Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1520

ตอนที่ 1520

แกะสลักสวรรค์

“หลังจากที่กลายเป็นมารและเทพ พวกมันก็ไปทำลายดรรชนีของหลัวเทียนด้วยเช่นกัน ไม่รู้ว่าพวกมันเคยร่วมมือกันหรือไม่ หรือว่ายังมีสาเหตุอื่นอีก ทำให้ยังไม่สามารถจะกำจัดหลัวเทียนไปได้”

 

“พวกมันกำลังรอคอย รอให้…อสูรปรากฏขึ้น ไม่รู้ว่าพวกมันมีความคิดมาจากไหน ทำให้เชื่อว่าอสูรสามารถกำจัดหลัวเทียนไปได้”

“แต่หลัวเทียนก็กำลังรอคอยด้วยเช่นกัน ด้วยความหวาดกลัวว่าจะมีใครกลายเป็นเซียนที่แท้จริง รอคอยให้ปราณอสูรปรากฏขึ้นภายในร่างพวกมัน จากนั้นก่อนที่พวกมันจะทันได้กลายเป็นอสูรอย่างแท้จริง…มันก็จะดูดซับเสมือนอสูรเหล่านั้น กลืนกินพวกมันลงไป ใช้ความหลากหลายของอสูร และการถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ของพวกมัน ทำให้หลัวเทียนมีชีวิตใหม่ขึ้นมา!”

“บางทีตระกูลทุกชั้นฟ้าอาจจะถูกสร้างขึ้นมาจากโลหิตแห่งหลัวเทียนจริงๆ แต่พวกมันก็สามารถจะให้กำเนิดอสูรขึ้นมาได้เช่นกัน!”

“โชคชะตาของข้าเหมือนกับอสูร และข้าก็คืออสูรที่แท้จริง” เมิ่งฮ่าวถอนหายใจ บางทีความเข้าใจของตนเองอาจจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่หลังจากที่พบเจอกับประสบการณ์มาทั้งหมด ก็มั่นใจว่าเป็นความจริงเจ็ดถึงแปดในสิบส่วน

“นั่นคือที่มาของซงเต้าจื่อและใบหน้าอื่นๆ อีกเก้าสิบเจ็ดคน พวกมันมาจากโลกที่แตกต่างกันออกไปเมื่อในอดีต และทั้งหมดนั้นก็กลายเป็นเสมือนอสูร”

“และข้าคือคนที่เก้าสิบเก้า ข้าถูกเตรียมการโดยหลัวเทียนให้กลายเป็นคนสุดท้าย” เมิ่งฮ่าวส่ายหน้าไปมา ลอยตัวอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ เป็นเวลานาน สายฝนหยุดตกไปแล้ว และในตอนนี้ก็มองเห็นดวงจันทร์กำลังลอยอยู่ในท้องฟ้า ส่องแสงลงมายังพื้นดินที่ด้านล่าง สะท้อนไปยังแอ่งน้ำจนกลายเป็นภาพอันงดงาม

ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็เดินลงไปยังเมืองมนุษย์ที่ด้านล่าง ติดตามความรู้สึกของตนเองไป เดินผ่านถนนจนกระทั่งพบว่าตนเองไปหยุดอยู่ตรงหัวมุมแห่งหนึ่ง ซึ่งทอดยาวไปสู่หุบเขาเล็กๆ แห่งหนึ่ง

ลึกเข้าไปในหุบเขาคือร้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง

ประตูร้านปิดอยู่ แต่จากภาพที่เห็นและกองไม้ตรงด้านนอก ก็บ่งบอกว่านี่คือร้านของช่างไม้แกะสลัก

นี่คือบ้านของชีวิตที่เก้าร่างจำแลง เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน ดูเหมือนว่ากลุ่มหมอกในที่แห่งนี้จะหนาแน่นมากเป็นพิเศษ ทำให้เกิดเป็นความรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างที่กำลังถูกบ่มเพาะอยู่ภายใน สามารถจะทำให้สวรรค์ต้องสั่นสะเทือนไปมา

หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก เมิ่งฮ่าวก็ส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไป เพื่อพยายามจะมองเข้าไปที่ด้านใน แต่ก็ราวกับว่ากำลังโยนวัวศิลาลงไปในมหาสมุทร ไม่อาจจะมองเห็นอะไรได้

ชั่วขณะต่อมาร่างเมิ่งฮ่าวก็แวบหายไป เมื่อปรากฏขึ้นอีกครั้งก็ไปอยู่ตรงด้านในของร้าน มองไปรอบๆ ยังเครื่องมือแกะสลักที่ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ยังมีชิ้นไม้แกะสลักที่ถูกจัดเรียงกันเป็นชั้นๆ จนทำให้เมิ่งฮ่าวต้องผงะไปเล็กน้อยอีกด้วย

มีทั้งวิหค, สุนัข, แมว ทั้งหมดเหล่านั้นดูเหมือนของจริงเป็นอย่างยิ่ง ราวกับมีชีวิตจิตใจด้วยเช่นกัน จริงๆ แล้วก็เหมือนกับว่าพวกมันกำลังเดินไปมาอยู่รอบๆ บริเวณนั้น และยังเปล่งแสงสว่างออกมาอย่างเลือนลาง ซึ่งมนุษย์ทั่วไปไม่อาจจะรับรู้ได้อีกด้วย

มันคือแสงแห่งชีวิต…และเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง คล้ายกับเป็นพลังชีวิตที่ไม่ได้เกิดจากชิ้นไม้เหล่านั้นเอง แต่เป็นส่วนหนึ่งของงานไม้แกะสลักเหล่านี้

เมิ่งฮ่าวไม่สามารถจะคาดคิดได้ว่า จะมีมือเช่นใดกันที่สามารถแกะสลักชิ้นไม้ให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาได้เช่นนี้

ในตอนนี้เองที่สายตาได้ตกกระทบไปยังชิ้นไม้แกะสลักขนาดเล็กชิ้นหนึ่ง ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาเป็นหญิงสาวนางหนึ่ง แรงสั่นสะเทือนวิ่งผ่านไปทั่วร่าง และดวงตาก็เบิกกว้างขึ้น แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้เห็นนี้ รู้สึกราวกับว่าสายฟ้ากำลังฟาดลงมาในจิตใจ

จากแววตาของเมิ่งฮ่าว ก็ราวกับว่าเขากำลังมองไปยังสิ่งที่แปลกประหลาดจนยากที่จะจินตนาการออกมาได้

“นั่นคือ…เป็นไปได้อย่างไรกัน? ทำไมชีวิตที่เก้าของร่างจำแลงข้าถึงได้แกะสลักนาง…?” จิตใจเมิ่งฮ่าวเริ่มเต้นรัว ขณะที่ตระหนักว่าตลอดช่วงชีวิตที่เก้านี้ต้องมีสิ่งที่น่าตกใจและยากจะเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นอยู่เป็นแน่

ในตอนนี้เองที่เมิ่งฮ่าวได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาจากทางด้านหลัง บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากห้องที่อยู่ด้านหลังร้าน เป็นคนตาบอดแต่ก็สามารถจะเดินได้อย่างมั่นใจ ราวกับว่ามีดวงตาทั้งสองข้าง มันมีความคุ้นเคยกับร้านเล็กๆ นี้เป็นอย่างมาก ราวกับว่าเป็นร้านที่ถูกแกะสลักขึ้นมาจากสองมือของตนเอง เดินมายังกึ่งกลางร้าน หยิบเอามีดแกะสลักออกมาจากชั้นวางของ จากนั้นก็นั่งลงและเริ่มทำงานแกะสลักที่ไม่มีวันจบสิ้นของตนเองต่อไป

งานแกะสลักนั้นเสร็จไปแล้วยังไม่ถึงครึ่ง และถึงแม้ว่าไม่มีใครสามารถจะมองเห็นได้ว่ามันคืออะไร แต่เมื่อเมิ่งฮ่าวมองไปแค่แวบเดียวก็สามารถจะบอกได้ว่า มันคือเครื่องหมายผนึกชิ้นที่เก้าแห่งเวทรุ่นเก้า

เสียวเป่ามองไม่เห็นเมิ่งฮ่าว และไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าสามารถวาดภาพในตอนนี้ออกมาได้ ก็จะกลายเป็นภาพที่เมิ่งฮ่าวกำลังยืนอยู่ที่เบื้องหน้าชีวิตที่เก้าของร่างจำแลงตนเอง มองลงไปขณะที่มันค่อยๆ แกะสลักชิ้นไม้อย่างช้าๆ

ความรู้สึกแปลกๆ เต็มอยู่ในจิตใจเมิ่งฮ่าว เมื่อมองไปยังชีวิตที่เก้านี้

การถือกำเนิดขึ้นมาใหม่นี้แตกต่างไปจากชีวิตอื่นๆ จากชีวิตที่สองจนถึงชีวิตที่แปด เมิ่งฮ่าวสามารถจะเฝ้าสังเกตดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ได้ และรู้สึกคุ้นเคยกับชีวิตเหล่านั้น

เขาสามารถรู้สึกได้ว่านี่คือร่างจำแลงของตนเองอย่างแน่นอน วิญญาณและโลหิตของมันต่างก็มาจากเมิ่งฮ่าว แต่ก็รู้สึกไม่คุ้นเคยกับชีวิตที่เก้านี้เป็นอย่างยิ่ง

เวลาผ่านไป เมิ่งฮ่าวก็แค่มองไปยังร่างจำแลงที่กำลังแกะสลักชิ้นไม้อยู่ เขาไม่เคยเห็นเครื่องหมายผนึกชิ้นที่เก้านี้มาก่อน ซึ่งสามารถจะมองเห็นเป็นรูปเป็นร่างได้อย่างชัดเจนอยู่ในตอนนี้

เครื่องหมายผนึกเหล่านั้นมักจะเป็นเค้าโครงร่างอยู่ในจิตใจเท่านั้น แต่ในตอนนี้ ภายในมือของเสียวเป่า เครื่องหมายผนึกกำลังมีรูปร่างขึ้นมาอย่างแท้จริงในโลกนี้ ทุกครั้งที่มีดแกะสลักกรีดเฉือนลงไป

“นี่คือชีวิตที่เก้า ซึ่งเป็นชีวิตสุดท้ายของร่างจำแลงข้า…?” เมิ่งฮ่าวพึมพำ ยืนอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน…จนกระทั่งหญิงสาวนางหนึ่งเดินออกมาจากภายในห้อง นางไม่อาจจะมองเห็นเมิ่งฮ่าวได้เช่นเดียวกับเสียวเป่า แต่ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวมองเห็นนาง ก็เข้าใจได้ว่าทำไมหานเป้ยถึงมายังสถานที่แห่งนี้

“เยียนเอ๋อร์…” เมิ่งฮ่าวพึมพำกับตนเองพร้อมกับถอนหายใจออกมา หลังจากที่ได้เห็นรูปไม้แกะสลักของเยียนเอ๋อร์ ก็เริ่มสงสัยถึงความเป็นจริง แต่เมื่อได้เห็นนางในที่แห่งนี้ ก็ทำให้ความรู้สึกอันซับซ้อนพุ่งขึ้นมาในจิตใจ ตอนนี้เมิ่งฮ่าวเข้าใจแล้วว่าในชีวิตที่เก้านี้ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น ร่างจำแลงของตนเอง…ได้แต่งงานกับฉู่อวี้เยียน

ท้องของนางนูนขึ้น และสีหน้าก็อบอุ่นอ่อนโยนขณะที่วางเสื้อกันหนาวลงไปบนไหล่ของสามี จากนั้นก็นั่งอยู่ด้านข้างมองดูการแกะสลักของสามี จากแววตาที่นางมองไป ราวกับว่าจะไม่มีวันเหน็ดเหนื่อยที่จะต้องนั่งอยู่เช่นนั้น ตราบชั่วชีวิตของนาง

ในที่สุดนางก็มองลงไปยังรูปแกะสลัก และเมื่อไม่อาจจะรู้ว่ามันคืออะไร ก็ถามขึ้นว่า “ใกล้จะเสร็จแล้วยัง?”

“ยังไม่ แค่หนึ่งในสามส่วนเท่านั้น” เสียวเป่ากล่าวตอบ ลูบไปที่ชิ้นไม้นั้นอย่างอ่อนโยน

นางมองลงไปอย่างละเอียดมากขึ้น และจากนั้นก็ถามว่า “มันคืออะไร? ข้าดูไม่ออก”

เสียวเป่ายิ้มและตอบว่า “นี่คือ…สวรรค์ เท่าที่ข้ามองเห็นได้”

“สวรรค์?” หญิงสาวมีท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย

“ใช่แล้ว นี่คือสวรรค์ พร้อมกับดวงตาที่มืดบอดเช่นเดียวกับข้า ไม่อาจจะมองเห็นได้” เสียวเป่าถอนหายใจ เยียนเอ๋อร์นั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ

ทันใดนั้นเสียวเป่าก็มองขึ้นมา และถึงแม้ว่าไม่อาจจะมองเห็นเมิ่งฮ่าว แต่ก็ราวกับว่ากำลังมองมาที่เขา “เยียนเอ๋อร์ บางครั้งข้ามีความรู้สึกว่านี่คือเป้าหมายในชีวิตของข้า”

“ข้าถูกลิขิตให้กลายเป็นคนตาบอด เพื่ออาศัยอยู่ในโลกแห่งความมืด”

“แต่ข้าต้องการให้สวรรค์ลืมตาของมันขึ้นมา น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจจะยื่นมือขึ้นไปแตะต้องสัมผัสมันได้”

เมิ่งฮ่าวมองไปยังเสียวเป่าและเยียนเอ๋อร์เป็นเวลานาน ในที่สุดก็ถอนหายใจและจากไป ก่อนที่จะเดินออกไปจากร้าน ก็มองกลับไปยังเยียนเอ๋อร์ และชีวิตน้อยๆ ที่อยู่ในครรภ์ของนาง

เมิ่งฮ่าวสามารถจะรับรู้ได้ถึงชีวิตที่อยู่ด้านใน และถึงแม้ว่าทารกนี้จะเป็นทายาทของชีวิตที่เก้าร่างจำแลง แต่ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองด้วยเช่นกัน

ชีวิตที่เก้านี้ไม่เหมือนกับชีวิตอื่นๆ และทารกผู้นี้ก็แตกต่างออกไปด้วยเช่นกัน

เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ตรงธรณีประตู ด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน

เขาไม่ทำอะไรเพื่อไปขัดขวางชีวิตของเยียนเอ๋อร์และเสียวเป่า ไม่จำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น

เขาเลือกที่จะปล่อยให้คนทั้งสองจากไป ดังนั้นจึงไม่แยกคนทั้งสองออกจากกันในตอนนี้

เนื่องจากเรื่องของเวทรุ่นเก้าแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าชีวิตที่เก้านี้มีญาณหยั่งรู้เป็นอย่างยิ่ง จนถึงจุดที่ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องตกตะลึง มันไม่เพียงแต่จะแกะสลักเครื่องหมายผนึกชิ้นที่เก้าแห่งเวทรุ่นเก้าออกมาเท่านั้น ยังได้กล่าวคำพูดที่ไปกระตุ้นความคิดของเมิ่งฮ่าวอีกด้วย

“จะผนึกสวรรค์ได้อย่างไร ถ้าไม่อาจจะมองเห็น?” เมิ่งฮ่าวพึมพำ ส่ายหน้าไปมา

“ไม่ใช่เช่นนั้น ผู้คนคิดว่ามันไม่อาจจะมองเห็นสวรรค์ แต่ความเป็นจริงก็คือว่าในโลกอันมืดมิดนั้น มันสามารถจะมองเห็นสวรรค์”

“มันกำลังแกะสลักสวรรค์เหล่านั้นทีละเล็กทีละน้อย ผนึกชิ้นที่เก้าเป็นตัวแทนของสวรรค์เหล่านั้น!”

“เมื่อรูปแกะสลักของมันสมบูรณ์ ชีวิตที่เก้าของร่างจำแลงข้าก็จะตายไป เป้าหมายของชีวิตมันก็คือแกะสลักเครื่องหมายผนึกชิ้นที่เก้านั้น” เมิ่งฮ่าวเดินห่างออกไปอย่างเงียบๆ

เขาไม่ได้ออกไปจากเมืองมนุษย์นี้ แต่ซื้อบ้านที่ห่างไกลจากเสียวเป่าและเยียนเอ๋อร์ไม่มากนักอาศัยอยู่ เฝ้ารอคอยให้ชีวิตที่เก้าของร่างจำแลงทำงานเสร็จสิ้นสมบูรณ์

แปดเดือนผ่านไปในชั่วพริบตา และเสียวเป่าก็กลายเป็นบิดาของทารกหญิง นางไม่ได้ตาบอด สามารถมองเห็นโลกที่หลากหลายสีสันนี้ได้ทั้งหมด เสียงหัวเราะที่ร่าเริงและสดใสของนางมักจะดังก้องไปทั่วบ้าน

มารดานางตั้งชื่อให้ทารกหญิงด้วยอักษรเพียงตัวเดียว ‘หม่าน’ ซึ่งหมายความว่า สมบูรณ์เพียบพร้อม

นับตั้งแต่นางถือกำเนิดขึ้นมา บิดามารดาก็เรียกนางว่าหม่านเอ๋อร์ เป็นชื่อที่ฟังดูแปลกๆ อยู่เล็กน้อย แต่เสียวเป่าก็ชอบชื่อนี้ เช่นเดียวกับเยียนเอ๋อร์

เสียวเป่ารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งนับตั้งแต่นางถือกำเนิดขึ้นมา มักจะอุ้มบุตรีตัวน้อยอยู่ในวงแขนและหัวเราะด้วยความสุขออกมา จากนั้นก็แกะสลักท่อนไม้จนดูคล้ายคลึงกับบุตรี และนำไปวางไว้ที่หัวเตียงของนาง

ไม่กี่ปีต่อมา บุตรีของเสียวเป่าก็มีอายุได้แปดขวบ และเครื่องหมายผนึกชิ้นที่เก้าก็เสร็จสิ้นไปแล้วครึ่งหนึ่ง

ในวันนั้นผมหงอกเส้นหนึ่งได้ปรากฏขึ้นบนศีรษะของเสียวเป่า ในไม่ช้าหม่านเอ๋อร์ก็แอบปีนมาจากทางด้านหลัง จากนั้นก็กระโจนขึ้นไป หัวเราะอย่างมีความสุขออกมา เสียวเป่าหัวเราะหึๆ อุ้มนางอยู่ในวงแขน และทันใดนั้นหม่านเอ๋อร์ก็ชี้ไปที่ผมหงอกบนศีรษะของบิดา

“เตียเตีย ท่านมีผมหงอกแล้ว! อยู่นิ่งๆ ข้าจะถอนให้” นางยื่นมือน้อยๆ ออกไป หยิบผมหงอกเส้นนั้นขึ้นมาและดึงออกไป

เสียวเป่าบีบไปที่แก้มของบุตรี และส่งยิ้มให้กับนางด้วยความรักใคร่เอ็นดู เต็มไปด้วยความสุข หลายปีผ่านไปอีกครั้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!