนึ่งดวง มันก็จะไม่ถูกสังหารไปอย่างแท้จริง
สิ่งที่มันเสียใจจริงๆ ก็คือวิชาเวทนั้น…มันไม่อาจจะปลดปล่อยออกมาได้อีกแล้ว ถ้าเมิ่งฮ่าวสามารถใช้เวทแห่งเต๋าที่ไม่สมบูรณ์นั้นออกมาได้เป็นครั้งที่สอง มันคงจะต้อง…ตายไปโดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ
เมิ่งฮ่าวนั่งเงียบๆ อยู่ที่นั่น แอบถอนหายใจออกมา นี่คือช่วงเวลาวิกฤตแห่งความเป็นตาย แต่ไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย กลับคิดไปถึงช่วงชีวิตที่บิดามารดาหายตัวไป ช่วงการเป็นนักศึกษาในเมืองหยุนเจี๋ย ช่วงที่ไปสอบเป็นขุนนาง และช่วงเหตุการณ์ที่อยู่บนภูเขาต้าชิง ซึ่งทำให้ตนเองต้องเข้ามาในโลกแห่งการฝึกตนและเต๋า
ช่วงชีวิตเหล่านั้นแวบผ่านไปด้วยภาพของครอบครัว, ภรรยา, สหาย…
เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องออกมา ขณะที่เสวียนฟางเดินตรงไปหนึ่งก้าว ผ่านเข้าไปในค่ายกลเวท เมื่อมันกำลังจะยื่นมือออกไปเพื่อสังหารเมิ่งฮ่าว
เสียงแผดร้องด้วยโทสะก็ดังก้องขึ้น จากผู้ฝึกตนทั้งหนึ่งแสนคนที่เสวียนฟางไม่เคยให้ความสนใจมาโดยตลอด
กรรรรรรร!!
ไม่มีคำพูดถูกเปล่งออกมา ไม่มีคำอธิบายใดๆ มีเพียงแค่…เสียงร้องตะโกนขึ้นด้วยโทสะที่ดังก้องออกมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณพวกมัน
ดวงตาของผู้ฝึกตนทั้งหนึ่งแสนคนกลายเป็นสีแดงก่ำไปโดยสิ้นเชิง ขณะที่ปลดปล่อยพลังจากพื้นฐานฝึกตนออกมา และแม้แต่พลังชีวิตของพวกมัน เพื่อต่อสู้กลับไปยังเสวียนฟางจื้อจุน พวกมันไม่ยอมให้เสวียนฟางผ่านเข้ามาในค่ายกลเวท และจะไม่ยอมให้มันมาทำอันตรายเมิ่งฮ่าวได้แม้แต่น้อย!
ดวงตาเสวียนฟางสาดประกายขึ้น และแค่นเสียงเย็นชา กระทืบเท้าลงไปอย่างดุร้าย ดวงตะวันทั้งดวงสั่นสะเทือน ขณะที่ระลอกคลื่นขนาดใหญ่ของพลัง พุ่งตรงไปยังค่ายกลเวทและเมิ่งฮ่าว!
เมิ่งฮ่าวไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก อาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ ไปอยู่ที่ผู้ฝึกตนทั้งหนึ่งแสนคนที่ดูดซับพลังการโจมตีนั้นไว้
โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปากพวกมัน และร่างกายบางคนยังได้แห้งเหี่ยวลงไปจนถึงจุดที่แทบจะพังทลายลงไปอีกด้วย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ดึงให้เมิ่งฮ่าวหลุดออกมาจากความทรงจำเมื่อในอดีต เมื่อได้เห็นผู้คนทั้งหนึ่งแสนไม่ยอมจำนน ยินยอมเสียสละชีวิตของตนเอง ดีกว่าจะให้เขาต้องถูกสังหารไป ทำให้ต้องสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
เสวียนฟางก็เต็มไปด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกัน แอบถอนหายใจออกมา ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม…มันยังคงโจมตีไปอย่างดุร้ายเหมือนเช่นเดิมอย่างต่อเนื่อง รังสีสังหารพุ่งทะยานขึ้น
ขณะที่เดินตรงไปแปดก้าว ผ่านค่ายกลเวทตรงไปยังเมิ่งฮ่าว แต่ละย่างก้าวที่มันเดินไป ก็ทำให้ค่ายกลเวทต้องสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง
ผู้ฝึกตนหนึ่งแสนคนกระอักโลหิตออกมามากขึ้น และบางคนยังได้แห้งเหี่ยวจนใกล้จะตายไป ปล่อยให้ค่ายกลเวทดึงพลังจากพวกมันจนกระทั่งถูกสังหารไป ทั้งหมดนี้ก็เพื่อ…ปกป้องเมิ่งฮ่าว!
บางทีอาจจะถูกต้องมากกว่าถ้าจะกล่าวว่า สิ่งที่พวกมันกำลังปกป้องอยู่ ไม่เพียงแต่จะเป็นเมิ่งฮ่าวเท่านั้น แต่เป็นบ้านเกิดของพวกมัน!
สำหรับคนบางกลุ่ม การทำลายบ้านเกิดของพวกมัน ไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดเป็นความกระหายที่จะล้างแค้นเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดเป็นความสิ้นหวังและความสับสนอีกด้วย อย่างไรก็ตาม…มีคนบางกลุ่มที่จิตวิญญาณของพวกมันไม่มีทางจะถูกกำจัดไปได้ สำหรับกลุ่มคนเช่นนี้ เมื่อถึงช่วงวิกฤตที่ความอยู่รอดของบ้านเกิดพวกมันถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย ทางเลือกเพียงหนี่งเดียวของพวกมันก็คือการเสียสละเท่านั้น! นั่นคือลักษณะของกลุ่มคนที่มีชีวิตอยู่เพื่อการล้างแค้นไปตราบชั่วนิรันดร์ หลังจากที่บ้านเกิดของพวกมันถูกทำลายไป
ยอมเสียสละตนเองเพื่อปกป้องบ้านเกิด!
สงครามไม่ใช่การต่อสู้เพื่อทรัพยากรต่างๆ หรืออาจจะถูกต้องมากที่สุดถ้าจะกล่าวว่า ใช้ทรัพยากรเป็นเหตุผลในการทำสงคราม ไม่ว่าจะมีผู้คนต้องตายไปมากน้อยเท่าใด พวกมันก็ค่อนข้างจะเชื่อว่า…สงครามอันโหดร้ายมาพร้อมกับเป้าหมายที่ต้องการบดขยี้จิตวิญญาณและเจตจำนงของผู้คนทั้งปวง!
มีแต่กวาดล้างจิตวิญญาณและเจตจำนงของผู้คนเท่านั้น…ถึงจะสามารถกวาดล้างไปได้อย่างแท้จริง!
เมื่อผู้คนถูกกำจัดไป สิ่งที่ถูกกำจัดนั้นไม่ใช่เพียงแค่ชีวิตเท่านั้น แต่เป็นจิตวิญญาณของกลุ่มคนทั้งมวล!
ในช่วงการทำสงครามครั้งแรกระหว่างอาณาจักรขุนเขาทะเลและสามสิบสามสวรรค์ เมิ่งฮ่าวได้จุดประกายไฟขึ้นมา ทำการเผาไหม้ดินแดนอันกว้างใหญ่ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นแรก เพื่อจุดไฟในดวงตาของผู้ฝึกตนแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเล เพื่อปลุก…จิตวิญญาณของผู้คนขึ้นมา
เมื่อเกิดขึ้นเช่นนั้น สงครามก็เปลี่ยนไป บางทีสามสิบสามสวรรค์อาจจะสามารถกำจัดผู้คนแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเลไป แต่…พวกมันไม่มีทางจะกำจัดจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนไปได้!
ในตอนนี้ ทุกย่างก้าวที่เสวียนฟางจื้อจุนเดินไป ทำให้ผู้ฝึกตนคนแล้วคนเล่าต้องถูกสังเวยไปอย่างต่อเนื่อง โลหิตหลั่งไหล ร่างกายแห้งเหี่ยว พวกมันใช้ความตายของตนเอง…เพื่อถ่วงเวลา!
“พวกท่าน…ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้…” เมิ่งฮ่าวกล่าวผ่านดวงตาที่พร่ามัว ร่างกายสั่นสะท้าน มองไปรอบๆ ยังกลุ่มผู้ฝึกตนที่อยู่ในบริเวณนั้น พวกมันคือกลุ่มคนที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนในช่วงเริ่มต้นทำสงคราม พวกมันคือคนแปลกหน้า พวกมันมีครอบครัว, สำนัก, คนรักหรือแม้แต่บุตรธิดาของตนเอง แต่ตอนนี้…กลับไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะมอบชีวิตของตนเองออกมา เพื่อถ่วงเวลาของเสวียนฟางให้ช้าลงแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ยังดี
ร่างกายแห้งเหี่ยว วิญญาณจางหายไป พวกมันคล้ายกับเป็นเปลวเทียนที่อยู่ในสายลม สั่นไหวไปมาจนแทบจะดับลงไป ในที่สุดเสียงกู่ร้องด้วยความสิ้นหวังก็ดังก้องออกมาจากปากของเมิ่งฮ่าว
แสงสีโลหิตแวบประกายขึ้นมาในดวงตา และเปลวไฟจู่ๆ ก็ลุกไหม้ขึ้นมาอยู่ภายในร่าง ขณะที่มองขึ้นไปยังเสวียนฟาง ในตอนนี้เมิ่งฮ่าว…ใช้ไพ่ไม้ตายออกมาจนหมดสิ้นแล้ว! เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เขาโบกสะบัดมือออกไป ใช้พลังจากพลังชีวิตทั้งหมดออกมาเพื่อเรียกตะเกียงวิญญาณทั้งสามสิบสามดวงให้ปรากฏขึ้น