Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1420

ตอนที่ 1420

แนวทางสู่จุดสูงสุด

“และนั่นก็เป็นแค่หนึ่งในสิบส่วนอย่างเป็นทางการของชางหมางพ่ายทั้งหมดเท่านั้น” สายตาที่มองมาด้วยความอบอุ่นของนางไม่เคยเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าในตอนนี้เมิ่งฮ่าวจะมีท่าทางเหม่อลอยก็ตามที

สำหรับราชันจักรพรรดิคนอื่นๆ หนึ่งคนยังคงมีสีหน้าเย็นชา สำหรับอีกคนสายตาที่รังเกียจของนางในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะประกอบไปด้วยร่องรอยแห่งการดูถูก ถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่านางกำลังปกปิดไว้เป็นอย่างดีก็ตาม

ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นอย่างเลือนราง ในตอนนี้เขารับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งโดยรวมของชางหมางพ่ายแล้ว อย่างน้อยที่สุดมันก็มีขนาดใหญ่กว่าและทรงพลังมากกว่าอาณาจักรขุนเขาทะเล

“เมื่อคิดว่าสามกองกำลังสูงสุดในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตคือ อาณาจักรเทพ อาณาจักรมาร และชางหมางพ่ายนี้แล้ว ก็ทำให้ข้าเชื่อว่าในการต่อสู้กับสองกองกำลังก่อนหน้านี้ พวกมันยังไม่ได้ใช้ความแข็งแกร่งออกมาทั้งหมด หรือบางทีอาจจะมีตัวแปรบางอย่างที่ทำให้พวกมันเลือกที่จะรักษาความเป็นกลางไว้”

เมิ่งฮ่าวหลับตาลงครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เมื่อลืมตาขึ้นมาใหม่ ก็มองไปยังสตรีทั้งสิบที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาที่สงบนิ่งเยือกเย็น จากนั้นก็โบกสะบัดมือออกไปอย่างไม่สนใจ ในที่สุดก็หลับตาลงอีกครั้ง

คนทั้งหมดโค้งตัวลงและจากไป หลังจากที่ออกไปจากวิหาร ต่างคนต่างก็แยกย้ายตรงไปยังที่พักของตนเอง

ทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองตี้จิ่วจื้อจุนเงียบสงบ ถึงแม้ว่าจะมีแรงกดดันกำลังกดทับลงมายังคนทั้งหมดก็ตามที ผู้ฝึกตนหนึ่งแสนคนที่เฝ้าพิทักษ์เมืองต่างก็วิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง

ภายในดาวดวงนี้ยังมีดวงตะวันและจันทราอยู่อีกด้วย ในที่สุดก็ถึงยามราตรี ท้องฟ้ามืดมิดพร้อมทั้งสนามแห่งดวงดาวที่เปล่งแสงระยิบระยับ ความเงียบปกคลุมไปทั่ว ในที่สุดเมิ่งฮ่าวซึ่งอยู่ภายในวิหารก็ลืมตาขึ้นมา

หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ก็ลุกขึ้นมายืนอย่างช้าๆ และเดินตรงไป จากนั้นร่างเขาก็หายแวบไป เมื่อปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก็อยู่เหนือวิหารสูงขึ้นไป บนเจดีย์ที่สูงตระหง่าน มองออกไปทั่วทั้งเมืองตี้จิ่วจื้อจุน

สายลมโชยพัดมา ทำให้เส้นผมและเสื้อผ้าสะบัดพลิ้วไปมา เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่นมองลงไปยังภาพที่ด้านล่างเป็นเวลานาน ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองออกไปยังที่ห่างไกล

เขารู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้าในที่แห่งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนว่าจะไม่คุ้นเคย ภูมิประเทศก็ไม่คุ้นตา ผู้คนก็ไม่คุ้นเคย แม้แต่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวตรงด้านบนก็ไม่ชินตา

เมิ่งฮ่าวรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายเป็นอย่างยิ่ง มักจะคิดว่าตนเองเป็นผู้ที่แข็งแกร่ง แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปยังเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอาณาจักรขุนเขาทะเล สิ่งที่มองเห็นทั้งหมดก็คือทะเลแห่งโลหิต ใบหน้าที่คุ้นเคยนับไม่ถ้วน กำลังแผดร้องออกมาขณะที่ตกตายไป เขาเริ่มสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างช้าๆ

ครั้งหนึ่งเมิ่งฮ่าวเคยเชื่อว่าเต๋าของตนเองคืออิสรภาพและเสรีภาพ คล้ายกับเป็นการเดินทางไปยังความยุ่งยากและพ่ายแพ้ทั้งปวงซึ่งพบเห็นได้ตลอดเส้นทาง หลังจากที่มองไปยังภาพเหล่านั้นก็ได้แต่มุ่งหน้าต่อไป เส้นทางของเขายืดยาวออกไปไร้จุดสิ้นสุด

แต่ในตอนนี้เมื่ออาณาจักรขุนเขาทะเลถูกทำลายไป พร้อมกับการตกตายของผู้คนมากมาย ทั้งนกแก้วและผีโต้งที่ต้องเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้เขามีโอกาสรอดชีวิตอยู่ต่อไป จึงยากที่จะมองว่าเหตุการณ์ในอดีตทั้งหมดเหล่านั้น เป็นแค่ภาพที่มองเห็นในขณะที่เดินทางไปเท่านั้น

ถ้าภาพเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ทิวทัศน์สองข้างทางจริงๆ แล้วละก็ เมิ่งฮ่าวก็คงจะมีความสุขไปกับมัน และคงจะไม่เดินทางต่อไป

เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่นด้วยความเจ็บปวดใจ ขณะที่คิดไปถึงผีโต้งที่อยู่ในรูปแบบของเกราะนักรบ ซึ่งเขาได้ถอดมันออกมาและใส่กลับเข้าไปในถุงสมบัตินานแล้ว

ผ่านไปครึ่งค่อนวันก่อนที่เมิ่งฮ่าวจะควบคุมสติอารมณ์ได้อีกครั้ง

“รอข้าก่อน…ข้าจะต้องกลับไปอย่างแน่นอน!”

“เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะนำพวกเจ้าทั้งหมดจากไป พวกเราจะออกไปจากกระแสน้ำวนโลงศพสีเขียว และจะไปก่อตั้งอาณาจักรขุนเขาทะเลอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวอีกครั้ง!”

“และข้าจะต้องทำทุกอย่างเท่าที่สามารถจะทำได้ เพื่อนำคนที่กระจายหายไปกลับมาอย่างแน่นอน!” ประกายแสงอันดุร้ายแวบขึ้นมาในดวงตา ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็ฝังมันไว้ในส่วนลึก กลับมาสู่สภาวะที่สงบนิ่งเยือกเย็นเหมือนเช่นเคย

ขณะที่แสงสีแดงในดวงตาจางหายไป แม้แต่การตรวจสอบอย่างละเอียด ก็ยังไม่อาจจะเปิดเผยแสงสีแดงแปลกๆ ที่อยู่ในม่านตาของเมิ่งฮ่าวได้

“ตะเกียงวิญญาณของข้าถูกทำลายไป และตอนนี้ตะเกียงสัมฤทธิ์ก็กลายเป็นตะเกียงหลักของข้า” เมิ่งฮ่าวพึมพำ โบกสะบัดมือออกไปทำให้ตะเกียงสัมฤทธิ์ปรากฏขึ้น กระจายกลิ่นอายแห่งห้วงบรรพกาลที่เก่าแก่โบราณออกมา

“เนื่องจากวัตถุดิบอันล้ำค่าทั้งปวงที่ชางหมางพ่ายจัดเตรียมมา ทำให้สามารถจะสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ที่เหมาะสมกับตะเกียงดวงนี้เป็นอย่างยิ่ง” เมิ่งฮ่าวมองไปยังตะเกียงสัมฤทธิ์ด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“ตะเกียงกำลังลุกไหม้อยู่ และข้าก็รู้สึกได้ว่าถ้าดับมันลงไป พื้นฐานฝึกตนและทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับข้า…จะต้องพุ่งทะยานขึ้นไปแบบก้าวกระโดด!”

“ข้าสามารถจะบอกได้ว่า เมื่อไหร่ที่การพุ่งทะยานนั้นเกิดขึ้น จากพื้นฐานที่ข้าสร้างขึ้นมาด้วยพลังการฝึกตน ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า, สามเท่า หรือแม้แต่…สิบเท่า!” นี่เป็นข้อสรุปที่เมิ่งฮ่าวได้มาหลังจากที่ศึกษาตะเกียงสัมฤทธิ์เพิ่มขึ้น

หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะอีกครั้ง แปดสัญลักษณ์เวทก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าผาก พื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าวส่งเสียงดังกระหึ่มด้วยพลังอันน่ากลัวที่ปะทุออกมา ยื่นมือขวาออกไปวางไว้บนตะเกียง ด้วยความพยายามจะดับเปลวไฟไป

เปลวไฟส่ายไหวไปมา แต่ไม่ว่าเมิ่งฮ่าวจะทุ่มพลังการฝึกตนลงไปมากมายเท่าใด ก็ยังไม่อาจจะดับลงไปได้

“ยังขาดไปอีกเล็กน้อย…ข้าจำเป็นต้องทำให้แก่นแท้ของเวทผนึกทั้งแปดครบถ้วนสมบูรณ์” หลังจากที่มองไปยังเปลวไฟที่ส่ายไหวไปมาอยู่ภายในตะเกียงสัมฤทธิ์ด้วยสีหน้าครุ่นคิดแล้ว ก็ค่อยๆ ดึงพลังการฝึกตนกลับมาอย่างช้าๆ

“จากแก่นแท้ของเวทผนึกทั้งแปด ข้าได้รับความรู้แจ้งอย่างสมบูรณ์แบบของเต๋าแห่งเวทที่แปดเท่านั้น อีกเจ็ดเวทยังไม่สมบูรณ์ แต่ขั้นตอนทั้งหมดก็ไม่ยุ่งยากเท่าใดนัก เมื่อไหร่ที่ข้าดูดซับมรดกของสุ่ยตงหลิวได้หมดสิ้น และนั่งเข้าฌานตามลำพังสักระยะ ข้าก็สามารถจะรู้แจ้งเวทผนึกทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์”

“แต่สิ่งสำคัญมากที่สุด และจะช่วยให้ข้ามีพลังในการดับตะเกียงดวงนี้ก็คือสิ่งที่หายไป…เวทที่เก้า!”

“จากเก้าเวทผนึกของพันธมิตรแห่งผู้ผนึกอสูร ข้าได้ครอบครองตั้งแต่เวทแรกจนถึงเวทที่แปดแล้ว สำหรับเวทที่เก้า ข้าจำเป็นต้องสร้างมันขึ้นมาเอง” เมิ่งฮ่าวมองออกไปในความมืดมิดของยามราตรีด้วยแววตาที่สาดประกายเจิดจ้า

“ข้าสามารถจะบอกได้อย่างชัดเจนถึงอนาคตของตนเอง ข้าต้องรู้แจ้งแก่นแท้ของเวททั้งแปดอย่างสมบูรณ์ ข้าต้องรู้แจ้งเวทที่เก้า ข้าต้องหลอมรวมเวททั้งหมดเข้าด้วยกัน และใช้พลังของมันดับตะเกียงสัมฤทธิ์

จากนั้นข้าก็จะใช้พลังของตะเกียงสัมฤทธิ์ทะลวงผ่านระดับผู้ยิ่งใหญ่และก้าวเข้าไปยัง…พื้นฐานเต๋า! จุดสูงสุด!” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นด้วยแสงที่สว่างจ้า ทำให้ดูคล้ายกับเป็นดวงตะวันอันเจิดจ้า

“ถ้าข้าอยู่ในจุดสูงสุด การโค่นล้มอาณาจักรเทพและมาร ก็จะง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ!”

“ถ้าข้าอยู่ในจุดสูงสุด การฟื้นคืนชีพสหายจากขุนเขาทะเลที่ตายไปก็จะไม่ยุ่งยากแม้แต่น้อย!”

“ถ้าข้าอยู่ในจุดสูงสุด ก็สามารถจะรวมตัวกับนกแก้วและผีโต้งได้อีกครั้ง เวลาจะถูกย้อนกลับ อาณาจักรขุนเขาทะเลก็จะพลิกจากสถานะที่ถูกทำลายล้าง…อยู่ในจุดรุ่งเรืองก่อนหน้านี้ของมัน!”

“จุดสูงสุด ผ่านเข้าไปในพื้นฐานเต๋า เมื่อถึงตอนนั้นข้าก็จะกลายเป็น…แก่นแท้ ข้าจะกลายเป็นเต๋าอันยิ่งใหญ่และสูงสุดแห่งฟ้าดิน!” เมิ่งฮ่าวกำลังสั่นสะท้าน จิตใจหมุนคว้าง

“พื้นฐานเต๋า พื้นฐานเต๋า จากสมัยโบราณมาจวบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยอยู่ในจุดสูงสุดของอาณาจักรพื้นฐานเต๋า!”

“อาณาจักรเทพแข็งแกร่งเพราะว่าเมื่อหลายปีก่อนโน้น หนึ่งในคนของพวกมันอยู่ในจุดสูงสุด เช่นเดียวกับอาณาจักรมาร”

“ข้า, เมิ่งฮ่าว…ก็สามารถจะทำได้เช่นเดียวกัน!”

“ตะเกียงสัมฤทธิ์คือความหวังสำหรับการอยู่ในจุดสูงสุดนั้นของข้า คล้ายกับเป็นกุญแจที่จะช่วยเปิดประตูอันยิ่งใหญ่! การได้ครอบครองแก่นแท้ของแปดเวทผนึกทั้งหมดไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก ความลำบากที่แท้จริงอยู่ที่เวทรุ่นเก้า!”

“ข้าต้องได้รับความรู้แจ้งเพื่อสร้างเวทที่เก้านั้นขึ้นมา…” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายเจิดจ้าขึ้น เริ่มได้ข้อสรุปเกี่ยวกับเวทรุ่นเก้าอย่างเลือนรางแล้ว

“เวทผนึกสวรรค์จะกลายเป็นเวทรุ่นเก้าของข้า!!”

เมิ่งฮ่าวมองออกไปยังที่ห่างไกล ขณะที่ความมืดมิดในยามราตรีเริ่มส่องแสงสว่างของวันใหม่ขึ้นมา ปกคลุมไปทั่วร่าง

การมาถึงของตี้จิ่วจื้อจุนคือเรื่องใหญ่สำหรับชางหมางพ่าย ศิษย์นับล้านในสำนักต่างก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องนี้กระจายออกไปทั่วทั้งดาวชางหมาง รวมทั้งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวอย่างรวดเร็ว หนึ่งเดือนต่อมากองกำลังมากมายที่อยู่ในอาณาเขตของชางหมางพ่ายก็รับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้

ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาแสดงความยินดีนับไม่ถ้วน ทำให้ทั้งสำนักเต็มไปด้วยเสียงที่คึกคักจอแจ มีผู้ฝึกตนเข้าออกมากกว่าปกติโดยสิ้นเชิง

จริงๆ แล้วในฐานะที่เป็นตี้จิ่วจื้อจุน เมิ่งฮ่าวก็ยังคงไม่ถูกรบกวน เขามอบหมายให้สามราชันจักรพรรดินีเป็นผู้ดูแลเรื่องราวทั้งหมด แม้แต่ในตอนที่ผู้ยิ่งใหญ่อื่นๆ ซึ่งอยู่ใต้การบังคับบัญชามาถึง เขาก็ยังคงนั่งเข้าฌานตามลำพัง

การกระทำเช่นนี้ทำให้ผู้ที่อยู่ใต้การบังคับบัญชามีแต่จะยิ่งวิตกกังวลมากขึ้น นอกจากนี้เมิ่งฮ่าวก็เป็นหนึ่งในเก้าบุคคลที่มีความสำคัญมากที่สุดในชางหมางพ่ายแห่งนี้ และมีพื้นฐานฝึกตนที่น่ากลัวด้วยเช่นกัน เวลาเดียวกันนั้นผู้แข็งแกร่งที่โดดเด่นแต่ละคนซึ่งอยู่ใต้การบังคับบัญชาของเมิ่งฮ่าว ก็พยายามจะรู้ว่าสิ่งที่เขาชอบและไม่ชอบคืออะไรอย่างใจจดใจจ่อเป็นอย่างยิ่ง

นี่คือหนทางเดียวที่จะทำให้พวกมันมั่นใจว่า เรื่องราวจะราบรื่นไปตลอดรอดฝั่ง

งานพิธีต้อนรับอันยิ่งใหญ่ถูกจัดขึ้นในอีกหลายเดือนต่อมา เป็นงานใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับดาวชางหมางทั้งปวง รวมทั้งตระกูลของผู้ฝึกตนทั้งหมดที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชางหมางพ่าย และดินแดนอันกว้างใหญ่อื่นๆ ที่อยู่ในอาณาเขตเหล่านั้น

งานพิธีถูกจัดขึ้นเป็นเวลาหนึ่งเดือน แต่เมิ่งฮ่าวก็ปรากฏตัวขึ้นมาเพียงแค่หนึ่งครั้งเท่านั้น ที่ผู้คนจะมีโอกาสมองเห็นเขาได้อย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าเขาจะเสนอหน้าออกมาเพียงแค่หนึ่งครั้ง แต่ความเย็นชาและแรงกดดันที่กระจายออกมาจากร่าง ก็เพียงพอที่จะทำให้คนทั้งหมดต้องรู้สึกว่าแทบไม่อาจจะหายใจได้อย่างทั่วท้อง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเมิ่งฮ่าว

พวกมันเฝ้ารออยู่ในเมืองตี้จิ่วจื้อจุนอยู่นานพอสมควร ก่อนที่เมิ่งฮ่าวจะต้อนรับเป็นการส่วนตัว หลังจากที่เข้าพบแล้ว แต่ละคนต่างก็มีสีหน้าที่น่าเกลียด ดวงตาเต็มไปด้วยทั้งความลังเลแต่ก็มีความมุ่งมั่นอยู่เล็กน้อยด้วยเช่นกัน

สิ่งที่เมิ่งฮ่าวบอกพวกมันก็คือคำสั่งแรก หลังจากที่กลายมาเป็นตี้จิ่วจื้อจุน!

“ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งหมดขยายอิทธิพลของพวกเราออกไป ให้เริ่มทำในทันที ภายในเวลาหนึ่งพันปี กองกำลังของพวกเราจะต้องเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวเป็นอย่างน้อย!”

คำสั่งนี้ถูกส่งต่อลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าผู้คนจะเข้าใจหรือยอมรับหรือไม่ ภายในอาณาเขตของตี้จิ่วจื้อจุน คำพูดของเขาก็คือคำสั่ง!

ไม่ว่าผู้คนจะยินยอมทำตามหรือไม่…พวกมันก็ต้องทำ!

กองกำลังของตี้จิ่วจื้อจุนพลุ่งพล่านปั่นป่วนขึ้นในทันที พวกมันเริ่มขยายตัวออกไป ทำการรุกราน ทำการโจมตี เพื่อเพิ่มจำนวนขึ้น

เมิ่งฮ่าวไม่สนใจว่าพวกมันจะดำเนินการอย่างไร เขาใส่ใจแต่อาณาจักรขุนเขาทะเลและการล้างแค้นของตนเองเท่านั้น ไม่ต้องการจะพึ่งพาความหวังทั้งหมดไปกับการอยู่ในจุดสูงสุด ดังนั้นเขาจึงต้องเตรียมการ…ในกรณีที่ไม่อาจจะอยู่ในจุดสูงสุดได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังคงจำเป็นต้องมีเครื่องมือสำหรับการล้างแค้น

เขาจำเป็นต้องมีผู้คนมากกว่านี้ จำเป็นต้องมีพลังมากกว่านี้ จำเป็นต้องเตรียมการเพื่อประกาศสงครามในอนาคต

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!