Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1444

ตอนที่ 1444

คำขู่ สิบหกวัน

 

การที่เมิ่งฮ่าวสามารถจะอดทนอยู่บนแท่นบูชาเหนือสูงสุดเป็นเวลาสิบหกวัน ทำให้กลุ่มคนที่มองดูอยู่สั่นสะท้านไปโดยสิ้นเชิง

จินหยุนซาน ซาจิ่วตง เจ้าสำนัก คนทั้งหมดต่างก็ตกตะลึง

จากนั้นเมิ่งฮ่าวก็ลืมตาขึ้นมา กระจายเป็นกลิ่นอายแห่งการเข้าสู่เหนือสูงสุด ทำให้คนทั้งหมดรู้สึกว่าจิตใจตนเองกำลังเต้นรัว ดวงตาสีโลหิตคู่นั้นประกอบไปด้วยความดุร้ายอย่างยากที่จะบรรยายออกมาได้ ส่งผลให้พวกมันรู้สึกว่ากำลังมองไปยังสัตว์ป่าบางอย่างจากยุคสมัยโบราณ

เมิ่งฮ่าวไม่ได้เข้าไปสู่เหนือสูงสุด และจริงๆ แล้วเวทรุ่นเก้าก็พังทลายลงไปสามครั้งติดต่อกัน แต่เมื่อการพังทลายเป็นครั้งที่สามเกิดขึ้น และเมื่อเมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้นมา เขาก็ฟื้นคืนสติมาจากแท่นบูชาเหนือสูงสุด เวลาเดียวกันนั้นบรรยากาศที่เข้าไปสู่เหนือสูงสุดก็เต็มอยู่ในบริเวณนั้น กลายเป็นกระแสน้ำวนที่หมุนวนไปมาอย่างรวดเร็วอยู่รอบๆ ตัวเมิ่งฮ่าว

กระแสน้ำวนนั้นพุ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งดูเหมือนว่าจะเชื่อมต่อเข้ากับสวรรค์ ช่างเป็นภาพที่น่าตกใจอย่างแท้จริง

ขณะที่สายลมอันไร้ขอบเขตกรีดร้องออกมา สีหน้าเจ้าสำนักก็เปลี่ยนไป และถอยไปทางด้านหลัง จินหยุนซานและซาจิ่วตงไม่ลังเลที่จะทำด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ทั้งหมด แม้ในขณะที่กลุ่มคนเหล่านั้นล่าถอยออกห่างจากแท่นบูชาหนึ่งหมื่นจ้าง ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันป่าเถื่อนที่กำลังพุ่งขึ้นมาจากตรงตำแหน่งนั้น

เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องออกไปในทั่วทุกทิศทาง ขณะที่ลมพายุพุ่งสูงขึ้นไปจนดูเหมือนว่าจะกรีดเฉือนเข้าไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต

ตรงท่ามกลางลมพายุนั้นคือเมิ่งฮ่าว ซึ่งกำลังมองขึ้นไปในท้องฟ้าด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ราวกับว่าสามารถจะมองทะลุผ่านความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตและสูงมากเกินไปกว่านั้น ราวกับว่าเขากำลังจ้องมองไปยังสิ่งที่ไม่มีใครสามารถจะมองเห็นได้

“เจ้านั่นเอง…” เมิ่งฮ่าวกล่าวด้วยดวงตาที่แดงเข้ม เขารู้สึกงุนงงเมื่อเวทรุ่นเก้าพังทลายลงมาเป็นครั้งแรก รู้สึกสั่นสะท้านในครั้งที่สอง แต่เมื่อถึงครั้งที่สาม…ก็สามารถจะยืนยันข้อสงสัยของตนเอง และได้คำตอบที่ต้องการ

เมิ่งฮ่าวมั่นใจว่ามีบางสิ่งแอบมาขัดขวางการฝึกตนของตัวเองจริงๆ คล้ายกับเป็นพลังที่พยายามจะทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้เวทรุ่นเก้าปรากฏขึ้นมา

บางทีอาจจะถูกต้องมากกว่าถ้าจะกล่าวว่า มันไม่ได้ต่อต้านเวทรุ่นเก้า แต่กำลังป้องกันเมิ่งฮ่าว…ไม่ให้เปลี่ยนแปลงจากอสูรกลับไปเป็นเซียน

และเหตุผลนั้นก็คือ…

“หลัวเทียนหวาดกลัวเซียน” เมิ่งฮ่าวพึมพำด้วยน้ำเสียงที่ดุร้าย ตอนนี้เขาเข้าใจหมดแล้ว ถ้าไม่เคยผ่านอุโมงค์นั้นและได้เห็นภาพทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับหลัวเทียน ถ้าเขาไม่เคยเห็นหลัวเทียนทำลายโลกด้วยดรรชนีเพียงข้างเดียว เขาก็ไม่มีทางจะเชื่อมต่อชิ้นส่วนเหล่านี้เข้าด้วยกัน จนกลายเป็นเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมเวทรุ่นเก้าของตนเองถึงกำลังถูกขัดขวางอยู่

เนื่องจากเช่นนั้น ในตอนนี้เมิ่งฮ่าวจึงสามารถจะมั่นใจได้อย่างแน่นอนว่า กลิ่นอายของพลังที่ขัดขวางไม่ให้เวทรุ่นเก้าสำเร็จสมบูรณ์…และกลิ่นอายที่เขารู้สึกได้ในตอนที่หลัวเทียนทำลายโลกที่อยู่ในภาพวาด…คือกลิ่นอายเดียวกัน

พวกมันเป็นพลังเช่นเดียวกัน

อันที่จริง…เนื่องจากความล้มเหลวทั้งสามครั้งของเวทรุ่นเก้า ทำให้เมิ่งฮ่าวค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัว คาดไม่ถึงว่าพลังของสิ่งที่ถูกเรียกว่าหลัวเทียน เห็นได้ชัดว่ามีต้นกำเนิดเดียวกันกับ…อสูร

แทนที่จะพูดว่าหลัวเทียนมาขัดขวาง จนทำให้เวทรุ่นเก้าพังทลายลงไป ก็น่าจะถูกต้องมากกว่าถ้าจะกล่าวว่าเกิดขึ้นจากการกระทำของทั้งหลัวเทียน และพลังอสูรที่อยู่ภายในร่างตนเอง

“หลัวเทียน…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ เขามีคำถามและความสงสัยมากมายเกี่ยวกับหลัวเทียน แต่ก็ไร้คำตอบใดๆ อันที่จริงลึกลงไปในจิตใจ การคาดเดามากมายได้พุ่งขึ้นมา อันเนื่องมาจากสิ่งที่เขาเคยเห็นในภาพวาด เป็นการคาดเดาที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรขุนเขาทะเล, อาณาจักรเทพ, อาณาจักรมาร และดาวชางหมาง

น่าเสียดายที่ไม่มีคำตอบใดๆ ให้กับคำถามมากมายเหล่านั้น แม้แต่ร่องรอยหรือเหตุการณ์ที่จะช่วยวิเคราะห์ก็ไม่มีโดยสิ้นเชิง และภายในใจเมิ่งฮ่าวก็ยังมีความไม่อยากจะเชื่ออยู่เล็กน้อยอีกด้วย นอกจากนี้เขาก็ไม่ใช่ผู้ที่เริ่มต้นทำการฝึกตน จึงตระหนักดีอยู่ตลอดเวลาว่า สิ่งที่มองเห็นด้วยสองตาของตนเองอาจจะไม่ใช่ความจริงก็เป็นได้

แต่ตอนนี้เขามั่นใจเกี่ยวกับการคงอยู่ของหลัวเทียนแล้ว

ภายในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต มีบางสิ่งบางอย่างที่ถูกเรียกว่า…หลัวเทียนอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีการเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างสิ่งที่ถูกเรียกว่าหลัวเทียนและตนเอง อย่างน้อยที่สุด…เมิ่งฮ่าวก็มั่นใจว่าบางสิ่งได้ผลักดันให้เขาเปลี่ยนแปลงจากเซียนจนกลายเป็นอสูร

ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นด้วยรังสีสังหาร ขณะที่ลุกขึ้นมายืน ทันใดนั้นท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยเสียงกระหึ่มอย่างรุนแรง และลมพายุก็เริ่มสลายตัวไป ขณะที่พลังทำลายล้างอันน่าเหลือเชื่อบางอย่างกำลังพุ่งลงมา

กลิ่นอายแห่งการเข้าไปสู่เหนือสูงสุดแตกกระจายไป และแท่นบูชาก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แรงกดดันอันเข้มข้นกำลังตกลงมา ทำให้ดูเหมือนว่าพลังของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตทั้งหมดกำลังบดขยี้ลงมา

คนทั้งหมดจากชางหมางพ่ายกระอักโลหิตออกมา แม้แต่เจ้าสำนัก, ซาจิ่วตง และจินหยุนซาน สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ ขณะที่พุ่งถอยไปทางด้านหลังไกลมากกว่าหนึ่งหมื่นจ้าง

ดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรกทั้งหมดดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องที่ไร้เสียงอย่างรุนแรง ทำให้ทุกสรรพสิ่งสั่นไหวไปมาอย่างรุนแรง

เมิ่งฮ่าวยืนอยู่บนแท่นบูชากำลังเผชิญหน้ากับแรงกดดันอันเข้มข้น และกระอักโลหิตออกมา แรงกดดันนั้นกำลังพยายามทำให้เขาต้องยอมจำนน กดดันลงมาบนร่าง ทำให้ขาทั้งสองข้างเริ่มสั่นสะท้าน ราวกับว่ากำลังพยายามทำให้เมิ่งฮ่าว…คุกเข่าต่อสวรรค์

แต่ก็มีบางอย่างที่มากไปกว่านั้น จากมุมมองของเมิ่งฮ่าว ราวกับว่าแรงกดดันนี้กำลังพยายามทำให้ตนเองสาบานออกมาว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงจากอสูรเพื่อกลายเป็นเซียนอีกครั้ง

ใบหน้าเมิ่งฮ่าวบึ้งตึงอย่างถึงที่สุด ขณะที่แรงกดดันเพิ่มขึ้นมา เขากำลังสั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด และกระดูกก็เริ่มแตกร้าวจนแทบจะพังทลายลงไป

แต่จากนั้นเมิ่งฮ่าวก็แหงนหน้าขึ้นและหัวเราะเป็นเสียงดังออกมาในทันที ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยแสงสีแดงจ้า ขณะที่ปราณอสูรพุ่งขึ้นมา

“ต้องการขู่ข้า?” เมิ่งฮ่าวหัวเราะหึๆ ขยับสองมือร่ายเวทอย่างรวดเร็ว และเวลาเดียวกันนั้นดวงตาที่สามก็ลืมขึ้นมา ทำให้มองเห็นกลุ่มภูตผีที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นในทันที

ภายใต้แรงกดดันจากสวรรค์ ภูตผีนับไม่ถ้วนกำลังสั่นสะท้าน แต่ก็ยังคงมองเห็นสีหน้าอันดุร้ายและบ้าคลั่งของพวกมัน กำลังจ้องมองไปด้วยความเกลียดชังและไม่ยินยอม

แม้แต่เมิ่งฮ่าวก็สามารถจะรู้สึกได้ว่ากลิ่นอายของแรงกดดันที่กำลังกดทับลงมาในตอนนี้ เป็นกลิ่นอายเดียวกันกับตอนที่หลัวเทียนทำลายโลกแห่งนี้ แล้วกลุ่มคนที่ถูกหลัวเทียนสังหารไป จะไม่รับรู้ในเรื่องเดียวกันนี้ได้อย่างไร?

“ข้า, เมิ่งฮ่าว ฝึกตนเพื่อค้นหาความหลุดพ้นมาตลอดชีวิต ข้าไล่ตามเต๋าแห่งขุนเขาทะเล แม้แต่เจ้าหลัวเทียน ก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะมาข่มขู่คุกคามข้า!” เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังก้องออกมา ขณะที่เมิ่งฮ่าวฟาดฝ่ามือออกไปที่เบื้องหน้า

เมื่อเหล่าภูตผีที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นรับรู้ได้ถึงเจตจำนงและความมุ่งมั่นของเมิ่งฮ่าว พวกมันก็แหงนหน้าขึ้นและกรีดร้องด้วยความขมขื่นออกมา ผู้ฝึกตนซึ่งอยู่ในที่แห่งนี้ไม่มีใครสามารถจะมองเห็นภูตผีเหล่านี้ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นอันเข้มข้นที่ไหลเข้ามาอย่างกะทันหันนี้

มีภูตผีเป็นจำนวนมากจนยากที่จะบอกได้ว่าพวกมันมีอยู่เท่าใด และทั้งหมดต่างก็กรีดร้องโดยพร้อมเพรียงกันจนกลายเป็นเสียงหนึ่งเดียวที่พุ่งขึ้นไปในสวรรค์ พวกมันไม่รู้ว่าทำไมถึงได้กลายมาเป็นภูตผีหลังจากที่ถูกสังหารไปโดยแรงกดดันนี้ และพวกมันก็ไม่เข้าใจว่าหลังจากที่ตายไปแล้วทำไมถึงได้มีความแข็งแกร่งกว่าตอนที่มีชีวิตอยู่ซะอีก แต่พวกมันก็รู้ว่าถึงแม้ตนเองไม่อาจจะต่อสู้กับพลังนี้เมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้พวกมันก็ตายไปแล้ว…จึงต้องการต่อสู้ให้จงได้!

ยากที่จะบอกได้ว่าภูตผีตนใดเริ่มขึ้นก่อน แต่ทันใดนั้นพวกมันทั้งหมดต่างก็บินตรงไปยังลมพายุพลังการฝึกตนที่หมุนวนอยู่รอบๆ ร่างเมิ่งฮ่าว ในชั่วพริบตาภูตผีนับไม่ถ้วนก็บินผ่านอากาศตรงไปยังเมิ่งฮ่าว ทำให้ลมพายุนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นและแข็งแกร่งมากขึ้น

ภูตผีจำนวนมากจนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงไป ทำให้ลมพายุขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว หนึ่งร้อยจ้าง, หนึ่งพันจ้าง, หนึ่งหมื่นจ้าง, หนึ่งแสนจ้าง, หนึ่งล้านจ้าง, สิบล้านจ้าง…

ดูเหมือนว่าลมพายุนั้นจะกระจายตัวออกไปอย่างไร้จุดสิ้นสุด โดยมีแท่นบูชาเป็นจุดศูนย์กลาง ในที่สุดก็ปกคลุมไปทั่วทั้งดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรก ทำให้กลายเป็นลมพายุขนาดใหญ่อย่างที่ยากจะพรรณนาออกมาได้

ลมพายุขนาดใหญ่ม้วนกวาดออกไปทั่วทั้งพื้นดิน ทำให้ภูเขาสั่นสะเทือนและแม่น้ำก็พลุ่งพล่านปั่นป่วน

ผู้ฝึกตนจากชางหมางพ่ายต่างก็ตกอยู่ในลมพายุที่ปั่นป่วนนั้นด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน มองไปรอบๆ ด้วยความประหลาดใจยังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ พวกมันยังได้ยินเสียงกรีดร้องดังก้องออกมาอย่างเลือนลางอีกด้วย

“ล้างแค้น ล้างแค้น!”

“พวกเราถูกดรรชนีของหลัวเทียนสังหารไป ดังนั้นเมื่อตายไปแล้วพวกเราก็จะกำจัดหลัวเทียน!”

“ความพยาบาทของทวีปชางหมางเหมือนกับเปลวไฟที่แม้แต่สวรรค์ ก็ไม่สามารถจะดับลงไปได้” เสียงนับไม่ถ้วนดังก้องออกมา คล้ายกับเป็นเสียงของโลกแห่งนี้ ทำให้คลื่นเสียงขนาดใหญ่พุ่งขึ้นมาอยู่ภายในลมพายุ จากนั้นเมิ่งฮ่าวก็ยกมือขึ้นและชี้ตรงไปยังสวรรค์ ลมพายุพร้อมทั้งกลุ่มภูตผีที่กำลังกรีดร้องออกมานับไม่ถ้วนเริ่มพุ่งขึ้นไปในอากาศ

พวกมันคล้ายกับเป็นกองกำลังอันเกรียงไกรที่กำลังพุ่งตรงไปยังสวรรค์ ภาพที่เห็นนี้ไม่มีใครสามารถจะลืมเลือนไปได้

การรวมพลังกันของเหล่าภูตผีทั้งหมดที่คงอยู่ในดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรกนี้ พุ่งขึ้นไปราวกับจะไปปราบพิชิตความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต จากนั้นขณะที่คนทั้งหมดเฝ้ามองไป ท้องฟ้าที่ด้านบนก็ฉีกขาดออกจากกันด้วยลมพายุนั้น

สิ่งที่อยู่สูงเกินกว่าท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวและความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตถูกเปิดเผยออกมา แต่ลมพายุก็ยังคงพุ่งสูงขึ้นไป ทันใดนั้นภายในท้องฟ้าที่แตกกระจายออกไป เงาร่างๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้น ดูเลือนรางยากที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจน ก่อตัวขึ้นมาจากกลุ่มหมอก ยืนอยู่ที่นั่น มองลงมายังกองกำลังเหล่าภูตผีซึ่งไร้ที่สิ้นสุด จากนั้นก็ยื่นมือออกมาฟาดลงไป

บางสิ่งที่คล้ายกับเกราะป้องกันที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นอยู่เบื้องหน้าของเงาร่างนั้นในทันที และเสียงกระหึ่มกึกก้องก็เริ่มกระจายลงมา

เมื่อเหล่าภูตผีพุ่งเข้าไปในเกราะป้องกันที่มองไม่เห็น พวกมันก็แตกกระจายกลายเป็นเสี่ยงๆ ไม่อาจจะทำอะไรเพื่อต่อต้านได้โดยสิ้นเชิง

พลังที่แตกต่างกันอย่างมากมายเช่นนี้ คล้ายกับเป็นหุบเหวอันกว้างใหญ่ ไร้ความหวังที่จะข้ามผ่านไปได้

“เหนือสูงสุด! นั่นคือ…พลังของเหนือสูงสุด” เจ้าสำนักกล่าวขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ คนทั้งหมดต่างก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน

เมิ่งฮ่าวอาจจะกระจายเป็นกลิ่นอายของเหนือสูงสุดได้บางส่วน แต่ค่อนข้างจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่เงาร่างนี้และมือที่ยื่นออกมาของมัน…ทำให้…พลังแห่งเหนือสูงสุดที่แท้จริงปรากฏขึ้นมา

เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่นบนแท่นบูชา มองตรงไปยังทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น แอบสั่นสะท้านอยู่ภายในใจ รู้สึกได้ถึงพลังแห่งเหนือสูงสุดด้วยเช่นกัน สามารถจะบอกได้ว่าลมพายุที่ตนเองสร้างขึ้นมา และเหล่าภูตผีนับไม่ถ้วนที่อยู่ภายในนั้น ไม่อาจจะทำอะไรเพื่อขัดขวางหรือแม้แต่จะทำให้เกราะป้องกันที่มองไม่เห็นนั้นต้องสั่นสะเทือนได้แม้แต่น้อย

ในชั่วพริบตาเกราะป้องกันก็ทำลายลมพายุไปมากกว่าครึ่ง และบดขยี้ลงมาอย่างต่อเนื่อง ในตอนนี้มันกำลังเข้ามาใกล้เมิ่งฮ่าวมากขึ้นเรื่อยๆ

เพื่ออธิบายให้เห็นภาพ พลังของเหนือสูงสุดเมื่อไปเทียบกับพลังของผู้ฝึกตนที่ไม่ได้อยู่ในจุดเหนือสูงสุด ก็เหมือนกับ…นำกลุ่มหมอกไปเทียบกับหยดน้ำ

ไม่ว่าจะมีกลุ่มหมอกมากมายแค่ไหน ก็ไม่อาจจะทำอะไรเพื่อขัดขวางหยดน้ำไม่ให้พุ่งผ่านมันไปได้

ในกรณีนี้ลมพายุและเหล่าภูตผีก็คือกลุ่มหมอก และเกราะป้องกันที่มองไม่เห็นก็คือหยดน้ำ มันไม่เพียงแต่จะพุ่งผ่านกลุ่มหมอกไปเท่านั้น แต่ยังบดขยี้ไปยังทุกสรรพสิ่ง และกลุ่มหมอกก็ไม่อาจจะต่อต้านได้แม้แต่น้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!