Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1448

ตอนที่ 1448

หนึ่งปีนี้

เป็นเรื่องง่ายที่จะค้นหาขนหงส์หรือเขากิเลนกว่าการหาใครสักคนในชางหมางพ่าย ที่รู้เรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเขตสุสานได้อย่างแท้จริง กลุ่มคนที่เข้าไปด้านในเกิดการบาดเจ็บล้มตายไปอย่างมากมาย ผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้ถูกสังหารไปหลายคน ตี้ลิ่วจื้อจุนและตี้ปาจื้อจุนต่างก็ตายไปด้วยเช่นกัน

สำหรับชางหมางพ่ายแล้ว นั่นคือความสูญเสียอันใหญ่หลวง แต่สำหรับคนที่รอดชีวิตออกมาได้ ต่างก็ได้รับผลประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล!

ผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้, ผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้ และแม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้ขั้นสูงสุดจำนวนแค่หยิบมือต่างก็ไปอยู่บนแท่นบูชาเหนือสูงสุดกันทั้งหมด และได้รับความรู้แจ้งที่เกี่ยวกับเส้นทางในอนาคตของตนเองซึ่งแตกต่างกันออกไป ถึงแม้ว่าเส้นทางที่เบื้องหน้าของพวกมันจะยังไม่ชัดเจนมากนัก แต่เวลาที่อยู่ในเขตสุสานก็ทำให้มั่นใจได้ว่า ละอองหมอกที่ปกคลุมพวกมันไว้จะจางหายไปได้ในระดับหนึ่ง แต่ละคนต่างก็เชื่อมั่นว่าถ้ามีโอกาสค้นหาความรู้แจ้งได้มากกว่านี้…ความเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุถึงจุดเหนือสูงสุด…ก็อาจจะเปลี่ยนเป็นความเป็นไปได้อย่างแน่นอน

ถึงแม้ว่าผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้จะได้รับผลประโยชน์ไม่เท่ากับผู้แข็งแกร่งเก้าแก่นแท้เหล่านั้น แต่ก็ยังคงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่บางคนยังได้เข้าใจถึงแก่นแท้ที่เก้าของตนเองอีกด้วย ทำให้ความก้าวหน้าของคนผู้นั้นพุ่งทะยานสูงขึ้นไปอย่างไร้ขอบเขต

สามารถจะกล่าวได้ว่า ถึงแม้ชางหมางพ่ายจะประสบกับความสูญเสียอย่างมากมาย แต่ผลตอบแทนสำหรับกลุ่มคนที่รอดชีวิตมาได้ก็คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง คนทั้งหมดมุ่งตรงไปนั่งเข้าฌาณในทันทีที่กลับมา

เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่ในวิหารเข้าฌานตามลำพังของตนเอง ด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง คิดย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเขตสุสาน และสีหน้าก็ค่อยๆ เต็มไปด้วยความเย็นชาและไม่ยินยอม

เขาไม่ยอมยกเลิกความคิดที่ว่า ตนเองสามารถสร้างเวทรุ่นเก้าขึ้นมาได้

“หลัวเทียนหวาดกลัวเซียน พลังอสูรของมันและข้ามีต้นกำเนิดร่วมกัน เรื่องนี้…ช่างแปลกนัก” เมิ่งฮ่าวเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นดวงตาก็สาดประกายขึ้น และยิ้มอย่างเย็นชา

“ข้าไม่อาจใช้ร่างนี้สร้างเป็นเวทรุ่นเก้าขึ้นมา ถ้าพยายามอีกก็คงจะล้มเหลว…เวทรุ่นเก้าจะเปลี่ยนแปลงข้า ทำให้พื้นฐานเซียนปรากฏขึ้นอีกครั้ง และข้าก็ต้องเดินไปตามวิถีนั้นอีกครั้ง”

“จะเป็นเซียนหรือไม่ ข้าไม่สนใจ ข้ามุ่งมั่นแต่ทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น เซียนก็ดี อสูรก็ไม่เลว ตราบเท่าที่ข้าสามารถสร้างแก่นแท้ที่เก้าขึ้นมาได้ ตราบเท่าที่ข้าสามารถดับตะเกียงสัมฤทธิ์ ตราบเท่าที่ข้าสามารถอยู่เหนือจุดสูงสุด!”

ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นด้วยแสงแห่งความครุ่นคิด ถ้าไม่อาจจะสร้างเวทรุ่นเก้าขึ้นมาด้วยตนเอง เขาก็ต้องหาวิธีการบางอย่างเพื่อให้ใครบางคนมาช่วยทำให้!

“ใครจะไปคิดว่าการเปลี่ยนเวทผนึกสวรรค์ให้กลายเป็นเวทรุ่นเก้า จะทำให้เปลี่ยนเป็นเซียนขึ้นมาได้…ข้าคิดว่าพอจะได้ร่องรอยบางอย่างของเวทรุ่นเก้าแล้ว บางทีมันอาจจะได้ผลก็เป็นได้…” เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว

“แต่ก็ยากที่จะตัดใจได้” เมิ่งฮ่าวถอนหายใจ และทันใดนั้นดวงตาก็สาดประกายขึ้น เมื่อความคิดแปลกๆ ผุดขึ้นมาในจิตใจ

“หือ…?” ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบประกายเจิดจ้ามากยิ่งขึ้น จนกระทั่งทันใดนั้นก็ลุกขึ้นมายืนและเริ่มเดินไปมาอยู่ในวิหาร หลังจากที่ผ่านไปชั่วขณะก็หยุดชะงักนิ่ง

“ถ้าร่างนี้ไม่เหมาะสมที่จะใช้สร้างเวทรุ่นเก้า เช่นนั้น…ถ้าข้าสร้างร่างจำแลงที่ไม่มีปราณอสูร และข้าก็แทบจะไม่มีการเชื่อมต่อกับมันแม้แต่น้อย บางทีร่างจำแลงนั้นอาจจะสามารถสร้างเวทรุ่นเก้าขึ้นมาได้!!”

“ถ้าอสูรไม่อาจจะสร้างเวทรุ่นเก้า เช่นนั้นเซียน…ก็น่าจะสร้างเวทผนึกสวรรค์ขึ้นมาได้สำเร็จ!”

“ถ้าร่างจำแลงทำได้สำเร็จ และร่างจริงของข้าก็หลอมรวมเข้ากับร่างจำแลง ถ้าเช่นนั้น…ข้าก็จะยังมีเวทรุ่นเก้าได้ในที่สุด!” ดวงตาเมิ่งฮ่าวเริ่มสาดประกายเจิดจ้ามากขึ้น

“ถึงแม้ว่ามันจะยุ่งยากขึ้นเล็กน้อย แต่อย่างน้อยข้าก็มีแนวทางแล้ว!”

“เวทผนึกสวรรค์ไปกระตุ้นชีพจรเซียน เมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าร่างจำแลงข้ามีร่างเซียนบริสุทธิ์ โอกาสที่จะทำได้สำเร็จก็จะเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัว” ยิ่งเมิ่งฮ่าวคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้น

“ภารกิจของร่างจำแลงนี้ก็คือ…ต้องสร้างเวทรุ่นเก้าให้สำเร็จ!”

ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นด้วยความมุ่งมั่น ขณะที่คิดย้อนกลับไปยังเวทร่างจำแลงต่างๆ ที่ตนเองมีอยู่ทั้งหมด หนึ่งในนั้นคือร่างเต๋าเดิมแท้ และก็มีวิชาเวทจากมรดกของสุ่ยตงหลิวด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม วิธีสร้างร่างจำแลงเหล่านั้นก็ไม่อาจจะทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาต้องการร่างจำแลงที่ไม่มีพลังอสูร ซึ่งสามารถจะได้รับความรู้แจ้งของเวทรุ่นเก้า และจากนั้นเขาก็จะดูดซับมันกลับเข้ามา

“มันไม่ได้ผลจนกว่า…ร่างจำแลงนั้นคือข้าที่แท้จริง ถึงแม้ว่าร่างจริงของข้าจะตายไป แต่ร่างจำแลงก็สามารถจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ซึ่งเป็นร่างจำแลงที่แยกตัวออกมาเป็นอิสระอย่างแท้จริง แต่ก็ยังคงสามารถจะหลอมรวมกลับเข้ามาในร่างข้าได้เช่นกัน!” ด้วยเช่นนั้น เมิ่งฮ่าวจึงยกมือขึ้นมา และกดลงไปบนหน้าผากของตนเอง

เสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในจิตใจ ขณะที่ทันใดนั้น…ผลเนี่ยผานสามผลได้ปรากฏขึ้น!

ขณะที่ผลเนี่ยผานลอยอยู่ตรงหน้า แสงอันเจิดจ้าก็กระจายออกไป เมิ่งฮ่าวยิ้มออกมา

“ทัณฑ์ทรมานเจ็ดปี…ถ้าสุ่ยตงหลิวคิดแผนการอันซับซ้อนสำหรับขุนเขาทะเลได้ทั้งหมด เนื่องมาจากเงื่อนไขแปลกๆ ที่อยู่ในสายโลหิตของตระกูลฟาง จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าจะสามารถทำได้เช่นเดียวกัน!”

“ร่างจำแลงข้าจะแตกต่างไปจากร่างจำแลงอื่นๆ นั่นเป็นเพราะว่า…มันจะกลายเป็น…ชีวิตที่สี่ของข้า!!” เมื่อถึงจุดนี้ เมิ่งฮ่าวก็หลับตาลง ทำให้แสงอันเจิดจ้าจางหายไป

ย้อนกลับไปบนดาวตงเซิ่ง ทัณฑ์ทรมานเจ็ดปีทำให้ร่างกายเมิ่งฮ่าวต้องแห้งเหี่ยวลงไป และในขั้นตอนนั้นก็สร้างเป็นผลเนี่ยผานขึ้นมา มีการเกิดขึ้นมาสองครั้ง ในปีที่เจ็ดของชีวิตที่สอง เขาได้แห้งเหี่ยวลงไปอีกครั้ง และในขั้นตอนของการเริ่มต้นชีวิตที่สาม ก็สร้างเป็นผลเนี่ยผานผลที่สองขึ้นมา

ในชีวิตที่สามนั้น บิดามารดาได้นำเมิ่งฮ่าวมายังดาวหนานเทียน และชีวิตที่ปั่นป่วนวุ่นวายก็เริ่มต้นขึ้น จนกระทั่งดำเนินมาถึงทุกวันนี้

ตอนนี้เมิ่งฮ่าวต้องการบังคับให้…ชีวิตที่สี่ของตนเองเริ่มต้นขึ้น แต่จะไม่ทำกับร่างจริงของตนเอง จะทำกับร่างจำแลงแทน ชีวิตที่สามและชีวิตที่สี่ของเขาจะเกิดขึ้นพร้อมกัน!

มันคือเหตุการณ์ที่มีรากเหง้ามาจากต้นตอเดียวกัน แต่มีกิ่งก้านที่แตกต่างกันออกไป การหลอมรวมเข้าด้วยกันก็จะไม่มีปัญหาด้วยเช่นกัน เพราะว่าร่างกายมีพื้นฐานมาจากรากเหง้าเดียวกัน! เวลาเดียวกันนั้น ชีวิตที่สี่ก็จะแยกออกจากชีวิตที่สามโดยสิ้นเชิง เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีพลังอสูรอยู่ภายในร่างจำแลงนั้น

“ข้าสามารถใช้ร่างจำแลงค้นหาความรู้แจ้งแห่งเวทรุ่นเก้า!” เมิ่งฮ่าวสูดหายใจเข้าลึกๆ และนั่งลงขัดสมาธิ จากนั้นก็กดลงไปบนหน้าผากอีกครั้ง เสียงกระหึ่มเริ่มดังก้องออกมา ขณะที่ใช้ผลเนี่ยผานสร้างเป็นร่างของชีวิตที่สี่

ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องต้องใช้เวลาอยู่บ้าง ขณะที่เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่ที่นั่น หลับตาลง กระแสพลังชีวิตก็ไหลออกมาจากผลเนี่ยผาน และรวมตัวกันบนหน้าผาก จากนั้นก็เริ่มมีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นอย่างช้าๆ

มันเป็นเพียงแค่พลังชีวิตส่วนน้อยเท่านั้น คล้ายกับเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ใช้บ่มเพาะ

เวลาหนึ่งปีเลื่อนผ่านไป ตลอดช่วงเวลานั้นเจ้าสำนักแจ้งให้เมิ่งฮ่าวเตรียมตัวที่จะเข้าไปยังเขตสุสานอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้บอกช่วงเวลาที่แน่ชัด

ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวกระวนกระวายใจที่จะกลับเข้าไปในเขตสุสาน แต่การบ่มเพาะร่างจำแลงก็ต้องใช้เวลาด้วยเช่นกัน

ผ่านไปอีกหนึ่งปี

ร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และบรรลุถึงจุดที่สามารถจะเริ่มชีวิตที่สี่ได้แล้ว

ตรงเบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว มองเห็นเงาร่างอันเลือนรางร่างหนึ่ง ยากที่จะมองเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน แต่ก็มีกลิ่นอายที่แตกต่างไปจากเมิ่งฮ่าวโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตามเมิ่งฮ่าวก็สามารถจะรู้สึกได้ว่ามีการเชื่อมต่อบางอย่าง อยู่ระหว่างคนทั้งสอง เป็นการเชื่อมต่อที่ยากจะตัดให้ขาดไปโดยสิ้นเชิง

“สามปีแห่งการกลั่นสกัด ร่างจำแลงนี้จะกลายเป็นชีวิตที่สี่ของข้า มีรากเหง้าเดียวกัน แต่มีกิ่งก้านที่แตกต่างกัน มันจะไม่มีพลังอสูรแม้แต่น้อย…ก่อนที่อายุมันจะครบเจ็ดขวบ ข้าจะส่งมันไปยังโลกมนุษย์เพื่อให้มีประสบการณ์ชีวิต เจ็ดปีต่อมา ความทรงจำของมันก็จะตื่นขึ้นมา เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าก็จะเป็นมัน และมันก็จะเป็นข้า

แต่จะไม่มีใครสามารถรับรู้ได้ถึงการเชื่อมต่อระหว่างพวกเรา พวกเรามีรากเหง้าร่วมกัน เมื่อถึงเวลานั้นร่างจำแลงข้าก็จะเริ่มฝึกฝนเวทรุ่นเก้า!”

“ข้าไม่อาจจะรีบร้อน เวทรุ่นเก้าคือวิกฤตสำหรับข้าที่จะเข้าไปสู่เหนือจุดสูงสุด!” เมิ่งฮ่าวมองไปยังเงาร่างอันเลือนลางที่เบื้องหน้า จากนั้นก็โบกสะบัดมือออกไป เงาร่างนั้นกลายเป็นลำแสงพุ่งจากไปด้วยความรวดเร็วสูงสุด ที่ลอยตามไปด้วยเป็นลำแสงสีแดง

ถ้าตรวจสอบดูให้ละเอียดก็จะเห็นว่าลำแสงสีแดงนั้นก็คืออ๋าวเฉี่ยนตัวน้อย

ลำแสงนั้นพุ่งออกไปจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวของดาวครึ่งดวง และพุ่งไปยังดาวชางหมาง ตรงที่ไหนสักแห่งบนดินแดนอันกว้างใหญ่ที่เป็นของเมิ่งฮ่าว จากนั้นก็หายลับไป

เมิ่งฮ่าวไม่ทำสิ่งใดๆ ที่จะบิดบังเรื่องนี้ นอกจากนั้นกลุ่มคนที่สามารถจะรับรู้ได้ก็มีเพียงแค่หยิบมือ ซึ่งอยู่ในขั้นสูงสุดระดับเก้าแก่นแท้ แต่ก็ไม่มีใครให้ความสนใจต่อเรื่องนี้มากนัก

สำหรับพวกมันแล้ว เมิ่งฮ่าวคือคนบ้า และเป็นคนบ้าที่…ผู้คนต้องหลีกเลี่ยงให้ห่างไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนบ้านี้คือผู้ไร้พ่ายและไม่อาจจะไปตอแยหาเรื่องได้เมื่ออยู่ภายในเขตสุสาน

จินหยุนซานและซาจิ่วตงต่างก็รู้สึกเช่นนี้ สำหรับเซียนไป๋อู้เฉินผู้ลึกลับ นางแยกตัวออกมาจากเรื่องราวทางโลก ไม่ให้ความสนใจต่อเรื่องเช่นนี้

ลึกลงไปจากพื้นผิวของดาวครี่งดวง เจ้าสำนักนั่งอยู่บนกระดองเต่าเหนือทะเลแห่งเปลวไฟ แสงอันลึกล้ำปรากฏขึ้นในดวงตา เปล่งประกายการพยากรณ์ออกมา หลังจากที่ผ่านไปชั่วขณะ ก็ก้มหน้าลงไปอย่างช้าๆ

“นั่นเป็นความสามารถศักดิ์สิทธิ์อะไรกัน? ทำไมถึงมองเห็นได้ไม่ชัดเจน? จิ่วจุน (ผู้ยิ่งใหญ่อันดับเก้า) ผู้นี้มีความลับอยู่มากมายนัก”

“แต่ก็เป็นเรื่องเล็กน้อย” เจ้าสำนักยิ้มออกมา จากนั้นก็หลับตาลงไป

ตอนนี้เมิ่งฮ่าวมีความสำคัญมากขึ้น เมื่อคิดถึงสิ่งที่เขาได้ทำไปในเขตสุสาน พลังการต่อสู้ของเขาทำให้สามารถยืนอยู่ในท่ามกลางเหล่าราชันผู้ยิ่งใหญ่ และเจ้าสำนักก็ไม่ต้องการจะทำให้เขาไม่พอใจ ด้วยการอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป

หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ชางหมางพ่ายเงียบสงบ

ถึงแม้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเมิ่งฮ่าวจะยังคงขยายอิทธิพลอำนาจออกไปอย่างต่อเนื่อง แต่บนดาวชางหมางเอง ทุกสิ่งทุกอย่างสงบสันติ ไม่มีหตุการณ์ร้ายแรงใดๆ เกิดขึ้น

ผู้แข็งแกร่งที่ทรงพลังส่วนใหญ่ต่างก็นั่งเข้าฌานตามลำพังกันทั้งหมด

มีบางสิ่งเกิดขึ้นในช่วงหนึ่งปีนั้น ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏขึ้น สวมใส่ชุดยาวสีเขียวและมีเส้นผมที่ยาวสีขาว มาพร้อมกับหญิงสาวที่มีท่าทางสุภาพเรียบร้อยผู้หนึ่ง คนทั้งสองผ่านเข้ามายังความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตจากทางด้านนอก และมาหยุดอยู่ตรงสถานที่ที่ใกล้กับอาณาจักรเทพ ในทันทีที่พวกมันผ่านเข้าไป ความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตก็เริ่มพลุ่งพล่านปั่นป่วนขึ้นมา และเสียงกระหึ่มก็เริ่มดังก้องออกมา พลังบางอย่างที่อยู่ภายในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตเริ่มพยายามจะขับไล่บุรุษหนุ่มผมขาว เห็นได้ชัดว่าถ้าบุรุษผู้นี้ต้องการจะอยู่ในที่แห่งนี้ ความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตก็จะทุ่มพลังออกมาทั้งหมดเพื่อขับไล่มันไป

มันมองไปยังอาณาจักรเทพ และความรู้สึกอันซับซ้อนก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า หลังจากที่ผ่านไปชั่วขณะก็ถอนหายใจออกมา หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายมันดูเหมือนว่าไม่อาจจะอดทนต่อภาพนี้ได้ จึงหลับตาลงไป

“ข้าตัดนิ้วไปเมื่อหลายปีก่อน และจากนั้นก็ยากที่จะผ่านเข้ามาในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตนี้ได้ มีความทรงจำมากมายผูกติดอยู่กับดินแดนอันกว้างใหญ่นั้น โชคดี…ที่ทั้งหมดนั้นกลายเป็นอดีตไปแล้ว คนเหล่านั้นไม่ได้เป็นผู้ที่เคยเป็นอีกต่อไป พวกมันอาศัยอะไรเรียกข้ามา…?” บุรุษหนุ่มถอนหายใจ

“การตัดนิ้วนั่นไปแสดงให้เห็นถึงความเกลียดชังของข้า…ลึกลงไปจนถึงกระดูก!”

“สำหรับสหายเต๋าที่ยังคงมีความเกลียดชังเช่นเดียวกัน…เมื่อไหร่ที่ข้าเข้าไปสู่เหนือจุดสูงสุด มันก็จะเข้าใจได้ทุกอย่างเอง” บุรุษหนุ่มผมขาวหันร่างไปพร้อมกับหญิงสาว ออกไปจากความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต หลังจากนั้นพลังขับไล่ที่พุ่งขึ้นมาก็ค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ

ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในปีนั้น ตรงด้านนอกของดาวชางหมาง เป็นตระกูลผู้ฝึกตนที่กล่าวได้ว่าคงอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณ คนที่เป็นผู้นำพวกมันในตอนนี้คือหญิงสาวผู้ถูกเลือกที่เพิ่งจะกลับมาเมื่อเร็วๆ นี้ และตลอดช่วงเวลาหนึ่งปีนั้น นางเข้าร่วมกับชางหมางพ่าย หลังจากที่รับนางเข้ามาในกองกำลังของเจ้าสำนัก เจ้าสำนักก็ปรากฏกายขึ้นด้วยตนเองซึ่งเป็นสิ่งที่ยากจะพบเห็น เมื่อมองไปยังแซ่ของนาง เจ้าสำนักก็ถามถึงนามของนาง

หญิงสาวนางนั้นยิ้มและตอบว่า “ศิษย์เรียกว่าหานเป้ย”

เหตุการณ์สุดท้ายที่เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งปีนั้น เกิดขึ้นตรงเขตชายแดนของดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่เก้าของดาวชางหมาง ตรงที่แห่งนั้นมองเห็นภูเขาขนาดเล็กอยู่หนึ่งลูก ด้านล่างมีลำธารแห่งหนึ่งไหลผ่าน นักศึกษาวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ข้างลำธาร ทันใดนั้นก็มองขึ้นมา และเห็นทารกที่กำลังหลับอยู่ลอยกระเพื่อมมาตามผิวน้ำ

ทารกนั้นมีแผ่นป้ายไม้วางอยู่บนหน้าอก เขียนนามไว้ว่าฟางมู่ ในมือของเด็กทารกมีผลไม้ที่ดูเหมือนว่าจะถูกสร้างขึ้นมาจากทองคำก็ไม่เชิงชิ้นหยกก็ไม่ใช่ รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแห่งการเกิดใหม่ รวมทั้งเต๋าแห่งเนี่ยผาน (นิพพาน) ด้านข้างทารกนั้นเป็นสุนัขตัวน้อยๆ ที่กำลังเลียไปบนแก้มของมันอย่างมีความสุข

สายน้ำพาทารกนั้นไหลมา และฝูงปลาก็กระโดดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น แสงตะวันไม่กล้าที่จะสาดส่องไปยังร่างทารกน้อยอย่างรุนแรงมากนัก และสัตว์ป่านับไม่ถ้วนที่แอบมองออกมาจากต้นไม้ภายในแนวป่า ก็ไม่กล้าที่จะทำอันตรายทารกน้อยแม้แต่ปลายเส้นผม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!