Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1461

ตอนที่ 1461

ชางหมางไถ!

ในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าศิษย์ทั้งหมดในตี้จิ่วจง กำลังมองไปยังบุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่บนยอดเขาตรงเบื้องหน้าของชางหมางไถ

เขาดูคล้ายกับเป็นวิญญาณเซียนซึ่งกำลังยืนอยู่ที่นั่น เสื้อผ้ากำลังโบกสะบัดอยู่ในสายลม ใบหน้ามีรอยยิ้มอันอบอุ่นเรียบง่าย ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น และเมื่อเขาเลื่อนสายตากลับมาจากเยียนเอ๋อร์ ก็มองตรงไปยัง…ชางหมางไถ (แท่นไร้สิ้นสุด)

ถึงแม้ว่ามันจะถูกเรียกว่าแท่นบูชา แต่จริงๆ แล้วก็เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ที่มีความสูงทั้งหมดสิบชั้น

ในตี้จิ่วจงทั้งหมด มีแต่ศิษย์ที่บรรลุถึงจุดนี้บนภูเขาเท่านั้น ถึงจะมีคุณสมบัติที่จะมีรายชื่ออยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกของชางหมางไถ

ผู้ฝึกตนแต่ละคนทั้งหนึ่งร้อยเหล่านั้น ต่างก็มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งสำนัก จริงๆ แล้วพวกมันเป็นที่รู้จักอยู่ในท่ามกลางกลุ่มคนจากสำนักอื่นด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้…ในชางหมางพ่าย ก็มีชางหมางไถทั้งหมดเก้าแห่ง บางครั้งจึงสามารถจะกล่าวได้ว่ากลุ่มคนที่อยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกของแท่นบูชาทั้งเก้าเหล่านั้น จริงๆ แล้วก็อยู่ในหนึ่งพันอันดับแรกของชางหมางพ่ายทั้งหมด

ในสำนักที่มีศิษย์อยู่เป็นจำนวนมากเช่นนี้ การที่อยู่ได้ในหนึ่งพันอันดับแรก…ก็ทำให้กลายเป็นผู้ถูกเลือกที่แท้จริง!

ดังนั้นเมื่อนามฟางมู่ปรากฏขึ้นในท่ามกลางหนึ่งร้อยอันดับแรก ตี้จิ่วจงก็สั่นสะท้านไปทั่ว กลุ่มคนนับไม่ถ้วนกำลังให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด และแววตามากมายกำลังสาดประกายขึ้นด้วยความอิจฉาและคลั่งไคล้ ผู้ถูกเลือกตราบเท่าที่พวกมันยังไม่ตายไป ก็ถูกลิขิตให้กลายเป็นเสาหลักแห่งชางหมางพ่าย พวกมันไม่เพียงแต่จะมีความสำคัญอย่างน่าเหลือเชื่อต่อสำนักเท่านั้น ยังเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีใครกล้ามาตอแยอีกด้วย

สำหรับเมิ่งฮ่าว เขาได้กระทำในสิ่งที่แตกต่างไปจากผู้ถูกเลือกทั่วไปโดยสิ้นเชิง เขาได้สร้างเป็นตำนานที่บรรลุถึงหนึ่งร้อยอันดับแรกภายในช่วงเวลาสั้นๆ ผู้คนนับไม่ถ้วนในสำนักอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างยิ่งว่า จริงๆ แล้วในที่สุดเขาจะไปได้ไกลมากแค่ไหน

บริเวณที่อยู่รอบๆ ภูเขาเงียบกริบลงไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีใครร้องตะโกนออกมา สายตาทุกคู่จ้องนิ่งไปยังร่างเมิ่งฮ่าว ขณะที่เขาโบกสะบัดชายแขนเสื้อ หมุนตัว ก้าวเดินตรงไปยังประตูหลักของเจดีย์ ซึ่งก็คือชางหมางไถ เมื่อไปถึงเขาก็ยื่นมือผลักออกไป

เสียงกระหึ่มดังก้องขึ้น เมื่อประตูถูกเปิดออก โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เมิ่งฮ่าวก้าวเดินเข้าไปยังชั้นแรกของชางหมางไถ

ชางหมางไถคือเจดีย์ขนาดใหญ่สิบชั้น แต่ละชั้นมีรายนามอยู่สิบชื่อ จำนวนเวลาที่ใช้อยู่ภายในแต่ละชั้นเหล่านั้น จะเป็นตัวตัดสินว่าคนผู้นั้นจะถูกจารึกชื่อไว้หรือไม่

แทบจะในทันทีที่เมิ่งฮ่าวก้าวเดินเข้าไปในชั้นแรก แสงอันเจิดจ้าก็สาดประกายขึ้นมา เมื่อมองออกไป ก็เห็นโลกแห่งหนึ่งกำลังยืดยาวออกไปอยู่ที่เบื้องหน้า ท้องฟ้าเป็นสีแดงเข้ม และพื้นดินก็เป็นทะเลแห่งเปลวไฟ

แรงกดดันอันเข้มข้นบดขยี้ลงมาบนร่าง เป็นสิ่งที่ทรงพลังจนดูเหมือนว่าจะสามารถบดขยี้ทุกสรรพสิ่งลงไปได้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีผลกระทบต่อเมิ่งฮ่าวแม้แต่น้อย ถึงแม้จะรู้สึกว่ามีแรงกดดันอันน่าเหลือเชื่อกดทับลงมายังสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และวิญญาณของตนเอง จนทำให้ต้องสั่นสะท้าน แต่เมื่อมองขึ้นไปยังท้องฟ้าสีแดงเข้ม ดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า

“ดูเหมือนว่าชั้นแรกของชางหมางไถ จะทำการทดสอบพลังแห่งเจตจำนงและความดื้อรั้นของผู้คน ไม่มีแรงกดดันลงมาบนร่าง มีแต่กดทับลงมาที่วิญญาณเท่านั้น”

ขณะที่ยืนครุ่นคิดอยู่ที่นั่น ทันใดนั้นแรงกดดันก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรง เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องออกไป เมื่อแรงกดดันจำนวนมากพยายามจะบังคับให้เมิ่งฮ่าวต้องยอมจำนน

เขายิ้มออกมา ในแง่ของพื้นฐานฝึกตนแล้ว ร่างจำแลงนี้ไม่อาจจะถือได้ว่ามีความโดดเด่นมากเป็นพิเศษ แต่ในแง่ของพลังแห่งเจตจำนงแล้ว…ทั่วทั้งดาวชางหมาง น่าจะค้นหาขนหงส์หรือเขากิเลนได้ง่ายกว่า การค้นหาใครบางคนที่สามารถจะเทียบเท่ากับพลังแห่งเจตจำนงอันดื้อรั้นของเมิ่งฮ่าวได้

พลังแห่งเจตจำนงของเขาถูกสร้างขึ้นมาอยู่ภายในอาณาจักรขุนเขาทะเล และจากนั้นก็มีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น อันเนื่องมาจากการถูกทำลายล้างไป เขาต้องพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ เมื่อทำการปกป้องขุนเขาทะเลจากอาณาจักรเทพและอาณาจักรมาร นอกจากนั้นจากการฝึกตนมานานหลายปีจนนับไม่ถ้วนและประสบการณ์อื่นๆ ทำให้เขามีความก้าวหน้าอย่างน่าตกใจยิ่ง

ถ้าเขาไม่ได้พัฒนาพลังแห่งเจตจำนงมาชั่วชีวิตแล้วละก็ คงจะถูกกำจัดไปนานแล้ว ตอนนี้เมื่อกำลังยืนอยู่บนชั้นแรกของเจดีย์แห่งนี้ ถึงแม้ว่าแรงกดดันจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่า ก็เป็นแค่สายลมอันแผ่วเบาสำหรับเขาเท่านั้น

อย่างมากที่สุดมันอาจจะทำให้เส้นผมของเขาลอยพลิ้วไปมา หรือทำให้จิตใจต้องสั่นสะท้านขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น

ในท่ามกลางเสียงกระหึ่มกึกก้อง แรงกดดันก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น และสิ่งที่คล้ายกับเป็นเสียงแผดร้องคำรามด้วยโทสะก็ดังก้องออกไปทั่วทุกทิศทาง

“คุกเข่า!!” เสียงร้องตวาดดังก้องขึ้น เกิดเป็นพลังกระแทกลงมาบนร่างเมิ่งฮ่าว แต่ปฏิกิริยาของเขาก็แค่ยิ้มเยาะเย้ยออกมาเท่านั้น แววตาดูถูกสาดประกายขึ้นมา และปราณเซียนก็ปะทุออกไป ขณะที่ก้าวเดินตรงไปและโบกสะบัดชายแขนเสื้อออกไป

“เป็นเจ้าที่ต้องคุกเข่าให้กับข้า!” เมิ่งฮ่าวร้องตวาด พลังแห่งเจตจำนงระเบิดออกไป รวมเข้ากับทุกสิ่งทุกอย่างจากชีวิตที่สามและสี่ ทำให้เกิดเป็นแรงกดดันที่ต่อต้านสวรรค์ปะทุออกไป ทำให้ชั้นแรกสั่นสะเทือนไปทั่ว

สีสันแวบขึ้นไป สายลมกรีดร้องระงม และเสียงกระหึ่มก็ดังก้องออกไปในทั่วทุกทิศทาง ช่วงเวลาสั้นๆ ที่เมิ่งฮ่าวโบกสะบัดชายแขนเสื้ออกไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทำให้แรงกดดันนั้นไม่อาจจะต่อสู้กลับมาได้ยังพลังแห่งเจตจำนงและสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขา และเริ่มล่าถอยออกไป

เมิ่งฮ่าวเดินไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว และจากนั้นก็อีกหนึ่งก้าว เขาเดินตรงไปโดยไม่หยุดชะงักนิ่ง พลังจิตเริ่มแข็งแกร่งมากขึ้น เวลาเดียวกันนั้น แรงกดดันที่อยู่ในบริเวณนั้นก็เริ่มอ่อนแอลงไป เมื่อถึงตอนที่เขาเดินไปเป็นก้าวที่เก้า สถานการณ์ก็พลิกกลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิง แทนที่แรงกดดันนั้นจะกดทับลงมาบนร่างเมิ่งฮ่าว กลายเป็นว่าเขากำลังบดขยี้มัน!

นี่เป็นครั้งแรกที่มีสิ่งเช่นนี้เกิดขึ้นตรงชั้นแรกของชางหมางไถแห่งตี้จิ่วจง ในอดีตที่ผ่านมาผู้คนต้องยืนหยัดให้ได้ถึงช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อให้สามารถผ่านต่อไปยังชั้นอื่นๆ

แต่วันนี้…บางสิ่งที่แตกต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิงกำลังเกิดขึ้นแล้ว!

กลายเป็นภาพที่เจิดจ้า เมื่อพลังแห่งเจตจำนงและดื้อรั้นของเมิ่งฮ่าวกระจายเต็มไปทั่วทั้งชั้น บดขยี้ลงไปยังแรงกดดันเพื่อบังคับให้มันต้องยอมจำนนต่อเขา

ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็คล้ายกับเป็นราชันของชั้นนี้ทั้งหมด เมื่อเหยียบย่างลงไปก็สามารถจะทำให้สวรรค์และปฐพีต้องแบนราบเป็นหน้ากลอง และในที่สุดแรงกดดันนั้นก็หายไปโดยสิ้นเชิง!

โลกภาพลวงตาที่อยู่รอบๆ เมิ่งฮ่าวพังทลายลงไป และทางเข้าสู่ชั้นที่สองก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า

เวลาเดียวกันนั้น บนแท่นศิลาตัวอักษรที่ด้านนอกภูเขา นามฟางมู่ก็พุ่งขึ้นมาถึงอันดับที่เก้าสิบ ผ่านปี้อวิ๋นไป ทำให้กลุ่มคนที่มองดูอยู่ประหลาดใจไปโดยสิ้นเชิง

“ช่าง…ช่างรวดเร็วนัก!!” ปี้อวิ๋นโพล่งขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ไม่ใช่มันเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีปฏิกิริยาเช่นนี้ ศิษย์คนอื่นๆ อีกมากมายที่อยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรก ต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นเดียวกัน

พวกมันรู้ดีว่าชั้นแรกนี้น่ากลัวมากแค่ไหน ทำให้มีแต่จะตกตะลึงเพิ่มขึ้นเท่านั้น

ศิษย์ที่เคยไปทดสอบยังชางหมางไถเมื่อในอดีต กำลังเริ่มคาดเดาถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ “มีทางเดียวเท่านั้นที่สามารถจะทำได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ มันคือ…”

ก่อนที่ประโยคนี้จะทันได้พูดจบ แสงอันเจิดจ้าก็เริ่มกระจายออกมาจากชั้นแรก

“สวรรค์ชั้นแรก! สวรรค์ชั้นแรกปรากฏขึ้นมาแล้ว!!”

“ข้ารู้จักแสงนั่น! จากตำนานที่บอกเล่าต่อๆ กันมา ใครก็ตามที่สามารถสร้างเป็นตำนานอยู่ในชางหมางไถได้ ก็จะทำให้สวรรค์ชั้นแรกปรากฏขึ้นมา!!” แสงอันเจิดจ้าที่พุ่งกระจายออกมานั้น ดูเหมือนว่าจะมาแทนที่สวรรค์ ทำให้เสียงร้องด้วยความตกตะลึงดังก้องขึ้นมาจากกลุ่มผู้ฝึกตนที่อยู่ด้านนอกภูเขา

แม้แต่ในสมัยโบราณ ก็มีตำนานที่เกี่ยวข้องกับชางหมางไถอยู่เรื่องหนึ่ง ในแต่ละชั้นถ้ามีใครสามารถจะทำเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน และบรรลุถึงจุดสูงสุดโดยสมบูรณ์ของแต่ละชั้นเหล่านั้น แสงอันเจิดจ้าก็จะปรากฏขึ้นซึ่งเป็นตัวแทนของ…แสงแห่งสวรรค์!

ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับชั้นที่เกี่ยวข้อง มีตั้งแต่สวรรค์ชั้นแรกจนถึงชั้นที่สิบ!

จากสมัยโบราณมาจวบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เป็นเรื่องผิดปกติที่สวรรค์ชั้นแรกจะปรากฏขึ้นมา สำหรับกลุ่มคนที่บรรลุถึงสวรรค์ชั้นที่สอง ยิ่งยากจะพบเห็นเป็นอย่างมาก และเมื่อพูดถึงสวรรค์ชั้นที่สามแล้ว ก็มีเพียงแค่เก้าคนเท่านั้น ตลอดทั้งประวัติศาสตร์อันยาวนานของตี้จิ่วจงที่จะมีใครทำได้สำเร็จเช่นนี้

สำหรับสวรรค์ชั้นที่สี่…มีแค่สองคนที่เคยทำได้สำเร็จ และสำหรับสวรรค์ชั้นที่ห้า…ยังคงไม่เคยพบเห็นตลอดทั้งประวัติศาสตร์อันยาวนานของตี้จิ่วจง!

ตอนนี้เมื่อสวรรค์ชั้นแรกปรากฏขึ้น คนทั้งหมดในตี้จิ่วจงกำลังเดือดพล่านขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

มีผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าปรากฏตัวขึ้นเพื่อเป็นสักขีพยาน ผู้อาวุโสแห่งตี้จิ่วจง และราชันเต๋าต่างก็เสนอหน้าออกมา

แม้แต่จักรพรรดิเต๋าก็ยังบินอยู่เหนือชางหมางไถอีกด้วย

เมิ่งฮ่าวยืนอยู่บนชั้นแรกของชางหมางไถชั่วขณะ จากนั้นก็ก้าวเดินตรงไปยังชั้นที่สอง

ทันใดนั้น เขาก็ผ่านเข้าไปยังโลกแห่งใหม่ ภายในนั้นเต็มไปด้วยค่ายกลเวทขนาดใหญ่

“จุดประกายไฟของค่ายกลเวทนี้ ใครก็ตามที่ทำได้สำเร็จภายในช่วงเวลาธูปไหม้หมดไปหนึ่งดอก ก็จะก้าวเข้าไปสู่ชั้นที่สามได้” เสียงหนึ่งดังก้องขึ้นมา

เมิ่งฮ่าวนั่งลงขัดสมาธิด้วยสีหน้าครุ่นคิด แทบจะในทันทีที่ทำเช่นนั้น พื้นฐานฝึกตนก็เริ่มโคจรหมุนวนอย่างรวดเร็ว และสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ระเบิดออกไป เส้นโลหิตเริ่มสาดประกายขึ้นด้วยแสงระยิบระยับ

ชั้นนี้คือการทดสอบพรสวรรค์ การทำให้ค่ายกลเวทสว่างจ้าขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องมีพรสวรรค์อันน่าเหลือเชื่อ

สำหรับพรสวรรค์ของเมิ่งฮ่าว…มาจากการสร้างร่างกายใหม่ด้วยตะเกียงสัมฤทธิ์ของร่างจริง จึงไม่จำเป็นต้องพูดถึงว่าพรสวรรค์ของเขาจะดีหรือเลวมากน้อยแค่ไหน นี่คือชางหมางพ่าย และเท่าที่เมิ่งฮ่าวสามารถจะบอกได้ เดิมทีตะเกียงสัมฤทธิ์ของตนเองก็เป็นของปรมาจารย์ชางหมางอยู่แล้ว

ถ้าให้กล่าวในอีกแง่หนึ่ง หลังจากที่สร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ด้วยตะเกียงสัมฤทธิ์ พรสวรรค์ของร่างจำแลงที่เขาสร้างขึ้นมา ก็จะมีความแตกต่างไปจากพรสวรรค์ของปรมาจารย์ชางหมางน้อยมาก

การใช้พรสวรรค์ของปรมาจารย์ชางหมาง ไปทำการทดสอบในชางหมางพ่าย โดยหลักการแล้ว…ก็เหมือนกับการฉ้อโกงนั่นเอง!

แทบจะในทันทีที่เมิ่งฮ่าวนั่งลงไป ค่ายกลเวทก็สว่างเจิดจ้าขึ้นมา และเริ่มสั่นสะท้านไปมา

จากช่วงเวลาที่ชางหมางไถถูกสร้างขึ้นมาจวบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เรื่องเช่นนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน ค่ายกลเวทกำลังสาดประกายด้วยแสงอันเจิดจ้าอย่างน่าเหลือเชื่อ!

เสียงกระหึ่มดังก้องออกมา ขณะที่กลุ่มฝูงชนที่ด้านนอกมองเห็นแสงอันเจิดจ้าลุกโชนขึ้นมาจากชั้นที่สอง ซึ่งก็คือ…สวรรค์ชั้นที่สอง!

เมื่อรวมเข้ากับแสงจากสวรรค์ชั้นแรก ก็ทำให้เกิดเป็นปรากฏการณ์ที่น่าตกใจโดยสิ้นเชิง

“สวรรค์ชั้นที่สอง! คาดไม่ถึงว่า…สวรรค์ชั้นที่สองจะปรากฏขึ้นมาจริงๆ!”

“ไม่ถูกต้อง ไม่มีทาง! มันเกิดขึ้นรวดเร็วมากเกินไป มันทำให้ค่ายกลเวทบนชั้นที่สองเปล่งประกายขึ้นมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!?”

“มัน…มันมีพรสวรรค์แบบใดกัน? เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร? ต่อให้มันมีพรสวรรค์อันน่าเหลือเชื่อ ก็ไม่สามารถจะทำได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ คล้ายกับว่า…มันกำลังหลอกลวงหรือคดโกงอยู่!”

กลุ่มคนที่มารวมตัวกันใกล้ยอดเขา ทั้งหมดต่างก็อยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรก ตกอยู่ในห้วงโกลาหลโดยสิ้นเชิง เมื่อเสียงของพวกมันดังก้องออกไป ศิษย์คนอื่นๆ ก็ตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ

ผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าและผู้อาวุโสของสำนัก หรือแม้แต่จักรพรรดิเต๋า ต่างก็ตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!