Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1476

ตอนที่ 1476

แน่นอน

คำว่า ‘ความรักที่ผิดศีลธรรมระหว่างอาจารย์และศิษย์’ ทำให้เยียนเอ๋อร์ต้องสั่นสะท้านขึ้นมาในทันที ใบหน้าซีดขาวโดยสิ้นเชิง ขณะที่ถอยโซเซไปทางด้านหลังสองสามก้าว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดท่อนหลังที่หญิงสาวเยาว์วัยกล่าวออกมาว่า ‘ช่างน่าสะอิดสะเอียนนัก’ คล้ายกับเป็นค้อนที่กระแทกลงมาในจิตใจของเยียนเอ๋อร์ ทำให้ต้องหมุนคว้างไปมาราวกับว่า ความรู้สึกที่ตนเองแอบเก็บซ่อนไว้เป็นความลับมากที่สุด ทันใดนั้นก็ถูกเปิดเผยออกมาให้คนทั้งหมดได้เห็นโดยสิ้นเชิง ราวกับว่าสิ่งที่ถูกประกาศออกมาเป็นเสียงดังให้คนทั้งหมดได้ยินนี้ ทำให้นางรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก ทำให้เยียนเอ๋อร์รู้สึกราวกับว่าจู่ๆ ฟ้าดินก็โคจรหมุนวนย้อนกลับ และยังได้กระอักโลหิตออกมาอีกด้วย…

“เจ้า…” ม่านตาเยียนเอ๋อร์เริ่มพร่าเลือน ร่างกายสั่นสะท้าน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี

ในทันทีที่หญิงสาวเยาว์วัยพูดจบ ใบหน้าเมิ่งฮ่าวก็บูดบึ้ง ลุกขึ้นมายืนและแรงกดดันอันน่าเหลือเชื่อก็ระเบิดออกไปในทันที ปกคลุมไปทั่วร่างหญิงสาวนางนั้น

เวลาเดียวกันนั้น เมิ่งฮ่าวก็ก้าวเดินตรงไป เมื่อเท้าเหยียบย่างลงไป พื้นดินก็สั่นสะเทือนและภูเขาก็สั่นไหวไปมา สีหน้าของว่าที่เซิ่งหนี่ว์สลดลง

นางคิดว่าเมิ่งฮ่าวเป็นบุคคลที่อบอุ่นและอ่อนโยน แต่ในชั่วพริบตาก็กลายเป็นสัตว์ป่าอันดุร้าย ทั้งสายตา, พลัง, แรงกดดันที่กระจายออกมาจากร่างเขา ทำให้นางรู้สึกราวกับว่ากำลังจะถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ ทันใดนั้นก็เริ่มสั่นสะท้านอยู่ภายในใจ รู้สึกราวกับว่าหนังศีรษะกำลังจะระเบิดออกไป

หลิวอวิ๋นจื้อจุนก็ขมวดคิ้วด้วยเช่นกัน และยื่นมือออกไปราวกับว่าจะมาขัดขวางเมิ่งฮ่าวไว้ อย่างไรก็ตามในตอนนี้เองที่เมิ่งฮ่าวมองไปยังมันและกล่าวว่า “เจ้ากล้ามาขัดขวางข้า?!”

ผู้ฝึกตนอาณาจักรโบราณกำลังใช้สายตาและคำพูดหนึ่งประโยคมาข่มขู่ผู้ยิ่งใหญ่เจ็ดแก่นแท้ ใครก็ตามที่ได้เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ จะต้องรู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างยิ่ง เป็นการกระทำที่อวดดีไร้มารยาทโดยสิ้นเชิง ราวกับเป็นตั๊กแตนตำข้าวที่พยายามจะหยุดล้อรถศึกไว้!

แต่ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวมองไปยังมัน หลิวอวิ๋นจื้อจุนก็รู้สึกว่ามีเสียงกระหึ่มดังขึ้นในจิตใจอย่างแปลกๆ และลี้ลับ เป็นสิ่งที่น่ากลัว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มาจากพื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าว แต่ก็รู้สึกได้ถึงวิกฤตอันร้ายแรง ทำให้เส้นขนทั่วร่างต้องลุกตั้งชี้ชันขึ้นมา ราวกับว่าสายตาของเมิ่งฮ่าวประกอบไปด้วยพลังอันลี้ลับจนยากจะหยั่งถึง เป็นพลังที่จะรู้สึกได้ก็ต่อเมื่อมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่ากำลังจ้องมองเข้ามาในดวงตาของตนเองเท่านั้น

จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะได้รับผลกระทบโดยที่ไม่ต้องแสร้งทำใดๆ ราวกับว่าบุคคลที่กำลังมองมายังตนเอง คือผู้แข็งแกร่งที่ทรงพลังมากที่สุด จนแม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่เจ็ดแก่นแท้หลิวอวิ๋น ก็ยังต้องรู้สึกว่าตนเองอ่อนแอกว่า!

แม้ในขณะที่จิตใจมันกำลังหมุนคว้างด้วยสายตาที่มองมาแค่แวบเดียว และคำพูดที่ผ่านเข้ามาในหูของมัน คำพูดเหล่านั้นน่าจะถือได้ว่าเป็นเรื่องขำขันมากที่สุดในโลก ถึงแม้หลิวอวิ๋นจะรู้สึกได้ว่าคนผู้นี้ช่างบ้าคลั่งอย่างแท้จริง…แต่ก็ทำให้มันต้องรู้สึกสั่นสะท้านไปโดยสิ้นเชิงด้วยเช่นกัน

“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร!?” มันครุ่นคิดด้วยจิตใจที่ตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย และรู้สึกว่าน่าละอายใจเป็นอย่างยิ่งจนต้องมีโทสะขึ้นมา ใครก็ตามที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็จะต้องรู้สึกเช่นเดียวกัน แต่ในขณะที่สายตามันสาดประกายขึ้นด้วยความเย็นชา และเตรียมตัวที่จะทำอะไรสักอย่างกับเมิ่งฮ่าว ผู้ยิ่งใหญ่เจ็ดแก่นแท้แห่งตี้จิ่วจงก็แค่นเสียงเย็นชา และก้าวเดินออกมาขัดขวางมันไว้

เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องขึ้น และคนทั้งสองก็ถอยไปทางด้านหลังโดยพร้อมเพรียงกัน จากนั้นผู้ยิ่งใหญ่แห่งตี้จิ่วจงก็กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา จนดังก้องออกไปในทั่วทุกทิศทาง

“สหายเต๋าหลิวอวิ๋น คำพูดเมื่อครู่นี้ของศิษย์ตี้ซานจงท่านหมายความว่าอย่างไร? ที่แห่งนี้คือตี้จิ่วจง ท่านควรอธิบายให้ชัดเจน!” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งตี้จิ่วจงรู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง การไม่มีพันธะวิวาห์ไม่นับว่าเป็นอย่างไร ศิษย์หญิงสาวผู้นี้คงไม่ได้กล่าวออกมาโดยบังเอิญอย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่านางจงใจพูดจาดูหมิ่นออกมาซึ่งหน้า ไม่ว่าสิ่งที่นางกล่าวมาจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ฟางมู่ก็มีชื่อเสียงและศักดิ์ฐานะที่สูงส่ง นางกลับกล่าวประณามอย่างเปิดเผย ใช้คำพูดจิกกัดอย่างชั่วร้ายเช่นนี้

จิตใจของผู้ยิ่งใหญ่แห่งตี้จิ่วจงลุกโชนขึ้นด้วยโทสะ และรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่เป็นผู้เชื้อเชิญให้หลิวอวิ๋นจื้อจุนมาเยี่ยมฟางมู่ในครั้งนี้

เวลาเดียวกันนั้น เมิ่งฮ่าวก็ละสายตาจากหลิวอวิ๋นจื้อจุน และก้าวเดินตรงไปยังว่าที่เซิ่งหนี่ว์ ซึ่งกำลังถอยไปทางด้านหลัง แรงกดดันที่กำลังกดทับลงมาบนร่างนางยังคงมีความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเสียงฮึดฮัดอยู่ในลำคอ นางเริ่มขยับมือร่ายเวทเพื่อพยายามป้องกันตัวเอง เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าบูดบึ้ง ยื่นมือออกไปตบหน้านาง

เสียงเพียะดังก้องขึ้น และหญิงสาวก็กรีดร้องออกมา รอยแดงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนแก้มนาง และยังได้ล้มลงไปบนพื้นจากแรงตบนั้นอีกด้วย

ก่อนที่นางจะล้มลงไป เมิ่งฮ่าวที่มีโทสะจากคำดูถูกของนางก็ตบออกไปอีกครั้ง เสียงเพียะดังขึ้นอีกครั้ง จากใบหน้าอีกซีกของนาง โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปาก และนางก็กรีดร้องออกมาอีกครั้ง ตอนนี้ใบหน้านางเริ่มบวมเป่งขึ้นมา เปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต

“ไสหัวไป!” เมิ่งฮ่าวแผดร้องคำราม ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยรังสีสังหาร ถึงแม้ว่าคำพูดของหญิงสาวนางนี้จะเลวทรามต่ำช้า แต่ร่างจริงของตัวเองก็ออกจากสำนักไปแล้ว จึงรู้ดีว่าถ้าสังหารนางไป ก็จะเกิดสงครามระหว่างตี้ซานจงและตี้จิ่วจงเป็นแน่

อย่างไรก็ตามคงไม่อาจให้เรื่องราวจบลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ ดังนั้นเมื่อพูดจบ เขาก็บดขยี้จิตเต๋าของหญิงสาว บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความหวาดกลัวไว้ภายในใจนาง

หลิวอวิ๋นจื้อจุนพยายามจะขัดขวางสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ แต่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งตี้จิ่วจงก็ปิดกั้นมันไว้ การปะทะกันของคนทั้งสองทำให้เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องออกไป หลังจากนั้นใบหน้าของผู้ยิ่งใหญ่แห่งตี้จิ่วจงก็บูดบึ้งเป็นอย่างยิ่ง และตวาดออกไปด้วยคำพูดของเมิ่งฮ่าว

“ไสหัวไป!”

ตั้งแต่ที่เมิ่งฮ่าวกลายเป็นตี้จิ่วจื้อจุน ตี้จิ่วจงก็มีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น และกองกำลังของพวกมันก็มีแต่จะเข้มแข็งขึ้นทุกวัน แววตาของผู้ยิ่งใหญ่แห่งตี้จิ่วจงสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเย็นชา และกล่าวขึ้นมาว่า

“ถ้าเปิ่นจุนได้ยินคำพูดเหล่านี้แพร่กระจายออกไป หรือว่าได้ยินพวกเจ้าดูหมิ่นชื่อเสียงของฉีหลินจื่อ (บุตรกิเลน) แห่งตี้จิ่วจง สองสำนักจะต้องทำสงครามกันอย่างแน่นอน”

หลิวอวิ๋นจื้อจุนได้แต่หัวเราะหึๆ อย่างเย็นชา ไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้ เมื่อคิดว่าเรื่องทั้งหมดที่เพิ่งจะเกิดขึ้นมานี้ เกิดจากคำพูดที่ดูหมิ่นของคนในตระกูลตนเอง

มันจ้องมองไปยังหญิงสาวเยาว์วัยด้วยความเคียดแค้น คว้าจับนางไว้ จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงพุ่งจนหายลับตาไป

หลังจากที่พวกมันจากไป สถานที่แห่งนี้ก็กลับมาเงียบสงบเหมือนเดิม ผู้ยิ่งใหญ่เจ็ดแก่นแท้ลังเลอยู่ชั่วขณะ ฝืนยิ้มให้กับเมิ่งฮ่าว จากนั้นก็มองไปยังเยียนเอ๋อร์ ซึ่งยืนก้มศีรษะอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ มันก็มองกลับไปยังเมิ่งฮ่าวและกล่าวว่า

“ฟางมู่ ศิษย์ผู้นี้ของเจ้ามีพรสวรรค์ไม่เลว เปิ่นจุนฝึกตนมานานหลายปี ไม่เคยรับศิษย์มาก่อน ยกยาโถว (คำเรียกเด็กหญิง) น้อยผู้นี้ให้เป็นศิษย์ของเปิ่นจุน ดีหรือไม่?”

คำพูดของมันทำให้เยียนเอ๋อร์ต้องสั่นสะท้านขึ้นมา

เมิ่งฮ่าวส่ายหน้าด้วยแววตาที่เด็ดเดี่ยว “ขอบคุณมากสำหรับเจตนาดีของท่านจื้อจุน”

ผู้ยิ่งใหญ่มองไปยังเมิ่งฮ่าวและแอบถอนหายใจออกมา โดยไม่กล่าวอะไรออกมาอีก หันหลังและจากไป

ยอดเขาในตอนนี้เงียบกริบเป็นอย่างยิ่ง ยกเว้นเสียงกระซิบของสายลม เมิ่งฮ่าวเดินตรงไปยังเยียนเอ๋อร์และขยี้ศีรษะนางด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน กล่าวว่า “ทำไมเจ้าต้องอารมณ์ไม่ดีด้วย? นางพูดจาไม่ระวัง เหวยซือตบปากนางไปสองครั้ง เรื่องนี้ได้ผ่านไปแล้ว จิตเต๋าของนางถูกปราณสังหารของเหวยซือบดขยี้ไปแล้ว ไม่กล้าจะพูดจาอย่างไร้ความรับผิดชอบเช่นนั้นอีกแล้ว ถ้าเจ้ายังรู้สึกไม่พอใจ ก็ให้พยายามฝึกฝนตนเอง ก็สามารถจะดูแลตัวเองได้สักวันหนึ่ง”

เยียนเอ๋อร์ก้มหน้าลง เอามือไปวางบนแก้มตัวเอง มองขึ้นมาผ่านขนตาที่สั่นไหวระรัว ด้วยความเขินอายและไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี

“ซือจุน ข้า…” นางคิดว่าน่าจะพูดอะไรออกมาบ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี

เมิ่งฮ่าวยิ้มและขยี้ไปบนศีรษะนางอีกครั้ง “พอแล้ว พอแล้ว ยังไม่ไปเตรียมผลไม้ลมปราณอีก? เหวยซือหิวแล้ว”

จากนั้นก็มุ่งหน้ากลับไปยังเขตนั่งเข้าฌานตามลำพังของตนเอง

เยียนเอ๋อร์ยืนอยู่ที่นั่นชั่วขณะ ด้วยสีหน้าที่เหม่อลอย ในที่สุดก็กระทืบเท้า เอามือลูบไปบนศีรษะที่ถูกขยี้ จากนั้นก็รีบไปจัดเตรียมผลไม้ลมปราณ

ไม่นานนักยามสนธยาก็ปกคลุมลงมา แสงเริ่มจางหายไปจากท้องฟ้าอย่างช้าๆ และดวงจันทร์ก็ลอยขึ้นมา แสงจันทร์สาดส่องไปทั่วทั้งพื้นดินราวกับเป็นสายน้ำ และถึงแม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะดูปกติเหมือนเช่นเคย แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นความงดงามที่โดดเดี่ยวเดียวดายอย่างที่ไม่ค่อยจะพบเห็นได้บ่อยครั้งนัก

เยียนเอ๋อร์เพิ่งจะมาถึงเขตนั่งเข้าฌาณตามลำพังของเมิ่งฮ่าว เมื่อนางวางผลไม้ลมปราณไปที่เบื้องหน้า เขาก็ลืมตาขึ้นมาและยิ้มให้กับนาง เมื่อได้เห็นสีหน้าที่สับสนของนาง ก็อดที่จะถอนหายใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“เยียนเอ๋อร์” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา แต่ดูเหมือนว่านางจะตกอยู่ในห้วงเหม่อลอยจนไม่ได้ยินเสียงเรียกนี้

“เยียนเอ๋อร์!” เขาเรียกอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังมากขึ้นกว่าเดิม

“หือ?” นางกล่าวตอบ มองกลับมา

เมิ่งฮ่าวถอนหายใจอีกครั้ง หลังจากที่เงียบไปชั่วครู่ ก็ลุกขึ้นมาและเดินไปยังประตู มองขึ้นไปยังดวงจันทร์ที่อยู่ในท้องฟ้ายามราตรี

“เยียนเอ๋อร์ เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า ตอนที่ยังเยาว์วัย ข้านำเจ้ามายังสำนักแห่งนี้?” เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“จำได้…” เยียนเอ๋อร์กล่าว นึกย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ในตอนนั้น นางเคยสงสัยว่าอาจารย์เป็นนักหลอกลวงต้มตุ๋น แม้แต่หลังจากที่มาถึงสำนักแล้วนางก็ยังคงยืนกรานเชื่อมั่นอยู่เช่นนั้นในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไปแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะต้องยิ้มออกมา ขณะที่แสงจันทร์สาดส่องลงมาบนใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของนาง ก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งทำให้ดูงดงามมากขึ้นกว่าเดิม

เมิ่งฮ่าวมองไปยังนาง และจากนั้นก็กล่าวว่า “เหวยซือจะเล่านิทานให้เจ้าฟังเรื่องหนึ่ง”

สายตาเมิ่งฮ่าวอ่อนโยน และดูเหมือนว่าจะประกอบไปด้วยความทรงจำมากมาย เป็นความทรงจำจากช่วงเวลาที่นานมาแล้ว ก่อนที่เยียนเอ๋อร์จะถือกำเนิดขึ้นมา นั่นเป็นเพราะว่าเขากำลังจะบอกเล่าเรื่องราวของนาง ที่เกิดขึ้นในช่วงกระแสแห่งกาลเวลาที่นานมากๆ

“กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว มีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่าอาณาจักรขุนเขาทะเล สถานที่แห่งนั้นมีดวงดาวซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนามว่าดาวหนานเทียน…”

“บนดาวหนานเทียนมีสถานที่ที่ถูกเรียกว่าภูเขาต้าชิง…”

“…เด็กหนุ่มผู้นั้นเข้าสังกัดสำนักเอกะเทวะ และได้พบกับผู้ถูกเลือกนามว่า

หวังเถิงเฟย”

 

“…และนั่นก็คือครั้งแรกที่มันได้พบกับนาง ในตอนนั้นนางเป็นคู่หมั้นของหวังเถิงเฟย”

“…คุนเผิงตัวนั้นมีขนาดใหญ่เป็นอย่างยิ่งเมื่อมันบินขึ้นไป ก็ปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้า ทำให้เกิดเป็นลมพายุม้วนกวาดนางขึ้นไปพร้อมกับมัน คนทั้งสองไปอยู่ในปล่องภูเขาไฟต้องห้ามแห่งหนึ่งด้วยกัน…”

 

“ในสำนักจื่อยิ่น คนทั้งสองกลายเป็นสหายร่วมสำนัก…”

“ในวันที่มันเข้าพิธีวิวาห์ นางยืนอยู่ข้างกายภรรยามันเฝ้ามองมา คิดว่ามันคงไม่ได้สังเกตเห็นนาง…”

“ต่อมานางก็จากไปพร้อมกับอาจารย์ตานกุ่ย เพื่อไปเข้าสังกัดเต๋าคุนหลุน…”

“ในอาณาจักรสายลม นางทำให้วิญญาณตนเองต้องเสียหายเพื่อช่วยเหลือมัน นางต้องจ่ายค่าตอบแทนออกมาอย่างสูงลิ่ว แต่ก็ไร้ซึ่งความเสียใจใดๆ…”

“มันมาถึงเต๋าคุนหลุน และมองเห็นศพนาง จากนั้นก็ใช้เวทย้ายกาลเวลาเพื่อค้นหาวิญญาณของนาง ในวันนั้นจิตใจมันแตกสลาย…”

“มันไปยังขุนเขาทะเลที่แปดเพื่อค้นหานาง แต่ก็ไม่อาจจะหาพบ…อย่างไรก็ตามมันรู้ว่าตนเองเป็นหนี้บุญคุณนางไปตราบชั่วชีวิต…” เมิ่งฮ่าวใช้เวลานานมากๆ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับเยียนเอ๋อร์ เขาพูดไปตลอดทั้งคืน จนกระทั่งดวงตะวันเริ่มทอแสงขึ้นมา ในที่สุดก็พูดจบ

ในตอนแรกเยียนเอ๋อร์รับฟังด้วยท่าทางที่เหม่อลอย แต่เมื่อรับฟังเรื่องราวนานขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดใจมากขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม ราวกับว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังตื่นขึ้นมาในจิตใจนางอย่างช้าๆ

เมื่อเมิ่งฮ่าวบอกเล่าเรื่องราวเสร็จสิ้น นางก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า จนกระทั่งผ่านไปนานสักพัก…

จากนั้นนางก็มองขึ้นมาและถามขึ้นอย่างเงียบๆ “ซือจุน หญิงสาวในเรื่องนี้มีนามว่าอะไร?”

เมิ่งฮ่าวมองออกไปยังดวงตะวันที่กำลังลอยขึ้นมา และกล่าวตอบว่า “นางเรียกว่า…ฉู่อวี้เยียน”

“ยังมีเรื่องต่อจากนั้น?” เยียนเอ๋อร์ถาม

เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ชั่วขณะ จากนั้นก็พยักหน้า “เจ้าต้องการฟังหรือไม่?”

เยียนเอ๋อร์สั่นสะท้าน ไม่พูดอะไรอยู่นานสักพัก อย่างไรก็ตามความสับสนค่อยๆ จางหายไปจากแววตานาง ในที่สุดก็มีท่าทางปกติเหมือนเช่นเคย จากนั้นก็หันหน้ามามองเขาและส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าไม่อยากได้ยินในตอนนี้ แต่สักวันหนึ่ง…ถ้าข้าต้องการฟังเรื่องที่เหลือ ซือจุนจะเล่าให้ข้าฟังใช่หรือไม่?”

“แน่นอน!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!