ตอนที่ 14
ภัยคุกคาม
เมื่อได้ยินดังนั้นร่างของเฉาหยางก็แข็งค้าง ไม่ใช่เพียงแค่มันคนเดียว ทุกคนที่มุงดูอยู่รอบๆ ก็เช่นกัน มองไปที่เมิ่งฮ่าวด้วยความกลัว
“ซื้อ….ซื้อเพิ่มอีกหน่อย?” เฉาหยางกล่าวด้วยเสียงอ่อนล้า ถ้าไม่ใช่ว่าเมิ่งฮ่าวกำลังพยุงมันไว้ มันคงล้มคว่ำลงไปแล้ว
“หนึ่งเม็ด ต่อหนึ่งหินลมปราณ” เมิ่งฮ่าวพูดอย่างสุภาพอ่อนโยน เขาหยิบเม็ดยาคลายฟกช้ำออกจากถุงเก็บสมบัติมาสิบกว่าเม็ด “ข้ารับใช้ลูกค้าด้วยความซื่อสัตย์เสมอมา พี่ท่าน วางใจได้ ข้าไม่ฉวยโอกาสจี้ปล้นเมื่อเกิดไฟไหม้ เอาเปรียบท่านด้วยการเพิ่มราคาหรอกนะ ลองถามท่านพี่คนอื่นๆ บริเวณนี้ได้ ชื่อเสียงของร้านขายยาแบบเร่งด่วนค่อนข้างดีงามเสมอมา”
เฉาหยางหน้าซีดเมื่อมองไปที่เม็ดยาทั้งหมด และเมื่อมองไปยังสีหน้าที่มีอัธยาศัยอันดีของเมิ่งฮ่าว ก็รู้สึกเสียววูบที่สันหลังในทันที มันต้องกัดฟันซื้อไว้ ด้วยจิตใจที่เต้นรัว
“พี่ท่านสายตาแหลมคมนัก นี่เป็นเม็ดยาของแท้จากร้านขายยาสำหรับผู้ฝึกตนจริงนะ” ขณะที่พูด เขาก็หยิบเอาเอาเม็ดยาประสานโลหิตออกมาถือไว้อีกสิบกว่าเม็ด
เฉาหยาเห็นเมิ่งฮ่าวหยิบเม็ดยาออกมาอีก พลันสะดุ้งตัวสั่น จิตใจขมขื่น แล้วก็มองกลับไปที่ใบหน้าของเขา และก็เห็นถึงความรู้สึกห่วงใยฉายอยู่เต็มใบหน้านั้น
เฉาหยางไม่ใช่คนโง่ มันเข้าใจถึงความตั้งใจของเมิ่งฮ่าว โลหิตไหลรินอยู่ในจิตใจมัน แต่ในตอนนี้ชีวิตของมันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และมันก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก จึงหยิบหินลมปราณออกมาจากถุงเก็บสมบัติจำนวนหนึ่ง แล้วก็ส่งให้เมิ่งฮ่าวอย่างแสนเสียดาย
เมิ่งฮ่าวรับไว้พร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็ส่งเม็ดยาให้เฉาหยางทีละเม็ด ไม่นานหินลมปราณทั้งหมดในถุงเก็บสมบัติของเฉาหยาง ก็ถูกแทนที่ด้วยเม็ดยาของเมิ่งฮ่าว
เฉาหยางรู้สึกมีโลหิตไหลรินอยู่ในจิตใจมากขึ้น เนื้อบนใบหน้าสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด
มันมองเห็นเมิ่งฮ่าวยังคงมีเม็ดยาห้าเม็ดอยู่ในมือ สีหน้ามันดูหวาดกลัวและสิ้นหวัง
“เม็ดยาเมื่อครู่ จะช่วยท่านฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ ส่วนเม็ดยาทั้งห้านี้สำหรับหลังจากการฟื้นฟูร่างกายแล้ว เพื่อช่วยบำรุงสุขภาพของท่านให้ดีอยู่ตลอดไป” เมิ่งฮ่าวพูดอย่างเอาใจใส่ เมื่อเขาจ้องไปที่เฉาหยาง
“ข้าไม่เหลือหินลมปราณอีกแล้ว ไม่มีจริงๆ” เฉาหยางพูด มองไปที่เมิ่งฮ่าว ทำท่าเหมือนจะร้องไห้
เมิ่งฮ่าวไม่พูดอะไร ยังคงสีหน้ามีอัธยาศัยดีเหมือนเดิม เฉาหยางรู้สึกเสียวไปถึงไขสันหลัง กัดฟันดึงของวิเศษออกมา มีทั้งกระบี่บิน ไม้อาคม เม็ดยารวบรวมลมปราณ และอื่นๆ
“ข้าไม่มีหินลมปราณ มีแต่ของพวกนี้” มันพูดอย่างหมดท่า
“อืม ของวิเศษก็ใช้ได้” เมิ่งฮ่าวกล่าว หยิบมาทั้งหมดเก็บใส่ถุงสมบัติ
ไม่นานหลังจากนั้น เฉาหยางก็ถือเม็ดยามากมาย เดินโซเซจากไปพร้อมกับศิษย์สายนอกที่มาช่วยพยุงมัน
เมิ่งฮ่าวตบไปที่ถุงเก็บสมบัติอย่างกระหยิ่มใจ เวลายังเช้าอยู่ และเขาก็สามารถขายเม็ดยาออกไปได้ทั้งหมด จึงตัดสินใจที่จะจากไป หลังจากเก็บป้ายผ้าก็บอกกับผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ ว่า พรุ่งนี้พบกันใหม่ แล้วก็เดินลงมาจากที่ราบสูงนั่น
ครึ่งเดือนผ่านไป ช่วงเวลานั้น ชื่อเสียงเมิ่งฮ่าวก็เป็นที่รู้จักไปทั่ว ท่ามกลางศิษย์ที่มีระดับการฝึกตนขั้นสามลงไป พวกมันรู้ว่ามีร้านขายยาแบบเร่งด่วนบนที่ราบสูงเขตส่วนรวม
ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด ก็คือเจ้าของร้าน ที่มองดูเหมือนเป็นนักศึกษาที่อ่อนแอ แต่มีอารมณ์ที่รุนแรง ข่าวลือถูกกระจายไปทั่ว
บ่ายวันหนึ่ง เฉาหยางเดินออกมาจากบ้านด้วยสีหน้าซีดขาว แม้ผิวจะซีดไปบ้างแต่บาดแผลก็หายเป็นปกติดี เม็ดยาที่มันซื้อมาจากเมิ่งฮ่าวด้วยราคาที่สูงลิ่ว แท้จริงก็แล้วมีประสิทธิภาพในการช่วยให้มัน ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้เป็นอย่างดี
มันต้องนอนซมอยู่นานครึ่งเดือนจากวันนั้น จนเมื่อเร็วๆ นี้ มันจึงสามารถออกมาเดินข้างนอกบ้านได้ ตอนแรกดูเหมือนมันจะลังเลเล็กน้อย แต่ในที่สุดก็เดินผ่านเขตสำนักสายนอก จนมาถึงพื้นที่ที่มีบ้านอยู่ประปราย มันหยุดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง
“เฉาหยางมาขอเข้าพบศิษย์พี่ลู่” มันพูด ยืนประสานมือแสดงความเคารพอยู่หน้าบ้าน
ในบ้านมีบุรุษอายุประมาณสามสิบปี ในชุดยาวสีเขียว นั่งขัดสมาธิอยู่ หน้าตาไม่หล่อเหลา แต่ดูหยิ่งยโส มันลืมตาขึ้น มองประเมินออกไปที่เฉาหยาง
“มีเรื่องอันใด?” มันพูดเสียงเย็นชา
“คือเช่นนี้ ศิษย์พี่ลู่ ข้า…ข้าถูกปล้น เมื่อหลายวันก่อน” เฉาหยางพูดโพล่งออกมา ท่าทางกระสับกระส่าย ผู้คนเบื้องนอกกล่าวกันว่าศิษย์พี่ลู่เป็นลูกพี่ลูกน้องของมัน แต่ในความเป็นจริง พวกมันไม่มีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน ศิษย์พี่ลู่มักจะนั่งสมาธิอย่างสันโดษ และไม่เคยสนใจเฉาหยางเลยแม้แต่น้อย
บัดนี้มันเป็นเพราะโทสะมิอาจกล้ำกลืน จึงมาขอพบ
เมื่อได้ยินเฉาหยางพูดดังนั้น ดูเหมือนว่าลู่หงจะรู้สึกรำคาญเล็กน้อย
“มันเป็นใครที่ปล้นเจ้า?” ลู่หงถามเสียงเย็นชา
“มันเป็นศิษย์สายนอกนามว่า เมิ่งฮ่าว” เฉาหยางรีบตอบ
“เมิ่งฮ่าว?” ลู่หงหยุดคิดชั่วครู่ นึกถึงภาพของผู้ที่มอบเม็ดยาลมปราณเกราะให้กับศิษย์พี่หญิงสวี่เมื่อหลายเดือนก่อน
“คือมันผู้นั้นนั่นเอง เป็นคนโง่และไร้วิชา” เฉาหยางพูดด้วยความเกลียดชัง “แต่มันได้เปิดร้านขายยาบนที่ราบสูง คอยเร่ขายเม็ดยาให้กับศิษย์ที่บาดเจ็บจากการต่อสู้”
“เร่ขายเม็ดยา?” ลู่หงพูดพร้อมขมวดคิ้ว สองตาสาดประกาย
“ขอรับ ตอนนี้มันเป็นหนึ่งในศิษย์ที่มีชื่อเสียงมากในพวกระดับลมปราณขั้นต่ำ มันเปิดร้านขายยา จากนั้นก็บังคับให้ผู้คนซื้อยาจากมัน ตอนนี้ทุกคนก็ไม่พอใจและไม่อยากที่จะซื้อยาจากมัน ทั้งหมดเกลียดชังมัน มันเป็นผู้ปลุกความโกรธแค้นของฟ้าดิน! ข้ามาขอร้องให้ศิษย์พี่ลู่ ได้โปรดช่วยผดุงความยุติธรรม”
โทสะปกคลุมทั่วใบหน้าเฉาหยาง เมื่อมันคิดไปถึงความอเนจอนาถที่มันได้รับในวันนั้น
แท้จริงแล้ว ศิษย์พี่ลู่ ไม่ได้สนใจในสิ่งที่เฉาหยางได้พูดไปแม้แต่น้อย แต่ดวงตามันก็เปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม
“พลังการฝึกตนของข้า ก้าวมาถึงระดับนี้ได้ มัวแต่แย่งชิงสิ่งของจากศิษย์ระดับต่ำทำให้เสียศักดิ์ศรี ทำไมนะ ตลอดเวลาที่ข้าอยู่ในสำนักเอกะเทวะนี้ ข้าถึงไม่เคยคิดที่จะเปิดร้านและเร่ขายเม็ดยา…” มันถอนหายใจและตบไปที่ต้นขา
ได้ยินเสียงจากด้านใน เฉาหยางยืนสับสนอยู่หน้าบ้าน ไม่มั่นใจว่าเสียงนั้นมีความหมายว่าอย่างไร มันไม่กล้าถาม ไม่นานหลังจากนั้น ศิษย์พี่ลู่ก็ไล่มันกลับไป โดยไม่มีคำรับประกันว่าจะช่วยมันแก้แค้น
รุ่งอรุณของเช้าวันต่อมา เมิ่งฮ่าวถือป้ายผ้าเดินตรงไปบนเนินที่ราบสูง ด้วยจิตใจร่าเริง เขาคุ้นเคยกับการเดินไปตามเส้นทางที่ทอดสู่ที่ราบสูง เมื่อไปถึงเขานั่งขัดสมาธิบนก้อนหินใหญ่เหมือนเคย
เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้น สีหน้าของผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ก็เริ่มซีดขาว ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา พวกมันถูกรบเร้าจากเมิ่งฮ่าวให้ซื้อเม็ดยา จนรู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจโดยสิ้นเชิง แต่ถ้าพวกมันไม่มาที่นี่ มันก็ไม่สามารถแช่งยิงเม็ดยาหรือหินลมปราณจากผู้ฝึกตนคนอื่นๆ การสังหารผู้คนนอกเขตพื้นที่นี้ ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นพวกมันไม่มีทางเลือก นอกจากมายังที่นี่ แต่เคราะห์ดีที่ทุกคนต่างล้วนรู้ตัว พวกมันมักจะหยุดการต่อสู้เมื่อเห็นเมิ่งฮ่าวตรงมาหา
แต่ก็ย่อมมีพวกที่สู้อย่างติดพัน และมักจะมีพวกที่มีความแค้นต่อกันอยู่แล้ว ทำให้ถึงแม้ว่าการค้าของเมิ่งฮ่าวจะเริ่มน้อยลง แต่เขาก็ยังนับว่าไม่เลวเลย
แต่สิ่งที่ต้องกล่าวถึงคือ ตั้งแต่ที่เมิ่งฮ่าวเปิดร้าน ก็มีการตายก็น้อยลง เขารับรู้ถึงเรื่องนี้ และใช้มันเป็นจุดขายของเขา
เหมือนเช่นเคย เมิ่งฮ่าวมองหาว่าที่ลูกค้าไปรอบๆ เขาคิดว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด นึกถึงการเปิดร้านในเมืองหยุนเจี๋ย มักจะหาคนมาเป็นหน้าม้า ขณะที่ความคิดใหม่เกิดขึ้นในใจ ก็พลันต้องขมวดคิ้ว ด้วยสายตาเขาเหลือบไปเห็นบุรุษผู้หนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป อายุประมาณสามสิบปี ดูท่าทางเย่อหยิ่ง และในมือของมันก็ถือป้ายผ้าดูคล้ายของเมิ่งฮ่าว อักษรตัวใหญ่หลายตัวเขียนอยู่บนป้ายนั้น เขียนข้อความคล้ายๆ กับเขาว่า
ร้านขายยาแบบเร่งด่วน ร้านที่ 2
บุรุษหนุ่มผู้นี้ก็คือลู่หง ผู้อยู่ในอันดับหนึ่งของศิษย์ระดับขั้นต่ำ พลังการฝึกตนของมันใกล้เคียงกับเมิ่งฮ่าว อีกนิดเดียวก็จะถึงจุดสูงสุดของขั้นสาม เมิ่งฮ่าวจ้องไปที่มัน แล้วก็ไม่สนใจอีก ทำการค้าเช่นนี้มักหนีไม่พ้นถูกลอกเลียนแบบ เพียงแต่เมิ่งฮ่าว ไม่ค่อยชอบใจกับข้อความบนป้ายผ้านั่นเท่านั้น
ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ บริเวณนั้นมองหน้ากันไปมาชั่วครู่ จากนั้นก็กลับไปต่อสู้กันต่อไป ครึ่งชั่วยามผ่านไป เมิ่งฮ่าวจ้องไปที่คู่ต่อสู้คู่หนึ่ง แล้วก็รีบเดิน เอาป้ายผ้าไปปักใกล้ๆ พวกมัน ในเวลาเดียวกันนั้น ลู่หงก็รีบเดินเอาป้ายผ้าไปปักด้วย
เมื่อเห็นป้ายผ้าสองอันมาปักอยู่ คู่ต่อสู้ทั้งสองก็หลั่งเหงื่อออกมา เท่าที่พวกมันรับรู้ บุคคลที่มาขายยาทั้งสองล้วนแต่แข็งแกร่ง ปกติแล้วแค่หนึ่งคนก็เพียงพอที่จะทำความลำบากให้กับพวกมัน แต่ตอนนี้มีตั้งสองคน ยืนจ้องมองมา
“พี่ท่าน ซื้อเม็ดยาแล้ว มั่นใจได้เลยว่าท่านปลอดภัยแน่นอน” เมิ่งฮ่าวรีบพูด “หนึ่งหินลมปราณต่อหนึ่งเม็ดยา ข้าปฏิบัติกับลูกค้าทุกท่าน เท่าเทียมกัน”
“ซื้อยาของท่านลู่คนนี้ รับประกันความปลอดภัยเหมือนกัน” ลู่หงพูดมาจากอีกด้าน มันมองไปที่คู่ต่อสู้ ด้วยสายตาที่อยากฆ่าคน
คู่ต่อสู้ทั้งสองกลัวจนตัวสั่น หมดความคิดที่จะต่อสู้ พวกมันหยิบหินลมปราณออกมา ยื่นส่งให้ลู่หง จากนั้นก็วิ่งออกไป เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว นี่เป็นการปล้นกันชัดๆ ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นต่อไป ไม่ช้าเขตส่วนรวมก็คงจะไม่มีใครมาอีก ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
ช่วงบ่าย การค้าของเมิ่งฮ่าวลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน นอกเหนือจากขายได้เล็กน้อยในตอนเช้าแล้ว เขาขายอะไรเพิ่มไม่ได้อีกเลย ลู่หง ผู้ไม่สนใจความถูกต้องชั่วดี บังคับผู้คนให้ซื้อ ถ้าใครไม่ซื้อ มันก็โจมตีผู้นั้น ในไม่ช้า เนินที่ราบสูงนั้นก็ว่างเปล่าไร้ผู้คน
ลู่หงก้มมองลงไปดูหินลมปราณสิบกว่าก้อนที่ได้มา ภายนอกมันดูเย็นชาและไม่สนใจใคร แต่ภายในจิตใจกลับรุ่มร้อนไปด้วยความตื่นเต้น
“นี่เป็นการค้าที่ดีมากจริงๆ ถ้าข้าคิดได้แบบนี้ในครั้งก่อน ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปปล้นชิงกับศิษย์ระดับต่ำมากมายเหล่านั้นแล้ว ยิ่งถ้าไม่มีเมิ่งฮ่าวอยู่ที่นี่ ก็ยิ่งดีไปใหญ่ ข้ารังเกียจมัน” มันไม่ได้มาเพราะเฉาหยางอย่างแน่นอน แต่มาเพราะต้องการลอกเลียนแบบการค้าขายของเมิ่งฮ่าว ตอนนี้มันได้ลิ้มรสผลลัพธ์ที่ดีเช่นนี้แล้ว มันจึงต้องการที่จะขายคนเดียว มันมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยสายตาสังหาร
“ข้ายังคงลองขายอีกสักสองสามวัน” มันคิด “จากนั้นค่อยสังหารมัน”
วันต่อมา ด้วยความเป็นอันดับหนึ่งของลู่หง ภายใต้บารมีเช่นนี้ ถึงแม้จะมีคนมาที่เขตส่วนรวมน้อยลงมาก แต่พวกที่ไม่รู้เหตุการณ์เมื่อวาน ต่างก็ไม่กล้าที่จะไม่ซื้อเม็ดยาจากลู่หง เมิ่งฮ่าวไม่อยากค้าขายเช่นนี้ วันนี้ทั้งวัน จึงไม่เปิดร้าน
ยิ่งลู่หงมองไปที่เมิ่งฮ่าวมากเท่าไร ความต้องการสังหารเมิ่งฮ่าวของมันก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ในตอนเย็นของวันที่สาม เมื่อเมิ่งฮ่าวเดินจากไปอย่างเงียบๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่เย่อหยิ่งของลู่หงจากด้านหลัง บางคนที่ยังอยู่ก็ได้ยินไปทั่ว
“พรุ่งนี้ถ้าข้ายังเห็นป้ายร้านเจ้าอีก ข้าจะทำลายพลังการฝึกตนของเจ้า”
เมิ่งฮ่าวหยุดเดินชั่วครู่ ไม่พูดอะไร แต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยพลังที่เย็นเยียบ เขาเดินจากไป กลับไปยังถ้ำแห่งเซียน
“เจ้าเป็นผู้ที่ลอกเลียนแบบข้า” เมิ่งฮ่าวกล่าวด้วยสายตาที่ดุร้าย “จากนั้นก็ขโมยการค้าของข้า เหมือนนกพิราบที่ขโมยรังของนกกางเขน แล้วยังพูดว่าจะทำลายพลังการฝึกตนของข้า!”
เมื่อคิดไปถึงแววตาสังหารของลู่หง เมิ่งฮ่าวก็ผลักประตูศิลาห้องที่สองในถ้ำแห่งเซียนให้เปิดออก ทันใดนั้น กลุ่มพลังลมปราณที่หนาแน่นก็กระจายพุ่งออกมา เมิ่งฮ่าวนั่งลงขัดสมาธิ
พลังลมปราณจากน้ำพุลงปราณที่สะสมเป็นเวลาหลายเดือน เขาดูดซับมันทั้งหมดในคราเดียว เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน เขาลืมตาขึ้น สาดประกายกล้า การบำเพ็ญเพียรของเขาได้ก้าวข้ามไปอีกขั้น ไม่ใช่ขาดเหลืออีกน้อยนิดจึงแตะจุดสูงสุดเช่นเดิมอีก ตอนนี้เขาอยู่ระดับสูงสุดของขั้นที่สาม ครึ่งก้าวใหญ่ก้าวเข้าขั้นสี่แล้ว
แต่ก้าวก้าวนี้ไม่ได้ก้าวข้ามได้ง่ายเช่นนี้ ยิ่งพลังการฝึกตนสูงขึ้น ก็ยิ่งยากที่จะก้าวข้ามไปอีกขั้น โดยเฉพาะระดับขั้นที่ห้าและขั้นที่เจ็ด ทั้งสองขั้นนี้มักจะข้ามผ่านได้ยากมากที่สุด เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว กัดฟัน กดดันตัวเองให้เปิดถุงเก็บสมบัติ หยิบเม็ดยารวบรวมลมปราณที่เขาได้มาเมื่อเร็วๆ นี้ออกมาทั้งหมด จากนั้นก็ไม่เสียดายหินลมปราณ ใช้ความสามารถลึกลับของกระจกทองแดง ผลิตเม็ดยารวบรวมลมปราณเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนหลายเท่าตัว
ถึงเม็ดยารวบรวมลมปราณจะมีผลที่จำกัด แต่ถ้าใช้ในปริมาณมาก ก็น่าจะมีผลช่วยได้ไม่น้อย เสียแต่ไม่สามารถใช้ได้บ่อยๆ เว้นเสียแต่จะมีจำนวนมากขึ้นกว่าครั้งก่อนเสมอ จนกระทั่งหมดฤทธิ์โดยสมบูรณ์
“หากข้าไม่ชิงทำลายเขาก่อน คนผู้นี้วันรุ่งขึ้น ก็จะลงมือทำลายข้า!” เมิ่งฮ่าวหยิบเม็ดยารวบรวมลมปราณขึ้นอย่างไม่ลังเล กลืนลงปากไป
พลังลมปราณในร่างเขาตอนนี้ขาดแค่เพียงเล็กน้อย ดังนั้นเมื่อเขากินเม็ดยารวบรวมลมปราณลงไปจำนวนมาก ร่างเขาก็เริ่มสั่นสะท้าน รู้สึกพลังลมปราณวิ่งพล่านเหมือนน้ำป่าไหลหลาก สติเริ่มเลือนหาย เมื่อทุกสิ่งกลับมาชัดเจน สายตาเขาก็สาดประกายเจิดจ้า แต่เขาก็ยังไม่สามารถก้าวถึงขั้นสี่ของการรวบรวมลมปราณ เขาขบฟันอีกครั้ง โดยไม่มีทางเลือก เขาผลิตเม็ดยารวบรวมลมปราณเพิ่มและกลืนมันทั้งหมดลงไป
หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง จิตใจของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ราวกับว่าถูกกระแทกด้วยคลื่นที่ปั่นป่วน จากนั้นก็เกิดเป็นเสียงดัง สองตาเขาพร่ามัว
สิ่งปฏิกูลมากมายไหลเยิ้มออกมาจากรูขุมขน ทุกการปรากฏแต่ละครั้ง สติของเมิ่งฮ่าวก็จะกระจ่างชัดขึ้นหนึ่งส่วน ร่างกายก็โปร่งโล่งเพิ่มขึ้น หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม สองตาเขาก็เปล่งประกายระยิบระยับ และรู้สึกสมองโล่งปลอดโปร่งอย่างสมบูรณ์
“ขั้นสี่ของการรวบรวมลมปราณ!” เขารู้สึกถึงพลังลมปราณที่ไหลเวียนในร่างคล้ายแม่น้ำสายใหญ่ เมื่อเขาโคจรลมปราณ ถึงขั้นเกิดเป็นเสียงดังอย่างน่าประหลาดใจและน่าตกใจยิ่งนัก
เขายังคงมีสีหน้าที่เรียบเฉย ดึงกระบี่บินห้าเล่มที่ได้มาตลอดระยะเวลากว่าครึ่งเดือนนี้ ออกมาจากถุงเก็บสมบัติ พวกมันเป็นของวิเศษจากหอเก็บของวิเศษ เป็นของวิเศษที่พบเห็นได้ทั่วไป ทั้งห้าเล่มดูเหมือนกันหมด
ยังมีของวิเศษอีกหลายอย่างที่เขาได้มาจากการแลกเปลี่ยน เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็หลับตาเริ่มนั่งสมาธิต่อไป รอคอยเวลารุ่งสางที่จะมาถึง
“หลังจากที่ได้เข้าสังกัดสำนัก และเริ่มฝึกฝนพลังลมปราณ ข้าก็ไม่มีทางเลือก… แม้ด้วยพลังของข้า สามารถใช้กำลังแย่งชิง แต่ข้าไม่ต้องการจะทำร้ายผู้คนมากไป จึงคิดวิธีการค้าขายขึ้นมา ทว่าบัดนี้ การค้าของข้าถูกขโมย และข้าถูกคุกคามปองร้าย ขู่ว่าจะทำลายพลังการฝึกตน…มันเป็นสิ่งที่มากเกินยอมรับได้!”
เมื่อถึงยามรุ่งสาง เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้น และออกจากถ้ำแห่งเซียน ชำระล้างร่างกาย จากนั้นก็เดินตรงไปยังที่ราบสูงแห่งนั้น