Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1468

ตอนที่ 1468

ข้ามาที่นี่เพื่อกระจกทองแดง

ในทันทีที่ร่างจริงเมิ่งฮ่าวได้ยินคำพูดเหล่านั้น ก็มองขึ้นไปและดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยความแน่วแน่ จากนั้นก็ลุกขึ้นมายืน

ความมุ่งหวังที่เมิ่งฮ่าวต้องการจะเดินทางเข้าไปในเขตสุสานไม่เคยมากเท่านี้มาก่อน ครั้งนี้เป้าหมายของเขาไม่ได้อยู่ที่แท่นบูชาเหนือสูงสุด แต่เป็นตำแหน่งที่เขาเคยเหลือบมองไปก่อนที่จะจากมาในครั้งก่อน เป็นสถานที่ซึ่งเศษชิ้นส่วนของกระจกทองแดงตกลงมา

“ดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สาม…” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นมา สูดหายใจเข้าลึกๆ โบกสะบัดชายแขนเสื้อ หายตัวออกไปจากเมืองตี้จิ่วจื้อจุน

เมื่อปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก็ไปอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวของดาวครึ่งดวง มุ่งหน้าตรงไปยังค่ายกลเวทที่จะนำไปสู่เขตสุสาน

เมื่อเมิ่งฮ่าวไปถึง อากาศก็บิดเบี้ยวไปมาขณะที่เงาร่างอื่นๆ ปรากฏขึ้น มองเห็นเป็นผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้คนอื่นๆ รวมทั้งจินหยุนซานในชุดยาวสีทองและซาจิ่วตง

ถึงแม้ว่าจะไม่มีข้อตกลงกันมาก่อนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ไม่มีใครนำผู้ใต้บังคับบัญชามาด้วยในครั้งนี้ ครั้งก่อนที่พวกมันนำมาก็เพื่อให้ไปอยู่ในแนวหน้า เพื่อเปิดเป็นเส้นทางไปสู่ดินแดนอันกว้างใหญ่ แต่ตอนนี้คนทั้งหมดมั่นใจว่าจะต้องไปยังทิศทางใด และเตรียมตัวมาล่วงหน้าสิบกว่าปี ทำให้มีความมั่นใจว่าจะสามารถเดินทางไปได้ตามลำพัง

กลุ่มคนทั้งหมดไม่ได้พบหน้ากันมามากกว่าสิบปี หลังจากที่กลับมายังสำนักเมื่อหลายปีก่อน แต่ละคนก็ไปนั่งเข้าฌานตามลำพัง ตอนนี้แต่ละคนก็มองไปรอบๆ เพื่อประเมินพื้นฐานฝึกตนของกันและกัน เพื่อตรวจสอบดูว่ามีความก้าวหน้ามากน้อยกันแค่ไหน

คนทั้งหมดปฏิบัติต่อเมิ่งฮ่าวด้วยความเคารพเป็นอย่างยิ่ง นี่เป็นครั้งที่สองที่คนทั้งหมดจะเข้าไปข้างใน เขามีความสำคัญต่อกลุ่มคนทั้งหมด และจะกลายเป็นผู้ไร้พ่ายเมื่ออยู่ในเขตสุสาน ทำให้มั่นใจได้ว่าไม่มีผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้คนใดต้องการจะมาหาเรื่องเขา

สำหรับจินหยุนซาน มันไม่เคยลืมเลือนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่นเดียวกับซาจิ่วตง มันพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไปยืนอยู่ตรงหน้าเมิ่งฮ่าวตลอดเวลา

เมื่อเห็นคนทั้งหมดมาพร้อมหน้ากันแล้ว ซ่างกวนหงก็ถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก ก่อนหน้านี้ท่านเคยบอกว่าพวกเราสามารถจะอยู่ในเขตสุสานได้นานมากขึ้น หมายความว่าอย่างไร?”

คนอื่นๆ รีบถามขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน

“ใช่แล้ว ขอให้เจ้าสำนักช่วยอธิบายเพิ่มเติมด้วย!”

“คำว่านานมากขึ้น หมายความว่าอย่างไร? เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านมีวิธีจัดการกับวันสิ้นโลกในเขตสุสานได้แล้ว?”

แม้แต่ซาจิ่วตงและจินหยุนซานก็เฝ้ารอคอยที่จะได้ยินคำตอบจากเจ้าสำนัก

เมิ่งฮ่าวแค่สนใจเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้จุดเหนือสูงสุดอาจจะมีประโยชน์ต่อคนอื่นๆ แต่สำหรับเขาแล้วมีประโยชน์น้อยมาก อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ในตอนนี้

เขาจำเป็นต้องให้ร่างจำแลงสร้างเวทรุ่นเก้าให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ขึ้นมาก่อน และจากนั้นค่อยหลอมรวมกลับเข้ามาในร่างจริง เมื่อถึงเวลานั้นเขาก็จะได้ผลประโยชน์จากกลิ่นอายของแท่นบูชาเหนือสูงสุด รวมเข้ากับเวทรุ่นเก้า และพลังที่รวบรวมมาจากการดับตะเกียงสัมฤทธิ์

ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงไม่ค่อยสนใจเกี่ยวกับเขตสุสานมากนัก สนใจเพียงแค่…เศษชิ้นส่วนของกระจกทองแดงเท่านั้น

“ไม่ต้องวิตกไป ยังมีสหายเต๋าอีกหนึ่งท่านที่ยังไม่มา เมื่อไหร่ที่นางมาถึง เหล่าฟูจะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ” เจ้าสำนักกล่าวขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมา ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า หลังจากที่เตรียมตัวมากว่าสิบปี ตอนนี้ก็มีความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าจะสามารถอยู่ภายในเขตสุสานได้นานมากขึ้น

“ยังมีอีกคน?” จินหยุนซานถามพร้อมกับแววตาที่วาววับ คนอื่นๆ มีสีหน้าครุ่นคิดขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าต่างก็รู้แล้วว่าเจ้าสำนักกำลังพูดถึงใคร

ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น มองออกไปยังที่ห่างไกลและเห็นลำแสงสีขาวกำลังพุ่งตรงมา ไม่ใช่แสงอันเจิดจ้า แต่ประกอบไปด้วยกลุ่มหมอก อย่างไรก็ตามในที่สุดกลุ่มหมอกเหล่านั้นก็จางหายไป เผยให้เห็นเป็นภาพของหญิงสาวนางหนึ่ง

นางสวมใส่ชุดยาวสีขาว มีความงดงามเป็นอย่างยิ่ง จนดูคล้ายกับเป็นนางเซียน ยกเว้นว่าดวงตาของนางดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยกลุ่มหมอก ทำให้ยากที่จะมองเห็นม่านตาของนางได้ ราวกับว่านางจงใจที่จะให้มีกลุ่มหมอกเพื่อปกปิดไม่ให้ผู้คนมองเห็นสายตาคู่นั้น

“ขอน้อมพบ ไป๋เต้าโหย่ว (สหายเต๋าแซ่ไป๋)” ในทันทีที่กลุ่มคนเหล่านั้นมองเห็นนาง ก็รีบประสานมือและโค้งตัวลงเพื่อคารวะ แม้แต่จินหยุนซานและซาจิ่วตงก็ปฏิบัติต่อนางด้วยความเคารพสูงสุด

หญิงสาวนางนี้คือหนึ่งในสี่ผู้แข็งแกร่งเก้าแก่นแท้ขั้นสูงสุดแห่งชางหมางพ่าย เป็นหญิงสาวลึกลับที่เมิ่งฮ่าวไม่เคยพบเห็นมาก่อน นางไม่มีความสนใจที่จะเข้าไปในเขตสุสานเมื่อครั้งก่อน แต่วันนี้นางก็มาแล้ว…ไป๋อู้เฉิน

เพราะว่านางดูคล้ายกับเป็นนางเซียนที่กำลังลอยอยู่ในสายลม บนดาวชางหมางจึงเรียกนางว่าเซียนไป๋อู้เฉิน

ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวมองไปยังนาง นางก็หันหน้ามามองเขา สายตาคนทั้งสองสบประสานกัน ถึงแม้จะมีความรู้สึกราวกับว่าเขาถูกแยกออกมาจากนางด้วยกลุ่มหมอก แต่ก็ยังคงยิ้มให้โดยที่ไม่พูดจาใดๆ

นางพยักหน้าตอบกลับมา จากนั้นก็มองไปทางอื่น

“ไป๋เต้าโหย่ว เมื่อมีท่านมาร่วมเดินทางเข้าไปในเขตสุสาน ก็ทำให้พวกเรามีความเชื่อมั่นว่าสามารถจะทำได้สำเร็จเป็นอย่างมาก” เจ้าสำนักกล่าวขึ้น หัวเราะเป็นเสียงดัง จากนั้นก็มองไปยังกลุ่มคนทั้งหมด และเริ่มอธิบายว่าทำไมถึงต้องเตรียมการเป็นเวลานานหลายปี รวมทั้งวิธีการหลีกเลี่ยงหายนะที่อาจจะเกิดขึ้นในเขตสุสาน

“หลายปีมานี้ เหล่าฟูได้วิเคราะห์เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเขตสุสาน และทำการศึกษาบันทึกโบราณมาด้วยเช่นกัน สิ่งหนึ่งที่สามารถมั่นใจได้ก็คือว่า หายนะทั้งหมดนั้นไม่ได้คงอยู่นานมากนัก เพียงแค่สิบวันเท่านั้น”

“สิ่งที่พวกเราจำเป็นต้องทำก็คือว่า ค้นหาวิธีการรอดชีวิตอยู่ในเขตสุสานให้ได้ในช่วงสิบวันนั้น”

“นอกจากนั้น เมื่อไหร่ที่เข้าไปในเขตสุสาน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่โลกภาพลวงตาก็ตาม แต่ถ้าตายไปอยู่ด้านใน ก็จะเท่ากับตายไปในโลกความจริง ดังนั้นสิ่งสำคัญก็คือทำให้พวกเราอยู่ในโลกความจริงแต่ไม่ใช่เรื่องจริง ดูเหมือนภาพลวงตาแต่ก็ไม่ใช่ภาพลวงตา”

“สำหรับเรื่องนี้ ไป๋เต้าโหย่วสามารถช่วยพวกเราได้ ถ้าไม่เพียงพอ เหล่าฟูยังได้เตรียมการอื่นๆ มาเพิ่มอีกด้วย” ไม่มีใครพูดขึ้นมาหรือสอบถามใดๆ ในช่วงที่มันกล่าวคำอธิบาย

เมื่อพูดจบมันไม่รอให้ใครสอบถามขึ้นมา โบกสะบัดมือขวาออกไป ทำให้กระดองเต๋าปรากฏขึ้น มีขนาดเท่าฝ่ามือ เปล่งแสงระยิบระยับออกมา คล้ายกับเป็นของวิเศษอันล้ำค่า และยังได้กระจายเป็นแรงกดดันอันเข้มข้นออกมาอีกด้วย

เมื่อเจ้าสำนักถือไว้อยู่ในฝ่ามือ ก็ราวกับว่ามือของมันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งนี้อีกต่อไป มองเห็นกายเนื้อของมัน แต่ก็ไม่อาจจะตรวจจับผ่านสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้ กล่าวขึ้นว่า

“เหล่าฟูต้องใช้เวลาสิบกว่าปีเพื่อจัดเตรียมของสิ่งนี้”

แทบจะในทันทีที่กระดองเต่าปรากฏขึ้นมา สีหน้าของคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไป

“ของสิ่งนี้…”

“เจ้าสำนัก ท่านคิดดีแล้ว? ของสิ่งนี้ไม่อาจจะกระทำอย่างวู่วามได้!”

“สิ่งนี้คือของวิเศษพิทักษ์สำนักแห่งชางหมางพ่าย โดยปกติแล้วมันมักจะถูกใช้ในการสะกดข่มกระแสปราณ แต่หลังจากที่ผ่านมาสิบกว่าปี เหล่าฟูก็ใช้โลหิตหัวใจของตนเองจำนวนมากทำการสะกดข่มกระแสปราณไว้จนถึงระดับสูงสุด สามารถรับประกันได้ว่าภายในเวลาสามสิบปี ไม่จำเป็นต้องใช้ของวิเศษพิทักษ์สำนักในที่แห่งนั้น” เจ้าสำนักกล่าวขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งเล็กน้อย

“ด้วยของสิ่งนี้ และวิชาเวทของไป๋เต้าโหย่ว เหล่าฟูมั่นใจว่าสามารถจะต่อต้านหายนะนั้นได้ถึงแปดในสิบส่วน ยิ่งไปกว่านั้นไป๋เต้าโหย่วก็เคยบอกว่า นางได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสุสานแห่งนี้มาไม่น้อยกว่าเหล่าฟู นางยังได้ค้นพบร่องรอยในบันทึกโบราณที่บ่งบอกว่า อาณาเขตแห่งหนึ่งในดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สาม การทำลายล้างจากผลกระทบของหายนะนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย”

“เหล่าฟูยังจำได้ถึงข้อมูลเหล่านั้นด้วยเช่นกัน ถ้าจำไม่ผิด ต้องมีพลังบางอย่างในที่แห่งนั้น ที่ช่วยต่อต้านพลังทำลายล้างโลก มันอยู่ในตำแหน่งที่พวกเราจะต้องใช้วิชาเวทของไป๋เต้าโหย่ว พร้อมทั้งของวิเศษแห่งชางหมางพ่าย เพื่อเพิ่มโอกาสให้สำเร็จได้มากกว่าเก้าในสิบส่วน!” ขณะที่คนทั้งหมดจดจ่ออยู่กับคำพูดของเจ้าสำนัก ดวงตาเมิ่งฮ่าวก็แวบประกายขึ้นด้วยแสงที่ยากจะรับรู้ได้

จากนั้นก็เป็นการพูดคุยถึงรายละเอียดต่างๆ เล็กน้อย หลังจากที่มั่นใจว่าทุกอย่างอยู่ใต้การควบคุม และมีแผนการสำรองเพื่อใช้หลบหนีจากมาถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลก็ถูกกระตุ้นให้ทำงานขึ้นมา

ขณะที่เมิ่งฮ่าวรอคอยอยู่ภายในประตู ก็คิดไปถึงสิ่งที่เจ้าสำนักพูดมา เขามีความรู้สึกว่าสถานที่ที่เจ้าสำนักเอ่ยถึง น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเศษชิ้นส่วนของกระจกทองแดงเป็นอย่างมาก

ขณะที่เขาครุ่นคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ แสงอันเจิดจ้าของค่ายกลเวทก็เริ่มพุ่งขึ้นมา ในตอนนี้เองที่เขามองไปยังจินหยุนซาน และพบว่ามันกำลังมองมาที่เขา

จินหยุนซานสั่นสะท้านขึ้นมาในทันที ความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจพุ่งขึ้นมา เมื่อคิดย้อนกลับไปยังเหตุขัดแย้งเมื่อในอดีตระหว่างตนเองและเมิ่งฮ่าว รวมถึงความจริงที่ว่าคนทั้งหมดกำลังมุ่งหน้ากลับไปในเขตสุสาน ก็ทำให้มันต้องกัดฟันแน่น และก่อนที่ค่ายกลเวทจะทันได้ทำงานขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ มันก็เริ่มเดินตรงมายังทิศทางของเมิ่งฮ่าว

คนทั้งหมดเฝ้ามองไปด้วยความตกใจ เจ้าสำนักและซาจิ่วตงรู้สึกว่าจิตใจเริ่มเต้นรัวขึ้นมา ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายด้วยแสงอันเย็นชา

ทันใดนั้นจินหยุนซานก็ทำท่าคว้าจับออกไป ทำให้กำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งปรากฏขึ้น มันโยนตรงไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

เมิ่งฮ่าวคว้าจับไว้ และมองเข้าไปด้านใน จากนั้นสีหน้าแปลกๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า กำไลเก็บสมบัติวงนี้เต็มไปด้วยหินลมปราณและเม็ดยา รวมทั้งอาวุธเวทที่ไม่ธรรมดามากมาย

เนื่องจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอาณาจักรขุนเขาทะเล และสิ่งอื่นๆ ทั้งหมดที่เขาเคยประสบพบเจอมา ทำให้นิสัยส่วนตัวได้เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเจน

แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกของเขา สิ่งนั้นไม่มีทางที่จะถูกกวาดล้างออกไปได้อย่างแน่นอน หลังจากที่มองเข้าไปในกำไลเก็บสมบัติ ดวงตาก็สาดประกายเจิดจ้าขึ้นและยิ้มออกมา

เมื่อได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งฮ่าว จินหยุนซานก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่สนใจสายตาแปลกๆ ที่คนทั้งหมดเฝ้ามองมาแม้แต่น้อย อันเนื่องมาจากค่าคุ้มครองที่มันจ่ายออกไป…

มันไม่เคยลืมตอนที่คนทั้งหมดกลับออกมาจากเขตสุสานในครั้งก่อนได้ เมิ่งฮ่าวมองมายังมันด้วยความไม่พอใจ และจากนั้นคนทั้งสองก็ปะทะคารมกัน เมื่อเกิดขึ้นเช่นนั้นมันก็ตะโกนออกไปว่าได้จ่ายค่าชดใช้ให้แล้ว และผลลัพธ์ก็คือสีหน้าอันเขินอายที่แวบขึ้นมาบนใบหน้าเมิ่งฮ่าว

“เจ้าพยายามจะปกปิดมันไว้ แต่ดวงตาเปลวเพลิงของข้าก็สามารถจะมองเห็นนิสัยที่ละโมบโลภมากของเจ้าได้ ฮึ่ม! ข้ามอบกำไลเก็บสมบัติให้เจ้าไปแล้ว ถ้าเจ้ามองข้าด้วยสายตาที่ไม่ดีอีกครั้ง ข้าก็จะเตือนเจ้าว่าอย่าได้ทำเกินไปนัก และถ้าเจ้าลงมือจริงๆ…ข้าก็ได้จัดเตรียมกำไลเก็บสมบัติไว้อีกห้าชิ้นแล้ว ครั้งนี้อย่าคิดว่าจะทำอะไรข้าได้!” จินหยุนซานครุ่นคิด แอบแค่นเสียงเย็นชาอยู่ภายในใจ เชิดหน้ายืดอกด้วยท่าทางภาคภูมิใจและเย่อหยิ่งเหมือนเช่นเคย

เมิ่งฮ่าวกระแอมไอออกมา รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่เล็กน้อย จากสายตาแปลกๆ ที่กำลังมองมายังตนเอง เป็นเวลานานก่อนที่คนทั้งหมดจะมองไปยังทิศทางอื่น

เจ้าสำนักสบตากับซาจิ่วตงด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา สำหรับเซียนไป๋อู้เฉิน นางมีสีหน้าแปลกๆ ขณะที่ชำเลืองมองไปยังจินหยุนซานก่อน จากนั้นก็เป็นเมิ่งฮ่าว

ผู้แข็งแกร่งเก้าแก่นแท้คนอื่นๆ สะกดข่มปฏิกิริยาของตนเองไว้ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี

หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก แสงค่ายกลเวทก็พุ่งขึ้นไปในกลุ่มเมฆ และกลุ่มคนทั้งหมดก็หายตัวไป เมื่อปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก็ไปอยู่ตรงเขตชายแดนตรงด้านนอกของสุสาน

ถ้ามองมาจากที่ห่างไกล เขตสุสานก็ดูเหมือนกับครั้งที่แล้ว มีเศษซากปรักหักพังอย่างไร้จุดสิ้นสุด และดินแดนขนาดใหญ่อยู่เก้าแห่ง เป็นสถานที่อันเก่าแก่โบราณ เปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง ปกคลุมไปด้วยความเงียบ

ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวปรากฎกายขึ้น ก็รับรู้ได้ถึงความหนาวเย็นในที่แห่งนั้น และรู้สึกได้ว่าตะเกียงสัมฤทธิ์แวบประกายขึ้นเพื่อตอบรับ อีกครั้งที่เขารู้สึกว่าสามารถจะออกคำสั่งแก่เหล่าภูตผีได้

“สถานที่แห่งนี้ ข้าคือจักรพรรดิ…และข้าก็มาที่นี่เพื่อกระจกทองแดง”

เมิ่งฮ่าวหลับตาลง และสามารถจะได้ยินเสียงภูตผีนับไม่ถ้วนในเขตสุสาน ที่กำลังกรีดร้องออกมาด้วยความเคารพแทบจะในทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!