ตอนที่ 1511
ข้าคือเมิ่งฮ่าว
สำนักชางไห่ไม่ได้ถูกกวาดล้างไป แม้ในขณะที่เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ แววตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ จิตใจสั่นสะท้าน เจตจำนงกระจายออกไปจนทำให้ผู้ฝึกตนที่กำลังต่อสู้กันด้วยความขมขื่นทั้งหมด ต้องคุกเข่าลงไปในทันที
มันคือเจตจำนงแห่งหลัวเทียน ซึ่งกลายเป็นแสงเจ็ดสีที่เปล่งประกายออกมาปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
ไม่เพียงแต่สำนักชางไห่เท่านั้น จริงๆ แล้ว แสงนี้ได้กระจายปกคลุมไปทั่วทั้งหนึ่งร้อยสำนักในชางหมางตี้เจี้ย (จักรวาลไร้สิ้นสุด) อีกด้วย…
“ผู้คนของข้า…” เสียงเก่าแก่โบราณเต็มอยู่ในจิตใจของผู้ฝึกตนทั้งปวงในชางหมางตี้เจี้ย และบอกกับพวกมันว่านับจากนี้เป็นต้นไป จะไม่ยอมให้มีการเข่นฆ่าสังหารเกิดขึ้นอีก
ความขัดแย้งจบสิ้นลง และนั่นก็เป็นเพราะว่า…ตัวตนของหลัวเทียนจื่อ (บุตรแห่งหลัวเทียน) รุ่นที่เก้าสิบเก้า ในที่สุดก็จะถูกประกาศออกมา
เจตจำนงอันยิ่งใหญ่ได้บอกกับผู้คนและสำนักทั้งปวงว่าอีกแค่ครึ่งปีเท่านั้น การทดสอบเพื่อได้รับตำแหน่งหลัวเทียนจื่อจะเริ่มต้นต่อสู้ขึ้น ในที่สุดก็จะมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น…ที่จะถูกเรียกว่าหลัวเทียนจื่อรุ่นที่เก้าสิบเก้า
คนผู้นั้นจะได้รับการประทานจากหลัวเทียน และจะเป็นตัวแทนหลัวเทียนเพื่อก้าวเข้าไปในอาณาจักรลี้ลับ และสามารถจะทำภารกิจพิเศษได้สำเร็จ…
เมื่อเสียงนั้นจางหายไป แสงก็เริ่มกลายเป็นจุดระยิบระยับนับไม่ถ้วน ตกลงมายังหนึ่งร้อยสำนักแห่งชางหมางตี้เจี้ย ไม่ว่าผู้ฝึกตนจะอยู่ตรงตำแหน่งใดก็จะพบเจอกับจุดแสงเหล่านั้น
พวกมันคือเมล็ดหลัวเทียน และผู้ฝึกตนใดๆ ก็ตามที่ปรารถนาจะเข้าร่วมการทดสอบที่จะกลายเป็นหลัวเทียนจื่อ ก็จำเป็นต้องดูดซับหนึ่งในเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นเพื่อมีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วม
ศิษย์จากสำนักพันธมิตรถอนตัวจากไป ไม่มีใครกล้าโต้แย้งคำสั่งแห่งหลัวเทียน ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะลังเลแม้แต่น้อย
ด้วยเช่นนั้น สงครามก็จบลง
ความเงียบมาแทนที่ความขมขื่นในสำนักชางไห่ ราวกับว่าคนทั้งหมดลืมเลือนการต่อสู้อย่างอำมหิตโหดเหี้ยมที่เพิ่งจะเกิดขึ้นมาไปจนหมดสิ้น ศิษย์ที่ยังเหลืออยู่และผู้อาวุโสของสำนักมารวมตัวกันทั้งหมด ยกเว้นผู้ที่แก่ชรามากๆ ผู้คนต่างก็ได้รับเมล็ดพันธุ์หลัวเทียนไปกันทั้งสิ้น
เฉินฝานส่งหนึ่งในเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นให้กับเมิ่งฮ่าว
“จวบจนบัดนี้เจ้าก็ยังคงสับสนอยู่ เจ้าไม่สนใจว่าคนในสำนักจะตายไปมากมายเท่าใด แม้แต่บุตรของตนเอง…ข้าคิดว่าเจ้าจะบอกว่าไม่มีใครเป็นของจริง และสิ่งที่เจ้าพบเจอมาในอาณาจักรลี้ลับเท่านั้นที่เป็นเรื่องจริง” น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ
“ดูดซับเมล็ดนี้เข้าไป เมื่อไหร่ที่เจ้ากลายเป็นหลัวเทียนจื่อ ก็สามารถจะกลับเข้าไปในอาณาจักรลี้ลับได้ จากนั้นเจ้าก็จะมองเห็นด้วยตาของตนเองว่าอะไรจริงอะไรปลอม!” เฉินฝานวางเมล็ดหลัวเทียนอยู่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว ยืนอยู่ที่นั่นเฝ้ารอให้เมิ่งฮ่าวดูดซับมันเข้าไป คนทั้งหมดมองมาด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน บ้างก็มีความเกลียดชังในแววตา บ้างก็ดูเหมือนว่าจะรู้สึกขัดแย้งไม่แน่ใจ ทั้งหมดนั้นดูเหมือนว่าจะรู้สึกสังเวชใจในสงครามที่ถูกจุดประกายขึ้นมาโดยเมิ่งฮ่าว
เมิ่งฮ่าวมองไปยังเมล็ดหลัวเทียน และสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ภรรยาของตนเองอยู่ห่างไกลออกไป โอบอุ้มบุตรชายที่ตายไปอยู่ในวงแขน กำลังหัวเราะด้วยความบ้าคลั่งออกมา ดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในความงุนงง
เมิ่งฮ่าวยืนเงียบๆ อยู่ที่นั่น หยิบเอาเมล็ดพันธุ์ขึ้นมาและตรวจสอบดู เหมือนที่เฉินฝานได้กล่าวไว้ ด้วยการดูดซับเมล็ดพันธุ์นี้ เมิ่งฮ่าวก็จะกลายเป็นหลัวเทียนจื่อ สามารถจะกลับเข้าไปในอาณาจักรลี้ลับได้
แต่ในตอนนี้เองที่กระแสความอบอุ่นจากกระจกทองแดง เริ่มมีความร้อนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนดูเหมือนว่าจะบรรลุถึงจุดวิกฤต ราวกับว่ามันกำลังจะหลอมรวมเข้ากับตนเอง ในตอนนี้เสียงคลุมเครือก็เริ่มได้ยินชัดเจนมากขึ้น
สายตาเริ่มพร่าเลือนไป และทันใดนั้นก็มองเห็นภาพต่างๆ ของตนเอง มองเห็นตัวเองกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในสำนักชางไห่ มองเห็นตนเองดูดซับเมล็ดพันธุ์ และเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อกลายเป็นหลัวเทียนจื่อ จนได้อันดับหนึ่งและถูกแต่งตั้งเป็นหลัวเทียนจื่อ
ภาพต่างๆ ของตนเองที่ได้รับการทักทายอย่างเป็นทางการจากหลัวเทียน เจตจำนงแห่งหลัวเทียนเต็มอยู่ภายในร่าง ทำให้เมล็ดพันธุ์เติบโตขึ้น ในที่สุดความคิดมากมายก็เต็มอยู่ในจิตใจ หลังจากนั้นก็ผ่านเข้าไปในอาณาจักรลี้ลับ
ในทันทีที่ผ่านเข้าไป ก็มองเห็นหญิงสาวงดงามผู้หนึ่ง เมื่อนางมองเห็นตนเองก็ยิ้มให้
“เหมือนที่ข้าเคยบอกไว้ เมื่อไหร่ที่ท่านกลับมา ก็จะกลายเป็นหลัวเทียนจื่อ”
แรงสั่นสะเทือนวิ่งผ่านไปทั่วร่างเมิ่งฮ่าว ทันใดนั้นความฝันก็สิ้นสุดลง แตกกระจายกลายเป็นเสี่ยงๆ ลืมตาขึ้นมา และทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มชัดเจนขึ้น เมล็ดพันธุ์ยังคงอยู่บนฝ่ามือ ขณะที่มองลงไป มันก็เริ่มหลอมละลาย ราวกับว่ากำลังจะไหลซึมเข้าไปในร่างกาย
ความร้อนจากกระจกทองแดงเริ่มมากขึ้นกว่าเดิม กระจายเต็มไปทั่วร่างเมิ่งฮ่าว จากนั้นตะเกียงสัมฤทธิ์ก็ปรากฏขึ้น เห็นได้ชัดว่ามันมักจะอยู่ที่นั่นอยู่ตลอดเวลา หลบซ่อนอยู่ภายในจิตสำนึกของเมิ่งฮ่าว ตอนนี้มันเริ่มสาดประกายเจิดจ้าออกมา เปล่งแสงออกไปเพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมใดๆ ที่จะผ่านเข้ามาในร่างเมิ่งฮ่าว
เมื่อแสงนั้นเต็มอยู่ในร่าง แววตาที่สับสนก็เริ่มจางหายไป จิตใจเต็มไปด้วยเสียงแตกร้าว คิดย้อนกลับไปเกี่ยวกับเคอจิ่วซือ คิดไปถึงเจ้าอ้วนและคนอื่นๆ ที่ตายไปทั้งหมด คิดไปถึงการถูกสังหารไปของบุตรชาย พร้อมกับสหายร่วมสำนักอื่นๆ อีกมากมาย
แต่จากนั้นความทรงจำเหล่านั้นก็เริ่มเลือนรางลงไป เวลาเดียวกันนั้นก็ราวกับว่ามันจะถูกแยกส่วนออกไปจากจิตใจของตนเอง ความทรงจำของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต และอาณาจักรขุนเขาทะเล ไหลท่วมท้นอยู่ในจิตใจ เสียงที่เคยร้องตะโกนเรียกตนเองอย่างเลือนลาง เริ่มแจ่มชัดขึ้นราวผลึกอยู่ในตอนนี้
เสียงนั้นคือเสียงของตนเอง และกำลังพูดออกมาเพียงแค่สี่คำเท่านั้น!
“ข้าคือเมิ่งฮ่าว” เขาพึมพำ มองไปยังเฉินฝาน ด้วยแววตาที่แจ่มใสไร้ซึ่งความสับสนใดๆ ถอนหายใจ ลุกขึ้นมายืน “ศิษย์พี่เฉินฝาน ข้าไม่สับสนอีกต่อไปแล้ว”
เมิ่งฮ่าวมองไปยังภรรยา ด้วยแววตาที่อบอุ่น
ดูเหมือนว่าเฉินฝานจะมีความรู้สึกขัดแย้งมากขึ้นกว่าเดิม ราวกับว่ามันกำลังแอบถอนหายใจอยู่ ภรรยาเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้านต่อคำพูดของเขา หยดน้ำตากำลังไหลลงมานองหน้า วิ่งตรงมาโอบกอดเขาไว้
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร…” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา หยดน้ำตาไหลลงมามากขึ้นขณะที่นางโอบกอดเขาไว้แน่นกว่าเดิม ราวกับหวาดกลัวว่าถ้าปล่อยมือไป ก็จะทำให้เขาต้องจากไปตลอดกาล
ดวงตาเมิ่งฮ่าวกลายเป็นสีแดงก่ำ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ขณะที่มองลงไปยังภรรยา
ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากที่เขาลืมตาขึ้นมาเมื่อครู่นี้ ภาพที่มองเห็นในโลกแห่งนี้เริ่มแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
ท้องฟ้าไม่ได้แจ่มใสอีกต่อไป แต่เต็มไปด้วยกลุ่มหมอก ภูเขาไม่ได้เป็นสีเขียวชอุ่ม แต่แห้งแล้งและว่างเปล่า โครงสร้างอาคารของสำนักที่ถูกตกแต่งอย่างงดงาม กลายเป็นเศษซากปรักหักพังอยู่ในตอนนี้
ภรรยาของตนเองจริงๆ แล้วก็คือซากศพที่แห้งกรัง เช่นเดียวกับคนทั้งหมดในสำนัก สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยอุดมไปด้วยพลังลมปราณ จริงๆ แล้วก็คือกลิ่นอายแห่งความตายและเน่าเปื่อยอย่างน่ากลัว
บุตรชายที่มีอายุแปดขวบ จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เด็กชาย แต่เป็นคนแคระ และเป็นซากศพที่แห้งกรังด้วยเช่นกัน เบ้าตาของมันไม่มีลูกตา มีแต่ตัวหนอนสีดำที่กำลังบิดตัวไปมาอยู่เท่านั้น
ภายใต้แผ่นฟ้าและผืนดินแห่งนี้ทั้งหมด มีเพียงคนเดียวที่อยู่ด้านข้างเมิ่งฮ่าวเท่านั้นที่แตกต่างกันออกไป ก็คือเฉินฝาน
เมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ ยังทุกสิ่งทุกอย่าง จากนั้นก็หลับตาลง
ภรรยากำลังยิ้มให้ ดูเหมือนว่าจะรู้สึกดีใจที่สามีฟื้นฟูกลับคืนมาแล้ว นางกำลังจะกล่าวบางอย่างออกมาแต่…
เมิ่งฮ่าวยกมือขึ้นมา ลูบไล้ไปที่เส้นผมของนาง ด้วยแววตาที่อบอุ่นมากขึ้น แต่ถ้ามองดูให้ละเอียด ก็จะเห็นประกายแห่งความสังเวชใจอยู่ในแววตาเล็กน้อย
“ศิษย์น้อง” เฉินฝานกล่าว ด้วยท่าทางที่ขัดแย้งมากขึ้นกว่าเดิม “เจ้าจำเป็นต้องดูดซับเมล็ดหลัวเทียนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ข้าจะ…”
“ศิษย์พี่เฉินฝาน” เมิ่งฮ่าวกล่าวแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “หลังจากที่ครุ่นคิดดูแล้ว ข้าไม่เคยกระทำผิดต่อท่านแม้แต่ครั้งเดียว ข้ามักจะเคารพท่านอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านก็เป็นศิษย์พี่ข้าเสมอมา” เมิ่งฮ่าวโอบกอดภรรยา และมองไปยังเฉินฝาน
จิตใจเฉินฝานเต้นรัว กำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่เสียงเมิ่งฮ่าวก็ดังขึ้น จนดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยพลังเวท
“ข้าไม่เคยลืม! ไม่เคยลืมสิ่งเหล่านั้นที่ท่านบอกว่าเป็นภาพลวงตา ข้าไม่เคยลืมสิ่งที่คงอยู่ในจิตใจ ถ้าเรื่องจริงเหล่านั้นเป็นภาพลวงตาจริง เป็นแค่ความฝัน…ข้าก็ขอจมลงไปในความฝันดีกว่าที่จะตื่นขึ้นมา” เมิ่งฮ่าวรู้สึกว่าภรรยาจู่ๆ ก็ตัวแข็งทื่อ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสังเวช ขณะที่กดมือลงไปบนแผ่นหลังของนางอย่างรุนแรงในทันที
ภายใต้สายตาตกตะลึงของคนทั้งหมดในบริเวณนั้น แค่การเคลื่อนไหวอย่างง่ายดายเช่นนี้ก็กำจัดกลิ่นอายและวิญญาณของภรรยาไป เมิ่งฮ่าวลุกขึ้นมายืนอย่างช้าๆ
“ปลดปล่อยเจ้าให้เป็นอิสระดีกว่า ทำให้ไม่มีใครสามารถจะควบคุมซากศพและวิญญาณเจ้าหลังจากที่ตายไปได้อีก” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา
กลุ่มฝูงชนที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นตกตะลึง ราวกับว่าพวกมันถูกฟาดด้วยสายฟ้า หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เสียงแผดร้องด้วยโทสะก็ดังก้องขึ้น และสายตาที่แดงก่ำของพวกมันก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว
ผู้อาวุโสของสำนักบินตรงมา เจ้าสำนักและแม้แต่ผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าต่างก็ตกตะลึงกันไปทั่ว
“เมิ่งฮ่าว!” เฉินฝานร้องตะโกนขึ้นด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
เวลาเดียวกันนั้น เสียงแผดร้องด้วยความโศกเศร้าเสียใจก็ดังก้องขึ้นมาจากอาจารย์ของเมิ่งฮ่าว ซึ่งเป็นเยวี่ยฟู่ (พ่อตา) ด้วยเช่นกัน มันบินตรงมาด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน ตอนแรกก็จ้องมองไปยังซากศพของบุตรี และจากนั้นก็มองมายังเมิ่งฮ่าว กระอักโลหิตออกมา เริ่มหัวเราะและจากนั้นก็พุ่งตรงมา
สายตาเมิ่งฮ่าวเยือกเย็นสงบนิ่ง โลกแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ในตอนนี้เขาไม่ได้ถูกโจมตีจากบุรุษวัยกลางคนอีกต่อไป แต่เป็นซากศพที่มีรูโหว่ขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้าอกซากหนึ่ง…
เมิ่งฮ่าวถอนหายใจและหลับตาลง เมื่อมันใกล้เข้ามา เมิ่งฮ่าวก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ยังคงเป็นสีแดงก่ำ และม่านตาก็เป็นสีแดงเข้มอยู่ในตอนนี้ กำมือขวาเป็นหมัดและต่อยออกไป ทำให้ร่างอาจารย์แตกกระจายกลายเป็นกลุ่มหมอกของเลือดเนื้อไป
นี่คือพลังการต่อสู้ของระดับขั้นสูงสุดเก้าแก่นแท้ ซึ่งระเบิดออกมาจากร่างเมิ่งฮ่าว
“ศิษย์พี่กลายเป็นปีศาจไปแล้ว!!”
“สังหารมัน!” เสียงแผดร้องด้วยโทสะดังก้องออกมาจากปากของผู้อาวุโส ขณะที่พวกมันพุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว สายตาของเขาก็สาดประกายขึ้นด้วยความสังเวช และเคลื่อนที่ตรงไป เริ่มกลายเป็นเงาร่างอันเลือนราง และคนทั้งหมดที่มาเผชิญหน้าด้วย ไม่ว่าพวกมันจะมีพื้นฐานฝึกตนอยู่ที่ระดับใด ต่างก็ถูกทำลายไปทั้งร่างกายและจิตใจ ด้วยดรรชนีที่ชี้ออกไปแค่ครั้งเดียว
ในที่สุดทั้งแผ่นฟ้าและผืนดินต่างก็จมอยู่ในความมืดสนิท เสียงแผดร้องโหยหวนดังก้องขึ้นมา ที่ใดก็ตามที่เมิ่งฮ่าวพุ่งผ่านไป ก็จะตามมาด้วยความตาย โลหิตไหลนองไปทั่วพื้นดิน มองเห็นซากศพอยู่ทั่วทุกที่
แต่สิ่งที่เมิ่งฮ่าวมองเห็น คือสิ่งที่แตกต่างกันออกไป โลหิตที่ไหลนองออกมาไม่ได้เป็นสีแดง แต่เป็นสีดำและสกปรก ยิ่งไปกว่านั้นซากศพที่นอนอยู่ในตอนนี้ก็เป็นซากศพมานานแล้ว ก่อนที่เขาจะสังหารพวกมันไปซะอีก