ตอนที่ 1478
เศษชิ้นส่วนที่สามของกระจก
เดิมทีศิษย์ตี้จิ่วจงต้องการจะรวมพลังกันและสังหารกลุ่มคนที่มาจากสำนักอื่น แต่ผู้นำของตี้จิ่วจงรวมทั้งผู้ยิ่งใหญ่ ต่างก็ขัดขวางเรื่องนี้เอาไว้
นอกจากนั้นตี้จิ่วจงก็เป็นส่วนหนึ่งของเก้าสำนักแห่งชางหมางพ่าย ไม่ได้เป็นอิสระเพียงลำพัง ถึงแม้ว่าหลายปีมานี้ตี้จิ่วจงได้ขยายกองกำลังออกไปยังด้านนอก และมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้สำนักอื่นๆ รู้สึกหวาดกลัวก็ตาม
แต่ท้ายที่สุดแล้ว ตี้จิ่วจง…ก็ไม่อาจจะแยกออกมาจากชางหมางพ่ายเพื่อเป็นอิสระได้
ดังนั้นจริงๆ แล้วตี้จิ่วจงก็ได้ประโยชน์จากเรื่องที่เกิดขึ้นกับชางหมางไถ ไม่เพียงแต่จะมีศิษย์อยู่ในการจัดอันดับมากกว่าสำนักอื่นๆ เท่านั้น แต่การที่ศิษย์ในสำนักทำการต่อสู้มากขึ้น อันเนื่องมาจากความรู้สึกอัปยศนี้ ก็ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจด้วยเช่นกัน
ที่สำคัญมากที่สุดก็คือว่า ศิษย์ตี้จิ่วจงได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันโดยสิ้นเชิง การต่อสู้และเล่ห์เหลี่ยมที่เคยเกิดขึ้นระหว่างพวกมันในตอนนี้แทบจะกลายเป็นเรื่องเมื่อในอดีตไปจนหมดสิ้น และพวกมันก็รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อต่อต้านกองกำลังจากด้านนอกโดยสิ้นเชิง
ไม่ใช่ว่าสำนักอื่นๆ ไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ แต่พวกมันก็ได้ผลประโยชน์จากสถานการณ์ในตอนนี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงยินดีที่จะปล่อยให้เรื่องราวเหล่านี้ดำเนินต่อไป
แน่นอนว่าเหตุผลหลักก็คือ…ผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้แห่งชางหมางพ่ายยังไม่ได้กลับมาหลังจากที่ผ่านไปแล้วสิบปี ยกเว้นเมิ่งฮ่าวที่ออกไปค้นหาเศษชิ้นส่วนของกระจกทองแดงแล้ว คนที่เหลือยังคงอยู่ในเขตสุสาน
เนื่องจากเหตุผลต่างๆ เหล่านี้แล้ว ตราบเท่าที่ผู้ฝึกตนจากสำนักอื่นๆ ไม่ได้ฝ่าฝืนกฎของตี้จิ่วจงอย่างร้ายแรงแล้ว พวกมันก็ถูกปล่อยให้ตั้งค่ายพักแรมอยู่ในตี้จิ่วจงได้ตามความพึงพอใจ
แน่นอนว่าเงื่อนไขเหล่านั้นไม่ได้นำมาใช้กับคนทั้งหมด ใช้กับกลุ่มคนที่มีรายชื่ออยู่บนชางหมางไถของตี้จิ่วจงเท่านั้น เป็นหลักการที่ไม่ได้ถูกเขียนออกมาเป็นกฎ เพื่อให้มั่นใจว่าถ้าศิษย์ตี้จิ่วจงต้องการขับไล่ผู้บุกรุกเหล่านั้นออกไป พวกมันก็ต้องมีอันดับอยู่ในรายชื่อทั้งหมดบนชางหมางไถของสำนักตนเอง
ตอนนี้เยียนเอ๋อร์เพิ่งจะโผล่ออกมาจากภูเขาที่เมิ่งฮ่าวนั่งเข้าฌานตามลำพัง เมื่อนางมองเห็นกลุ่มผู้ฝึกตนมากมายจากสำนักอื่นๆ กำลังมองมาด้วยสายตาที่เย็นชา สีหน้านางก็เยือกเย็นลง จากนั้นก็มองไปยังสหายร่วมสำนักแห่งตี้จิ่วจง ยิ้มออกมาและทำการปลอบโยนพวกมัน จากนั้นก็ย้ำเตือนว่าอาจารย์ของตนเองกำลังอยู่ในช่วงวิกฤตของการนั่งเข้าฌานตามลำพัง
เหล่าศิษย์ที่มาขอร้องให้เมิ่งฮ่าวโผล่ออกมา ยังคงอุทิศตนเองให้กับเขาด้วยความกระตือรือร้นเหมือนเมื่อสิบปีก่อน ถึงแม้ว่าจะมีข่าวลือแพร่กระจายไปทั่ว แต่พวกมันก็ยังคงรู้สึกเหมือนเช่นเคย เมื่อรวมเข้ากับคำปลอบโยนของเยียนเอ๋อร์ ก็ทำให้พวกมันสงบลงอย่างรวดเร็ว แต่ในตอนนี้เองที่ผู้ฝึกตนจากสำนักอื่นแห่งหนึ่ง ได้เดินออกมาจากกลุ่มฝูงชน พร้อมกับรอยยิ้มอันเย็นชา
“ช่างเป็นเสี่ยวยาโถว (เด็กหญิงตัวน้อย) ที่พูดจาได้เก่งกาจนัก พื้นฐานฝึกตนแค่ระดับค้นหาเต๋า กลับทำให้ผู้คนมากมายเชื่อฟังได้ แต่พวกข้ามองว่าเจ้าก็เป็นแค่สุนัขจิ้งจอกที่คลุมหนังพยัคฆ์เท่านั้น” (หมายถึง เยียนเอ๋อร์อาศัยชื่อเสียงของอาจารย์มาทำให้คนทั้งหมดเชื่อฟัง)
“เมื่อซือจุนเจ้าไม่กล้าออกมา เจ้ากล้าที่จะไปทดสอบยังชางหมางไถหรือไม่?”
“หรือว่าต้องให้พวกข้าทำร้ายเจ้า ซือจุนเจ้าถึงจะกล้าโผล่หน้าออกมาจากกระดองเต่า?” ผู้ฝึกตนจากสำนักอื่นๆ เริ่มหัวเราะเยาะเย้ยขึ้นมา ศิษย์ตี้จิ่วจงลุกโชนขึ้นด้วยโทสะ และดูเหมือนว่าอาจจะเกิดการต่อสู้กันขึ้นมาได้ทุกเมื่อ
ถ้าเป็นเมื่อสิบปีก่อน เยียนเอ๋อร์อาจจะเริ่มคลุ้มคลั่งขึ้นมา แต่ตอนนี้นางแตกต่างออกไปแล้ว นางเติบใหญ่ขึ้น ดังนั้นการตอบโต้ของนางสำหรับคำท้าทายนั้นก็คือหัวเราะออกมา เวลาเดียวกันนั้นแววตาของนางก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาราวน้ำแข็ง กลุ่มผู้ฝึกตนจากสำนักอื่นเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในอาณาจักรเซียน แต่อยู่ในอาณาจักรโบราณ แต่เมื่อนางพูดจากับพวกมัน ก็ดูเหมือนว่าจะไม่แยแสโดยสิ้นเชิง พูดขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า
“เมื่อข้ายังเยาว์วัย มีเรื่องราวมากมายที่ข้าไม่เข้าใจ ครั้งหนึ่งข้าเดินทางไปเที่ยวยังตลาดพื้นเมือง และถูกลักพาตัวโดยผู้ฝึกตนจากตี้ปาจง (สำนักที่แปด) เพื่อนำข้าไปเป็นกระถางรองรับสำหรับการฝึกตนของมัน” เมื่อเยียนเอ๋อร์เริ่มกล่าวขึ้นมา ผู้ฝึกตนจากสำนักอื่นๆ กำลังสงสัยว่าสิ่งที่นางต้องการสื่อคืออะไร และพวกมันก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังคงจ้องมองไปยังนางด้วยสายตาที่เย็นชา
“ในตี้ปาจง ผู้ฝึกตนที่ลักพาตัวข้าไป ตบหน้าข้าจนรู้สึกเจ็บปวด จากนั้นซือจุนข้าก็ขอให้ตี้จิ่วจื้อจุนสอดมือเข้ามา ท่านจบเรื่องนี้ด้วยการสังหารกลุ่มคนในตระกูลของปรมาจารย์ชื่อเฟิงไปไม่น้อย รวมทั้งผู้แข็งแกร่งทรงพลังอื่นๆ ที่ยืนหัวเราะเยาะเย้ยข้า ในตอนนั้นข้ายังไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่ต่อมาข้าก็ตระหนักว่าในท่ามกลางกลุ่มคนที่ถูกสังหารไปนั้นคือผู้ฝึกตนแห่งอาณาจักรโบราณและอาณาจักรเต๋า รวมทั้งราชันเต๋า อ้อ แม้แต่จักรพรรดิเต๋าก็มีด้วยเช่นกัน” นางยิ้มเล็กน้อย ในตอนนี้ความเงียบเริ่มปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณนั้น
“เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ซือจุนข้ารู้สึกว่าตนเองไร้ประโยชน์ ไม่อาจจะปกป้องได้แม้แต่ศิษย์ของตัวเอง
นั่นคือเหตุผลที่ทำไมท่านถึงได้เลือกที่จะไปทดสอบยังชางหมางไถ เพื่อสร้างชื่อให้กับตนเอง และให้มั่นใจได้ว่าไม่มีใครกล้าที่จะมารังแกข้า ซึ่งเป็นศิษย์ของท่าน”
“ผลลัพธ์ก็คือว่าท่านได้อันดับหนึ่งในชางหมางไถ และเรียกสวรรค์ชั้นที่สิบลงมาได้” ถึงแม้ว่าเยียนเอ๋อร์จะยิ้มไปด้วยขณะที่กล่าวออกมา แต่คำพูดของนางก็ทำให้ดวงตาของเหล่าผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นต้องเบิกกว้างขึ้นมา ก่อนหน้านี้ไม่มีใครรู้ว่าเหตุผลที่ฟางมู่ไปทำการทดสอบในชางหมางไถ ก็เพราะว่าศิษย์ของเขาถูกรังแกมาก่อน
ศิษย์จากสำนักอื่นๆ มองมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้พวกมันจะเอ่ยปากพูดออกมา แต่ความจริงแล้วพวกมันรู้สึกหวาดกลัวต่อเมิ่งฮ่าวเป็นอย่างยิ่ง
“ยังมีอีกเรื่อง มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อผู้ยิ่งใหญ่จากสำนักอื่น ข้าจำไม่ได้ว่าสำนักใด นำหญิงสาวจากตระกูลมาเยี่ยมเยือนยังที่แห่งนี้ นางได้กล่าวให้ร้ายข้า และถึงแม้ว่าผู้ยิ่งใหญ่นั้นจะอยู่ด้วย แต่ซือจุนก็ตบไปที่ใบหน้านางสองครั้ง และยังได้บดขยี้จิตใจเต๋าของนางไปอีกด้วย”
“ดังนั้นถ้าต้องการให้ซือจุนข้าออกมา และกำจัดพวกท่านไปก็ลงมือเลย ข้ายืนอยู่ตรงนี้แล้ว จะไม่หลบหนีไปไหนทั้งสิ้น” เยียนเอ๋อร์ยิ้มอย่างงดงามออกมา แต่เมื่อเหล่าผู้ฝึกตนจากสำนักอื่นมองเห็นรอยยิ้มนี้ จิตใจพวกมันก็เริ่มเต้นรัวขึ้นมา
นางยืนอยู่ในท่ามกลางความเงียบชั่วขณะ จากนั้นก็กล่าวขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลัง “ถ้าไม่มีความกล้าหาญ ก็ไสหัวไปให้กับเปิ่นกูเหนียง! (คำเรียกหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานของจีนโบราณ)”
ด้วยเช่นนั้นนางก็หันหลังและกลับเข้าไปบนภูเขา
หลังจากที่เยียนเอ๋อร์จากไป ศิษย์ตี้จิ่วจงก็หัวเราะเยาะเย้ยผู้ฝึกตนจากสำนักอื่น จากนั้นก็ค่อยๆ กระจัดกระจายกันออกไปอย่างช้าๆ ผู้ฝึกตนจากสำนักอื่นๆ มีสีหน้าบิดเบี้ยวอย่างถึงที่สุดขณะที่จากไปด้วยเช่นกัน
ผู้คนมากมายได้เห็นเหตุการณ์นี้ด้วยสองตาของตนเอง แม้แต่เมิ่งฮ่าวที่กำลังมองลงมาจากภายในเขตนั่งเข้าฌาณตามลำพังของตนเองก็เช่นเดียวกัน หลังจากที่เรื่องราวได้ข้อสรุปแล้ว เขาก็หลับตาลงและไม่ให้ความสนใจอีกต่อไป กระทำสิ่งที่เคยทำมาตลอดทั้งสิบปีอย่างต่อเนื่อง นั่นก็คือดับตะเกียงวิญญาณเซียนของตนเองทีละดวง
ในตอนนี้เขาดับตะเกียงลงไปประมาณเก้าในสิบส่วนแล้ว มีเพียงแค่สิบดวงเท่านั้นที่ยังคงมีเปลวไฟลุกโชน แต่ถ้าไม่มีสถานการณ์ที่เหมาะสม ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้สำเร็จ
สำหรับเมิ่งฮ่าวร่างจริง การจะได้ครอบครองเศษชิ้นส่วนที่สามของกระจกก็ไม่ได้ราบรื่นเท่าใดนัก กิ้งก่ายักษ์ไม่เพียงแต่จะมีพลังการต่อสู้ที่เทียบเท่ากับร่างจริงเท่านั้น มันยังเจ้าเล่ห์เป็นอย่างยิ่งอีกด้วย ในที่สุดมันก็กลืนเมิ่งฮ่าวลงไป จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มต่อสู้กันผ่านจิตวิญญาณ
หลังจากผ่านไปสิบปี การต่อสู้ด้วยจิตวิญญาณก็ยังคงดำเนินต่อไป
ย้อนกลับไปยังดาวชางหมาง ร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวพึมพำขึ้นมาว่า “ในไม่ช้า ร่างจริงข้าก็น่าจะสามารถสะกดข่มกิ้งก่ายักษ์ได้ภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ และจะได้ครอบครองเศษชิ้นส่วนที่สามของกระจก”
ด้วยเช่นนั้นเขาก็หมกมุ่นอยู่กับการดับตะเกียงวิญญาณของตัวเองต่อไป
ไม่กี่เดือนต่อมา ตรงด้านนอกในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องขึ้นมาจากภายในกระแสน้ำวนแห่งที่สองจากทั้งหมดสามแห่งนั้น จากนั้นเสียงแผดร้องด้วยความเจ็บปวดก็ดังก้องออกมา พร้อมกับพลังระเบิดอันมหาศาล ภายในกระแสน้ำวาน ร่างกายของกิ้งก่ายักษ์กำลังบิดเบี้ยวไปมา และเสียงที่คล้ายกับเสียงฟ้าร้องคำรามก็ดังก้องออกมาจากภายในร่างของมัน
ไม่นานนักกิ้งก่ายักษ์ก็แผดร้องคำราม พ่นพลังปราณออกมาจนกลายเป็นลมพายุ ทำให้กระแสน้ำวนบิดเบี้ยวไปมา และเงาร่างๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้น
ซึ่งก็คือเมิ่งฮ่าวร่างจริงนั่นเอง มีเกราะสีดำปกคลุมอยู่บนท่อนแขน และภายในมือก็มีเศษชิ้นส่วนของกระจกกำลังหลอมละลายอยู่ เศษชิ้นส่วนนั้นหลอมรวมเข้าไปในชุดเกราะ ทำให้มันเริ่มขยายตัวออกไป มีความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม
กิ้งก่ายักษ์จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าว จากนั้นก็แผดร้องคำรามขึ้นมาอีกครั้ง
ขณะที่ล่าถอยหลบหนีไปทางด้านหลัง ถึงแม้ว่าจะผ่านไปสิบปีแล้ว แต่มันก็ไม่อาจจะบดขยี้เมิ่งฮ่าวได้ ในที่สุดก็ได้รับบาดเจ็บจนต้องล่าถอยหลบหนี และถูกแย่งชิงชิ้นส่วนกระจกของตนเองไป
ขณะที่กิ้งก่ายักษ์มองไปยังพลังที่พุ่งทะยานขึ้นมาของเมิ่งฮ่าว แววตาหวาดกลัวก็สาดประกายขึ้นมา
“เจ้าได้ของวิเศษแล้ว ทำไมยังไม่ไปอีก!?” กิ้งก่ายักษ์ถาม ด้วยน้ำเสียงที่เก่าแก่โบราณ และเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ของมันก็ทรงพลังจนทำให้ทุกสรรพสิ่งในที่แห่งนั้นต้องสั่นสะท้านไปมา
ร่างจริงเมิ่งฮ่าวจ้องมองไปยังกิ้งก่ายักษ์ด้วยแววตาอันเย่อหยิ่ง กิ้งก่ายักษ์ตัวนี้มีความแข็งแกร่งมากกว่าเจ้าสำนักและไป๋อู้เฉินซะอีก จากผู้แข็งแกร่งเก้าแก่นแท้ขั้นสูงสุดทั้งหมดที่เมิ่งฮ่าวเคยพบเจอมา กิ้งก่าตัวนี้มีความแข็งแกร่งมากที่สุด
ถ้าไม่ใช่เช่นนี้ เขาคงไม่ต้องใช้เวลาถึงสิบปีในการที่จะได้เศษชิ้นส่วนของกระจกมาครอบครอง
หลังจากที่เศษชิ้นส่วนกระจกหลอมรวมเข้าไปในชุดเกราะโดยสมบูรณ์ เมิ่งฮ่าวก็มองไปยังกิ้งก่ายักษ์ด้วยแววตาที่สาดประกายขึ้น กล่าวว่า
“ถ้าเจ้าต้องการ ก็สามารถจะออกไปจากที่แห่งนี้ และกลายเป็นข้ารับใช้ข้าเป็นเวลาหนึ่งพันปี”
กิ้งก่ายักษ์จ้องมองไปด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็เริ่มหัวเราะออกมา พร้อมกับรังสีสังหารที่หมุนวนไปมาในดวงตา “หลังจากที่เจ้าอยู่เหนือสูงสุดแล้ว ค่อยมาพูดอีกที และข้าก็อาจจะเห็นด้วย”
ถึงแม้ว่ามันจะหวาดกลัวต่อเมิ่งฮ่าว แต่เขาก็ไม่ได้มีพลังการต่อสู้ที่เทียบเท่ากับผู้ฝึกตนเหนือสูงสุด ดังนั้นความคิดที่กลายเป็นข้ารับใช้เป็นเวลาหนึ่งพันปีจึงเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะอย่างยิ่งสำหรับมัน
เมิ่งฮ่าวดูเหมือนว่าจะไม่รู้สึกผิดหวัง มองไปยังกิ้งก่ายักษ์ด้วยสายตาอันลึกล้ำ และยิ้มน้อยๆ ออกมา
“ตกลง อีกไม่นานข้าจะกลับมาใหม่” ด้วยเช่นนั้นเขาก็หันหลังและพุ่งออกไปยังที่ห่างไกล กิ้งก่ายักษ์มองไปด้วยแววตาที่ดูถูก ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของเขา จากนั้นก็หลับตาลงและหลับใหลต่อไป
ร่างจริงเมิ่งฮ่าวพุ่งผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ใช้เศษชิ้นส่วนของกระจกทั้งสามค้นหาความผันผวนของชิ้นส่วนที่สี่ จากนั้นก็มุ่งหน้าตรงไปในทันที
เวลาเดียวกันนั้น ย้อนกลับไปยังทวีปที่เก้าแห่งดาวชางหมาง ในตี้จิ่วจง บนยอดเขาที่เป็นของร่างจำแลงเมิ่งฮ่าว เยียนเอ๋อร์กำลังเตรียมตัวที่จะเผชิญหน้ากับทัณฑ์เซียน
ทัณฑ์เซียนของนางแตกต่างไปจากของเมิ่งฮ่าว ไม่ได้น่าตกใจแต่อย่างใด แต่คล้ายกับทัณฑ์เซียนของคนอื่นๆ ทั่วไป เมิ่งฮ่าวไม่ได้ช่วยเหลือนาง แค่ยืนอยู่ที่ด้านข้างเฝ้ามองไป
สายฟ้าฟาดลงมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เยียนเอ๋อร์เปลี่ยนจากมนุษย์ธรรมดากลายเป็นเซียนโดยสมบูรณ์ เมื่อเกิดขึ้นเช่นนี้ นางก็ยิ่งมีความงดงามมากขึ้นกว่าเดิม และมีกลิ่นอายที่คล้ายกับเป็นนางเซียนมากยิ่งขึ้น เมิ่งฮ่าวตกตะลึงเมื่อตระหนักว่ารูปร่างหน้าตาของนางในตอนนี้ ทำให้ต้องนึกไปถึงฉู่อวี้เยียนมากขึ้นกว่าเดิม
ทัณฑ์เซียนปรากฏขึ้นเป็นเวลาสามวัน ในที่สุดทัณฑ์สายฟ้าก็จางหายไป และเยียนเอ๋อร์ก็กระจายเป็นปราณเซียนออกมา ชีพจรเซียนของนางเปิดออกอย่างเต็มที่ และขณะที่ลอยตัวอยู่ในกลางอากาศ ก็ดูคล้ายกับนางเซียนเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดนางก็หันหน้าไปยังเมิ่งฮ่าวและยิ้มออกมา
“ซือจุน ข้าสำเร็จกลายเป็นเซียนแล้ว ท่านจะไม่ให้ของขวัญข้าบ้างหรืออย่างไร?”
เมิ่งฮ่าวยิ้มและส่ายหน้าไปมาด้วยความขบขัน ถึงแม้ว่าเขาจะมีรูปร่างหน้าตาที่ดูอ่อนเยาว์ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะกระจายเป็นบรรยากาศที่เก่าแก่โบราณอย่างลึกล้ำออกมา สายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนขณะที่หยิบเอาของขวัญที่จัดเตรียมไว้ออกมา แต่เยียนเอ๋อร์ก็ส่ายหน้าปฏิเสธ กล่าวขึ้นมาด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ “ข้าไม่ต้องการอาวุธเวทหรือเม็ดยาหรือวิชาเวทใดๆ ข้าแค่ต้องการเห็นซือจุน…เห็นท่าน…ยืนอยู่บนยอดเขา ยิ้มให้ข้าอีกครั้ง”
เมิ่งฮ่าวผงะไปเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าตนเองกำลังมองไปยังเยียนเอ๋อร์ หรือว่า…ฉู่อวี้เยียน