ตอนที่ 1452
ผู้หนุนหลัง
กลิ่นอายนี้เลือนรางไม่ชัดเจน ในตอนที่มันระเบิดออกมา ก็กลายเป็นพลังการเคลื่อนย้ายทางไกลที่นำพาหานเป้ยจากไป ออกไปจากการคว้าจับของเมิ่งฮ่าว
เมื่อนางปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง
ก็กลับไปอยู่ในตี้อีจง (สำนักแรก) แห่งชางหมางพ่าย อยู่ในเขตเข้าฌานตามลำพังของนาง ทันใดนั้นโลหิตก็เริ่มไหลซึมออกมาจากปาก แต่นางก็หยิบเอาหลัวผาน (เข็มทิศ) โบราณออกมาจากถุงสมบัติโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย จากนั้นก็วางลงไปบนพื้นที่เบื้องหน้า
ฉับพลันนั้นระลอกคลื่นก็เริ่มแผ่กระจายออกมา ปกคลุมเต็มไปทั่วบริเวณนั้น ปกป้องนางไว้อยู่ภายในอาณาเขตของมัน
หานเป้ยกำลังสั่นสะท้าน ลมหายใจเริ่มเร่งร้อนถี่เร็วขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
จิตใจนางตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย จากการปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันของเมิ่งฮ่าว ก่อนหน้านี้นางเริ่มนึกย้อนกลับไปยังความทรงจำเก่าๆ หลังจากที่ได้ยินนามฟางมู่ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำไมนางถึงต้องออกไปดู แต่ก็คาดไม่ถึงว่าจะได้พบเจอกับเรื่องเช่นนี้
“เมิ่งฮ่าว ฟางมู่…” นางสูดหายใจเข้าลึกๆ ใช้สองมือขยับร่ายเวทเพื่อทำให้พลังของหลัวผานแข็งแกร่งมากขึ้น
การหลบหนีจากไปอย่างกะทันหันของหานเป้ย เป็นเรื่องที่แปลกอย่างมาก แต่นอกจากเมิ่งฮ่าวแล้ว ไม่มีใครในดาวชางหมางจะสังเกตเห็นนางได้
ร่างจริงเมิ่งฮ่าวมองไปยังตำแหน่งที่นางหายตัวไป ดวงตาสาดประกายขึ้น
“หานเป้ย…คาดไม่ถึงว่านางจะมาปรากฏตัวขึ้นในที่แห่งนี้!” เมิ่งฮ่าวอดไม่ได้ที่จะคิดย้อนไปถึงตอนที่มองเห็นนางอยู่บนซากศพเทพที่ใหญ่โตมโหฬาร จากนั้นก็นึกย้อนกลับไปยังการกระทำที่ไม่ธรรมดาทั้งหลายของนางตอนที่อยู่บนดาวหนานเทียน แน่นอนว่าการวิเคราะห์ทั้งหมดนั้นไม่ได้ละเลยความจริงที่ว่า เขาเคยรู้จักกับนางตอนที่อยู่ในดินแดนสงบสุขของสำนักชิงหลัวมาตั้งแต่ต้น!
นั่นเป็นสถานที่ที่เมิ่งฮ่าวได้พบกับผีโต้ง และเป็นสถานที่ที่กระถางสายฟ้าตั้งอยู่ด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นที่ถูกผนึกอยู่ด้านในของดินแดนแห่งนั้นก็มี…วิญญาณบรรพบุรุษของหานเป้ยด้วยเช่นกัน!
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า ถ้าได้เห็นหานเป้ยก่อนที่จะเข้าไปยังเขตสุสาน การวิเคราะห์ของเขาก็ยังคงจะถูกครอบงำอยู่ แต่ตอนนี้เขาได้ข้อสรุปที่แตกต่างไปจากเดิมเป็นอย่างมาก หลังจากที่เข้าไปในเขตสุสาน เขาได้เรียนรู้มากมายหลายอย่าง เนื่องจากเช่นนั้นจึงทำให้รู้ว่า วิธีการหลบหนีจากไปของหานเป้ย ประกอบด้วยกลิ่นอายของหลัวเทียนรวมทั้งพลังอสูรอยู่เล็กน้อย ทำให้เมิ่งฮ่าวเชื่อมั่นโดยสิ้นเชิงว่า…
หานเป้ยต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลัวเทียน!
แสงอันเย็นชาสาดประกายขึ้นมาในดวงตาเมิ่งฮ่าว ขณะที่ขยับร่างหายตัวไปในทันที
ร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวยังคงอยู่บนยอดเขา กำลังมองขึ้นไปในท้องฟ้ายังทิศทางที่หานเป้ยปรากฏตัวขึ้นมา ดวงตาหรี่เล็กลง แต่หลังจากที่ผ่านไปชั่วขณะก็กลับเป็นปกติเหมือนเดิม
เวลาเดียวกันนั้น หานเป้ยยังคงมีใบหน้าที่ซีดขาว หลังจากที่เคลื่อนย้ายทางไกลกลับมาจากตี้อีจง ก็เต็มไปด้วยลางสังหรณ์ที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ ราวกับว่าหายนะอันยิ่งใหญ่กำลังมุ่งหน้าตรงมา ลึกลงไปในจิตใจ ความรู้สึกของวิกฤตที่ใกล้เข้ามากำลังก่อตัวอยู่ในตอนนี้
กลุ่มคนบนดาวชางหมางเชื่อว่านางมาจากตระกูลผู้ฝึกตนโบราณ หลังจากที่เข้าสังกัดสำนัก พลังการฝึกตนของนางก็ถูกเปิดเผยให้เห็นว่าอยู่ในขั้นสูงสุดของอาณาจักรเซียน
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มองเห็นเมิ่งฮ่าวและร่างจำแลงนั้น นางก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังคุกคามมาจากด้านหลัง คล้ายกับเป็นเข็มอันแหลมคมที่กำลังจะทิ่มแทงเข้ามา
“เจ้ามาทำอะไรอยู่บนดาวชางหมาง? คาดไม่ถึงว่า…เจ้าจะกลายเป็นตี้จิ่วจื้อจุน เป็นไปได้อย่างไรกัน!?” ใบหน้าหานเป้ยซีดขาวไปโดยสิ้นเชิง เขตนั่งเข้าฌาณตามลำพังของนางถูกปกคลุมด้วยเวทป้องกันนับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่ได้ทำให้นางต้องรู้สึกปลอดภัยแม้แต่น้อย ในช่วงการลงทัณฑ์ของร่างจำแลง ร่างจริงเมิ่งฮ่าวได้มองมายังนาง และถึงแม้ว่าสายตานั้นจะสงบนิ่งเยือกเย็น แต่ก็ทำให้จิตใจนางต้องเต็มไปด้วยความหวาดกลัวนับไม่ถ้วน
และในความเป็นจริงแล้ว ความรู้สึกหวาดกลัวนั้นก็เป็นปฏิกิริยาที่ถูกต้อง นอกจากนั้นหลังจากที่นางกลับมายังเขตนั่งเข้าฌาณตามลำพังของตนเองได้ไม่นาน ตรงด้านนอกก็เกิดเป็นเสียงกระหึ่มที่ดังก้องออกไปทั่ว
เสียงนั้นดังมากเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็เห็นได้ชัดว่ากำลังถูกจำกัดอยู่ในเขตพื้นที่ขนาดเล็ก ทำให้บุคคลภายนอกไม่อาจจะได้ยิน แต่บริเวณที่หานเป้ยอยู่กำลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จนภูเขาสั่นคลอนไปมา และสิ่งปลูกสร้างกำลังพังทลายลงไป
แต่หลัวผานก็สาดประกายเจิดจ้าขึ้นมาทำการป้องกันจากพลังนั้น มิเช่นนั้นนางก็คงจะถูกปกคลุมด้วยพลังทำลายล้าง ที่กำลังกดดันพื้นที่รอบๆ อยู่ในตอนนี้
จากนั้นหานเป้ยก็มองขึ้นไปเห็นร่างจริงเมิ่งฮ่าว กำลังยืนอยู่ตรงด้านนอกเขตนั่งเข้าฌานตามลำพังของตนเอง ถูกปิดกั้นไม่ให้ผ่านเข้ามาโดยเกราะป้องกันของหลัวผาน
เมิ่งฮ่าวอยู่ในชุดยาวสีดำ มีใบหน้าที่เย็นชาราวน้ำแข็ง เส้นผมลอยพลิ้วอยู่ในสายลม และมองเห็นดวงตาที่สามซึ่งเป็นสีม่วงอยู่บนหน้าผาก ถึงแม้ว่าจะยังคงปิดอยู่ แต่ก็กระจายเป็นพลังอันแข็งแกร่งออกมา
“สหายเก่าพบหน้ากัน ทำไมถึงต้องหวาดกลัวข้าด้วย, หานเป้ย?” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ
หานเป้ยสั่นสะท้าน มองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอันซับซ้อน ไม่อาจจะหยุดสั่นไปทั้งร่างได้ รู้ดีว่าการปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของตนเอง จะทำให้เมิ่งฮ่าวต้องรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง โดยหลักการแล้วหลังจากที่อาณาจักรขุนเขาทะเลถูกทำลายล้าง คนทั้งหมดควรจะกลับไปยังผีเสื้อขุนเขาทะเล
แต่ทำไม…นางถึงยังอยู่ที่นี่ มีศักดิ์ฐานะเป็นว่าที่เซิ่งหนี่ว์ (สตรีศักดิ์สิทธิ์) แห่งชางหมางพ่าย?
หานเป้ยสูดหายใจเข้าลึกๆ ทำสีหน้าให้สงบเยือกเย็นลง นางเป็นคนเจ้าอุบาย แต่เหตุการณ์ในตอนนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันมากเกินไป ทำให้ต้องตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ตอนนี้ก็ได้สติกลับคืนมาแล้ว ลุกขึ้นมายืนพร้อมกับแววตาที่สาดประกาย ประสานมือและโค้งตัวลงให้กับเมิ่งฮ่าว กล่าวขึ้นมาว่า “หานเป้ยขอคารวะ ตี้จิ่วจื้อจุน”
จากนั้นก็มองเข้าไปในดวงตาเมิ่งฮ่าวด้วยความเยือกเย็น
“แต่ว่าก่อนหน้านี้ หว่านเป้ย (ผู้เยาว์) ไม่เคยพบกับจื้อจุนต้าเหริน (ท่านผู้ยิ่งใหญ่) มาก่อน ไม่รู้ว่าที่ต้าเหรินพูดว่าสหายเก่า หมายความว่าอย่างไร?”
เมิ่งฮ่าวมองกลับไป ดูเหมือนว่าจะไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับนิสัยเช่นนี้ของนาง อันที่จริงก็สอดคล้องกับหานเป้ยคนเดิมที่ตนเองเคยรู้จักมาก่อน จึงยิ้มขึ้นมาในทันที แต่ก็เป็นรอยยิ้มที่เย็นชาราวน้ำแข็ง
จากนั้นสายตาก็ไปหยุดอยู่บนหลัวผาน (เข็มทิศจีน) โบราณ ซึ่งสามารถจะรับรู้ได้ถึง…กลิ่นอายของหลัวเทียน
“คาดไม่ถึงว่าท่านจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลัวเทียน” เมิ่งฮ่าวกล่าว ส่ายหน้าไปมา และโบกสะบัดชายแขนเสื้อออกไป
“แต่ก็ไม่เป็นไร เมื่อไม่ยอมรับ ก็คงจะมีคนให้พึ่งพาได้ ข้าก็อยากจะเห็นด้วยเช่นกันว่าคนผู้นั้นเป็นใคร? นอกจากนี้…ตราบเท่าที่ท่านยังอยู่บนดาวชางหมาง ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร ข้าก็สามารถจะค้นหาได้อย่างง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ”
เมื่อเมิ่งฮ่าวกล่าวจบ ก็ไม่สนใจหานเป้ยอีกต่อไป หันหลังหายตัวไปในทันที กลับไปยังเมืองตี้จิ่วจื้อจุน
จุดประสงค์ในการมาของเมิ่งฮ่าวก็เพื่อที่จะยืนยันข้อสงสัยของตนเองเท่านั้น หลังจากที่มองไปยังหลัวผาน ก็รู้สึกมั่นใจว่าไม่จำเป็นต้องทำการยืนยันใดๆ อีกแล้ว
เมื่อเมิ่งฮ่าวจากไป ทั่วทั้งร่างหานเป้ยราวกับจะพังทลายลงไป หอบหายใจออกมา หลังจากที่ผ่านไปนานก็กัดฟันแน่น
“โชคดีที่ข้าเตรียมการเผื่อเหตุฉุกเฉินไว้นานแล้ว ดูเหมือนว่าตอนนี้…ถึงเวลาที่จะกระทำตามแผนการนั้นแล้ว” ด้วยเช่นนั้นนางก็ยกมือขึ้นมา แตะลงไปบนหน้าผากอย่างแผ่วเบา จากนั้นหน้าผากนางก็แยกออกจากกัน เผยให้เห็นความมืดมิด ซึ่งภายในนั้นลอยไว้ด้วย…วิญญาณดวงหนึ่ง!
ไม่ใช่วิญญาณหานเป้ย ถ้าตรวจสอบดูให้ละเอียดก็จะพบว่าเป็นหญิงสาวนางหนึ่ง ดวงตาทั้งคู่ปิดอยู่ราวกับว่ากำลังนอนหลับไป แต่ถ้าเมิ่งฮ่าวอยู่ในที่แห่งนี้ ก็จะจดจำนางได้ในทันที คาดไม่ถึงว่านั่นคือวิญญาณของ…ฉู่อวี้เยียน!
หลายปีก่อนหน้าโน้นเมื่อฉู่อวี้เยียนตายไป วิญญาณของนางก็กระจัดกระจายออกไป เมิ่งฮ่าวต่อสู้เข้าไปในขุนเขาทะเลที่แปดเพื่อค้นหานาง แต่สิ่งที่พบเจอก็คือเศษเสี้ยวชิ้นเล็กๆ ของวิญญาณนางเท่านั้น
ย้อนกลับไปในตอนนั้น ดูเหมือนว่าจะมีร่องรอยบ่งชี้ว่าวิญญาณส่วนที่เหลือของฉู่อวี้เยียนได้หายเข้าไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ทำให้เมิ่งฮ่าวคิดว่าไม่สามารถจะค้นหาได้อีกแล้ว แต่ความเป็นจริงก็คือว่าหานเป้ยแอบสอดมือเข้ามาคว้าจับวิญญาณนั้นไป นับจากนั้นมาวิญญาณนี้ก็กลายเป็นสิ่งที่ใช้ช่วยชีวิตในวันข้างหน้าของหานเป้ย
เพื่อให้มั่นใจว่าวิญญาณของฉู่อวี้เยียนจะไม่จางหายไปจนตกตายไปโดยสิ้นเชิง หานเป้ยได้หลอมรวมวิญญาณบางส่วนของตนเองเข้าไป สร้างเป็นความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง
หลังจากที่เกื้อกูลวิญญาณของฉู่อวี้เยียนด้วยวิธีนี้มานานหลายปี วิญญาณนี้ก็ผูกพันกับหานเป้ยอย่างสมบูรณ์ เว้นแต่ใครบางคนที่มีพลังเหนือสูงสุดเท่านั้น ถึงจะสามารถแยกคนทั้งสองออกจากกันได้ นั่นหมายความว่าถ้าหานเป้ยตายไป วิญญาณของฉู่อวี้เยียนก็จะหายไปอย่างแท้จริงด้วยเช่นกัน
หานเป้ยนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ สีหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันซับซ้อน คิดย้อนกลับไปยังทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างตนเองและเมิ่งฮ่าว ทำให้ต้องถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ในที่สุดก็กัดฟันแน่น
“พวกเรามีจุดยืนและเป้าหมายที่แตกต่างกัน เมื่อเจ้าต้องการเห็นผู้หนุนหลังข้า ข้าก็จะแสดงให้เจ้าดู” นางโบกสะบัดมือออกไป ทำให้วิญญาณของฉู่อวี้เยียนลอยหายเข้าไปในฟ้าดิน
ในตอนที่วิญญาณลอยออกมา ร่างจริงเมิ่งฮ่าวก็รู้สึกได้ด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่ตระหนักว่าวิญญาณนั้นคือใคร แรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วร่าง รู้สึกราวกับว่าสายฟ้านับไม่ถ้วนกำลังฟาดลงมาในจิตใจ
ทันใดนั้นดวงตาก็เบิกโพลงขึ้นมาอย่างฉับพลัน และพลังอันแข็งแกร่งที่คล้ายกับเป็นลมพายุก็พุ่งออกมาจากร่าง ม้วนกวาดออกไปทั่วทั้งเมืองตี้จิ่วจื้อจุน จากนั้นก็ดาวครึ่งดวงทั้งหมด ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวทั้งปวง และพื้นดินที่อยู่ด้านบนของดาวชางหมาง ในที่สุดดาวชางหมางทั้งดวงกำลังสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง
ผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึง เจ้าสำนักลืมตาขึ้นมาและมองออกไปด้วยความประหลาดใจ แน่นอนว่าจินหยุนซานและซาจิ่วตง รวมทั้งคนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึงต่อการปลดปล่อยพลังของเมิ่งฮ่าวออกมาเช่นนี้
“เจ้าบ้านั่นกำลังทำอะไรอยู่?!” จินหยุนซานคิดด้วยจิตใจที่สั่นสะท้าน รีบปลดปล่อยพลังการฝึกตนออกไปตั้งรับในทันที ด้วยความวิตกว่าเมิ่งฮ่าวอาจจะมีอารมณ์ไม่ดี และต้องการจะต่อสู้ด้วย
หานเป้ยก็กำลังสั่นสะท้านอยู่ภายในใจด้วยเช่นกัน แต่ก็ยังคงยิ้มอย่างเยือกเย็นเหมือนเช่นเคย
“ตราบเท่าที่เจ้ายังคงใส่ใจ นั่นก็เพียงพอแล้ว” นางพึมพำกับตัวเอง
ลมพายุนั้นพัดกระหน่ำอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะจางหายไป
ย้อนกลับไปในเมืองตี้จิ่วจื้อจุน เมิ่งฮ่าวลุกขึ้นมายืน ดวงตาเต็มไปด้วยการหวนรำลึก โศกเศร้า และอารมณ์อันซับซ้อนอื่นๆ ขณะที่มองไปยังวิญญาณนั้นด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์
“ฉู่อวี้เยียน…” เมิ่งฮ่าวพึมพำด้วยเสียงสั่นเครือ ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ติดตามนางไป ขณะที่วิญญาณนั้นลอยเข้าไปในทวีปที่เก้า เข้าไปในโลกมนุษย์ ในที่สุดก็ผ่านเข้าไปในครรภ์ของสตรีนางหนึ่ง…เพื่อเริ่มต้นวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ เพื่อกลายเป็นมนุษย์ขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก เมิ่งฮ่าวก็ดึงสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมา เขาจะไม่สังเกตเห็นได้อย่างไรว่าวิญญาณของฉู่อวี้เยียนได้หลอมรวมเข้ากับวิญญาณบางส่วนของหานเป้ย? ถึงแม้ว่าฉู่อวี้เยียนจะเป็นอิสระแล้ว แต่คนทั้งสองก็มีชีวิตที่ผูกพันอยู่ร่วมกัน
“ช่างเป็นผู้หนุนหลัง…ที่ดีจริงๆ” ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็หลับตาลง ราวกับว่าได้ลืมหานเป้ยไปแล้ว
เวลาผ่านไป ทัณฑ์เซียนของร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวทำให้ชางหมางพ่ายต้องสั่นสะท้านไปทั่ว แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกับเมิ่งฮ่าวก็ยังต้องให้ความสนใจ
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา นามฟางมู่ก็เป็นที่รู้จักกันไปทั่วทั้งชางหมางพ่าย ภายในช่วงเวลาแค่สิบปี เขาเปลี่ยนจากมนุษย์ธรรมดาจนกลายเป็นเซียน ทำให้ตี้จิ่วจงสั่นสะเทือน ช่างหมางพ่ายสั่นสะท้าน และข่าวคราวเกี่ยวกับฟางมู่ยังได้กระจายออกไปทั่วทั้งดาวชางหมางอีกด้วย
คนทั้งหมดต่างก็รับรู้ว่าผู้ถูกเลือกอันน่าเหลือเชื่อ ได้ปรากฏขึ้นมาในตี้จิ่วจงแล้ว!
เวลาเดียวกันนั้น ศิษย์จำนวนมากจากชางหมางพ่ายก็เริ่มให้ความสนใจต่อร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าดวงตะวันอันเจิดจ้าในท่ามกลางกลุ่มผู้ถูกเลือก ซึ่งมองว่าเขาคือคู่ต่อสู้อันน่ากลัว
แต่ก็มีผู้ถูกเลือกบางคนที่ดูถูกเขา ด้วยความเชื่อที่ว่าในแง่ของพื้นฐานฝึกตนแล้ว พวกมันอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่าเขามาก
“กลายเป็นเซียนภายในสิบปีแล้วจะอย่างไร? หรือว่ามันจะบรรลุอาณาจักรโบราณได้ภายในสิบปีด้วย?” คำพูดเช่นนี้เริ่มกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
“มันเป็นแค่เซียนกระจ้อยร่อยภายในกลุ่มผู้เยาว์เท่านั้น ถึงแม้จะมีพรสวรรค์ที่ไม่เลว แล้วจะอย่างไร? สำนักทั้งเก้าแห่งชางหมางพ่ายต่างก็มีชางหมางไถ (แท่นไร้สิ้นสุด) เช่นเดียวกัน นามของเจ้าไม่มีทางจะไปอยู่บนชางหมางไถแต่ละแท่น ในฐานะที่เป็นผู้ถูกเลือกได้ทั้งหมดอยู่แล้ว!”
“หลังจากชางหมางไถก็เป็นเส้นทางเหนือสูงสุด มีแต่คนที่เดินไปตามเส้นทางนี้เท่านั้นถึงจะกลายเป็นดวงตะวันอันเจิดจ้าได้อย่างแท้จริง นอกจากเก้าผู้ยิ่งใหญ่แล้ว ก็ไม่มีผู้ยิ่งใหญ่คนใดที่จะก้าวไปบนเส้นทางนั้นได้!?”
“เส้นทางแห่งการฝึกตนช่างยืดยาวนัก การพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อมัน เด็กผู้นี้ไม่ค่อยฉลาดนัก หลังจากนี้มันต้องได้รับความเจ็บปวดที่ตามมาอย่างแน่นอน”