Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1482

ตอนที่ 1482

มองย้อนกลับไปยังชีวิตนี้

ในปีนั้น เยียนเอ๋อร์ได้เผชิญหน้ากับทัณฑ์โบราณของนาง

ในวันนั้น คือหนึ่งในความสำคัญมากที่สุดของเมิ่งฮ่าวด้วยเช่นกัน เขาก่อตั้งค่ายกลเวทขึ้นมาด้วยตนเอง และจัดเตรียมให้พลังแห่งฟ้าดินในตี้จิ่วจง ทำตัวเหมือนกับเป็นผู้พิทักษ์เต๋า ไม่กี่วันต่อมาในที่สุดทัณฑ์โบราณก็สิ้นสุดลง เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา

เมิ่งฮ่าวมองไปยังเยียนเอ๋อร์ที่เอาชนะทัณฑ์โบราณของตนเองมาได้ มองไปยังนางที่จุดตะเกียงวิญญาณขึ้นมา และจากนั้นก็มองเห็นนางหลับตาลงเริ่มต้นสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อเข้าฌาณ ตลอดช่วงเวลานั้น สายตาของเขาอ่อนโยนนุ่มนวล สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว นางไม่ได้เป็นผู้เยาว์อีกต่อไป แต่สำหรับผู้ฝึกตนที่อยู่ในอาณาจักรโบราณ นางเหมือนกับเป็นเด็กผู้หญิงตัวน้อย กาลเวลาที่ผ่านไปไม่ได้ทิ้งริ้วรอยใดๆ ไว้บนร่างกายนาง มีแต่จะงดงามเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เวลาเดียวกันนั้นก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น สำหรับสมาชิกอื่นๆ ของสำนัก นางคือผู้ถูกเลือกที่แท้จริง เป็นคนที่รู้จักวิธีปฏิบัติตนเองได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและมีมารยาท เป็นคนที่ใครก็ตามรู้สึกยินดีเมื่อต้องมาติดต่อพูดคุยด้วย

มีแต่ตอนที่อยู่กับเมิ่งฮ่าวเท่านั้น ที่นางมักจะทำหน้ามุ่ยและแสดงท่าทางราวกับเป็นเด็กหญิงตัวน้อย

เมิ่งฮ่าวสามารถจะบอกได้ว่าพลังปราณของฉู่อวี้เยียนมีแต่จะแข็งแกร่งมากขึ้นไปเรื่อยๆ บางครั้งเขายังรู้สึกว่าคนทั้งสองมีความแตกต่างกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขามองเห็นนางกำลังสูดลมหายใจเข้าออก หลังจากที่เอาชนะทัณฑ์โบราณมาได้แล้ว ความทรงจำมากมายเริ่มลอยไปมาในจิตใจ

ชาติที่แล้วฉู่อวี้เยียนไม่เคยผ่านเข้าไปในอาณาจักรเซียน แต่ในชาตินี้ด้วยการช่วยเหลือของเมิ่งฮ่าว นางกำลังบรรลุถึงจุดสูงสุดของตนเอง

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่านางจะมีนามว่าฉู่อวี้เยียน หรือเยียนเอ๋อร์ นางก็จะคงอยู่ในจิตใจของเขาไปตลอดกาล

“ถึงเวลาที่ข้าต้องไปแล้วเช่นกัน…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ

ไม่กี่วันต่อมา เยียนเอ๋อร์ก็ลืมตาขึ้นมาและมองไปยังเมิ่งฮ่าว จากแววตาของนางดูเหมือนว่าจะเข้าใจถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ นางเกลียดการที่ต้องพรากจากเขาไป แต่ก็เข้าใจมานานหลายปีแล้วว่าในที่สุดเขาก็ต้องทำเช่นนี้ วันนี้ลึกลงไปในแววตานางมีบางสิ่งที่อธิบายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง

“ซือจุน…” นางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นสะท้าน

“ตอนนี้เจ้าอยู่ในอาณาจักรโบราณแล้ว เข้าใจถึงวิธีการดับตะเกียงวิญญาณของตนเองแล้ว ใช่หรือไม่?” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

“ถ้ายังไม่เข้าใจส่วนไหน ก็สามารถถามข้าได้ในตอนนี้”

“ก่อนอาณาจักรโบราณ ผู้ฝึกตนสามารถจะได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น จริงๆ แล้วการช่วยเหลือเช่นนั้น ก็ทำให้เรื่องราวง่ายดายมากขึ้น แต่เริ่มจากอาณาจักรโบราณเป็นต้นไป เจ้าได้แต่พึ่งพาตนเองเท่านั้น”

“อย่าลืมสิ่งที่ข้าบอกเจ้าก่อนหน้านี้ สิ่งที่ผู้ฝึกตนฝึกฝน ไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นจิตใจ”

หยดน้ำตาเอ่อล้นอยู่ในดวงตาเยียนเอ๋อร์ และจากนั้นก็เริ่มไหลลงมาบนแก้ม นางกำลังสั่นสะท้าน “ซือจุน…”

“ข้าจัดเตรียมแผ่นหยกให้เจ้าเก้าแผ่น แต่ละแผ่นประกอบด้วยพลังจากสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของข้าบางส่วน…ถ้าเจ้าพบเจอกับอันตราย ก็สามารถช่วยปกป้องได้” ในตอนนี้ร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวใกล้จะบรรลุถึงอาณาจักรเต๋าแล้ว จึงสามารถใช้พลังบางส่วนของร่างจริงได้

ด้วยเช่นนั้นแผ่นหยกทั้งเก้าจึงมีพลังสัมผัสศักดิ์สิทธิ์บางส่วนของร่างจริง และสามารถจะช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับเยียนเอ๋อร์ ไม่ว่านางจะอยู่ที่ใดบนดาวชางหมาง

“ข้าได้จัดเตรียมตำราเต๋าเจ็ดเล่มด้วยเช่นกัน ซึ่งประกอบด้วยวิชาเวทและความสามารถศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่ข้าเรียนรู้มาชั่วชีวิตนี้”

“ยังมียาหนึ่งแสนเม็ดที่เหวยซือปรุงให้กับเจ้าโดยเฉพาะด้วยเช่นกัน เพื่อให้มั่นใจว่าเส้นทางการฝึกตนของเจ้าจะราบรื่นตลอดไป”

“สำหรับอาวุธเวท ในชีวิตของเหวยซือมีไม่มากนัก แต่สิ่งที่ข้ามีก็จะมอบให้เจ้าทั้งหมด”

“ยังมีหยกเซียนและหินลมปราณด้วยเช่นกัน ในชีวิตนี้เหวยซือมัวแต่ไล่ตามพวกมัน ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ก็มีแต่จะทำให้ต้องถอนหายใจออกมาเท่านั้น ตอนนี้ก็จะมอบให้เจ้าทั้งหมด”

“ซือจุน ข้าไม่ต้องการของเหล่านั้น ข้าไม่ต้องการ…” เสียงนางเงียบไป หยดน้ำตากำลังไหลลงมานองหน้า นางรู้สึกขวัญเสียและยังได้หวาดกลัวอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะตระหนักถึงสิ่งที่อาจารย์คิดจะทำมานานนับสิบปี แต่นางก็ยังไม่พร้อมที่จะให้มันเกิดขึ้นอย่างแท้จริง

“จากชื่อเสียงที่เหวยซือสร้างขึ้นมา จะไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องเจ้าในตี้จิ่วจง คนทั้งหมดในที่แห่งนี้จะคอยช่วยเหลือเจ้า เหวยซือยังได้ไปขอร้องให้ผู้ยิ่งใหญ่มาช่วยดูแลเจ้าอีกด้วย” เมิ่งฮ่าวกล่าวต่อไป

“เหวยซืออาจจะไม่อยู่ แต่ก็ได้จัดเตรียมสิ่งต่างๆ เพื่อช่วยให้เจ้าปลอดภัย อย่างเช่นอ๋าวเฉี่ยน ที่จะคอยอยู่เป็นเพื่อนเจ้าตลอดไป”

ความวิตกกังวลปะทุขึ้นมาในจิตใจเยียนเอ๋อร์ “ไม่ ข้าไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้น ข้าไม่สนใจ ซือจุน ข้า…”

“เยียนเอ๋อร์!” เมิ่งฮ่าวร้องตวาด

แรงสั่นสะเทือนวิ่งผ่านไปทั่วร่างเยียนเอ๋อร์ ตลอดชั่วชีวิตนี้ นางจำได้ว่าไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่อาจารย์จะเข้มงวดกับตนเองเช่นนี้ นี่เป็นครั้งแรก ทำให้หยดน้ำตาไหลลงมานองหน้ามากขึ้นกว่าเดิม

“เจ้าเติบใหญ่ขึ้นแล้ว” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ยื่นมือออกไปขยี้ศีรษะนาง

นางก้มหน้าลงโดยไม่รู้สึกตัว ร้องไห้ออกมา

เมิ่งฮ่าวส่ายหน้ากล่าวว่า “มาเถอะ เหวยซือจะพาเจ้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง” ขณะที่เขาหันหลังจากไป นางก็ลุกขึ้นมายืน ปาดเช็ดน้ำตาบนใบหน้าและติดตามไป นี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบสามปี ที่อาจารย์และศิษย์ออกไปจากตี้จิ่วจง

คนทั้งสองเดินทางไปยังเขตชายแดนของทวีปที่เก้า พบเห็นลำธารสายหนึ่งไหลผ่านข้างหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตอนนี้เป็นยามสนธยา กลุ่มควันกำลังลอยอ้อยอิ่งขึ้นมาจากปล่องไฟของแต่ละบ้านอย่างเกียจคร้าน เมิ่งฮ่าวมองไปยังบ้านหลังหนึ่งที่ตนเองเคยอาศัยอยู่ในตอนเยาว์วัย บ้านหลังนั้นเปลี่ยนเจ้าของมานานแล้ว นักศึกษาที่พบเห็นเขาในลำธารตายจากไปเมื่อหลายปีมาแล้ว

แต่ชายชราที่ให้ความใส่ใจเขายังคงมีชีวิตอยู่ สุดท้ายมันได้แต่งงานกับแม่หม้ายผู้นั้น และตอนนี้คนทั้งสองก็แก่ชราไปโดยสิ้นเชิง พร้อมกับลูกหลานอีกมากมาย

เมื่อเมิ่งฮ่าวมองเห็นชายชรา ก็คิดย้อนกลับไปถึงความทรงจำอันอบอุ่นในชีวิตนี้ของตนเองมากมายหลายเรื่อง และใบหน้าก็ปรากฏเป็นรอยยิ้มน้อยๆ ขึ้นมา

เยียนเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างกายอย่างเงียบๆ ไม่กล่าวอะไรออกมา แต่ก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่อ่อนโยนในจิตใจของอาจารย์

คนทั้งสองจากไปยามรุ่งอรุณ เมิ่งฮ่าวไม่ได้พบกับชายชราด้วยตนเอง แต่ทิ้งเม็ดยายืดอายุขัยไว้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งแผ่นหยกที่จะช่วยปกป้องชายชราและสายโลหิตในรุ่นต่อไปของมัน

ไม่นานนักหลังจากที่เมิ่งฮ่าวจากไป ชายชราก็เดินหาวออกมาจากห้องของตนเอง เมื่อมองลงไป ก็เห็นสิ่งของทั้งหมดที่เมิ่งฮ่าวทิ้งไว้ให้ และมันก็อ้าปากค้าง หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก็สั่นสะท้านและมองขึ้นไปในท้องฟ้า ในที่สุดก็ยิ้มออกมา

“เสี่ยวฮ่าวจื่อ (มุสิกน้อย) เจ้ากลับมาแล้ว…?” มันหัวเราะหึๆ เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเด็กชายจากหลายปีก่อน

ไม่กี่วันต่อมา เมิ่งฮ่าวก็ไปยืนอยู่ตรงจุดสูงสุดของชางหมางไถ ประสานมือให้กับท้องฟ้า

“ฟางมู่จากตี้จิ่วจงแห่งชางหมางพ่าย ต้องการเดินไปบนเส้นทางเหนือสูงสุด

จื้อจุน (ผู้ยิ่งใหญ่) ได้โปรดเปิดประตูให้ด้วย!”

เมื่อเสียงนี้ดังก้องขึ้น ก็กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง คนทั้งหมดต่างก็ได้ยินกันถ้วนทั่วทุกตัวคน ตอนแรกพวกมันมีท่าทางงุนงง แต่หลังจากนั้นเสียงหึ่งๆ ก็กระจายออกไปเป็นวงกว้างในตี้จิ่วจง

ศิษย์นับไม่ถ้วนบินตรงมายังยอดเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของชางหมางไถคนแล้วคนเล่า พวกมันมองไปยังเมิ่งฮ่าวที่กำลังยืนอยู่บนยอดเขา และเยียนเอ๋อร์ที่กำลังยืนอยู่ตรงเชิงเขา กำลังมองขึ้นไปยังอาจารย์

“มันกำลัง…จะเดินไปบนเส้นทางเหนือสูงสุด…”

“อันที่จริง เส้นทางเหนือสูงสุดก็เป็นสถานที่สำหรับผู้ถูกเลือกเช่นมันอย่างแท้จริง!” ผู้ถูกเลือกอื่นๆ ในตี้จิ่วจงถอนหายใจ สีหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันซับซ้อน

คนส่วนใหญ่ต่างก็คาดเดามานานแล้วว่าเมิ่งฮ่าวคงจะต้องตัดสินใจทำเช่นนี้ เป็นความจริงที่ผู้ฝึกตนอาณาจักรโบราณไม่อาจจะเดินไปบนเส้นทางเหนือสูงสุดได้ แต่สำหรับผู้ถูกเลือกที่โดดเด่นซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษก็เป็นข้อยกเว้น

สำหรับเมิ่งฮ่าวแล้ว ถ้าเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ถูกเลือก ก็ไม่มีใครในชางหมางพ่ายจะเหมาะสมเป็นผู้ถูกเลือกอีกแล้ว

จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะมีคุณสมบัติในการเดินไปบนเส้นทางเหนือสูงสุด

เยียนเอ๋อร์ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ มองขึ้นไปยังอาจารย์ที่อยู่บนยอดเขา ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยความมุ่งมั่น และสูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับบอกตนเองว่าต้องแข็งแกร่งขึ้น แต่ก็ไม่อาจจะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมาบนใบหน้าได้

เสียงของเมิ่งฮ่าวยังคงดังก้องออกไป เมื่อเสียงของผู้ยิ่งใหญ่เจ็ดแก่นแท้ตอบกลับมาจากภายในตี้จิ่วจง

“เจ้าแน่ใจ?”

“แน่นอน!” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบ ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวจนสามารถจะตัดตะปูเฉือนเหล็กกล้าได้

ชั่วขณะต่อมาเสียงกระหึ่มอย่างรุนแรงก็ดังเต็มอยู่ในแผ่นฟ้าและผืนดิน ราวกับว่ามีใครบางคนกำลังร่ายเวทอันยิ่งใหญ่อยู่ เป็นเสียงที่คล้ายกับว่าท้องฟ้ากำลังถูกฉีกกระชากให้ขาดออก ทุกสิ่งทุกอย่างสั่นสะเทือนขณะที่รอยแตกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่ด้านบน

รอยแตกนั้นเปล่งประกายเจ็ดสีออกมา ส่องแสงระยิบระยับและเจิดจ้า จากนั้นแสงก็กลายเป็นขั้นบันได ตกลงมาจากด้านบนและมาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว เขามองขึ้นไปบนขั้นบันไดเหล่านั้น และสามารถจะมองเห็นว่าภายในรอยแตกบนท้องฟ้าคือโลกอีกแห่งหนึ่ง

ในตอนนี้เองที่เสียงเก่าแก่โบราณก็ดังก้องออกมา “กฎสำนักของชางหมางพ่ายเน้นย้ำว่า ศิษย์คนใดก็ตามที่ต้องการผ่านเข้าไปในเส้นทางเหนือสูงสุด จะต้องทิ้งตะเกียงวิญญาณไว้ ถ้าตะเกียงส่องสว่าง ผู้ฝึกตนก็ยังคงมีชีวิตอยู่ ถ้าตะเกียงดับลง…ผู้ฝึกตนก็ตายไป”

ศิษย์นับไม่ถ้วนในบริเวณนั้นเฝ้ามองไปอย่างเงียบๆ

เมิ่งฮ่าวโบกสะบัดชายแขนเสื้อออกไป ทำให้กระแสแห่งเปลวไฟวิญญาณลอยออกมาจากหน้าผาก เปลวไฟวิญญาณหมุนวนไปมาในอากาศ กลายร่างเป็นตะเกียงวิญญาณ

ตะเกียงวิญญาณนี้แตกต่างไปจากตะเกียงวิญญาณของอาณาจักรโบราณ มันก่อตัวขึ้นมาจากเปลวไฟวิญญาณของเขาเอง และเป็นการบ่งบอกต่อโลกภายนอกว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่ จากเปลวไฟนั้น ทำให้บุคคลภายนอกรับรู้ได้ถึงสถานะที่เขากำลังเดินไปบนเส้นทางเหนือสูงสุด

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผู้คนกระทำต่อเปลวไฟตรงด้านนอก

จะไม่มีผลกระทบต่อเมิ่งฮ่าว เขาโบกสะบัดมือออกไป ส่งตะเกียงเปลวไฟวิญญาณไปยังเยียนเอ๋อร์

“นำไปวางในเขตนั่งเข้าฌานตามลำพังของเหวยซือ” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ก้าวลงไปบนขั้นบันได และเร่งความเร็วพุ่งตรงไปยังรอยแตก

ขณะที่เมิ่งฮ่าวพุ่งสูงขึ้นไปในท้องฟ้า เสียงของผู้ยิ่งใหญ่เจ็ดแก่นแท้แห่งตี้จิ่วจงก็ดังขึ้นมาในหูของเขา “ฟางมู่ มีอยู่หลายสิ่งในชีวิตที่ไม่อาจจะฝืนได้ ถ้าเจ้าบรรลุถึงจุดที่ไม่อาจจะไปข้างหน้าได้อีก ก็ต้องหันหลังกลับมา…”

แต่เมื่อเมิ่งฮ่าวกำลังจะก้าวเข้าไปในรอยแตก และผ่านเข้าไปในเส้นทางเหนือสูงสุดที่เก่าแก่โบราณมากที่สุด ทันใดนั้นเยียนเอ๋อร์ก็ร้องตะโกนขึ้นไปเป็นเสียงดัง

“ซือจุน ท่าน…ท่านยังจำตอนที่บอกเล่าเรื่องของฉู่อวี้เยียนให้ข้าฟังได้หรือไม่? ท่านสัญญาว่าถ้าข้าต้องการฟังเรื่องต่อจากนั้น ท่านก็จะเล่าให้ข้าฟัง”

เมิ่งฮ่าวหยุดลง มองลงมายังเชิงเขาด้านล่างและเยียนเอ๋อร์ ที่กำลังยืนอยู่ในกลุ่มฝูงชน “จำได้” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมา “เจ้าต้องการฟังตอนนี้?”

เยียนเอ๋อร์สั่นสะท้าน หยดน้ำตาไหลลงมานองหน้า “เยียนเอ๋อร์ไม่ต้องการฟังในตอนนี้ หลังจากซือจุนกลับมา ค่อยเล่าให้ข้าฟังดีหรือไม่…?”

ความรู้สึกที่ต้องแยกจากอาจารย์ ทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าจิตใจกำลังถูกบดขยี้ไปมา

“ดี” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบ พยักหน้าให้ จากนั้นก็หมุนตัว สูดหายใจเข้าลึกๆ…ก้าวเดินเข้าไปในรอยแตก เดินไปบน…เส้นทางเหนือสูงสุด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!