ตอนที่ 1507
ยากจะแยกแยะ
คนที่มาเยี่ยมเยือนเมิ่งฮ่าว ก็คือเฉินฝาน!
ความสับสนในแววตาเมิ่งฮ่าวมีเพิ่มมากขึ้น กับเฉินฝานผู้นี้เขาไม่รู้สึกว่าไม่คุ้นเคยแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นตรงกันข้าม เมิ่งฮ่าวมั่นใจว่าตนเองรู้จักมัน ไม่ใช่ว่ามันคงอยู่ในความทรงจำของตนเอง แต่อยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณตนเอง
ขณะที่เฉินฝานเดินเข้ามา และนั่งลงขัดสมาธิอยู่ตรงหน้า เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกว่าเจ็บปวดอยู่ในศีรษะเป็นอย่างยิ่ง ภายในจิตใจ เฉินฝานคล้ายกับเป็นหยดน้ำที่ตกลงมาในกาต้มน้ำที่กำลังเดือดพล่าน
ผลก็คือเกิดการระเบิดขึ้น ทำให้ความทรงจำที่ลอยไปมาอยู่ในจิตใจเมิ่งฮ่าวต้องแตกกระจายออกไป คล้ายกับเป็นลมพายุที่ส่งเสียงดังกระหึ่มไปทั่วทั้งความคิด ไม่มีสิ่งใดเชื่อมต่อกันแม้แต่น้อย แต่ทั้งหมดนั้นก็มีแต่เฉินฝานเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา
พวกมันคล้ายกับเป็นความทรงจำจากชาติอื่น ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องสั่นสะท้านขึ้นมา ดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำ ปราณอสูรส่งเสียงดังกระหึ่ม และในที่สุดก็กำมือเป็นหมัดจนแน่นและกู่ร้องออกมา ปลดปล่อยพลังการฝึกตนออกไป เป็นพลังที่ไม่ได้อยู่ในอาณาจักรโบราณอย่างแน่นอน แต่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเก้าแก่นแท้
ถึงแม้ว่าห้องนั้นกำลังถูกทำลายไปอยู่รอบๆ ตัว แต่เฉินฝานก็ไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย ก้มลงไปคว้าจับไหล่เมิ่งฮ่าวไว้และร้องตะโกนขึ้นว่า “ศิษย์น้อง!!”
เมิ่งฮ่าวเริ่มหอบหายใจ จ้องมองไปยังเฉินฝาน ความปั่นป่วนวุ่นวายพุ่งขึ้นมาอยู่ในจิตใจ ไม่เพียงแต่จะรู้สึกสับสนต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้เท่านั้น ยังรู้สึกราวกับว่ามีเสียงๆ หนึ่งอยู่ภายในใจ กำลังร้องตะโกนบางอย่างกับตนเอง เป็นบางสิ่งที่ไม่อาจจะรู้ได้
ขณะที่พลังการฝึกตนของเมิ่งฮ่าวปะทุขึ้นไป ทั่วทั้งสำนักก็สั่นสะท้าน ผู้คนนับไม่ถ้วนเริ่มบินขึ้นไปด้วยความวิตกกังวล
“ศิษย์น้อง ยังไม่ตื่นขึ้นมาอีก!?” เฉินฝานแผดร้องคำรามออกมา
“ทั้งหมดนั้นไม่ใช่ความจริง! ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าพบเจอมาในอาณาจักรชางหมางเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น!!”
“ตอนนี้เจ้ากลับมาในโลกความจริงแล้ว อาณาจักรชางหมางเป็นแค่อาณาจักรลี้ลับเท่านั้น เป็นซากปรักหักพังที่ล้มหายตายจากมาแล้วหลายชั่วรุ่น!”
เสียงร้องตะโกนของเฉินฝานดังมากขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็เสียดแทงเข้าไปในจิตใจเมิ่งฮ่าว เมิ่งฮ่าวกำลังสั่นสะท้านมากขึ้นกว่าเดิม และดวงตาก็กลายเป็นสีแดงก่ำ ความทรงจำมากมายกำลังลอยไปมาอยู่ในจิตใจ
ในช่วงเวลาหนึ่ง เขาก็พบเจอกับความรู้สึกที่คุ้นเคยในโลกที่ไม่คุ้นเคยแห่งหนึ่ง ต่อจากนั้นก็มีความรู้สึกไม่คุ้นเคยในโลกที่คุ้นเคยแห่งหนึ่ง ทำให้ยากที่จะบอกได้อย่างชัดเจนว่าอะไรคือความจริง
“ไม่ใช่เรื่องจริง?” เมิ่งฮ่าวถามขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง จดจำเสียงของตนเองไม่ได้ ราวกับว่าไม่ใช่ตนเองที่กำลังพูดขึ้นมา เป็นเสียงที่แหบแห้งไม่น่าฟัง คล้ายกับเป็นโลหะที่กำลังเสียดสีไปบนก้อนศิลา
“ไม่ใช่! มันคือจินตนาการทั้งหมดที่พวกเราพบเจอมาในอาณาจักรลี้ลับ ไม่ใช่เจ้าเพียงคนเดียวที่คิดเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกเช่นเดียวกัน อันที่จริงคนทั้งหมดที่หนีรอดออกมาจากอาณาจักรลี้ลับต่างก็พบเจอกับประสบการณ์เช่นเดียวกันนี้”
เฉินฝานคว้าจับไปที่ไหล่ของเมิ่งฮ่าว กล่าวต่อไปด้วยความวิตกว่า “คนกลุ่มใหญ่จากร้อยสำนักถูกส่งเข้าไปในอาณาจักรลี้ลับด้วยกัน ใครจะไปคาดคิดว่าในทันทีที่พวกเราเข้าไป ก็ต้องถูกดูดกลืนเข้าไปในโลกแห่งจินตนาการ? แน่นอนว่าก็ยังมีข้อดีบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นเจ้าและข้าต่างก็สามารถจะค้นหาเส้นทางแห่งการฝึกตนของตัวเองได้ จากภายในโลกแห่งจินตนาการที่น่าสับสนนั้น”
ความสับสนในแววตาเมิ่งฮ่าวเริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้น เขาเชื่อในตัวเฉินฝาน และลึกลงไปข้างในก็มีบางสิ่งที่กำลังร้องตะโกนมายังตนเอง แต่ก็ไม่สามารถจะสั่นคลอนความรู้สึกบางอย่างที่ถูกปกปิดไว้ได้
“ข้าจำหญิงสาวนางหนึ่งได้ นาง…” เมิ่งฮ่าวโพล่งขึ้นมาอย่างลืมตัว
“นางมีนามว่าสวี่ชิง?” เฉินฝานกล่าวแทรกขึ้นมา เมิ่งฮ่าวอ้าปากค้าง ในทันทีที่นามสวี่ชิงผ่านเข้ามาในจิตใจ แรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วร่าง สีหน้าดิ้นรนเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น ราวกับว่าตนเองกำลังตกอยู่ในห้วงฝันร้าย
“คิดให้ดี และเจ้าก็จะตระหนักว่าสวี่ชิงที่เจ้ากำลังคิดอยู่นั้น คือคนๆ เดียวกับสวี่ชิงจากสำนักสุ่ยเต้า (เต๋าวารี) ใช่หรือไม่? ศิษย์น้อง เจ้าเคยมีความสัมพันธ์กับสวี่ชิงแห่งสำนักสุ่ยเต้า แต่ในที่สุดนางก็เลือกที่จะเดินไปบนวิถีเซียน ไม่ได้เลือกเจ้า”
ขณะที่เฉินฝานกล่าวขึ้น ความทรงจำก็พุ่งขึ้นมาอยู่ในจิตใจเมิ่งฮ่าว ทันใดนั้นก็จำได้ว่าสวี่ชิงเคยเป็นศิษย์แห่งสำนักชางไห่มาก่อน แต่จากสถานการณ์ต่างๆ ทำให้นางต้องแปรพักตร์ไปเข้าสังกัดสำนักอื่น และตัดความสัมพันธ์ที่มีต่อตนเองทั้งหมดไป
“ไม่ถูกต้อง ยังมีเจ้าอ้วนและหวังโหย่วฉายอีกด้วย เกิดอะไรขึ้นกับเตียเหนียง (บิดามารดา) และเจี่ยเจีย (พี่สาว) ข้า? เกิดอะไรขึ้นกับซุนไห่และท่านอาจารย์ตานกุ่ย…?” แต่ขณะที่ความทรงจำปรากฏขึ้นมาในจิตใจมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องยอมรับว่ามองเห็นภาพของคนทั้งหมดที่ตนเองเพิ่งจะกล่าวออกมา
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านั้นทั้งหมดคือผู้ฝึกตนจากร้อยสำนัก เป็นคนๆ เดียวกับที่เข้าไปในอาณาจักรลี้ลับ
“ทั้งหมดนั้นเป็นแค่ภาพลวงตาจริงๆ…?” เมิ่งฮ่าวพึมพำขึ้นมาด้วยความขมขื่น
เฉินฝานพยักหน้า ความรู้สึกอันซับซ้อนแวบขึ้นมาในแววตา
“ศิษย์น้อง เจ้าติดอยู่ภายในอาณาจักรลี้ลับแห่งอาณาจักรชางหมางนานกว่าข้า จึงทำให้ต้องสับสนอย่างมากมายเช่นนี้ และทำให้เจ้าต้องใช้เวลานานกว่า เพื่อที่จะตื่นขึ้นมาโดยสมบูรณ์” เฉินฝานกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา คว้าจับไปที่ไหล่ของเมิ่งฮ่าว
“ข้าเคยสงสัยเช่นเดียวกับเจ้า เมื่อตื่นขึ้นมาในครั้งแรก รู้สึกสับสนมากมายหลายอย่าง ราวกับว่าไม่ต้องการจะตื่นขึ้นมา ข้ายังได้พยายามจะกลับเข้าไปในอาณาจักรลี้ลับอีกด้วย”
“คนอื่นๆ อาจจะไม่เข้าใจต่อสิ่งที่เจ้ารู้สึกอยู่ในตอนนี้ แต่ศิษย์พี่เข้าใจดี!”
ดูเหมือนว่าเฉินฝานจะเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่งขณะที่มองไปยังเมิ่งฮ่าว และสีหน้าก็เต็มไปด้วยความวิตกห่วงใยอย่างลึกซึ้ง
เมิ่งฮ่าวนิ่งเงียบ แต่ดูเหมือนว่าแววตาจะมีความสับสนมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ต้องการจะเชื่อในสิ่งที่กำลังถูกบอกเล่าออกมานี้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวก็ดูเหมือนเป็นของจริง สามารถจะมองเห็นภาพของผู้คนรอบๆ ตัวอยู่ภายในความทรงจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภรรยาของตนเอง ซึ่งมักจะดูแลเขาอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ในตอนที่ตนเองหลงใหลเสน่ห์ของสวี่ชิง
จากนั้นก็ยังมีบุตรชาย ซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง ด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ทำให้สามารถจะบอกได้ว่าโลหิตที่กำลังไหลเวียนอยู่ภายในร่างของเด็กชายผู้นี้ เป็นเช่นเดียวกับของตนเอง
ที่เป็นความจริงมากที่สุดก็คือเฉินฝาน
“แต่ อาณาจักรขุนเขา…” ก่อนที่เมิ่งฮ่าวจะทันได้กล่าวจบ เฉินฝานก็พูดแทรกขึ้นมา
“พอได้แล้ว! ศิษย์น้องเจ้าจำเป็นต้องตื่นขึ้นมา ทั้งหมดนั้นคือภาพลวงตา ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังจะพูดถึงอาณาจักรขุนเขาทะเล เป็นเพราะว่านั่นคือสถานที่แห่งแรก หลังจากที่พวกเราเข้าไปในอาณาจักรลี้ลับ
ซึ่งเป็นซากปรักหักพังแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเล” เฉินฝานกล่าว คว้าจับไปที่ไหล่ของเมิ่งฮ่าวแน่นขึ้น หยดน้ำตาเอ่อล้นอยู่ในดวงตา
“พวกเราต่างก็ถูกดูดกลืนเข้าไปในสถานที่แห่งเดียวกัน ข้ายังจำอาณาจักรขุนเขาทะเลได้เช่นกัน รวมทั้งสำนักเอกะเทวะ ในตอนนั้นข้าคือศิษย์พี่ของเจ้า ใช่หรือไม่?”
เมิ่งฮ่าวสูดหายใจเข้าลึกๆ และมองขึ้นไปยังเฉินฝาน
“ทั้งหมดนั้นคือภาพลวงตา อาณาจักรขุนเขาทะเลไม่ได้ถูกทำลายไปในยุคสมัยของพวกเรา มันเกิดขึ้นมานานมากแล้ว หลายปีก่อนเมื่อในอดีต อาณาจักรชางหมางก็มีอยู่จริงๆ และภายในนั้นก็มีอาณาจักรขุนเขาทะเลด้วยเช่นกัน แต่คนที่อาศัยอยู่ภายในนั้นไม่ได้มีเพียงแค่เจ้าและข้า!” เฉินฝานกล่าวขึ้น
“ทั้งหมดนั้นคือความฝัน เป็นความฝันแห่งขุนเขาทะเล พวกเราย้อนกลับไปในยุคสมัยโบราณ ทำให้เกิดเป็นผลกระทบต่อพวกเราทั้งหมดอย่างใหญ่หลวง หยุดคิดเรื่องเหล่านี้ได้แล้ว ทั้งหมดนั้นคือภาพลวงตา สิ่งที่เจ้าเห็นอยู่รอบๆ ในตอนนี้คือของจริง” ทุกคำพูดของเฉินฝาน คล้ายกับเป็นสายฟ้าที่กำลังฟาดลงมาในจิตใจเมิ่งฮ่าว
“ทั้งหมดนี้คือความจริง?” เมิ่งฮ่าวพึมพำด้วยความขมขื่นใจ หลับตาลง จิตใจรู้สึกเจ็บปวด และทุกครั้งที่พยายามจะคิดไปถึงความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต ก็ราวกับว่ากำลังถูกแทงจนลึกลงไปถึงกระดูก
“นี่คือความจริงทั้งหมด!” เฉินฝานกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ถ้าคนอื่นพยายามจะโน้มน้าวเขา เมิ่งฮ่าวอาจจะไม่เชื่อถือพวกมัน แต่นี่คือเฉินฝาน ทั้งในความทรงจำที่แจ่มชัด และเงาร่างอันเลือนรางผู้หนึ่ง เขาจำได้ว่าศิษย์พี่ผู้นี้มักจะคอยห่วงใยตนเองอยู่เสมอมา
เมิ่งฮ่าวยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ศิษย์พี่ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจมอยู่ในความฝันของอาณาจักรชางหมาง และมันก็ดูสมจริงเป็นอย่างยิ่ง จนทำให้ข้ายากที่แยกแยะความแตกต่างระหว่างความจริงและภาพลวงตาได้”
ดวงตาเมิ่งฮ่าวกลายเป็นสีแดงก่ำ และดูเหมือนว่าจะแก่ชราลงไปมากกว่าเดิม มีท่าทางเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง
“ขอให้ข้าได้อยู่อย่างเงียบสงบชั่วครู่ ก็คงจะดีขึ้นมาเอง” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นอย่างเงียบๆ
เฉินฝานมองมา ตบไปที่ไหล่จากนั้นก็ลุกขึ้นมายืน
“พักผ่อนบ้าง และจำไว้ว่าสถานที่แห่งนี้…คือของจริง เจ้าไม่ใช่เมิ่งฮ่าวแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเล เจ้าคือศิษย์แห่งสำนักชางไห่ จากความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตตรงด้านนอก เมิ่งฮ่าว เจ้าคือผู้ถูกเลือกจากร้อยสำนักแห่งชางหมางต้าเจี้ย (จักรวาลไร้สิ้นสุด)”
เมิ่งฮ่าวพยักหน้าด้วยความขมขื่น แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีใครจะสามารถรับรู้ได้ ซึ่งก็คือกระจกทองแดงที่อยู่ในถุงสมบัติ กำลังส่งพลังความร้อนเข้ามาในร่างเมิ่งฮ่าว หมุนวนไปมาอยู่ทั่วร่างขณะที่เขาหลับตาลง ค่อยๆ เยือกเย็นลงอย่างช้าๆ ในที่สุดเหล่าสหายร่วมสำนักที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา แต่พวกมันก็ยังคงมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยความรู้สึกห่วงใยอย่างต่อเนื่อง
เฉินฝานมองไปยังเมิ่งฮ่าวอย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็หมุนตัวจากไป มีท่าทางเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่มันจากไปแล้ว ภรรยาและบุตรชายเมิ่งฮ่าวก็กลับมา ด้วยสีหน้าวิตกและกระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง เด็กชายวนไปมาอยู่ด้านข้างอย่างอ้อยอิ่ง มีท่าทางหวาดกลัวเล็กน้อย ราวกับว่าบิดาของตนเองคือคนแปลกหน้า
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องวิตก” เมิ่งฮ่าวกล่าว ลืมตาขึ้นพร้อมกับฝืนยิ้มออกมา
สองสามวันผ่านไป ในช่วงเวลานั้นสหายร่วมสำนักจำนวนมากมาเยี่ยมเยือน ดูเหมือนว่าพวกมันจะห่วงใยเขาเกือบทั้งหมด แต่ก็มีบางคนด้วยเช่นกันที่แอบหวังว่า เขาจะตายอยู่ในอาณาจักรลี้ลับ
ภายในความทรงจำของเมิ่งฮ่าว เขานึกไม่ออกว่าเคยเห็นกลุ่มคนเหล่านี้มาก่อน แต่ตอนนี้เมื่อมองไปยังคนทั้งหมด ก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของพวกมัน
อาจารย์มาเยี่ยม เช่นเดียวกับผู้อาวุโสของสำนักคนอื่นๆ ทั้งหมดต่างก็มาสอบถามโน่นนั่นเล็กน้อย พร้อมกับให้กำลังใจตนเองไปด้วย
เฉินฝานมาเยี่ยมเยือนอยู่หลายครั้ง
แต่ละครั้งก็จะมานั่งขัดสมาธิอยู่ที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าวและพูดคุยไปมา ช่วยให้เขาจดจำเรื่องราวต่างๆ จากสำนักชางไห่และชางหมางต้าเจี้ย
แต่เมื่อไหร่ที่คนทั้งสองพูดถึงอาณาจักรลี้ลับ ก็จะต้องถอนหายใจออกมา
เมิ่งฮ่าวเริ่มยอมรับในตัวตนนี้ขึ้นมาอย่างช้าๆ แต่ความสับสนก็ยังคงพุ่งขึ้นมาในส่วนลึกของจิตใจอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งเดือนต่อมา เมื่อคนทั้งหมดเชื่อว่าเมิ่งฮ่าวฟื้นคืนกลับมาอย่างสมบูรณ์แล้ว เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในยามราตรีที่ฝนตกหนักคืนหนึ่ง มองไปยังภรรยาของตนเอง แต่ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นมายืน และเดินออกไปในกลางสายฝน ลึกลงไปในแววตา ความสับสนกำลังเบ่งบานขึ้นมา
ภายในสายฝนนั้นเป็นสายลมอันรุนแรงที่โชยพัดเส้นผมของเมิ่งฮ่าวให้ลอยพลิ้วขึ้นมา ขณะที่สายลมส่งเสียงหวีดหวิวพุ่งผ่านต้นไม้ของลานบ้านออกไป
“สถานที่แห่งนี้…คือความจริง?” เมิ่งฮ่าวครุ่นคิด
“ทำไมข้าถึงไม่อาจจะลืมเลือนสิ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอาณาจักรลี้ลับได้? มีใบหน้าอยู่มากมายที่ข้าไม่อาจจะลืมไปได้ และไม่อาจจะหยุดคิดถึงอาณาจักรขุนเขาทะเลได้เลย…” เมิ่งฮ่าวยื่นมือออกไป และขณะที่สายฝนอันเย็นเยียบกำลังตกลงมาบนฝ่ามือ ก็รู้สึกราวกับว่ากำลังถูกแทงจนลึกลงไปถึงกระดูก