Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1411

ตอนที่ 1411

ระฆังไร้สิ้นสุดประกาศการมาถึงของผู้ยิ่งใหญ่

หญิงสาวเยาว์วัยมัวแต่ยุ่งกับการกล่าวตำหนิบุรุษหนุ่ม จนไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อนางโยนเมิ่งฮ่าวไปยังด้านหลังของยานบิน เปลือกตาของเขากระตุกขึ้น แต่ก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะลืมตาขึ้นมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นหญิงสาวเยาว์วัยก็ไม่ได้สังเกตด้วยเช่นกันว่า หลังจากที่เมิ่งฮ่าวไปอยู่ตรงด้านหลังของยานบิน กระแสน้ำวนขนาดเล็กก็เกิดขึ้นมาอยู่รอบๆ ร่างเขา จากนั้นกลุ่มหมอกก็ปกคลุมไปทั่วเพื่อก่อตัวเป็นเส้นใย และเริ่มไหลซึมเข้าไปในยานบิน!

เส้นใยของกลุ่มหมอกโคจรหมุนวนไปมาอยู่ภายในยานบิน จากนั้นก็เริ่มผ่านเข้าไปในร่างเมิ่งฮ่าว กลุ่มหมอกหายเข้าไปในร่างเขามากขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับเป็นแม่น้ำที่กำลังไหลลงไปในคลองที่แห้งเหือด

เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บของเมิ่งฮ่าวสาหัสมาก จนไม่มีแม้แต่พลังที่จะดูดซับกลุ่มหมอกของความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตด้วยตัวเอง แต่บนยานบินลำนี้ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ช่วยให้เขาค่อยๆ สร้างเป็นพลังที่ขาดไปสำหรับการลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ

เวลาเลื่อนผ่านไป และด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้ดูเหมือนว่ายานบินกำลังเคลื่อนที่ไปด้วยความรวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดแม้แต่หญิงสาวเยาว์วัยที่มัวแต่กล่าวตำหนิบุรุษหนุ่มก็สังเกตได้ถึงความรวดเร็วที่เพิ่มขึ้นนี้ ตอนแรกนางอ้าปากค้าง แต่จากนั้นก็เริ่มหัวเราะเป็นเสียงดังขึ้นมา

“เสี่ยวตี้ (น้องชาย) เห็นหรือไม่? สมควรแล้วที่พวกมันจะถูกเรียกว่าชางหมางพ่าย (สำนักไร้สิ้นสุด) เห็นได้ชัดว่าท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวในอาณาเขตของพวกมันมีแก่นแท้บางอย่างที่ช่วยเพิ่มความเร็วให้กับพวกเรา ข้าคิดว่าแก่นแท้นี้สามารถจะแยกแยะความเป็นศัตรูได้ ยิ่งเจ้าเป็นปฏิปักษ์ต่อพวกมันมากเท่าใด ก็จะยิ่งเคลื่อนที่ด้วยความเชื่องช้ามากขึ้นเท่านั้น ถ้าความเป็นปฏิปักษ์น้อย ก็จะยิ่งรวดเร็วมากขึ้น!”

เมื่อได้ข้อสรุปเช่นนี้หญิงสาวเยาว์วัยก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง บุรุษหนุ่มที่อยู่ด้านหลังนางจ้องมองไปด้วยความตกตะลึง ในความคิดของมันนั่นไม่ใช่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่กล้าจะอ้าปากพูดขึ้น กลับพยักหน้าและแสร้งทำเป็นเห็นด้วย

มันรู้ว่าพี่สาวของตนเองไม่ใช่คนที่มีความคิดเฉียบแหลมนัก แต่ก็รู้ด้วยเช่นกันว่าลึกๆ แล้วนางเป็นคนดีผู้หนึ่ง นางไม่เพียงแต่จะมีความสุขเมื่อผู้คนมองมาด้วยท่าทางประจบประแจงเท่านั้น ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือว่าเมื่อนางมีความสุข ก็จะกล่าวตำหนิตนเองน้อยลง

หลังจากที่บุรุษหนุ่มสะกดข่มความสงสัยไว้ ก็เริ่มคิดไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงของการเดินทาง คนทั้งสองต้องพบเจอกับยานบินอื่นๆ มาตลอดทาง ถึงแม้ว่าพี่สาวจะไม่เคยให้ความสนใจกับยานบินเหล่านั้น แต่มันสนใจ ในที่สุดก็ฉุกคิดไปถึงซากศพต่างๆ และสิ่งของอื่นๆ ที่อยู่ตรงด้านหลังของยานบิน

มันมองไปยังซากศพของเมิ่งฮ่าว และทันใดนั้นก็ตระหนักว่ายานบินเริ่มเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม แทบจะในทันทีที่พี่สาวเก็บซากศพนั้นขึ้นมา

แต่จากระดับพื้นฐานฝึกตนของมัน ก็ไม่อาจจะสังเกตเห็นสิ่งที่ผิดปกติใดๆ เกี่ยวกับซากศพนี้ ไม่ว่ามันจะเฝ้าสังเกตดูอย่างไร ก็ไม่เห็นจะแตกต่างไปจากซากศพอื่นๆ แม้แต่น้อย ไม่กี่วันต่อมาบุรุษหนุ่มก็เลิกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็ยังคงจ้องมองกลับไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความระมัดระวังตัวอยู่เป็นระยะ

เมิ่งฮ่าวตื่นขึ้นมาแล้ว

แต่สิ่งที่ตื่นขึ้นมานั้นไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นวิญญาณ หลังจากที่ถูกลากขึ้นมาอยู่บนยานบิน และดูดซับพลังบางส่วนจากความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต เขาก็บรรลุถึงขั้นที่รู้สึกราวกับว่ากำลังดูดซับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวในความฝัน

วิญญาณของเมิ่งฮ่าวรู้สึกเจ็บปวด เมื่อคิดย้อนกลับไปยังอาณาจักรขุนเขาทะเล ยังบิดาและมารดา ยังพี่สาว ยังสวี่ชิง และใบหน้าที่ดูคุ้นเคยอีกมากมาย

เขาคิดย้อนกลับไปยังผีเสื้อ และตอนที่มันเกาะลงไปบนโลงศพสีเขียวนั่นในที่สุด

เขาคิดย้อนกลับไปยังนกแก้ว และจากนั้นก็ผีโต้ง ซึ่งตอนนี้ไร้ร่องรอยแห่งชีวิตใดๆ เหลืออยู่ เหล่านั้นทั้งหมดกลายเป็นอดีตไปแล้วในตอนนี้ สิ่งที่ยังคงเฝ้าติดตามตนเอง คอยเป็นเพื่อนตนเองก็คืออ๋าวเฉี่ยนเท่านั้น

อ๋าวเฉี่ยนยังไม่ตายไป มันตกอยู่ในสภาวะการจำศีลหลับลึกอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ในห้วงการหลับใหลของมัน ก็ยังคงยืนเฝ้าคุ้มกันเมิ่งฮ่าวอย่างต่อเนื่อง มันต้องจ่ายค่าตอบแทนออกมาอย่างมากมาย ถึงจะสามารถหลับใหลไปได้ในตอนนี้

“แค้นนี้…ต้องชำระ!!”

“อาณาจักรขุนเขาทะเล…ข้าจะกลับไปหาเจ้า!!”

“เตียเหนียง (บิดามารดา), เจี่ยเจีย (พี่สาว), ชิงเอ๋อร์…รอข้าก่อน…” วิญญาณเมิ่งฮ่าวจ้องมองจากยานบินออกไปยังที่ห่างไกล ไม่รู้ว่าผีเสื้อขุนเขาทะเลอยู่ที่แห่งใด ไม่รู้แม้แต่ทิศทางที่ตั้งของมัน ได้แต่เชื่อมั่นในความรู้สึกของตนเองเพื่อคาดเดาว่ามันน่าจะอยู่ตรงจุดไหน

ความเจ็บปวดที่เขารู้สึกเป็นสิ่งที่ไม่มีวันจะจางหายไป และเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นคนที่เย็นชามากขึ้น และเงียบขรึมมากขึ้นในตอนนี้

เมิ่งฮ่าวสามารถจะบอกได้ว่าทำไมตนเองถึงยังคงมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ เป็นเพราะว่าอ๋าวเฉี่ยนคอยพิทักษ์ปกป้อง และผีโต้งก็ยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อเขา แต่สิ่งสำคัญมากที่สุดก็คือ สิ่งที่เขากระทำก่อนที่จะหมดสติไป เขาหยิบเอา…ตะเกียงสัมฤทธิ์ออกมา!

ตะเกียงดวงนี้มีความลี้ลับอย่างยากจะหยั่งถึง มันได้มาแทนที่ตะเกียงวิญญาณทั้งหมดของตนเอง ดังนั้นแทนที่เขาจะมีทั้งหมดสามสิบสามดวง ก็มีแค่หนึ่งดวงเท่านั้น หลังจากที่กลิ่นอายของตะเกียงหลอมรวมเข้ากับปราณอสูร ก็ทำให้เกิดเป็นแรงกดดันที่น่ากลัวมากกว่าตะเกียงวิญญาณทั้งสามสิบสามดวงรวมกันซะอีก “ตะเกียงสัมฤทธิ์ดวงนี้…เป็นของใครกันแน่?”

ตลอดช่วงของการสังเกตดูการเปลี่ยนแปลงภายในร่าง ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็สังเกตเห็นพี่สาวน้องชายที่อยู่บนยานบิน พี่สาวไม่ค่อยฉลาดเท่าใดนัก และน้องชายก็อ่อนแอ แต่ฉลาดหลักแหลม เมิ่งฮ่าวมองไปยังพวกมัน จากนั้นก็ไม่สนใจ บุรุษหนุ่มมักจะชำเลืองมองกลับมาเป็นระยะ แต่เมิ่งฮ่าวก็เลือกที่จะสงบนิ่งเงียบไม่ไหวติงต่อไป

อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ใช่พี่สาวน้องชายคู่นี้ และการช่วยเหลือจากยานบินของพวกมัน ทำให้ตนเองดูดซับกลุ่มหมอกของความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตได้โดยบังเอิญแล้วละก็ คงจะใช้เวลานานมากๆ ก่อนที่วิญญาณของเมิ่งฮ่าวจะตื่นขึ้นมา

นี่เป็นสิ่งที่เมิ่งฮ่าวไม่มีทางจะลืมเลือนไปได้

เขาได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส ถึงแม้ว่าจะดูดซับตะเกียงสัมฤทธิ์มาหนึ่งพันปีแล้ว แต่จำเป็นต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูพื้นฐานฝึกตนมากขึ้น

ในตอนนี้เมิ่งฮ่าวได้แต่ฝังความคิดที่จะล้างแค้นไว้ภายในใจเท่านั้น แต่ก็รู้ดีว่า…ต้องมีสักวันที่เขาจะไปล้างแค้นอย่างแน่นอน!

หนึ่งเดือนผ่านไป เมิ่งฮ่าวยังคงสงบนิ่ง โดยปกติแล้วการเดินทางด้วยยานบินจะใช้เวลานานกว่านี้ แต่ตอนนี้มันกลับไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็ว ที่เบื้องหน้าขึ้นไปสามารถจะมองเห็น…ดวงดาวขนาดใหญ่อย่างน่าประหลาดใจยิ่ง!

มันไม่ใช่ดินแดนอันกว้างใหญ่ที่เหมือนกับอาณาจักรเทพหรืออาณาจักรมาร มันคือดวงดาว!

ดาวดวงนี้มีขนาดใหญ่อย่างน่าประหลาดใจเช่นเดียวกับอาณาจักรเทพ แต่ถ้าพื้นดินบนดวงดาวถูกแผ่กระจายให้ยืดยาวออกไป ดินแดนอันกว้างใหญ่ทั้งปวงก็คงจะดูเล็กลงไปอย่างแน่นอน

มันมีขนาดใหญ่โตมหาศาล จนไม่อาจจะมองเห็นได้ทั้งหมด แม้จะมองมาจากที่ห่างไกลก็ตามที ใหญ่โตจนดูเหมือนว่าแทบจะบดบังไปทั่วทั้งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวของความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต

ถ้านำอาณาจักรขุนเขาทะเลมาเปรียบเทียบกับดาวดวงนี้ ก็จะเหมือนกับการนำมดมาเปรียบเทียบกับคชสาร!

รอบๆ ดาวดวงนี้เป็นวงแหวนสีเหลืองเข้ม อย่างน่าตกใจยิ่งถ้าสังเกตดูวงแหวนนั้นให้ละเอียด ก็จะพบว่ามันถูกสร้างขึ้นมาจากอุกกาบาตที่มีขนาดใหญ่เล็กนับไม่ถ้วน แค่มองไปยังดาวดวงนี้ก็ทำให้ต้องสั่นสะท้านขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวโดยสิ้นเชิง

มองเห็นลำแสงนับไม่ถ้วนกำลังบินเข้าออกจากดาวดวงนั้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้ยิ่งดูเจิดจ้ามากขึ้นกว่าเดิม

“เห็นหรือไม่? นั่นคือดาวชางหมาง! (ไร้สิ้นสุด) ดาวดวงนั้นทำไมถึงได้ใหญ่โตเช่นนี้? เมื่อเทียบกับดินแดนอันกว้างใหญ่ที่พวกเราจากมา มันมีขนาดใหญ่โตเป็นอย่างยิ่ง สามารถจะใส่ดินแดนบ้านเกิดของพวกเราเข้าไปได้นับหมื่นแห่ง! นับแสน หรืออาจจะนับล้าน…” น้ำเสียงของหญิงสาวเยาว์วัยค่อนข้างจะคลั่งไคล้เมื่อเริ่มต้นพูดขึ้น แต่สุดท้ายก็หายเงียบไป เมื่อนางจ้องมองไปยังดวงดาวขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า

บุรุษหนุ่มที่อยู่ด้านข้างก็จ้องมองไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้างเช่นเดียวกัน

คนทั้งสองไม่ได้สังเกตเห็นว่าที่ด้านหลัง เมิ่งฮ่าวเพิ่งจะขยับตัวเคลื่อนไหวเล็กน้อย แต่ก็ยังคงไม่ลืมตาขึ้นมา วิญญาณของเขากำลังจ้องมองไปยังดาวชางหมางด้วยเช่นกัน และภายในดวงตาของวิญญาณ เปลวไฟแปลกๆ เริ่มลุกไหม้ขึ้นมา

หญิงสาวเยาว์วัยสูดหายใจเข้าลึกๆ และดวงตาก็เริ่มสาดประกายขึ้น

“พวกมันคู่ควรที่จะเทียบเท่ากับอาณาจักรเทพและอาณาจักรมารได้อย่างแท้จริง…ดาวชางหมาง!”

“มีตำนานบอกเล่าสืบต่อกันมาว่า มันมีต้นกำเนิดมาจากความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต และมีประตูเคลื่อนย้ายทางไกลออกไปยังด้านนอกเพียงหนึ่งเดียว…ชางหมางพ่าย! (สำนักไร้สิ้นสุด)”

“เสี่ยวตี้ ข้าตัดสินใจแล้ว เจ้าต้องวิวาห์กับเซิ่งหนี่ว์นั่นให้จงได้!” ดวงตาของหญิงสาวเยาว์วัยสาดประกายขึ้นด้วยความมุ่งมั่น และโบกสะบัดชายแขนเสื้อออกไป ทำให้ยานบินเข้าไปใกล้ดาวชางหมางมากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ยานบินเข้าไปใกล้มากขึ้นนั้น เกราะป้องกันเรืองแสงก็พุ่งกระจายออกมาในทันที ม้วนกวาดปกคลุมไปทั่วทั้งดวงดาว รวมทั้งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้น ผู้ฝึกตนทั้งหมด ไม่ว่าพวกมันจะมีพื้นฐานฝึกตนอยู่ที่ระดับใด ต่างก็ถูกตรึงแน่นอยู่กับที่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ไม่อาจจะขยับตัวเคลื่อนไหวได้แม้แต่น้อย คนทั้งหมดต่างก็มีสีหน้าตกตะลึง สงสัยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น

ในตอนนี้เองที่เสียงของระฆังโบราณก็เริ่มดังก้องออกมาจากที่ไหนสักแห่งบนดาวชางหมาง เกิดเป็นเสียงเหง่งหง่างม้วนกวาดออกไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ทำให้กลุ่มหมอกของความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตถูกผลักดันออกไป และทำให้เกิดเป็นแรงกดดันอย่างรุนแรงกดทับลงมา

แก๊ง!

แก๊ง!

แก๊ง!

ขณะที่เสียงระฆังดังก้องออกมา ผู้ฝึกตนแห่งชางหมางพ่ายบนดาวชางหมางต่างก็สั่นสะท้านไปโดยสิ้นเชิง เสียงระฆังดังก้องอย่างต่อเนื่อง

ในที่สุดไม่เพียงแต่ผู้ฝึกตนทั่วไปเท่านั้นที่รู้สึกประหลาดใจ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งทรงพลังที่ทำให้ชางหมางพ่ายมีความแข็งแกร่งอยู่ด้านในก็มองขึ้นไปด้วยเช่นกัน

เมื่อเสียงระฆังดังก้องเป็นครั้งที่สี่ สีหน้าของผู้คนจำนวนมากก็เปลี่ยนไปด้วยความตกตะลึง เมื่อระฆังดังขึ้นเป็นครั้งที่หก ผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้ก็เริ่มบินตรงไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวซึ่งปกคลุมอยู่รอบๆ ดาวดวงนี้

อย่างไรก็ตามแม้ในขณะที่พวกมันกำลังบินออกไป เสียงระฆังครั้งที่เจ็ดก็ได้ยินมา ที่ไหนสักแห่งบนดาวชางหมาง ในวิหารที่เหยียดยาวออกไป ชายชราผู้หนึ่งลืมตาขึ้นมาในทันที และกลิ่นอายของผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้ก็ปะทุออกมาจากร่าง มันก้าวเดินเข้าไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวอย่างฉับพลัน ติดตามมาด้วยผู้แข็งแกร่งทรงพลังจากดาวชางหมางอีกมากมาย ลำแสงนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ

ผู้ฝึกตนนับล้านถูกตรึงแน่นอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ตรงด้านนอกของดาวชางหมาง คนเหล่านั้นทั้งหมดตกตะลึงและไม่อาจจะขยับตัวเคลื่อนไหว แต่เสียงระฆังก็ยังคงดังก้องอย่างต่อเนื่อง

จากกลุ่มคนที่ถูกตรึงแน่นอยู่กับที่เหล่านั้น ส่วนใหญ่แล้วไม่เข้าใจว่าเสียงระฆังนั้นบ่งบอกถึงอะไร ดังนั้นจึงตกอยู่ในความเงียบ แต่กลุ่มคนที่รู้ความหมายของมัน ก็มีดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจและหวาดกลัวอย่างช่วยไม่ได้

“ระฆังนั่น…มันคือระฆังไร้สิ้นสุด!!”

“เมื่อผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่ใช่สมาชิกของชางหมางพ่ายมาถึง…ระฆังไร้สิ้นสุดก็จะดังขึ้นมา!!”

“ดังสามครั้งหมายถึงผู้ยิ่งใหญ่เจ็ดแก่นแท้ หกครั้งคือแปดแก่นแท้ มากกว่านั้นก็คือ…ผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้!!”

“ระฆังดังขึ้นมาเจ็ดครั้ง! ก็หมายความว่า…ผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้มาอยู่ที่นี่แล้ว!!”

กลุ่มคนตรงด้านนอกดาวชางหมาง ซึ่งเข้าใจถึงความหมายของเสียงระฆังต่างก็ตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิง พวกมันเริ่มมองไปรอบๆ และในที่สุด สายตาทุกคู่ต่างก็จ้องมองไปยังยานบิน ซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ที่ไม่ได้ถูกตรึงแน่นอยู่กับที่!

บนยานบินลำนั้นดวงตาของบุรุษหนุ่มเบิกกว้างขึ้น และกำลังมองไปรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ ยังผู้ฝึกตนทั้งหมดที่ถูกตรึงแน่นอยู่กับที่ พี่สาวของมันก็มองไปรอบๆ ด้วยความตกใจด้วยเช่นกัน แต่จากนั้นก็เริ่มหัวเราะออกมา

“เสี่ยวตี้ ถึงเวลาที่ต้องเชิดหน้ายืดอกแล้ว ดูเหมือนว่าสัญญาวิวาห์กับตระกูลอวิ๋นยังคงมีผลอยู่ ข้ายังไม่ได้นำแผ่นหยกออกมา ชางหมางพ่ายก็สังเกตเห็น และเริ่มเคาะระฆังเพื่อต้อนรับพวกเราแล้ว” ถึงแม้ว่าดวงตาของหญิงสาวเยาว์วัยจะเบิกกว้างขึ้นด้วยความดีใจ แต่สองขาของบุรุษหนุ่มกำลังสั่นสะท้าน

“เจี่ย (พี่สาว) อย่าได้กล่าวเช่นนี้…” ก่อนที่บุรุษหนุ่มจะทันได้พูดจบ คนทั้งสองก็มองเห็นลำแสงจำนวนมากกำลังพุ่งออกมาจากดาวชางหมาง และสามารถจะรับรู้ได้ถึงระดับพื้นฐานฝึกตนอันน่ากลัวของพวกมัน หญิงสาวเยาว์วัยยิ่งมีความตื่นเต้นมากขึ้น

“เสี่ยวตี้ พวกมันกำลังมาต้อนรับพวกเราแล้ว!” นางกล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้น สูดหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่กลุ่มฝูงชนกำลังใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ

บุรุษหนุ่มไปอยู่ด้านหลังนางด้วยความสับสน ถึงมันจะอ่อนแอแต่ก็ชาญฉลาดเป็นอย่างยิ่ง และสามารถจะบอกได้ว่ามีบางสิ่งแปลกๆ กำลังเกิดขึ้น!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!