ตอนที่ 1477
ท้าทายตี้จิ่วจง
ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ซึ่งห่างออกไปจากดาวชางหมางไม่ไกลมากนัก มีกระแสน้ำวนอยู่สามแห่ง พวกมันคงอยู่ในสถานที่แห่งนั้นตราบชั่วนิรันดร์ กระจายเป็นแสงอันลี้ลับออกมาเป็นระยะ
แสงที่กระจายออกมานั้นส่วนใหญ่แล้วจะมืดสลัวดูหมองหม่น ราวกับว่าเป็นตัวแทนกลิ่นอายแห่งความตาย แต่ก็สามารถจะมองเห็นประกายแสงอันเจิดจ้าแวบออกมาเป็นระยะ จากท่ามกลางกระแสน้ำวนทั้งสามแห่งนั้น
ร่างจริงเมิ่งฮ่าวลอยตัวอยู่ตรงด้านนอกของกระแสน้ำวนทั้งสาม เส้นผมลอยพลิ้วไปมา มีขนาดเล็กมากเป็นอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับพวกมัน แต่ก็ทรงพลังจนสามารถจะเทียบกับพวกมันได้ อันที่จริงกระแสน้ำวนเหล่านั้นยังได้เริ่มสั่นสะท้านด้วยความเป็นปรปักษ์อีกด้วย
จากสิ่งที่เมิ่งฮ่าวรับรู้ได้ นี่คือหนึ่งในตำแหน่งที่อยู่ของเศษชิ้นส่วนกระจก เขาเปิดดวงตาที่สามขึ้นมา และทันใดนั้นกลุ่มหมอกที่รวมตัวกันเป็นกระแสน้ำวนก็ลอยขึ้นไป เผยให้เห็นถึงธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งที่อยู่ด้านล่าง
เขามองเห็นภายในของกระแสน้ำวนทั้งสามมีโลกอยู่สามแห่ง ที่แห่งนั้นไม่มีผู้ฝึกตน มีแต่สัตว์อสูรอันน่ากลัวจำนวนมาก และภูมิประเทศที่อันตรายซึ่งไม่เคยพบเห็นมาก่อน ยังมีกลิ่นอายอันดุร้ายอย่างถึงที่สุด ซึ่งเทียบได้กับระดับเก้าแก่นแท้อีกด้วย
ที่น่าตกใจมากที่สุดก็คือความผันผวนอันแข็งแกร่งที่กระจายออกมาจากโลกแห่งที่สอง ซึ่งมีสิ่งมีชีวิตโบราณบางอย่างอยู่ด้านใน เป็นเจ้าของสถานที่แห่งนั้น และอยู่ในจุดสูงสุดของระดับเก้าแก่นแท้
หลังจากที่ตรวจสอบดูอย่างละเอียด ก็เผยให้เห็นว่าต้นกำเนิดของความผันผวนเหล่านั้นก็คือ กิ้งก่าขนาดใหญ่…ซึ่งมีขนาดเท่าดวงดาว!
เห็นได้ชัดว่าพื้นดินของโลกแห่งนั้นก็คือผิวหนังของกิ้งก่าขนาดใหญ่ตัวนั้น และจากสิ่งที่เมิ่งฮ่าวสามารถจะรับรู้ได้ เศษชิ้นส่วนของกระจกทองแดงอยู่ภายในร่างมัน!
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายเจิดจ้าขึ้นมา ขณะที่กลายเป็นลำแสงพุ่งตรงไปยังกิ้งก่ายักษ์ซึ่งอยู่ภายในกระแสน้ำวนแห่งที่สอง
ชั่วขณะต่อมา เสียงระเบิดอย่างน่าตกใจก็ดังก้องอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
เวลาเดียวกันนั้นย้อนกลับไปยังดาวชางหมาง ร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวนั่งเข้าฌาณตามลำพังอีกครั้ง เยียนเอ๋อร์กลับเป็นปกติเหมือนเดิม ไม่มีความสับสนหรือว่าเหม่อลอยอันเนื่องมาจากสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นมานี้ นางมีชีวิตชีวาและร่าเริงเหมือนเช่นเคย และยังคงบอกปัดศิษย์หญิงสาวทุกคนที่มาเยี่ยมเยือนอาจารย์ตนเองอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามเมื่อนางอยู่คนเดียวในยามราตรี ก็จะมองขึ้นไปยังดวงจันทร์และคิดไปถึงเรื่องราวที่อาจารย์ได้บอกเล่าเกี่ยวกับฉู่อวี้เยียน เรื่องราวนี้ทำให้จิตใจนางต้องพลุ่งพล่านปั่นป่วน และทำให้ระลึกถึงชาติที่แล้วของตนเองขึ้นมาได้อย่างช้าๆ
เวลาผ่านไป ผู้ที่มาเยี่ยมเยือนร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ทำให้เยียนเอ๋อร์มีเวลาฝึกฝนตนเอง แต่การที่เมิ่งฮ่าวคือบุคคลแรกที่เรียกสวรรค์ชั้นที่สิบให้ตกลงมาอยู่ในชางหมางไถ ได้ไปกระตุ้นความท้าทายจากผู้ถูกเลือกแห่งสำนักอื่นๆ
วิธีการท้าทายของพวกมันง่ายดายยิ่ง แทนที่จะไปทดสอบในชางหมางไถของสำนักตนเอง พวกมันกลับมายังตี้จิ่วจง
ในชางหมางพ่ายไม่มีกฎข้อห้ามไม่ให้ศิษย์กระทำเช่นนั้น จริงๆ แล้วเรื่องราวเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนเมื่อในอดีต แต่ก็ไม่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และมักจะเกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ที่พิเศษเท่านั้น
นอกจากนี้การมาทดสอบชางหมางไถในสำนักคู่แข่ง ก็เหมือนกับการไปเคาะปะตูบ้านใครสักคน และจากนั้นก็เตะไปที่หน้าแข้งของเจ้าของบ้าน มันคือการท้าทายโดยตรง
แต่เรื่องที่เมิ่งฮ่าวเรียกสวรรค์ชั้นที่สิบลงมาได้
ก็ทำให้เกิดเป็นความปั่นป่วนขนานใหญ่ ผู้ถูกเลือกที่อยู่ในอันดับสิบคนแรกของสำนักอื่นๆ ทั้งหมด รักษาความเงียบของพวกมันได้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ก่อนที่จะระเบิดเป็นการกระทำออกมา จากนั้นพวกมันก็มุ่งหน้าเข้ามาในดินแดนแห่งที่เก้า…เพื่อมาทดสอบชางหมางไถแห่งตี้จิ่วจง
นับจากวันแรก เสียงระฆังก็เริ่มดังก้องออกมา จากนั้นเรื่องเช่นเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน เสียงระฆังของชางหมางไถดังเต็มอยู่ในอากาศอยู่ตลอดเวลา
ผู้ถูกเลือกจากสำนักอื่นๆ ทั้งแปดผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามา
เริ่มจากตี้ซานจง (สำนักที่สาม) ได้ส่งคนทั้งแปดมายังที่แห่งนี้ แต่ละคนต่างก็ต่อสู้ไปตลอดทางจนเข้าไปอยู่ในอันดับหนึ่งร้อยคนแรก ตำแหน่งสูงสุดอยู่ที่อันดับสี่เท่านั้น แต่ก็ยังคงอยู่ในสิบคนแรก
จากนั้นก็เป็นกลุ่มคนจากตี้ซื่อจง (สำนักที่สี่), ตี้เอ้อร์จง (สำนักที่สอง) และตี้อู่จง (สำนักที่ห้า)…
ผลลัพธ์จากการที่มีผู้ถูกเลือกจากสำนักเหล่านั้นทั้งหมด
มาทดสอบชางหมางไถแห่งตี้จิ่วจงก็คือ ในอันดับสามสิบคนแรก มีเพียงแค่หกคนเท่านั้นที่เป็นศิษย์ของตี้จิ่วจง!
แต่จากนั้นตี้ลิ่วจง (สำนักที่หก) ก็มา ต่อมาตี้ชีจง (สำนักที่เจ็ด) และตี้ปาจง (สำนักที่แปด) ก็มาถึง ทำให้หกอันดับเหล่านั้นเหลืออยู่เพียงแค่ห้าอันดับเท่านั้น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ยังพอจะทนรับได้ แต่จากนั้นตี้อีจง (สำนักแรก) ก็มาถึง ด้วยความต้องการเอาชนะและความสามารถของผู้ถูกเลือกพวกมัน มีเพียงสี่ในสามสิบอันดับแรกเท่านั้นที่เป็นของตี้จิ่วจง นอกจากนั้นสวรรค์ก็ถูกเรียกลงมาอยู่หลายครั้ง
ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครสามารถเรียกสวรรค์ชั้นที่สิบลงมาได้ อย่างมากที่สุดก็แค่ชั้นที่หกเท่านั้น แต่ก็ยังคงเป็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจยิ่ง
แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถจะแย่งชิงอันดับหนึ่งไปจากเมิ่งฮ่าวได้ แต่ด้านล่างเขาในสามสิบอันดับแรกก็เป็นผู้แข็งแกร่งทรงพลังจากสำนักอื่นๆ สำหรับศิษย์แห่งตี้จิ่วจงแล้ว มันคือความอัปยศอันยิ่งใหญ่ ราวกับว่าสำนักของตนเองกำลังถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้เท้าของสำนักอื่นๆ
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดเป็นความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นมา เกิดเป็นข้อโต้เถียงกันอยู่หลายครั้ง และในที่สุดโทสะก็เริ่มเดือดพล่านจนถึงจุดที่ทำให้เกิดเป็นความขัดแย้งกันขึ้นมา อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ผู้ถูกเลือกจากอีกแปดสำนักดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยให้ความสนใจต่อชางหมางไถของตนเองมากนัก กลับมาท้าทายทำการทดสอบอยู่ในตี้จิ่วจงแทน
หลายเดือนผ่านไป ประมาณเก้าร้อยจากหนึ่งพันอันดับแรกของตี้จิ่วจง กลายเป็นศิษย์จากสำนักอื่นๆ ได้ครอบครอง ตี้จิ่วจงเหลืออยู่เพียงแค่หนึ่งร้อยอันดับเท่านั้น
ตัวสำนักเองไม่อาจจะทำอะไรเพื่อหยุดยั้งสถานการณ์นี้ได้ ถ้าทำการขัดขวางไม่ให้ผู้ถูกเลือกจากสำนักอื่นๆ มาทำการทดสอบ ก็เหมือนกับว่าพวกมันกำลังวิตกกังวล หรือแม้แต่หวาดกลัวต่อการมาทดสอบของผู้ถูกเลือกจากสำนักอื่นๆ
จากความแข็งแกร่งของตี้จิ่วจงในตอนนี้ พวกมันต้องไม่ยอมทำเรื่องเช่นนี้อย่างแน่นอน และผู้ถูกเลือกแห่งตี้จิ่วจงก็ไม่เห็นด้วยที่จะทำเช่นนั้น พวกมันหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนเอง
เนื่องจากการทดสอบจากผู้ถูกเลือกอื่นๆ และอันดับบนชางหมางไถของตี้จิ่วจงเริ่มลดน้อยลงไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทั้งสำนักเริ่มคลุ้มคลั่งขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าผู้ถูกเลือกทั้งหมด และแม้แต่ศิษย์ธรรมดาทั่วไป ต่างก็พยายามฝึกฝนตนเองอย่างเต็มกำลัง รับทำภารกิจภายนอกสำนักมากขึ้นและเข้าร่วมการทดสอบมากขึ้น มีแต่ต้องเพิ่มระดับพื้นฐานฝึกตนของตัวเองให้มากขึ้นเท่านั้น ถึงจะสามารถได้อันดับที่สูงขึ้นไป ขณะที่พวกมันเริ่มแข็งแกร่งมากขึ้น ก็ไปทำการทดสอบที่ชางหมางไถของสำนักตนเองโดยไม่ลังเลใดๆ
ราวกับว่าผู้ถูกเลือกทั้งหมดในชางหมางพ่าย ได้เลือกชางหมางไถในตี้จิ่วจงเป็นสถานที่สำหรับการทดสอบของพวกมัน มีแต่ทำให้นามของพวกมันอยู่บนรายชื่อนั้นถึงจะมีชื่อเสียงขึ้นมาได้อย่างแท้จริง
ความคิดเช่นนี้ยังคงไม่หยุดลง หนึ่งปีต่อมา การต่อสู้ระหว่างผู้ถูกเลือกได้ขยายออกไปในสองพันอันดับแรก
หนึ่งปีหลังจากนั้น ก็เป็นสามพันอันดับแรก
กลุ่มศิษย์แห่งตี้จิ่วจงมีโทสะจนควันแทบจะพวยพุ่งออกมาจากร่าง และความขัดแย้งก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมา กลุ่มคนมักจะมาคารวะเมิ่งฮ่าวเพื่อขอให้เขากระทำการบางอย่าง
แต่เมิ่งฮ่าวก็นั่งเข้าฌานตามลำพังและไม่รับแขก ศิษย์ตี้จิ่วจงสามารถเข้าใจได้ แต่ก็ไม่อาจจะหยุดผู้ถูกเลือกจากสำนักอื่นๆ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเริ่มคลุ้มคลั่งขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนที่อยู่ในสามพันอันดับแรกของตี้จิ่วจง สำหรับศิษย์ที่ยังคงอยู่ในหนึ่งร้อยอันดับของตี้จิ่วจง พวกมันยิ่งมีความคลุ้มคลั่งมากขึ้นกว่าเดิมด้วยเช่นกัน
ข่าวลือยังได้เริ่มแพร่กระจายออกไปว่า ฟางมู่พยายามที่จะมีชื่อเสียงขึ้นมาอีกด้วย คนบางกลุ่มอ้างว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนสามปีที่ผ่านมาเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น และตอนนี้เขาไม่กล้าที่จะเสนอหน้าออกมาแล้ว
ตอนแรกข่าวลือเช่นนั้นถูกกระซิบอยู่ในวงแคบๆ เท่านั้น แต่หลังจากที่ผ่านไปอีกสองปี สำนักอื่นๆ ครอบครองหนึ่งพันอันดับแรกบนชางหมางไถของตี้จิ่วจงได้เกือบเก้าในสิบส่วน ทำให้ข่าวลือนี้แพร่กระจายออกไปราวกับไฟไหม้ป่า
จนถึงจุดที่ทั่วทั้งชางหมางพ่ายกำลังพูดถึงเรื่องนี้กันอยู่ตลอดเวลา
“สิ่งที่เกิดขึ้นกับฟางมู่ในปีนั้นเป็นแค่เรื่องหลอกลวงเท่านั้น มันนั่งเข้าฌานมาห้าปีและไม่เคยออกมาอีกเลย เห็นได้ชัดว่าการมาท้าทายของพวกเราทำให้มันรู้สึกหวาดกลัวจนต้องหลบซ่อนตัวไว้!”
“ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่ข้าก็ได้ยินมาว่า หลังจากที่มันเรียกสวรรค์ชั้นที่สิบลงมา ก็ต้องพบเจอกับทัณฑ์สายฟ้า มันอาจจะได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสก็เป็นได้…”
“ข้ามีแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ว่า ฟางมู่ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส จนพื้นฐานฝึกตนของมันไม่อาจจะก้าวหน้าขึ้นไปได้ภายในหนึ่งร้อยปี! อันที่จริงยังได้ถอยหลังลงไปอีกด้วย!”
ข่าวลือเริ่มแพร่กระจายออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ ศิษย์ตี้จิ่วจงที่พยายามปกป้องชื่อเสียงของฟางมู่ยังได้ระเบิดเป็นโทสะขึ้นมาในบางครั้งอีกด้วย อย่างไรก็ตามตี้จิ่วจงเป็นแค่หนึ่งในเก้าสำนักเท่านั้น ไม่ว่าพวกมันจะพยายามอย่างไร ก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงความคิดของผู้ถูกเลือกจากชางหมางพ่ายทั้งหมดได้
ในที่สุดผู้คนส่วนใหญ่ก็เริ่มเชื่อข่าวลือนี้ เวลาเดียวกันนั้นก็กลายเป็นเรื่องธรรมดา ที่ผู้ฝึกตนจากสำนักอื่นๆ จะมาทดสอบชางหมางไถในตี้จิ่วจงเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง
ผ่านไปอีกห้าปี เมิ่งฮ่าวนั่งเข้าฌานตามลำพังมานานถึงสิบปีแล้ว ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไปทั่วทั้งชางหมางไถแห่งตี้จิ่วจง ได้บรรลุถึงจุดที่เดือดพล่านขึ้นมา จากรายชื่อสามหมื่นอันดับแรก มีเพียงสี่พันเท่านั้นที่เป็นของศิษย์ตี้จิ่วจง
ชางหมางไถของตนเองถูกครอบครองโดยคนอื่น ทำให้ศิษย์ตี้จิ่วจงรู้สึกอัปยศไปโดยสิ้นเชิงและตกอยู่ในสถานะที่แทบจะคลุ้มคลั่งไปแล้ว จนกระทั่งบรรลุถึงจุดที่น่าตกใจยิ่ง เมื่อสิบอันดับแรก…มีผู้ถูกเลือกจากตี้จิ่วจงเพียงแค่สองคนเท่านั้น!
นอกจากเมิ่งฮ่าวที่อยู่ในอันดับหนึ่ง และผู้ถูกเลือกอีกคนที่อยู่ในอันดับห้าแล้ว อันดับที่เหลือต่างก็ถูกครอบครองโดยผู้ถูกเลือกจากสำนักอื่นๆ!
ความอัปยศและความขัดแย้งเริ่มเลวร้ายลงไปมากขึ้น
แต่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งตี้จิ่วจงและสำนักอื่นๆ ทั้งหมดก็ไม่ได้สอดมือเข้ามาหยุดสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ ตราบเท่าที่ความขัดแย้งเหล่านี้ยังสามารถจะควบคุมได้ ก็ถูกมองว่าเป็นวิธีที่จะทำให้ความแข็งแกร่งโดยรวมของชางหมางพ่ายเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับศิษย์ตี้จิ่วจง ที่มีผู้ถูกเลือกเพิ่มมากขึ้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมาอันเนื่องมาจากแรงกดดันนี้
จำนวนศิษย์ที่มายังยอดเขาเมิ่งฮ่าว เพื่อพยายามจะขอร้องให้เขากระทำการบางอย่างมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่มีศิษย์มาพร้อมกันมากกว่าหนึ่งหมื่นคน
เยียนเอ๋อร์รู้สึกรำคาญเป็นอย่างยิ่งสำหรับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ พื้นฐานฝึกตนของนางก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าไม่อาจจะไล่ตามเมิ่งฮ่าวได้ทัน แต่ก็อยู่ในขั้นค้นหาเต๋าจนแทบจะเข้าใกล้การเผชิญหน้ากับทัณฑ์เซียนของตนเองแล้ว
ในวันหนึ่งขณะที่ทำการเข้าฌานอยู่ นางก็ถูกบังคับให้ต้องลืมตาขึ้นมา อันเนื่องมาจากเสียงอึกทึกวุ่นวายที่ดังก้องอยู่ตรงด้านนอกภูเขา
“พี่ใหญ่ ได้โปรดออกมาจากยอดเขา!!”
“พี่ใหญ่ ตี้จิ่วจงเหลือเพียงแค่หนึ่งพันอันดับในสามหมื่นอันดับแรกบนชางหมางไถเท่านั้น ได้โปรดออกมา!!”
“พี่ใหญ่ ข่าวลือกำลังกระจายออกไปทั่วทุกที่ ผู้คนกำลังกล่าวหาท่าน พี่ใหญ่…โปรดออกมา! พวกเราขุ่นเคืองใจมานานนับสิบปีแล้ว ขอท่านช่วยล้างแค้นให้ด้วย!!”
เยียนเอ๋อร์ขมวดคิ้ว ตลอดช่วงสิบปีที่ผ่านมา นางเฝ้าดูด้วยความไม่พอใจ ขณะที่สำนักอื่นๆ มาทดสอบและท้าทายตี้จิ่วจงอย่างต่อเนื่อง นางสอบถามอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้สนใจมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้การฝึกตนของเมิ่งฮ่าวก็เข้าใกล้จุดวิกฤตมากขึ้นเรื่อยๆ และได้บอกกับเยียนเอ๋อร์ว่าอย่าได้มารบกวนตนเองเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป
“น่ารำคาญนัก! คนกลุ่มนี้มีปัญหาอะไรกัน พวกมันไม่มีชางหมางไถของตัวเองให้ทดสอบหรืออย่างไร? ถึงได้มาแสดงความเข้มแข็งอยู่ในตี้จิ่วจง” พร้อมกับเสียงแค่นเย็นชา เยียนเอ๋อร์เดินออกไปจากห้องของตนเอง เพื่อไปปลอบใจเหล่าศิษย์ทั้งหลายที่มาแสดงความคารวะต่ออาจารย์ของนาง
แต่ในทันทีที่นางเดินออกไป ก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา ในท่ามกลางกลุ่มคนที่มายังที่แห่งนี้ มีอยู่หลายคนที่ไม่คุ้นหน้า ยังมีแม้แต่ผู้ถูกเลือกจากสำนักอื่นๆ อีกด้วย ที่ในตอนนี้เริ่มปฏิบัติต่อตี้จิ่วจงราวกับเป็นบ้านของพวกมันเอง และกำลังจ้องมองมายังนางด้วยรอยยิ้มที่เย็นชาอีกด้วย