Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1410

ผนึกสวรรค์ สยบมาร สะท้านเทพ ภาค 9

ตอนที่ 1410

สัมฤทธิ์แทนที่สวรรค์

ความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต ไร้ขีดจำกัด ไม่อาจจะวัดได้ บางทีมันอาจจะมีจุดสิ้นสุด แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ ก็ไม่มีใครเคยไปถึงมาก่อน ยกเว้นใครบางคนที่อยู่ในจุดสูงสุด มิเช่นนั้นแล้วก็เห็นได้ชัดว่ายังคงไม่มีใครที่จะไปถึงได้อย่างแท้จริง ยังจุดสิ้นสุดของความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตนั้น

มันมีขนาดกว้างใหญ่เป็นอย่างยิ่ง ประกอบด้วยโลกและอาณาจักรอยู่มากมาย มีผู้คนเป็นจำนวนมากอยู่ภายในนั้น เต็มไปด้วยอันตรายนับไม่ถ้วน พร้อมทั้งกระแสน้ำวนที่ประกอบไปด้วยรูปแบบของสิ่งมีชีวิตอันลี้ลับจนยากที่จะอธิบายออกมาได้ หรือตำนานอันเก่าแก่โบราณของซากปรักหักพังต่างๆ

นอกจากนั้นก็ยังมีฝุ่นละอองอยู่มากมาย ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต ภายในฝุ่นละอองเหล่านั้นสามารถจะพบเห็นซากศพ, เศษซากปรักหักพัง หรือแม้แต่อาวุธเวทต่างๆ อันที่จริงแล้วก็สามารถจะพบเห็นทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายในฝุ่นละอองเหล่านั้น ถ้าต้องการจะค้นหาอย่างจริงจัง

ในตอนนี้ตรงสถานที่บางแห่งภายในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต มองเห็นซากศพซากหนึ่งกำลังลอยตัวอยู่ที่นั่น ยากที่จะบอกได้ว่ามันอยู่ที่ตรงนั้นมานานเท่าใดแล้ว แห้งเหี่ยวไปโดยสิ้นเชิงแต่ก็ยังไม่เน่าเปื่อย สวมใส่ชุดเกราะนักรบที่ชำรุดแตกร้าว และเป็นสีเทาหม่นไปโดยสิ้นเชิง

ข้างซากศพนั้นเป็นสุนัขที่แห้งกรัง ถึงแม้ว่าจะตายไปแล้ว แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ยินยอมที่จะจากเจ้านายไป

ทั้งซากศพและชุดเกราะนั้นไม่แสดงสัญญาณของการมีชีวิตอยู่ ราวกับว่าพวกมันตายมานานมากแล้ว

ถุงสมบัติของซากศพนั้นถูกเจาะออกเป็นรูๆ หนึ่ง และสิ่งของแทบจะทั้งหมดที่อยู่ข้างในก็กระจัดกระจายออกไปในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตมานานแล้ว หลายปีก่อนมีหญิงสาวนางหนึ่งหลบหนีออกมาจากด้านใน แต่ก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังอยู่ตรงสถานที่แห่งใด

และนางก็ไม่รู้ว่าทำไมถุงสมบัติถึงถูกเจาะจนเป็นรูด้วยเช่นกัน จำได้แต่เพียงว่าหลังจากที่ถุงสมบัติเปิดออก นางก็ออกมาอยู่ที่ด้านนอกได้อย่างมีอิสระในทันที จากนั้นก็มองเห็นบุคคลที่นางเกลียดชังมากกว่าใครทั้งหมด สวมใส่ชุดเกราะนักรบที่ชำรุดแตกร้าวอยู่

ชั่วขณะต่อมา สายลมก็ม้วนกวาดออกไปทั่วทั้งบริเวณนั้น ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกระจัดกระจายออกไป แม้แต่หญิงสาวก็ถูกม้วนกวาดจนหายลับตาไป

ซากศพก็ลอยไปตามสายลมด้วยเช่นกัน ถ้ามองดูให้ละเอียดก็จะเห็นตะเกียงสัมฤทธิ์อยู่บนหน้าผากของซากศพนั้น เมื่อถุงสมบัติของซากศพได้รับความเสียหายจนเปิดออกก่อนหน้านี้ ตะเกียงสัมฤทธิ์ไม่ได้ลอยออกไปเหมือนสิ่งของอื่นๆ เกือบทั้งหมด แต่กลับลอยไปอยู่บนหน้าผากของซากศพอย่างช้าๆ

ในอดีตที่ผ่านมา ตะเกียงสัมฤทธิ์เคยเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของคนผู้หนึ่ง ซึ่งกลายเป็นซากศพอยู่ในตอนนี้!

แม้แต่สุ่ยตงหลิวก็ไม่อาจจะหยั่งรู้หรือเข้าใจในรายละเอียดนั้นได้

ในตอนที่ซากศพยังมีชีวิตอยู่ และมีตะเกียงวิญญาณ ตะเกียงสัมฤทธิ์ดวงนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน และไม่ส่องแสงสว่างด้วยเช่นกัน แต่ตอนนี้ซากศพไม่มีตะเกียงวิญญาณแม้แต่ดวงเดียว ทำให้ตะเกียงสัมฤทธิ์ปรากฏขึ้นในที่สุด

นานมาแล้วคนที่เป็นซากศพนี้เคยตรวจสอบดูตะเกียงที่เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตนเองนี้มาก่อน เป็นตะเกียงที่ได้รับมาจากวิหารพิธีเต๋าเซียนโบราณ ซึ่งเคยเป็น…ตะเกียงวิญญาณของใครบางคนเมื่อในอดีต

แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร และไม่อาจจะคาดเดาได้

ในตอนที่ตะเกียงสัมฤทธิ์โผล่ออกมาจากถุงสมบัติ มันก็ลอยออกไปและเริ่มหลอมรวมเข้าไปในหน้าผากของซากศพ ซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่ซากศพก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นเช่นนี้

เวลาเลื่อนผ่านไป ในทุกๆ ปีตะเกียงสัมฤทธิ์ก็จะจมลงไปในหน้าผากของซากศพมากขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ผ่านไปสิบปี, หนึ่งร้อยปี และหนึ่งพันปี เมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่อาจจะมองเห็นตะเกียงสัมฤทธิ์ได้อีกต่อไป เมื่อมันจมลึกลงไปในหน้าผากของซากศพไปโดยสิ้นเชิง

บางทีอาจจะเนื่องมาจากตะเกียงสัมฤทธิ์นั้น ทำให้ตลอดช่วงเวลาหนึ่งพันปีที่ผ่านไป ไม่มีแม้แต่สิ่งใดๆ จะเข้ามาใกล้ซากศพนั้น กลับยินดีที่จะหลีกเลี่ยงมันไปมากกว่า

ไม่เพียงแต่ตะเกียงจะคอยรักษาซากศพไว้เท่านั้น แต่มันยังมั่นใจด้วยว่าในสักวันหนึ่งซากศพนั้นจะมีโอกาสลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง…

ในบางขณะตลอดหลายปีที่ผ่านมา เศษส่วนของกลิ่นอายอันน้อยนิดก็ปรากฏขึ้นบนร่างซากศพ ดูเหมือนว่าจะเป็นกลิ่นอายของเซียน แต่ก็คล้ายกลิ่นอายของมารด้วยเช่นกัน เป็นกลิ่นอายที่แปลกประหลาดหลากหลายรูปแบบ ใครก็ตามที่เคยต่อสู้ในสงครามแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเลก็จะจดจำได้อย่างรวดเร็วว่ามันคือ…ปราณอสูร!

มันคือกลิ่นอายของบุคคลในตำนานจากอาณาจักรขุนเขาทะเล จักรพรรดิอสูร!

ซากศพนี้ก็คือเมิ่งฮ่าวนั่นเอง!

หลังจากที่ถูกเคลื่อนย้ายทางไกลมาโดยผีโต้ง เขาก็หมดสติไป แต่ในช่วงสุดท้ายก่อนที่จะสลบไปนั้น ภาพจากความทรงจำตลอดชีวิตก็เลื่อนผ่านไป ในที่สุดก็มองเห็นนกแก้วกำลังลบความทรงจำของมัน มองเห็นผีโต้งยอมสังเวยชีวิตเพื่อเคลื่อนย้ายตนเองออกมาจนปลอดภัย

ภาพเหล่านั้นทำให้หัวใจเมิ่งฮ่าวต้องแตกสลาย ทำให้จิตใจต้องหมุนคว้างไปมา แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรเพื่อหยุดการกระทำของพวกมันได้ นอกจากเฝ้ามองไปเท่านั้น

หยดน้ำตาโลหิตไหลลงมานองหน้า หลังจากที่ถูกเคลื่อนย้ายทางไกลจากมา และก่อนที่จะสลบไป เขาก็ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มของคนที่หัวใจสลาย เป็นรอยยิ้มที่ประกอบด้วยความบ้าคลั่งและไม่ต้องการจะตายจากไป

เขาจะทำทุกอย่างเพื่อฟื้นฟูตนเอง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรก็ตามที คิดไปถึงผลเนี่ยผานจากสายโลหิตของตนเอง และคิดไปถึงตะเกียงสัมฤทธิ์ที่อยู่ในถุงสมบัติด้วยเช่นกัน

เมิ่งฮ่าวใช้เศษเสี้ยวพลังสุดท้าย เพื่อดึงเอาตะเกียงสัมฤทธิ์ออกมา จากนั้นก็ใช้เวทลับที่ได้มาจากมรดกของสุ่ยตงหลิว เป็นวิชาที่ทำให้สามารถจะครอบครองตะเกียงวิญญาณของบุคคลอื่นได้ เป็นวิชาเวทที่ไม่เสถียรมั่นคง แม้แต่สุ่ยตงหลิวก็อาจจะจำไม่ได้ และไม่มีความเชื่อมั่นว่าจะได้ผล อันที่จริงเวทลับนี้ไม่ได้มาจากจิ่วเฟิง แต่มาจากวิญญาณส่วนอื่นที่รวมตัวกันเป็นสุ่ยตงหลิวขึ้นมา

ในตอนที่เมิ่งฮ่าวใช้เวทนี้ออกมา ก็หมดสติไป หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นความว่างเปล่า

ตลอดช่วงเวลาหนึ่งพันปีที่ผ่านมา ร่างกายของเมิ่งฮ่าวแห้งเหี่ยวลงไปอย่างต่อเนื่อง พลังชีวิตจางหายไปนานแล้ว และทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเมิ่งฮ่าวก็กระจัดกระจายออกไป มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่ก็คือตะเกียงวิญญาณสัมฤทธิ์ ซึ่งหลอมรวมเข้ากับตนเองอย่างต่อเนื่อง สักวันหนึ่งเมื่อตะเกียงสัมฤทธิ์หลอมรวมเข้าไปในหน้าผากเขาโดยสมบูรณ์ การเปลี่ยนแปลงที่สวรรค์สะท้านปฐีสะเทือนก็จะเกิดขึ้นอยู่ภายในร่าง

เสียงกระหึ่มกึกก้องดังเต็มไปทั่วร่าง เมื่อตะเกียงสัมฤทธิ์ค่อยๆ ไปอยู่ตรงตำแหน่งของตะเกียงผู้ยิ่งใหญ่ที่หายไปแล้วอย่างช้าๆ ด้วยฐานะที่เป็นตะเกียงผู้ยิ่งใหญ่ มันจึงเริ่มสร้างเส้นลมปราณ และพื้นฐานฝึกตนของเขาขึ้นมาใหม่!

ในแต่ละวันที่ผ่านไป ร่างกายที่แห้งเหี่ยวของเมิ่งฮ่าวก็มีปราณและโลหิตเพิ่มขึ้นมาทีละน้อย อวัยวะภายในที่ครั้งหนึ่งถูกทำลายไปโดยสิ้นเชิง แต่ตอนนี้พวกมันกำลังฟื้นฟูกลับคืนมาแล้ว ไม่กี่วันต่อมาหัวใจก็เริ่มเต้นเป็นจังหวะขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งพันปี ความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตที่อยู่รอบๆ ตัว, ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวสั่นสะเทือน ทำให้สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนที่หลบซ่อนตัวอยู่ในบริเวณนั้นต้องหลบหนีจากไปด้วยความหวาดกลัว

เสียงเต้นของหัวใจดังก้องออกมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่โลหิตไหลเวียนไปทั่วร่าง โลหิตที่เสียหายไปเริ่มฟื้นฟูกลับมาอย่างช้าๆ!

ในที่สุดร่างกายของเมิ่งฮ่าวก็ไม่ได้แห้งเหี่ยวอีกต่อไป และดูเหมือนว่ากำลังหายใจเข้าออกอยู่อีกด้วย

โลหิตไหลเวียน และตะเกียงสัมฤทธิ์ก็เริ่มลุกไหม้ขึ้นมาอย่างช้าๆ ส่งผลให้กลุ่มควันสีเขียวอันไร้ขอบเขตกระจายออกไปทั่วร่าง ในที่สุดก็บรรลุถึงพื้นฐานฝึกตน ทำให้พลังชีวิตถูกจุดติดขึ้นมาอยู่ภายในร่าง

กลิ่นอายที่ทรงพลังทันใดนั้นก็แผ่กระจายออกไป ทำให้ความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตในบริเวณนั้นสั่นสะท้าน เมิ่งฮ่าวสร้างเป็นพลังขึ้นมามากมาย ในขณะที่เปลือกตากำลังสั่นระรัว ราวกับว่าในที่สุด…เขาก็จะลืมตาขึ้นมา

ขณะที่เริ่มมีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นอายที่อยู่ภายในร่างก็มีความน่ากลัวมากขึ้น เกิดเป็นกระแสน้ำวนพุ่งขึ้นมาอยู่รอบๆ ตัว

กระแสน้ำวนนี้อาจจะเทียบไม่ได้กับความปั่นป่วนวุ่นวายที่ถูกปลดปล่อยออกมาในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต โดยกระจกทองแดงและนกแก้วเมื่อหลายปีก่อนโน้น แต่ก็ยังคงน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ผ่านไปไม่กี่อึดใจ กลิ่นอายนั้นก็จางหายไปกลายเป็นความอ่อนแอ ร่างกายเมิ่งฮ่าวเริ่มสงบนิ่งลงไปอย่างช้าๆ และความแข็งแกร่งก็จางหายไปจากดวงตา ร่างกายเริ่มแน่นิ่งไม่ไหวติงอีกครั้ง

เห็นได้ชัดว่าพลังที่ระเบิดออกมานั้นไม่เพียงพอที่จะปลุกเมิ่งฮ่าวให้ตื่นขึ้นมาได้ เขาต้องใช้ความแข็งแกร่งและพลังชีวิตที่มากกว่านี้เพื่อลืมตาขึ้นมา ในตอนนี้เขายังมีไม่เพียงพอ

ดังนั้นเขาจำเป็นต้องรอคอยนานขึ้นอีกเล็กน้อย…

ร่างเมิ่งฮ่าวค่อยๆ แห้งเหี่ยวลงไปอีกครั้ง และหัวใจก็หยุดเต้น โลหิตแห้งเหือดและกลิ่นอายก็จางหายไป ตอนนี้ก็ดูไม่แตกต่างไปจากซากศพจากก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังมีประกายชีวิตอยู่ภายในร่าง ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ลุกไหม้และแวบประกายขึ้นมาอย่างช้าๆ

เวลาเลื่อนผ่านไป สิบปีต่อมา เมิ่งฮ่าวยังคงลอยตัวอยู่ในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต ในวันหนึ่ง จู่ๆ ก็มียานบินลำหนึ่งปรากฏขึ้น

มองเห็นสิ่งของจิปาถะเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ อยู่บนยานลำนั้น เมื่อมองดูให้ละเอียดก็จะเห็นได้ชัดว่าส่วนใหญ่แล้วถูกเก็บรวบรวมมาจากภายในฝุ่นละอองที่กระจายเต็มอยู่ในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต และยังมีซากศพที่แห้งกรังสองสามซากอยู่ในท่ามกลางสิ่งของเหล่านั้นอีกด้วย

หญิงสาวเยาว์วัยหน้าตางดงามผู้หนึ่ง นั่งขัดสมาธิอยู่บนยานบินลำนั้น แต่ก็แต่งกายจนดูเหมือนว่าจะมีอายุมากกว่าความเป็นจริง เห็นได้ชัดว่านางไม่ต้องการให้ผู้คนคาดเดาอายุที่แท้จริงของตนเองได้

แต่พื้นฐานฝึกตนของนางก็ไม่อ่อนแอ มีแต่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะกล้าบินไปมาตามลำพังอยู่ในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตนี้ จากความผันผวนที่กระจายออกมาจากร่างน่าง ก็เห็นได้ชัดว่านางอยู่ในอาณาจักรเต๋า

ด้านหลังนางนั่งไว้ด้วยบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง ดูเหมือนว่าจะอ่อนแอกว่านาง และทำตัวเป็นข้ารับใช้ มันมักจะมองออกไปในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตอยู่เป็นระยะ ด้วยสีหน้าที่ทั้งอยากรู้อยากเห็นและวิตกกังวล ในที่สุดสีหน้ามันก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น จนหญิงสาวเยาว์วัยผู้นั้นสังเกตเห็น นางเริ่มกล่าวตำหนิมันในทันที

“ครั้งนี้อย่าลืมว่าเมื่อพวกเราไปถึงที่นั่น เจ้าต้องทำตัวให้ร่าเริง ดูแข็งแรงมีชีวิตชีวา อย่าให้ผู้คนจับผิดได้!”

“จดจำไว้ เจ้าคือทายาทตระกูลอวิ๋น เจ้าเป็นทายาทโดยชอบธรรมของตระกูลที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงมากที่สุดในส่วนของความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตนี้! ชางหมางพ่าย (สำนักไร้สิ้นสุด) กำลังคัดเลือกบุตรเขยให้กับเซิ่งหนี่ว์ (ธิดาศักดิ์สิทธิ์) ของพวกมัน และนางจะต้องเลือกเจ้าอย่างแน่นอน!”

“พวกมันคือกองกำลังอันแข็งแกร่งที่สามารถจะต่อสู้กับอาณาจักรเทพและอาณาจักรมารได้ สันนิษฐานว่าพวกมันรู้ความลับของวิธีการใช้ประตูเคลื่อนย้ายทางไกล ที่ออกไปจากความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตนี้ได้!” ดวงตาของหญิงสาวเยาว์วัยสาดประกายขึ้นด้วยความมุ่งหวัง

บุรุษหนุ่มก้มหน้า กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะอ่อนแอว่า “แต่…แต่ตระกูลอวิ๋นเป็นแค่ตระกูลเล็กๆ เท่านั้น พวกมันมีชื่อเสียงเมื่อนานมาแล้ว ไม่ใช่ตอนนี้ และ…ข้าก็ไม่ใช่ทายาทที่ชอบธรรมจริงๆ”

“หุบปาก!” หญิงสาวเยาว์วัยร้องตวาดขึ้น จ้องมองไปยังบุรุษหนุ่ม ที่รีบก้มศีรษะลงไปด้วยความนอบน้อมอย่างรวดเร็ว “แล้วจะอย่างไร?

ปรมาจารย์รุ่นแรกของตระกูลอวิ๋น มีสัญญาวิวาห์กับชางหมางพ่าย ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีหรือกี่รุ่น ทายาทของตระกูลอวิ๋นก็ต้องวิวาห์กับเซิ่งหนี่ว์ของชางหมางพ่าย ตระกูลอวิ๋นตกต่ำลงเมื่อหลายปีก่อน และตอนนี้ก็คงอยู่แต่ในโลกมนุษย์เท่านั้น ดังนั้นพวกมันจึงไม่มีทางที่จะทำตามคำสัญญานั้นได้ แต่ข้าก็ซื้อใบสัญญานั้นมาแล้ว และข้าก็มีของวิเศษประจำตระกูล ที่จะช่วยให้มีพลังสองแก่นแท้ได้ พวกเราจะต้องทำได้สำเร็จอย่างแน่นอน!”

“นอกจากนั้น พวกเราก็ไม่ได้เอาเปรียบชางหมางพ่าย ใครก็ตามที่เผชิญหน้ากับพวกเรา ก็จะยังคงรักษาหน้าตาไว้ได้ ตราบเท่าที่ยอมทำตามคำสัญญาวิวาห์ ข้าจะรอจนกระทั่งมีผู้คนมากมายมาอยู่ในบริเวณนั้น และจะหยิบมันออกมาให้ทุกคนได้เห็น ชางหมางพ่ายอาจจะแข็งแกร่ง แต่พวกมันก็มีเหตุผลด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าพวกมันจะไม่ยอมปฏิบัติตามคำสัญญา แต่พวกมันจะต้องชดใช้บางอย่างให้กับพวกเราอย่างแน่นอน!” ขณะที่หญิงสาวเยาว์วัยกล่าวขึ้น นางก็สำรวจดูรอบๆ บริเวณนั้นอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นก็หันหน้ามองออกไปยังที่ห่างไกล ที่ซึ่งนางมองเห็นซากศพกำลังลอยอยู่ภายในฝุ่นละออง ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนักจากเส้นทางของยานบิน

“หือ? ซากศพโบราณนั้นยังครบถ้วนสมบูรณ์ มีสุนัขอยู่กับมันด้วย” จากนั้นนางก็ยื่นมือออกไปทำท่าคว้าจับ ฉุดลากเมิ่งฮ่าวให้ลอยตรงมา หลังจากที่มองดูไปทั่วร่าง ดวงตานางก็สาดประกายขึ้น

“ไม่เลว ไม่เลว ด้วยซากศพทั้งหมดนี้และสิ่งของจิปาถะอื่นๆ ก็จะช่วยในเรื่องของค่าใช้จ่ายทั้งหมด การเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้สูญเปล่าแม้แต่น้อย” หญิงสาวยิ้มออกมา รีบโยนเมิ่งฮ่าวและอ๋าวเฉี่ยนไปที่ด้านหลังของยานบิน รวมเข้ากับสิ่งของอื่นๆ และซากศพที่นางเก็บมาจากฝุ่นละอองของความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต เมื่อเดินทางต่อไป นางก็กล่าวตำหนิบุรุษหนุ่มไปอย่างต่อเนื่อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!