ตอนที่ 1509
ไหลไปตามน้ำ
เมิ่งฮ่าวประสานมือเพื่อขอบคุณ หลังจากผ่านไปชั่วขณะ ก็ตัดสินใจที่จะไม่ก้าวเข้าไปในค่ายกลเวท กลับไปยืนอยู่ที่ด้านข้างแทนเพื่อรอคอย
หลังจากที่ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เหล่าศิษย์ที่คอยดูแลค่ายกลเวทกำลังจะหมดความอดทน แต่ลำแสงสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไป
“เป็นสวี่ซือเจี่ย!” แววตาของเหล่าศิษย์ที่อยู่ในบริเวณนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเคารพ พวกมันต่างก็ประสานมือคารวะกันทั้งหมด
เมิ่งฮ่าวมองขึ้นไปยังหญิงสาวที่อยู่ในลำแสง นางสวมใส่ชุดยาวสีขาว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้งดงามอย่างโดดเด่น แต่ก็ดูน่ารักและกระจายเป็นบรรยากาศที่ยากจะอธิบายออกมาได้ ดูเหมือนว่าจะเย็นชาอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่คนที่ยากจะใกล้ชิดด้วยโดยสิ้นเชิง
เมิ่งฮ่าวมองไปยังนางด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน ทันใดนั้นนางก็เคลื่อนที่ช้าลงจนหยุดชะงักนิ่งและมองลงมายังเมิ่งฮ่าว สายตาของคนทั้งสองสบประสานกัน
ดูเหมือนว่าเวลาจะหยุดนิ่งไป สวี่ชิงลอยตัวอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ แทนที่จะเดินทางต่อไป นางกลับลอยตรงมายังประตูเคลื่อนย้ายทางไกลแทน ศิษย์จากสำนักสุ่ยเต้าประสานมือด้วยความเคารพ เมื่อนางมายืนอยู่ที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว
นางมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยสีหน้าเย็นชา ราวกับว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเขาอีก นอกจากคนที่เคยรู้จักกันเท่านั้น
“ท่านได้สติกลับคืนมาแล้ว?” เมิ่งฮ่าวถามขึ้นมาในทันที
“ข้ารู้สึกสับสนแค่ไม่กี่วัน แต่ก็สามารถจะบอกได้ถึงความแตกต่างระหว่างของจริงและภาพลวงตา” นางกล่าวตอบด้วยเสียงราบเรียบ
หลังจากที่ผ่านไปชั่วขณะ เมิ่งฮ่าวก็ยิ้มและกล่าวว่า “ยินดีด้วย”
จากนั้นเขาก็หันหลังและก้าวเดินเข้าไปในค่ายกลเวท
ในตอนนี้เองที่สวี่ชิงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านก็ได้สติขึ้นมาแล้ว?”
เมิ่งฮ่าวหันหลังมองกลับไปยังนาง “ท่านหมายถึงในอาณาจักรลี้ลับ หรือ…ในชางหมางต้าเจี้ย?”
“ท่านอยู่ในอาณาจักรลี้ลับมาเป็นเวลานาน ทั้งหมดนั้นเป็นแค่ความฝันเท่านั้น เมิ่งฮ่าว ตื่นขึ้นมาจากโลกแห่งภาพลวงตาได้แล้ว”
“เหตุที่ข้าลงมาพูดกับท่านเป็นเพราะว่ามีข่าวจะแจ้งให้ทราบ ในที่สุดเจตจำนงแห่งหลัวเทียนต้าเหรินก็จะเลือกหลัวเทียนจื่อรุ่นที่เก้าสิบเก้าแล้ว มันจะเกิดขึ้นในปีนี้ และถ้าท่านกลายเป็นหลัวเทียนจื่อ บางทีเรื่องราวระหว่างพวกเราก็สามารถจะดำเนินต่อไปได้ แต่เมื่อดูจากท่าทีของท่านในตอนนี้แล้ว ทำให้ข้ารู้สึกว่าคงไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้” นางส่ายหน้า มองมาเป็นครั้งสุดท้ายและจากไป
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ในค่ายกลเวทขณะที่เริ่มทำงานขึ้นมา เฝ้ามองดูขณะที่นางจากไป รู้สึกได้ถึงความเย็นชาของนาง และทันใดนั้นก็เริ่มหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนั้นเริ่มดังมากขึ้นไปเรื่อยๆ ขณะที่ค่ายกลเวทส่งเสียงดังกระหึ่ม และจากนั้นเขาก็หายตัวไป
เมื่อเมิ่งฮ่าวปรากฎกายขึ้นอีกครั้งในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ก็ยังคงหัวเราะอย่างต่อเนื่อง หัวเราะและหัวเราะจนกระทั่งเสียงหัวเราะนั้นกลายเป็นเสียงไอขึ้นมา ประกายแสงแห่งความบ้าคลั่งแวบขึ้นมาในดวงตา
“ข้าได้สติกลับคืนมาแล้ว? เฉินฝานได้สติ สวี่ชิงได้สติ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอาณาจักรลี้ลับเป็นแค่ความฝัน?
ข้าไม่เชื่อ! ทำไมข้าถึงรู้สึกเจ็บปวดใจ? นางไม่ใช่สวี่ชิง!”
“นางไม่ใช่…”
“นางไม่ใช่…”
“นางไม่ใช่!” เมิ่งฮ่าวแหงนหน้าขึ้นและหัวเราะเป็นเสียงดังก้อง ดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำ เวลาเดียวกันนั้นความว่างเปล่าที่อยู่รอบๆ ตัวก็บิดเบี้ยวไปมา ขณะที่เส้นใยที่มองไม่เห็นก่อตัวขึ้นมานับไม่ถ้วน เริ่มลอยตรงมายังเมิ่งฮ่าวอย่างช้าๆ ราวกับว่าจะฉวยโอกาสในตอนนี้เพื่อเจาะไชเข้าไปในดวงตา, หู, จมูก และปากของเขา
แต่ทันใดนั้นเองกระจกทองแดงที่ถูกแขวนอยู่บนหน้าอกก็ส่งกระแสความร้อนให้ไหลผ่านไปทั่วร่างมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องสั่นสะท้านและจากนั้นก็เยือกเย็นลง เส้นใยที่อยู่รอบๆ ตัวหดกลับและหายจากไปอย่างรวดเร็ว
เมิ่งฮ่าวเริ่มมีอารมณ์ความรู้สึกที่มั่นคงขึ้นมาอย่างช้าๆ และดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า รู้สึกได้ว่าต้องมีบางสิ่งบางอย่างไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน ทำให้อารมณ์ของตนเองเปลี่ยนไปด้วยเช่นกันในทันทีที่ได้พบกับสวี่ชิง และตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไปแล้ว ก็ดูเหมือนว่าตนเองไม่อาจจะควบคุมอะไรได้ ราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังพยายามจะชักจูงตนเองไป
เขามองไปรอบๆ ดวงตาหรี่เล็กลง จากนั้นก็ขยับร่างเคลื่อนไหว มุ่งหน้าตรงไปยังชางหมางเต้า
ไม่กี่วันต่อมา ก็ไปอยู่ตรงเบื้องหน้าของดวงดาวขนาดใหญ่ เป็นดวงดาวที่มีขนาดใหญ่กว่าดาวของสำนักสุ่ยเต้าและชางไห่
ดาวดวงนี้ถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มหมอกที่หมุนวนไปมา ทำให้ยากที่จะมองเห็นพื้นผิวของมันได้ แต่ก็มีดาวบริวารอยู่ตรงด้านข้างของดาวดวงนี้ ซึ่งจะมีประตูเคลื่อนย้ายทางไกลติดตั้งอยู่
เมิ่งฮ่าวมองไปยังดาวซึ่งเป็นที่ตั้งของชางหมางเต้า และความเจ็บปวดภายในจิตใจก็ทำให้ต้องสะบัดหน้าไปมา มุ่งหน้าตรงไปยังดาวบริวาร จากนั้นก็เข้าไปในประตูเคลื่อนย้ายทางไกลและหายตัวไป
สองสามวันหลังจากนั้น ในที่สุดเขาก็มาถึง…จุดหมายปลายทางสุดท้าย ซึ่งก็คืออาณาจักรลี้ลับ!
มันคือกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ซึ่งหมุนวนไปมาตราบชั่วนิรันดร์ ทำให้เกิดเป็นเสียงกระหึ่มขนาดใหญ่ดังก้องออกไปในทั่วทุกทิศทาง ดาวเคราะห์นับไม่ถ้วนลอยไปมาอยู่ในบริเวณนั้น และมองเห็นผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนด้วยเช่นกัน ทั้งหมดนั้นกำลังเฝ้าศึกษากระแสน้ำวนอย่างใกล้ชิด
เมิ่งฮ่าวมองไปยังกระแสน้ำวน และจิตใจก็หมุนคว้าง บินตรงไปยังกระแสน้ำวน มีผู้คนเพียงไม่กี่คนที่สังเกตเห็นเขา จากนั้นก็มองไปทางอื่น
เมิ่งฮ่าวไม่สนใจพวกมัน จ้องนิ่งไปยังกระแสน้ำวน หอบหายใจออกมา บินตรงไปโดยไม่หยุดชะงักลงแม้แต่น้อย
ในที่สุดก็ได้ยินผู้คนร้องตะโกนเรียก แต่เมิ่งฮ่าวก็ไม่ให้ความสนใจพวกมันแต่อย่างใด จากนั้นขณะที่ใกล้เข้าไป ทันใดนั้นก็ต้องสะท้อนกลับออกมาจากเกราะป้องกันที่มองไม่เห็น เป็นพลังผนึกที่ป้องกันไม่ให้ผู้คนผ่านเข้าไปในกระแสน้ำวนได้อย่างง่ายดาย
เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องขึ้นเมื่อเมิ่งฮ่าวถูกขับไล่ออกมา กระอักโลหิตขณะที่ลอยละลิ่วไปทางด้านหลัง เมื่อมองขึ้นไปยังเกราะป้องกันนั้น ความทรงจำอันเลือนลางที่อยู่ภายในจิตใจก็ทำให้เกิดเป็นความเจ็บปวดเสียดแทงขึ้นมาจนใบหน้าต้องซีดขาวลง
ในตอนนี้เองที่เมิ่งฮ่าวได้ยินใครบางคนเรียกนามของตนเอง “เมิ่งฮ่าว?”
เจ้าของเสียงนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยแน่ใจนัก เมิ่งฮ่าวหันหน้ามองไปเห็นสหายที่อ้วนฉุผู้หนึ่งพร้อมกับสีหน้าแปลกๆ เมื่อสายตาของคนทั้งสองสบประสานกัน มันก็ฝืนยิ้มออกมา
“เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย ข้าคือหลี่ฟูกุ้ย! ใช่แล้ว บางทีเจ้าอาจจะจำข้าไม่ได้ พวกเราเป็นสหายกันในอาณาจักรลี้ลับ” บุรุษอ้วนฉุถอนหายใจและมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยท่าทางเห็นอกเห็นใจ
“การที่เจ้ามายังที่แห่งนี้ ก็แสดงให้เห็นว่ายังคงไม่ฟื้นสติกลับคืนมา เมื่อเร็วๆ นี้ข้าเพิ่งจะครุ่นคิดอย่างแจ่มชัดได้ในที่สุด จึงหวังว่าเจ้าจะฟื้นสติกลับคืนมาได้ในไม่ช้า อย่าได้พยายามกลับเข้าไปด้านในอีกเลย พวกเราทั้งหมดต่างก็เหน็ดเหนื่อยและไร้ประโยชน์ใดๆ หลัวเทียนต้าเหรินผนึกมันไว้อย่างแน่นหนาแล้ว”
เมิ่งฮ่าวมองไปยังบุรุษที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้า ภายในความทรงจำอันเลือนลางของตนเอง ยังมีเจ้าอ้วนอีกคนที่ดูเหมือนกับคนผู้นี้เป็นอย่างมาก
“เจ้าได้สติกลับคืนมาแล้วเช่นกัน…” เมิ่งฮ่าวกล่าว พร้อมกับยิ้มด้วยความขมขื่น
“ใช่แล้ว ไม่เพียงแต่ข้าเท่านั้น เจ้ายังจำฉู่อวี้เยียน, ซุนไห่ และหวังโหย่วฉายได้หรือไม่? พวกมันต่างก็ได้สติกลับคืนมาหมดแล้ว” ขณะที่มันพูด ก็หันหน้าและชี้นิ้วออกไป ลำแสงสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในที่ห่างไกลออกไป ขณะที่เงาร่างซึ่งดูคุ้นตาจากความทรงจำอันเลือนลางบินตรงมา
มีทั้งหวังโหย่วฉาย, ซุนไห่ และ…ฉู่อวี้เยียน
คนทั้งสามถอนหายใจ มองมายังเมิ่งฮ่าว ราวกับว่าพวกมันกำลังหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอยู่ภายในอาณาจักรลี้ลับด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉู่อวี้เยียน ซึ่งมีสีหน้าที่ยากจะเข้าใจได้ขณะที่มองมายังเมิ่งฮ่าว ราวกับว่านางไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตรงด้านใน ราวกับว่าเป็นไปไม่ได้ที่นางจะมาหลงรักเมิ่งฮ่าว
“จริงๆ แล้วข้าก็คิดด้วยเช่นกันว่า พวกเราทั้งหมดต่างก็เป็นผู้ถูกเลือกจากหนึ่งร้อยสำนัก และข้าคิดว่าเมื่อพวกเรากลายเป็นสหายในความฝัน ก็น่าจะเป็นเรื่องดีที่จะมาเป็นสหายในโลกแห่งความจริงด้วยเช่นกัน!” เจ้าอ้วนพูดพร้อมกับหัวเราะออกมา
“พวกเจ้าได้สติกลับคืนมาทั้งหมดแล้ว?” เมิ่งฮ่าวถามขึ้น
ซุนไห่พยักหน้าเช่นเดียวกับคนอื่นๆ แววตาที่เห็นอกเห็นใจของพวกมันมองเห็นได้อย่างเด่นชัด
“พวกเราทั้งหมดได้สติกลับคืนมาแล้ว ข้าคิดว่า…คนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ท่านควรจะไปติดต่อกับคนเหล่านั้นบ้าง นอกจากนี้พวกเราต่างก็มีวาสนาต่อกันในความฝันนั่น ใช่แล้วในโลกแห่งภาพลวงตานั้น ฟางอวี๋ก็เป็นพี่สาวท่านอีกด้วย” ซุนไห่กล่าว ถอนหายใจออกมา
จิตใจเมิ่งฮ่าวกำลังหมุนคว้าง มองไปรอบๆ ยังดาวเคราะห์ทั้งหมด ยังผู้คนสิบกว่าคนในที่แห่งนี้ และคนทั้งหมดต่างก็ดูคุ้นหน้า อันที่จริงหนึ่งในคนเหล่านั้นก็คือพี่สาวของตนเอง ฟางอวี๋
เขามองเห็นบิดามารดา ท่านอาจารย์ตานกุ่ย ไท่หยางจื่อ ฝานตงเอ๋อร์ และจื่อเซียง…
เมิ่งฮ่าวติดตามเจ้าอ้วนไปพบปะกับคนทั้งหมดที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นด้วยจิตใจที่หนักอึ้ง คนทั้งหมดเหล่านี้คงอยู่ในความทรงจำของตนเอง เมื่อพวกมันมองมายังเขา ก็ถอนหายใจ และกล่าวขึ้นมาด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นในโลกแห่งความฝัน
ไม่กี่วันต่อมาหลังจากที่เมิ่งฮ่าวไปพบปะพูดคุยกับคนทั้งหมด ในที่สุดเขาก็นั่งลงบนดาวเคราะห์และจ้องมองไปยังกระแสน้ำวนที่ถูกผนึกไว้ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า คนทั้งหมดในที่แห่งนี้ต่างก็ฟื้นสติกลับคืนมาแล้ว มีเมิ่งฮ่าวเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงสับสนอยู่
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าโดดเดี่ยวอ้างว้างเป็นอย่างยิ่ง ความรู้สึกสงสัยเหล่านี้ทำให้ต้องตั้งคำถามกับตนเอง ถ้ามีเพียงคนเดียวมาบอกกับตนเองว่าสิ่งที่เคยพบเจอมานั้นเป็นแค่ความฝันภาพลวงตา เขาก็ไม่มีทางจะเกิดคำถามกับตนเอง แต่นี่ไม่ใช่แค่คนเดียวเท่านั้น เป็นสอง, สาม, สิบ, หนึ่งร้อย ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างก็บอกกับตนเองถึงเรื่องเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนี้เขาได้แต่ต้องสงสัยในตัวเองขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“เป็นไปได้หรือไม่ว่า…ทั้งหมดนั้นคือความฝันจริงๆ…?” เมิ่งฮ่าวพึมพำ
“แน่นอนอยู่แล้ว” เจ้าอ้วนกล่าว นั่งลงไปที่ข้างกายเมิ่งฮ่าว สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยื่นส่งขวดน้ำเต้าสุรามาให้ เจ้าอ้วนดื่มลงไปคำใหญ่จากขวดน้ำเต้าสุราของตนเอง
กระแสน้ำวนยังคงหมุนวนอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าพวกมันจะอยู่ห่างไกลออกมาในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างใดๆ ถ้าคนทั้งสองกำลังนั่งอยู่บนดาวดวงหนึ่ง
เมิ่งฮ่าวถือขวดน้ำเต้าสุราอยู่ในมือ แทนที่จะดื่มลงไป กลับนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ชั่วขณะ และจากนั้นก็เริ่มหัวเราะอย่างขมขื่นขึ้นมา
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร…” เมิ่งฮ่าวกล่าว ส่ายหน้าไปมา ในตอนนี้กระจกทองแดงที่แขวนอยู่บนหน้าอกกำลังส่งคลื่นความร้อนออกมามากขึ้น จนแทบจะเผาไหม้ผิวกายของตนเองไป แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้สังเกตเห็น ยกขวดน้ำเต้าสุราขึ้นมาดื่ม แต่ขวดน้ำเต้านั้นก็ปกปิดดวงตาของตนเองไว้ ทำให้ไม่อาจจะสังเกตเห็นได้ว่าคนทั้งหมดในบริเวณนั้น เจ้าอ้วน ซุนไห่ หวังโหย่วฉาย ฉู่อวี้เยียน หลี่หลิงเอ๋อร์ หรือแม้แต่บิดามารดา และตานกุ่ย…ต่างก็กำลังเฝ้ามองมา รอคอยให้เขาดื่มลงไป!
ในตอนนี้เองสิ่งที่คาดไม่ถึงบางอย่างก็เกิดขึ้นมา!