ตอนที่ 1526
ดินแดนเหนือสูงสุด
ขณะที่เสียงของเมิ่งฮ่าวดังก้องออกไป ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างก็สั่นสะท้าน สวี่ชิงกำลังนั่งขัดสมาธิเข้าฌานอยู่ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ และหยดน้ำตาแห่งความดีใจก็ไหลรินลงมาบนใบหน้า
คนทั้งหมดกำลังเฝ้ารอคอยมานานหลายร้อยปี ในที่สุด…จักรพรรดิอสูรก็กำลังจะกลับมาแล้ว!
ในโลกของผีเสื้อขุนเขาทะเล เจ้าอ้วนในตอนนี้ได้กลายเป็นเจ้าสำนักที่มีความสำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง ในท่ามกลางการดุด่าว่ากล่าวใครบางคน ทันใดนั้นแรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วร่างมัน จากนั้นก็เริ่มหัวเราะจนน้ำตาไหลเป็นทาง สร้างความงุนงงให้กับคนทั้งหมด
สถานที่บางแห่งซึ่งอยู่ลึกลงไปภายในโลกของผีเสื้อขุนเขาทะเล เป็นอาณาเขตที่มีความหนาวเย็นมากที่สุด ผู้ฝึกตนวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในที่แห่งนั้น ถูกห้อมล้อมด้วยอากาศอันหนาวเย็น มีท่าทางดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง และดวงตาก็หลับอยู่ อันเนื่องมาจากว่าเป็นคนตาบอด
ทันใดนั้นแรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วร่าง และเปลือกตาของมันก็เปิดขึ้นมา เผยให้เห็นถึงหลุมสีดำข้างใน เมื่อมันเปิดตาขึ้น ลมพายุก็พุ่งขึ้นมาอยู่รอบๆ ตัว และรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ตรงสถานที่แห่งอื่นในโลกผีเสื้อขุนเขาทะเลเป็นหลี่หลิงเอ๋อร์ ซึ่งยังคงแบกรับความปรารถนาครั้งสุดท้ายของไห่เมิ่งจื้อจุน (ผู้ยิ่งใหญ่ทะเลความฝัน) ไว้อย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ยอมรับมรดกจากไห่เมิ่ง นางก็ก่อตั้งสหพันธ์ไห่เมิ่ง ซึ่งขยายใหญ่มากขึ้นตลอดช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา
ขณะที่นางนั่งขัดสมาธิเข้าฌานอยู่ในสำนัก ทันใดนั้นก็สั่นสะท้านและลืมตาขึ้นมา มองขึ้นไปในท้องฟ้าและยิ้มออกมา ถึงแม้ว่าเส้นผมของนางจะขาวโพลนด้วยความแก่ชรา แต่รอยยิ้มก็ยังคงงดงามเหมือนเช่นเคย
ในสถานที่อีกแห่งเป็นบ้านที่อยู่บนยอดเขา ซึ่งพี่สาวเมิ่งฮ่าวได้อาศัยอยู่กับซุนไห่ คนทั้งสองวิวาห์กันนานแล้ว มีทั้งบุตรชายและบุตรสาว ซึ่งเติบใหญ่กันหมดแล้ว พร้อมกับเหล่าหลานๆ ทำให้กลายเป็นตระกูลเล็กๆ ตระกูลหนึ่ง
“เสี่ยวตี้ (น้องชาย) กำลังจะกลับมาแล้ว” ฟางอวี๋กล่าวขึ้น ดวงตาสาดประกายด้วยแสงแห่งการหวนรำลึก
ทุกหนทุกแห่งในผีเสื้อขุนเขาทะเล ผู้คนต่างก็สั่นสะท้าน รวมทั้งหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งมีนามว่าจื่อเซียง กำลังยิ้มออกมาด้วยความมุ่งหวัง
ยังมีบุรุษหนุ่มอีกคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังปลาวาฬยักษ์ ซึ่งกำลังบินผ่านท้องฟ้าอยู่ในตอนนี้ บุรุษผู้นั้นกำลังเอนกายพิงโลงศพใบหนึ่ง และถือขวดน้ำเต้าสุราอยู่ในมือ หลังจากที่จิบลงไปหนึ่งคำ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“เยี่ย (ราตรี) มันกำลังจะกลับมาแล้ว” บุรุษหนุ่มกล่าว ซึ่งก็คือเคอจิ่วซือ และปลาวาฬตัวนั้นก็คือเจินหลิงเยี่ย (วิญญาณราตรีที่แท้จริง)
ยังมีสำนักในโลกของผีเสื้อขุนเขาทะเลที่ถูกเรียกว่าเต๋าคุนหลุน ในตอนที่อาณาจักรขุนเขาทะเลถูกทำลายไป เต๋าคุนหลุนถูกรักษาไว้ได้ พวกมันยังได้ดูแลสิ่งของสำคัญมากที่สุดภายในสำนักให้อยู่รอดปลอดภัยด้วยเช่นกัน และนำเข้ามาในผีเสื้อขุนเขาทะเลด้วย
หนึ่งในสิ่งของเหล่านั้นก็คือ…โลงศพ ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากหยกเซียน และเต็มไปด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเมิ่งฮ่าว!
ยอดเขาที่สูงมากที่สุดภายในเต๋าคุนหลุนไม่ได้ขรุขระแหลมคม แต่มีหลุมอยู่ตรงด้านบน ภายในหลุมนั้นเป็นค่ายกลเวทนับไม่ถ้วน รวมทั้งหยกเซียนที่กองรวมกัน ตรงกลางของกองหยกเซียนเป็นโลงศพโลงหนึ่ง
ภายในโลงศพเป็นหญิงสาวที่มีความงดงามเป็นอย่างยิ่ง ดวงตานางปิดอยู่ราวกับว่ากำลังนอนหลับไป ซึ่งก็คือร่างจริงของฉู่อวี้เยียนนั่นเอง เนื่องจากพลังจากสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเมิ่งฮ่าว และวิธีการปกป้องที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยเต๋าคุนหลุน ทำให้สามารถรักษาร่างกายนางไว้ได้จนถึงทุกวันนี้
ในขณะที่คนทั้งหมดในผีเสื้อขุนเขาทะเลซึ่งคุ้นเคยกับเมิ่งฮ่าว รับรู้ได้ว่าเขากำลังจะกลับมาแล้ว ชายชราเส้นผมขาวโพลนที่นั่งอยู่ด้านข้างโลงศพ กำลังมองไปยังหญิงสาวที่อยู่ด้านใน ซึ่งก็คือตานกุ่ย อาจารย์ของเมิ่งฮ่าว และเป็นอาจารย์ของฉู่อวี้เยียนด้วยเช่นกัน
ตานกุ่ยจ้องมองไปยังฉู่อวี้เยียนชั่วขณะ จากนั้นก็ถอนหายใจ กำลังจะหมุนตัวจากไป แต่แรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วร่าง มองกลับไปยังฉู่อวี้เยียน และด้วยเหตุผลบางอย่าง ก็ทำให้เชื่อว่า…ตนเองมองเห็นเปลือกตานางสั่นไปมาเล็กน้อย
ตานกุ่ยอ้าปากค้าง “นี่…”
ท่านมองไปอย่างละเอียดมากขึ้น และถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่าฉู่อวี้เยียนยังไม่ฟื้นคืนมา แต่ก็มองเห็นได้อย่างแน่นอนถึง…สัญญาณชีวิตอันเลือนลาง!
ขณะที่คนทั้งหมดในผีเสื้อขุนเขาทะเลสั่นสะท้าน ย้อนกลับไปยังทวีปแรกแห่งดาวชางหมาง เมิ่งฮ่าวก้าวเดินตรงไป ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันลึกล้ำ
อ๋าวเฉี่ยนเดินตามอยู่ข้างกาย และชั่วขณะต่อมา นกแก้วก็บินออกมา ในทันทีที่มันมองเห็นอ๋าวเฉี่ยน ก็โห่ร้องขึ้นมาด้วยความดีใจ
“อา! ขนของเจ้าช่างงดงามนัก! อู่เหยียรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว! บัดซบ! ทำไมอู่เหยียถึงอยากจะร้องไห้…?”
เมิ่งฮ่าวไม่กล่าวตอบโต้ กลับไปยังทวีปที่เก้า จากนั้นก็เข้าไปยังดาวครึ่งดวงที่อยู่ด้านล่างพื้นดิน เมื่อกลับเข้าไปในเมืองตี้จิ่วจื้อจุน ก็เข้าไปในเขตนั่งเข้าฌานตามลำพังของตนเอง
แต่โชคร้ายที่เขาไม่อาจจะขจัดความโศกเศร้าที่เอ่อล้นขึ้นมาในจิตใจได้ จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับฉู่อวี้เยียน เมื่อเวลาผ่านไปนานสักพักก็ยกมือขวาขึ้นมาขยับร่ายเวทโดยไม่รู้สึกตัว ส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้แผ่กระจายออกไป หลังจากที่มั่นใจว่าหม่านเอ๋อร์สุขสบายดี ก็เริ่มค้นหาสัญญาณแห่งการเกิดใหม่ของฉู่อวี้เยียน
“นาง…ยังไม่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่?” เมิ่งฮ่าวครุ่นคิด
มองออกไปยังที่ห่างไกล เขาไม่ใช่คนที่ไร้จิตใจโดยสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าจะเต็มไปด้วยความต้องการล้างแค้นอย่างเต็มเปี่ยมก็ตาม แต่ความรู้สึกบางอย่างก็ไม่อาจจะเพิกเฉยไปได้อย่างง่ายดาย ในจิตใจของเมิ่งฮ่าวมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ตนเองติดค้างอยู่ทั้งหมดในชีวิตนี้ ซึ่งก็คือ…ฉู่อวี้เยียน
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้ต้องคิดย้อนกลับไปยังโลงศพที่อยู่ภายในกระแสน้ำวน ซึ่งผีเสื้อขุนเขาทะเลตั้งอยู่ โลงศพนั้นมีตัวอักษรเขียนไว้ว่า
“ทั่วทั้งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวต่างก็เป็นหนี้ข้า และข้า…ก็เป็นหนี้ท่านด้วยเช่นกัน ท่านสามารถจะตื่นขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่ต้องการ…”
ตัวอักษรและความหมายเหล่านั้น ช่างสอดคล้องกับเมิ่งฮ่าวเป็นอย่างยิ่ง เขานั่งอยู่ที่นั่นด้วยความขมขื่นอย่างเงียบๆ เป็นเวลานาน ในที่สุดก็โบกสะบัดมือออกไป และชิ้นไม้แกะสลักของเวทรุ่นเก้าก็ปรากฏขึ้น หลังจากที่ตรวจสอบไปเล็กน้อย ความมุ่งมั่นก็ปรากฏขึ้นในแววตา และส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปเพื่อพยายามจะดูดซับมัน
อย่างไรก็ตามในทันทีที่ทำเช่นนั้น เจตจำนงแห่งหลัวเทียนที่เพิ่งจะถูกขับไล่ออกไป ก็ตกลงมายังเมิ่งฮ่าวด้วยความบ้าคลั่งอย่างเต็มเปี่ยม
ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบประกายขึ้น และรอยยิ้มอันดุร้ายก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ขณะที่ทำการดูดซับเวทรุ่นเก้าอย่างต่อเนื่อง เวลาเดียวกันนั้นก็ต่อต้านเจตจำนงแห่งหลัวเทียนไปด้วย
สองสามวันต่อมา ดวงตาเมิ่งฮ่าวก็กลายเป็นสีแดงเจิดจ้า ขณะที่ยกมือขึ้นมาและฟาดลงไปบนพื้น สายลมพุ่งออกไป และบริเวณนั้นก็ไม่มีอะไรที่จะถูกทำลายไป สายลมต่อสู้กลับไปยังเจตจำนงแห่งหลัวเทียนด้วยความแข็งแกร่งมากขึ้น ในที่สุดดวงตาเมิ่งฮ่าวก็เป็นสีแดงก่ำไปโดยสิ้นเชิง
ตอนนี้เขาตระหนักว่าถ้าต้องการดูดซับเวทรุ่นเก้าด้วยความเงียบสงบ ก็ไม่อาจจะกระทำในที่แห่งนี้ได้ เขาอาจจะสามารถบังคับมันให้เกิดขึ้นได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าในขั้นตอนนี้ เขาอาจจะทำให้ทุกสรรพสิ่งพังทลายลงมาได้
การดูดซับเวทรุ่นเก้ามีความสำคัญกับตนเองเป็นอย่างยิ่ง และไม่อาจจะปล่อยให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ดวงตาก็สาดประกายเจิดจ้าขึ้น
“ข้าจำเป็นต้องหาสถานที่ซึ่งเจตจำนงแห่งหลัวเทียนไม่อาจผ่านเข้ามาได้ มีแต่สถานที่เช่นนั้นข้าถึงจะสามารถดูดซับเวทรุ่นเก้าได้อย่างราบลื่น…สถานที่เช่นนี้ที่ข้ารู้จักก็มีแต่เขตสุสานเท่านั้น!”
“ดูเหมือนว่าจะต้องเดินทางเข้าไปในเขตสุสานอีกครั้งแล้ว ถ้าเจตจำนงแห่งหลัวเทียนต้องการเข้าไปในที่แห่งนั้น มันก็ต้องต่อสู้กับสุสานและสิ่งทั้งหมดที่อยู่ภายในนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…” เมิ่งฮ่าวคิดไปถึงครั้งแรกที่ตนเองเข้าไปในเขตสุสาน เขาได้ยินเสียงที่พูดออกมาจากดินแดนกว้างใหญ่แห่งที่เก้า ทำให้เจตจำนงแห่งหลัวเทียนต้องตกใจด้วยคำพูดเพียงคำเดียวนั้น
ขณะที่นั่งอยู่ในที่แห่งนั้น ก็ตรวจสอบตะเกียงสัมฤทธิ์ที่อยู่ภายในร่างไปด้วย อีกครั้งที่สามารถจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของการกราบกรานสักการะของเหล่าภูตผีที่มุ่งตรงมายังตนเอง ทำให้ความมุ่งมั่นในแววตาเริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้น
“ไปยังเขตสุสาน!” เมิ่งฮ่าวกล่าว ลุกขึ้นมายืน เก็บชิ้นไม้แกะสลักไว้ และขยับร่างเคลื่อนไหว มุ่งหน้าตรงไปยังประตูเคลื่อนย้ายทางไกลของดาวครึ่งดวง
เมื่อไปถึงที่นั่นก็ยื่นมือออกไปและกระตุ้นให้ประตูเกิดการทำงานขึ้นมา ทำให้พลังแห่งการเคลื่อนย้ายทางไกลเริ่มก่อตัวขึ้น
ก่อนที่ค่ายกลเวทจะทันได้ทำงานอย่างเต็มกำลัง ลำแสงหลายสายก็พุ่งฝ่าอากาศตรงมา ซึ่งก็คือจินหยุนซาน ซาจิ่วตง ไป๋อู้เฉิน เจ้าสำนัก และผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้คนอื่นๆ ไม่ขาดหายไปแม้แต่คนเดียว
กลุ่มคนเหล่านี้ต่างก็เป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ และเริ่มให้ความสนใจต่อเมิ่งฮ่าวอย่างใกล้ชิดมานานแล้ว ในทันทีที่พวกมันรับรู้ว่าเขากำลังเปิดประตูเคลื่อนย้ายทางไกล ก็เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจะเข้าไปในเขตสุสาน ดังนั้นพวกมันจึงปรากฏตัวขึ้น
คนทั้งหมดมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยความรู้สึกอันซับซ้อน มีท่าทางที่สั่นสะท้าน เจ้าสำนักสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นก็ประสานมือและโค้งตัวลง
“สหายเต๋าเมิ่ง ขอให้พวกเราไปกับท่านได้หรือไม่? พวกเราพยายามที่จะผ่านเข้าไปในดินแดนกว้างใหญ่แห่งที่เก้ามาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เคยทำได้สำเร็จมาก่อน ถ้าท่านสามารถเปิดมันออกมาได้ ก็หวังว่าท่านจะให้โอกาสพวกเราผ่านเข้าไปด้วยเช่นกัน”
มันไม่ได้โกหก ตลอดช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา คนทั้งหมดไม่สามารถจะผ่านดินแดนกว้างใหญ่แห่งที่แปดออกไปได้ พวกมันลองทำทุกวิถีทางเท่าที่จะคิดออกมาได้ แต่ก็พบกับความล้มเหลวทุกครั้ง ในที่สุดก็สรุปได้ว่าดินแดนกว้างใหญ่แห่งที่เก้ามีเกราะป้องกันที่แยกพวกมันออกมา เป็นสิ่งที่พวกมันไม่มีทางจะผ่านเข้าไปได้
ถึงแม้ว่าพวกมันไม่มั่นใจว่าทำไมเมิ่งฮ่าวถึงได้ต้องการจะเข้าไปในเขตสุสาน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขามีความแน่วแน่ที่จะทำเช่นนั้น หลังจากที่พวกมันฝึกฝนตนเองมานานหลายปี หลังจากที่ประสบพบเจอกับเหตุการณ์ทั้งหมดในเขตสุสาน ก็เริ่มคาดเดาได้ว่าเมิ่งฮ่าวมีความสัมพันธ์กับกลิ่นอายอันน่ากลัวที่พวกมันรู้สึกได้ในตอนที่เข้าไปในดินแดนกว้างใหญ่แห่งแรก
โอกาสในตอนนี้เป็นสิ่งที่พวกมันไม่อาจจะละเลยได้อย่างง่ายดาย ไม่เพียงแต่เจ้าสำนักเท่านั้นที่ประสานมือและโค้งตัวลง แต่ผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้คนอื่นๆ ทั้งหมด รวมทั้งซาจิ่วตงและไป๋อู้เฉิน ต่างก็กระทำเช่นเดียวกัน
ไป๋อู้เฉินเต็มไปด้วยความขมขื่นจากการที่ต้องกระทำเช่นนี้ แต่โอกาสที่จะอยู่เหนือจุดสูงสุดทำให้นางต้องยอมทำเช่นนี้
มีแต่จินหยุนซานเท่านั้นที่ยืนนิ่งอยู่ที่นั่น ด้วยท่าทางไม่สะทกสะท้านและอวดดี มันโบกสะบัดมือออกไป ทำให้กำไลเก็บสมบัติทั้งหมดสามสิบชิ้นปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นตัวแทนของความร่ำรวยทั้งหมดที่มันเก็บรวบรวมได้ในหลายปีที่ผ่านมา จิตใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวด กัดฟันแน่นและโบกสะบัดชายแขนเสื้อออกไป ส่งผลให้กำไรเก็บสมบัติลอยตรงไปยังเมิ่งฮ่าว
“นั่นคือค่าผ่านทางของข้า!” มันกล่าวเสียงราบเรียบพร้อมกับเชิดหน้าขึ้น มีความเชื่อมั่นในการแสดงออกนี้โดยสิ้นเชิง และยังได้รู้สึกหยิ่งยโสขึ้นมาเล็กน้อยจากวิธีการนี้ หลังจากที่ผ่านมานานหลายปี ก็ยังไม่มีใครเข้าใจเมิ่งฮ่าวได้เช่นเดียวกับตนเอง ตราบเท่าที่เอาเงินทองกองลงไปที่เบื้องหน้า เขาก็จะยอมรับได้ทุกอย่าง
สีหน้าเมิ่งฮ่าวบิดเบี้ยวขึ้น ขณะที่มองไปยังกำไลเก็บสมบัติสามสิบชิ้นที่ลอยฝ่าอากาศตรงมา เขาคิดจะปฏิเสธข้อเสนอที่ดูถูกเช่นนี้ แต่จากนั้นก็โบกสะบัดมือออกไป ดูดเอากำไลเก็บสมบัติเข้ามาในแขนเสื้อ และกระแอมไอออกมา จนต้องยอมรับว่าถึงแม้ตนเองจะเติบใหญ่ขึ้น และกลายเป็นคนที่เย็นชามากแค่ไหน แต่การดูถูกเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่ตนเองยินดีจะยอมรับมัน
เมื่อผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ มองเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ พวกมันก็คึกคักขึ้นมาในทันที โดยไม่ลังเลใดๆ แต่ละคนเริ่มหยิบเอาที่เก็บสมบัติอันล้ำค่าต่างๆ ออกมา ส่งมอบออกไป คนส่วนใหญ่ยื่นส่งให้สิบกว่าชิ้น แต่ก็มีบางคนที่มอบให้หลายสิบชิ้น
เมิ่งฮ่าวมองไปยังที่เก็บสมบัติเหล่านั้น และยังใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์กวาดผ่านไปอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะด้วยระดับพลังการต่อสู้ของเขาในตอนนี้ แต่ก็ยังคงต้องรู้สึกตกตะลึงอย่างลึกล้ำในสิ่งที่มองเห็น
ทั้งในแง่ของหินลมปราณและของวิเศษต่างๆ ก็เห็นได้ชัดว่าสิ่งของที่อยู่ภายในนั้นยากที่จะนับได้ ทำให้จิตใจต้องเต้นรัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ข้าอยู่ในขั้นสูงสุดเก้าแก่นแท้แล้ว เป็นผู้แข็งแกร่งมากที่สุดรองลงมาจากเหนือสูงสุด แล้วจะให้กลุ่มคนเหล่านี้…มาดูถูกได้อย่างไรกัน?” เมิ่งฮ่าวพึมพำกับตัวเอง แต่หลังจากที่มองไปยังสิ่งที่ใช้เก็บสมบัตินับร้อยเหล่านั้น ก็ต้องสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และยิ้มออกมา โบกสะบัดชายแขนเสื้อ เก็บรวบรวมไว้ทั้งหมด จากนั้นก็ไอแห้งๆ ออกมา
“สหายเต๋าทั้งหลาย เมื่อพิจารณาจากการที่พวกท่านได้ดูแลข้ามาเป็นอย่างดี ตลอดเวลาที่อยู่ในชางหมางพ่ายแห่งนี้ ก็เป็นหน้าที่ของข้าที่จะต้องนำพวกท่านเข้าไปในเขตสุสาน!” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงซึมเศร้า
“อย่างไรก็ตาม การเข้าไปในครั้งนี้ก็มีอันตรายอันยิ่งใหญ่รออยู่ แต่ถ้าพวกท่านยังคงยืนกรานที่จะเข้าไป ข้าก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อนำพวกท่านเข้าไปในดินแดนกว้างใหญ่แห่งที่เก้าด้วยกัน”
คนทั้งหมดยิ้มและพยักหน้า พวกมันไม่วิตกแม้แต่น้อยเกี่ยวกับอันตรายใดๆ นอกจากนั้นพวกมันก็เข้าไปในเขตสุสานหลายครั้งแล้วจึงรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดี
หลังจากที่มองไปรอบๆ เป็นครั้งสุดท้าย เมิ่งฮ่าวและคนอื่นๆ ทั้งหมดต่างก็ช่วยเพิ่มพลังให้กับค่ายกลเวทอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีความรวดเร็วเพิ่มขึ้นมาในทันที
หลังจากที่ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ค่ายกลเวทก็ส่งเสียงดังกระหึ่ม และแสงเคลื่อนย้ายทางไกลก็พุ่งขึ้นไปในอากาศ ขณะที่เกิดขึ้นเช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนดาวชางหมางก็สั่นสะเทือน พื้นดินสั่นไหวไปมา และท้องทะเลก็พลุ่งพล่านปั่นป่วน ขณะที่เจตจำนงอันทรงพลังตกลงมา