Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1460

ตอนที่ 1460

รอยยิ้มจากยอดเขา

เมื่อถึงตอนที่เสียงก้องกังวานของระฆังจางหายไป คนทั้งหมดที่อยู่ด้านนอกภูเขา ต่างก็สั่นสะท้านอย่างลึกล้ำด้วยนามของฟางมู่

“ฟางมู่ ผู้ที่เปลี่ยนจากมนุษย์ธรรมดากลายเป็นเซียนภายในเวลาสิบปี! คนที่มีทัณฑ์เซียนอันน่าตกใจ จนแม้แต่ตี้จิ่วจื้อจุนก็ยังได้ปรากฏกายขึ้นมา…ฟางมู่ผู้นั้น?”

“คาดไม่ถึงว่าจะเป็นมัน หลังจากที่เปลี่ยนจากมนุษย์ธรรมดากลายเป็นเซียนภายในเวลาแค่สิบปี มันก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แทบจะไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาเลยในสำนัก กลับเป็นมันจริงๆ!!”

“ในตอนนั้น มันถูกยกย่องให้เป็นผู้ถูกเลือกที่โดดเด่น ตอนนี้หลังจากผ่านไปยี่สิบปี มันก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง! เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันได้ทะลวงผ่านพื้นฐานฝึกตนไปแล้ว และตอนนี้ก็อยู่ในอาณาจักรโบราณแล้ว!?!?”

คนทั้งหมดตกอยู่ในห้วงโกลาหล ขณะที่จู่ๆ ก็นึกไปถึงฟางมู่ และสิ่งที่น่าตกตะลึงทั้งหมดซึ่งเขาเคยกระทำมาในตอนนั้น ในตอนนี้เหตุการณ์เหล่านั้นได้มาซ้อนทับกันอีกครั้ง ทำให้คนทั้งหมดตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิง

ถึงแม้ว่าในตอนนั้นจะมีใครหลายคนที่ดูถูกเขา แต่ตอนนี้คำเย้ยหยันเช่นนั้นก็จางหายไปไม่น้อย และไม่อาจจะต่อต้านกับเสียงระฆังที่ดังก้องขึ้นมาสำหรับบันไดขั้นที่ห้าหมื่นได้

ในตี้จิ่วจงทั้งหมด มีเพียงแค่หนึ่งหมื่นคนเท่านั้นที่สามารถจะบรรลุถึงขั้นที่ห้าหมื่นได้ โดยที่ไม่ได้บ่งบอกว่าพื้นฐานฝึกตนของพวกมันสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง ชางหมางไถคือการทดสอบศักยภาพและพลังทั้งหมดของคนผู้หนึ่ง พื้นฐานฝึกตนจึงไม่มีความสำคัญอย่างแท้จริง

เมื่อได้ยินเสียงระฆังดังก้องขึ้นมา เยียนเอ๋อร์ก็เริ่มหอบหายใจ และจ้องมองขึ้นไปยังชางหมางไถ ด้วยจิตใจที่งุนงง แทบจะทันใดนั้นผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นก็เริ่มจำได้ว่านางคือศิษย์ของฟางมู่

พวกมันเริ่มมองมาทีละคน และถึงแม้จะดูเหมือนว่าพวกมันจะมีสีหน้าเหมือนก่อนหน้านี้ และลึกลงไปในดวงตาก็มองเห็นประกายแสงแห่งความอิจฉาและหวาดกลัว กลัวต่ออาจารย์ของเยียนเอ๋อร์!

ใครก็ตามสามารถจะมองเห็นได้ว่า จากศักยภาพของเขาในตอนนี้ ฟางมู่ต้องไม่หยุดอยู่ที่ขั้นห้าหมื่นอย่างแน่นอน แต่เขาจะไปได้ไกลมากเท่าใด…ก็ไม่มีใครจะสามารถบอกได้ในตอนนี้

แม้ในขณะที่เสียงระฆังสำหรับขั้นที่ห้าหมื่นดังก้องขึ้นมา ผู้ฝึกตนมากมายที่อยู่ในอันดับหนึ่งหมื่นคนแรกในตี้จิ่วจง ก็โผล่ออกมาจากการนั่งเข้าฌาน และมุ่งหน้าตรงไปยังภูเขาไร้สิ้นสุด

ก่อนที่จะบรรลุถึงขั้นบันไดที่ห้าหมื่น ฟางมู่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าพวกมัน แต่ตอนนี้พวกมันรู้สึกได้ถึงภัยคุกคาม ด้วยเช่นนั้นกระแสของผู้คนก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามา

“นั่นคือศิษย์พี่เฉินจ้าน! มันอยู่ในอันดับหนึ่งหมื่นคนแรก!”

“ศิษย์พี่หลิวอวิ๋นก็มาด้วย!”

“นั่นเป็นศิษย์น้องหญิงซุนลั่ว…” คนทั้งหมดในบริเวณนั้นกำลังพูดคุยกันอย่างอึงมี่ อันเนื่องมาจากกลุ่มคนที่ไม่ธรรมดาจำนวนมากจากตี้จิ่วจงเริ่มแสดงตัวขึ้นมา

ขณะที่คนเหล่านั้นปรากฏกายขึ้น ผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นก็ถอยไปทางด้านหลังเว้นที่ว่างให้กับพวกมัน ทำให้สามารถจะมองเห็นพวกมันได้อย่างง่ายดายภายในกลุ่มฝูงชน

เวลาเดียวกันนั้น เมิ่งฮ่าวที่ยืนอยู่บนขั้นบันได ก็ตระหนักดีถึงความปั่นป่วนวุ่นวายที่เกิดขึ้นตรงด้านล่าง ยิ้มออกมาและไม่สนใจแม้แต่น้อย จมอยู่ในการชำระล้างจากเสียงระฆัง พื้นฐานฝึกตนของเขาในตอนนี้ห่างจากการทะลวงผ่านขึ้นไปแค่เส้นใยเดียวเท่านั้น

แต่ก็เป็นแค่เรื่องรองเท่านั้น สิ่งที่สำคัญมากไปกว่านี้ก็คือเครื่องหมายผนึกของเวทรุ่นเก้า ซึ่งเขาได้ฝึกฝนมาตั้งแต่วันแรกที่เข้าสังกัดสำนัก เริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

หลังจากสิบลมหายใจผ่านไป ก็ลืมตาขึ้นมาและก้าวเดินต่อไป ครั้งนี้เขาเคลื่อนที่ไปด้วยความรวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม ราวกับว่าแรงกดดันจากภูเขาไม่มีผลกระทบต่อตนเองแม้แต่น้อย

บันไดขั้นที่ห้าหมื่นห้าพัน, ห้าหมื่นแปดพัน จากนั้นก็ผ่านขั้นที่หกหมื่น โดยที่ไม่หยุดชะงักลง พุ่งขึ้นไปราวกับเป็นสายลม จนกระทั่งบรรลุถึงขั้นที่หกหมื่นสองพัน ส่งเสียงหวีดหวิวพุ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ในตอนนี้ระฆังสำหรับขั้นที่หกหมื่นเริ่มดังก้องกังวานขึ้นมา และเขาก็ไปอยู่ที่ขั้นหกหมื่นสามพันแล้ว ขณะที่เริ่มสั่นสะท้านอยู่ภายในร่าง เขาก็หัวเราะหึๆ และเพิ่มความรวดเร็วมากขึ้น ในที่สุดก็ไปอยู่ที่ขั้นหกหมื่นเจ็ดพัน และจากนั้นก็พุ่งทะยานขึ้นไปยัง…ขั้นที่เจ็ดหมื่น

เมื่อเสียงระฆังขั้นที่หกหมื่นจบลง เขาก็เหยียบย่างลงไปพอดี ทันใดนั้นเสียงระฆังสำหรับขั้นที่เจ็ดหมื่นก็ดังก้องขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดเป็นเสียงระฆังรวมกันสิบสามครั้ง ตี้จิ่วจงสั่นสะท้านไปทั่ว แม้แต่ดวงตะวันอันเจิดจ้าของสำนักที่อยู่ในกลุ่มฝูงชน ต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจอย่างถึงที่สุด

คงต้องกล่าวย้ำว่าเสียงระฆังหลังจากขั้นบันไดที่หนึ่งหมื่นขึ้นไป แตกต่างไปจากเสียงระฆังจากหนึ่งหมื่นขั้นแรกโดยสิ้นเชิง ความแตกต่างนี้ราวกับเป็นความแตกต่างระหว่างแผ่นฟ้าและผืนดิน!

เมื่อเสียงระฆังดังก้องขึ้นมา คนทั้งหมดก็สั่นสะท้าน และไม่ใช่แค่กลุ่มคนที่อยู่ในบริเวณภูเขาเท่านั้น ผู้ถูกเลือกทั้งหมดที่อยู่ในอันดับสามพันคนแรกบนชางหมางไถต่างก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน คนทั้งหมดเริ่มพุ่งตรงไปยังภูเขา แม้แต่ผู้ฝึกตนอาณาจักรเต๋าก็ไปด้วย ยกเว้นเพียงแค่กลุ่มคนที่อยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกเท่านั้น

กระแสกลุ่มคนเริ่มหลั่งไหลเข้ามายังบริเวณใกล้เคียงของชางหมางไถมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็นเสียงพูดคุยดังก้องขึ้นไปในท้องฟ้า

“คาดไม่ถึงว่าฟางมู่ผู้นี้จะไม่ใช่มนุษย์! มันมีการเชื่อมต่อกับเสียงระฆังนี้อย่างแท้จริง!!”

“มันทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? ระหว่างขั้นที่หกหมื่นและเจ็ดหมื่น มีบันไดอยู่หนึ่งหมื่นขั้น ช่างเป็นระดับความเร็วที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ”

แม้ในขณะที่เสียงพูดคุยด้วยความตกใจดังก้องขึ้นมา แท่นศิลาตัวอักษรตรงด้านล่างเชิงเขาก็สาดประกายเจิดจ้าขึ้นมา คนทั้งหมดมองไปด้วยสีหน้าอันซับซ้อนยังรายนามสุดท้าย รายชื่อซึ่งอยู่ในอันดับที่สามพันจางหายไปตลอดกาล…ถูกแทนที่ด้วยอีกนามหนึ่ง!

ตอนนี้อันดับที่สามพันกลายเป็นนามของฟางมู่!

ถึงแม้ว่านามนี้จะมีขนาดเล็ก และอยู่ตรงอันดับท้ายสุด แต่การที่มันไปปรากฏขึ้นตรงนั้นก็ทำให้เกิดเป็นความปั่นป่วนขนานใหญ่ขึ้นมา

เยียนเอ๋อร์กำลังสั่นสะท้าน ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยความดีใจ เมื่อนางมองเห็นนามของอาจารย์ไปอยู่บนแท่นศิลาตัวอักษร ก็เริ่มเต้นไปมาด้วยความยินดี เท่าที่นางจำได้ นี่คือความดีใจมากที่สุดในชีวิตของตนเอง และรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ยังมากไปกว่าตอนที่ถูกช่วยเหลือโดยตี้จิ่วจื้อจุนซะอีก

ตอนนี้นางแทบจะลืมศิษย์พี่ปี้อวิ๋นไปเกือบหมดสิ้นแล้ว

ดวงตาเยียนเอ๋อร์สาดประกายขึ้นด้วยความมุ่งหวัง และจิตใจก็พลุ่งพล่านปั่นป่วนขึ้นมา “สามพันคนแรกไม่นับว่าเป็นอย่างไร ซือฟู่ต้องอยู่ในหนึ่งร้อยคนแรกอย่างแน่นอน!”

เวลาเดียวกันนั้น ก็มีกลุ่มคนเข้ามาในบริเวณนี้มากขึ้นเรื่อยๆ พวกมันมองไปยังแท่นศิลาตัวอักษร จากนั้นก็มองขึ้นไปยังชางหมางไถ กลุ่มคนเหล่านี้คือผู้ถูกเลือกทั้งหมดที่มีนามอยู่ในรายชื่อบนแท่นศิลาตัวอักษรนี้ การปรากฏกายขึ้นมาของพวกมันทำให้ผู้ฝึกตนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณภูเขาลูกนี้ เริ่มมีความตื่นเต้นมากขึ้นกว่าเดิม

“กู้เทียนอี้, เส้าหมิงเฮ่า, กัวเถิงหลง, หานรั่วหนาน…”

“คาดไม่ถึงว่าพวกมันก็มาด้วย…”

แม้ในขณะที่คนทั้งหมดกำลังร้องอุทานขึ้นมาด้วยความตกตะลึง บุรุษหนุ่มในชุดยาวสีเขียวหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น ด้วยสีหน้าที่เย็นชา และมีรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบไปทุกส่วน

ศิษย์หญิงสาวในบริเวณนั้นตกอยู่ในความตื่นเต้นอย่างฉับพลัน

“ศิษย์พี่ปี้อวิ๋น!”

บุรุษหนุ่มผู้นี้คือผู้ที่มีชื่อเสียงอย่างสูงสุดในตี้จิ่วจง บันไดทุกขั้นบนภูเขานี้มันเดินผ่านมาหมดแล้ว และยังได้ผ่านเข้าไปในหอคอยสูงของชางหมางไถอีกด้วย…ปี้อวิ๋น

แม้แต่เยียนเอ๋อร์ทันใดนั้นก็เริ่มรู้สึกสับสนขึ้นมา

เมิ่งฮ่าวไม่สนใจต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงด้านนอกภูเขา สีหน้าสงบนิ่งขณะที่ก้าวเดินขึ้นไป นอกจากนั้นความเร็วของเขาก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย กลับยิ่งมีความรวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม!

เมื่อเทียบกับด้านล่างแล้วก็ยิ่งมีแรงกดดันมากขึ้น แต่สำหรับเมิ่งฮ่าวแล้ว มันไม่มีความหมายแม้แต่น้อย แทนที่จะเดินไปก้าวละหนึ่งร้อยขั้น กลับกลายเป็นห้าร้อยขั้นต่อหนึ่งก้าว!

หนึ่งก้าว, สามก้าว, สิบก้าว…ยี่สิบก้าว!

ต่อจากนั้นเขาก็ไปปรากฏกายขึ้นตรงขั้นบันไดที่แปดหมื่น เสียงระฆังดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง แต่เมิ่งฮ่าวก็ยังไม่หยุดชะงักนิ่ง ตอนนี้หนึ่งก้าวของเขาเคลื่อนที่ไปได้หนึ่งพันขั้น สิบก้าวต่อมา เขาก็ไปอยู่บนขั้นที่เก้าหมื่น

จากตรงตำแหน่งนั้น เขาสามารถมองลงไปยังตี้จิ่วจงทั้งหมดและกลุ่มเมฆที่ลอยคละคลุ้งไปมา แรงกดดันในที่แห่งนี้มีความเข้มข้นมากขึ้น จนถึงจุดที่เมิ่งฮ่าวรู้สึกได้ว่าเริ่มมีผลกระทบบางอย่างแล้วในที่สุด

บนหน้าผากเมิ่งฮ่าวเริ่มมีหยดเหงื่อให้เห็นบ้างแล้วในตอนนี้

“น่าจะเป็นเช่นนี้ มิเช่นนั้นก็คงจะน่าเบื่อมากเกินไป เริ่มมีความหมายขึ้นมาบ้างแล้ว” เขากล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า เมื่อระฆังดังก้องขึ้นมา เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นอีกครั้ง หนึ่งก้าวพุ่งขึ้นไปได้ถึงสองพันขั้น!

เขากำลังบินขึ้นไปแล้ว!

เสียงกระหึ่มดังก้องออกมาในแต่ละก้าวที่เขาพุ่งขึ้นไป เก้าหมื่นสองพันขั้น เมื่อเดินไปอีกก้าวก็ไปอยู่ที่เก้าหมื่นสี่พันขั้น การชำระล้างจากเสียงระฆังยังคงดังก้องอย่างต่อเนื่อง และความผันผวนของพื้นฐานฝึกตนก็เริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้น เมื่อถึงก้าวที่สามเขาก็ไปอยู่ที่ขั้นเก้าหมื่นหกพัน

อีกหนึ่งก้าว ก็ไปอยู่ที่ขั้นเก้าหมื่นแปดพัน…

ตอนนี้เมิ่งฮ่าวอยู่ห่างจากยอดเขาเพียงแค่สองพันขั้นเท่านั้น เขาสามารถมองเห็นหอคอยขนาดใหญ่ซึ่งก็คือชางหมางไถ และมองเห็นท้องฟ้ายืดยาวออกไปอยู่ตรงด้านบน ภูเขาลูกอื่นๆ ในสำนัก ที่อยู่ตรงด้านล่างดูเหมือนว่าจะมีขนาดเล็กลงไปเกือบทั้งหมด เวลาเดียวกันนั้นเครื่องหมายผนึกของเวทผนึกสวรรค์ก็เริ่มมีความสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ

“หลังจากสองพันขั้นสุดท้ายนี้ ข้าก็จะมีคุณสมบัติผ่านเข้าไปในชางหมางไถ?” เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าสงบนิ่งเยือกเย็น ขณะที่ยกเท้าก้าวเดินขึ้นไป เมื่อเหยียบย่างลงมา ก็ก้าวผ่านสองพันขั้นสุดท้าย และไปอยู่บนยอดเขาในทันที!

หนึ่งแสนขั้น!

การเดินทางจากบันไดขั้นแรกไปจนถึงขั้นที่หนึ่งแสนของเมิ่งฮ่าว เป็นความมหัศจรรย์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในตี้จิ่วจง นอกจากนั้นระยะเวลาที่เขาใช้ก็ไม่เกินธูปเผาไหม้หมดไปห้าดอก!

ในตอนนี้นามฟางมู่บนแท่นศิลาตัวอักษรก็พุ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เริ่มจากอันดับที่สามพันไปยังสองพันห้าร้อย จากนั้นก็สองพัน จากนั้นก็หนึ่งพัน จากนั้นก็ห้าร้อย, สี่ร้อย, สามร้อย, สองร้อย…

ในที่สุดก็ไปปรากฏขึ้นในอันดับที่…หนึ่งร้อย!

ความรวดเร็วที่พุ่งขึ้นไปเช่นนี้ ทำให้นามฟางมู่กลายเป็นตำนานไปแล้วในตอนนี้!

เสียงระฆังดังก้องขึ้น ฟ้าสะท้านดินสะเทือน

การชำระล้างมีผลกระทบต่อเมิ่งฮ่าวอย่างเข้มข้นมากขึ้น กระจายออกไปทั่วร่าง และเป็นครั้งแรกด้วยเช่นกันที่กลุ่มคนตรงด้านนอกภูเขาสามารถจะมองเห็นเมิ่งฮ่าว ที่กำลังยืนอยู่ตรงด้านนอกของชางหมางไถได้อย่างแท้จริง

เขาสวมใส่ชุดยาวที่โบกสะบัดไปมาอยู่ในสายลมของภูเขาพร้อมกับเส้นผมที่ลอยพลิ้ว ดูเหมือนว่าดวงตาจะปิดอยู่ และดูคล้ายกับเป็นเทพเซียนไปทุกกะเบียดนิ้ว!

ไม่มีเสียงพูดคุยด้วยความปั่นป่วนวุ่นวาย ไม่มีเสียงร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความตกตะลึง มีแต่เสียงหอบหายใจเท่านั้น ขณะที่สายตานับไม่ถ้วน…กำลังเพ่งมองไปยังเงาร่างที่อยู่บนยอดเขา

ตอนนี้เมิ่งฮ่าวคือผู้ที่คงอยู่ในความทรงจำของคนทั้งหมดในตี้จิ่วจงไปตราบชั่วนิรันดร์

ในที่สุดการชำระล้างก็จบสิ้น และเขาก็ลืมตาขึ้นมา มองลงไปยังกลุ่มฝูงชนที่มารวมตัวกันตรงด้านล่าง และมองเห็นเยียนเอ๋อร์ด้วยเช่นกัน แม้ในขณะที่นางยืนอยู่ที่นั่นด้วยความตื่นเต้น สายตาเมิ่งฮ่าวก็อ่อนโยนลง ยิ้มอย่างอบอุ่นพร้อมกับโบกมือให้กับนาง

สายตาของเขา รอยยิ้มของเขา และการโบกมือของเขา

คือสิ่งที่คนทั้งหมดสามารถจะมองเห็นได้ แทบจะทันใดนั้นสายตาทุกคู่ก็เลื่อนจากเมิ่งฮ่าวไปยังเยียนเอ๋อร์

ใบหน้านางแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกผู้คนมากมายจ้องมองมา ทำให้จิตใจเริ่มเต้นรัวขึ้น เวลาเดียวกันนั้นความรู้สึกที่ยากจะเข้าใจได้บางอย่างก็พุ่งขึ้นมาในจิตใจ คล้ายกับเป็นบางสิ่งที่เคยคงอยู่ในชาติที่แล้ว กำลังตื่นขึ้นมาในตอนนี้

แววตานางเปล่งประกายแปลกๆ เจิดจ้าขึ้นมาอย่างที่ยากจะอธิบายได้ ขณะที่มองไปยังเมิ่งฮ่าว เวลาเดียวกันนั้นจิตใจนางก็เริ่มเต้นรัวด้วยความรวดเร็วมากขึ้น

หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก นางก็กระแอมไอออกมา พึมพำกับตัวเองด้วยใบหน้าที่แดงเรื่อ “เฮ้อ เสียวเหล่าโถว (ตาเฒ่าน้อย) ผู้นี้ ดูไม่เหมือนกับชายชราแม้แต่น้อย ยังรู้วิธีการเอาใจหญิงสาวอีกด้วย”

วันนี้ดวงตะวันเปล่งประกายเจิดจ้าเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อรวมเข้ากับสายตาของเมิ่งฮ่าว ก็กลายเป็น การเดินทางที่ย้อนกลับไปในชาติที่แล้ว…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!