ตอนที่ 157
กระถางทรงสี่เหลี่ยมด้านนอก!
ภาพนั้นหายไป สีหน้าเมิ่งฮ่าวปกติเหมือนเดิม ไม่แสดงอะไรออกมา เขามองไปยังฉือโหย่วเต้าและคนอื่นๆ สีหน้าของพวกมันไม่ได้เปลี่ยนแปลง ดูเหมือนว่าพวกมันทุกคน รวมถึงฉือโหย่วเต้าและบุรุษชุดเทาได้ยืนยันในสิ่งที่หานเป้ยบอกมาเรียบร้อยแล้ว
“เป็นไปได้หรือไม่ว่า พวกมันไม่ได้สังเกตถึงกระถางสัมฤทธิ์นั่น?” เมิ่งฮ่าวคิด หลังจากที่ประทับโลหิตของเขาลงไป เถาวัลย์ก็เริ่มส่งกลิ่นอายของปีศาจออกมา
หานเป้ยยิ้ม “สหายเต๋าทั้งหลาย, ตอนนี้พวกท่านก็วางใจได้แล้ว โปรดติดตามข้าไปยังสถานที่ของต้นแบบแห่งกาลเวลา ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในวันนี้ ถ้าพวกเราได้ครอบครองต้นแบบนั้น ทุกคนก็จะได้รับฉบับคัดลอกของมัน” นางโค้งตัวไปยังคนทั้งหมด และจากนั้นก็พุ่งขึ้นไปในอากาศ และบินผ่านพื้นที่ราบกว้างใหญ่นั้น
เซี่ยเจี๋ยเป็นคนที่สองที่บินขึ้นไป ตามติดด้วยฉือโหย่วเต้าและสตรีแซ่หลี่ เมิ่งฮ่าวและบุรุษชุดเทา เป็นกลุ่มสุดท้ายของคนทั้งหกที่กลายเป็นลำแสงหลากสีพุ่งผ่านท้องฟ้าไป
ไม่มีใครพูดจาในช่วงระหว่างการเดินทาง ทุกคนต่างก็ครุ่นคิดกันไปคนละทาง ใบหน้าเมิ่งฮ่าวไร้ความรู้สึก แต่ความคิดของเขาก็เต็มไปด้วยภาพของกระถางสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ ในตอนนี้ เขาเชื่อถึงแปดในสิบส่วนว่าพื้นที่ ที่เขาได้เห็นนั้นไม่มีทางออก แต่เป็นฝีมือของหานเป้ยที่จัดฉากขึ้นมา
เขาไม่แน่ใจว่าหานเป้ยจะสามารถหลอกลวงคนอื่นๆ ได้หรือไม่ แต่เขามีเครื่องรางนำโชค และมีความรู้สึกวางใจในสถานะของเขาตอนนี้ แน่นอนว่าสถานที่ของต้นแบบแห่งกาลเวลาต้องเป็นที่ ที่แปลกประหลาดและพิสดารเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่ใช่ หานเป้ยก็คงไม่ใช้เวลาและรวบรวมคนมากมายเพื่อไปที่นั่น
“ข้าสงสัยนักว่า หานเป้ยรู้จักต้นแบบแห่งกาลเวลานี้ได้อย่างไร…” เขาคิดอยู่ในใจ มองไปด้านหน้ายังรูปร่างที่อ่อนช้อยของหานเป้ย ขณะที่นางพุ่งผ่าอากาศไป
ทันใดนั้น ฉือโหย่วเต้า ก็ส่งเสียงขึ้นมา พูดถึงสิ่งที่เมิ่งฮ่าวเพิ่งจะคิดไปเมื่อครู่นี้ “สหายเต๋าหาน, ท่านยังไม่ได้บอกว่ารู้จักต้นแบบแห่งกาลเวลานี้ได้อย่างไร รวมถึงยังไม่ได้บอกว่าท่านได้ส่วนแรกของมันมาได้อย่างไร”
หานเป้ยมองกลับมาด้านหลังพร้อมรอยยิ้ม
“ถ้าสหายเต๋าฉือร้อนใจต้องการคำตอบ ข้าจะบอกท่านทันทีที่พวกเราไปถึง” ตอนนี้พวกเขาได้มาถึงชายเขตของพื้นที่ราบขนาดใหญ่ ทันใดนั้น เสียงกระหึ่มกึกก้องก็ดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง มันอยู่ห่างไกลออกไปมาก แต่ก็ยังคงทำให้ทุกคนรู้สึกสั่นสะท้าน ยกเว้นหานเป้ยและเซี่ยเจี๋ย
พวกอยู่ขั้นสุดท้ายของพื้นฐานลมปราณ ต่างก็โคจรพลังลมปราณจนกระทั่งเสียงกระหึ่มและแรงดึงดูดนั้นจางหายไป จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับไปเป็นปกติเหมือนเดิม ยกเว้นใบหน้าของพวกมันซีดขาวขึ้นเล็กน้อย
ท่าทางขอโทษปรากฎขึ้นบนใบหน้าหานเป้ย แต่นางก็ไม่พูดจาอะไร นางยกมือขึ้นและกดลงไปที่พื้นด้านล่าง สายลมอันรุนแรงทันใดนั้นก็กรรโชกขึ้นมา กวาดผ่านไปทั่วพื้นที่บริเวณนั้น หานเป้ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และจากนั้นก็ตบลงไปที่ถุงสมบัติ ขวดหยกปรากฎขึ้นในมือ
มันมีสีเขียวแกมฟ้า และทันทีที่มันปรากฎขึ้น สีหน้าของนางก็เริ่มค่อนข้างจะเศร้าหมองลง นางโยนมันออกไป และทุกคนก็มองไปขณะที่มันตกลงไปที่ด้านล่าง
เมื่อมันตกลงไปบนพื้น รอยร้าวก็ปรากฎขึ้นบนพื้นผิวของมัน และกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ของเหลวสีฟ้า ปรากฎขึ้นภายในรอยร้าวนั้น และส่งกลิ่นที่แสบจมูกอย่างรุนแรงออกมา เมื่อกลิ่นนั้นกระจายออกไป ดวงตาของผู้ฝึกตนชุดเทาก็หดแคบลง
“นั่นคือ…น้ำยาฟ้าสวรรค์!”
แม้ในขณะที่คำพูดของมันดังออกมา ขวดหยกนั้นก็แตกออกเป็นชิ้นๆ ของเหลวสีฟ้าที่อยู่ด้านใน ก็กระจายออกมา ก่อตัวเป็นกลุ่มหมอกครอบคลุมพื้นที่รอบๆ รัศมีหนึ่งร้อยจ้าง ทันใดนั้น ทุ่งหญ้าก็หายไป ราวกับว่ามันเป็นเหมือนภาพลวงตา พื้นดินที่อยู่รอบๆ พวกเขาก็กลายเป็นสีดำ ราวกับว่ามันต้องคำสาปจากเวทอาคมโบราณซึ่งเกิดขึ้นมานับพันปีมาแล้ว
“สหายเต๋าซือคง, ท่านเป็นผู้ที่มีประสบการณ์และความรอบรู้เป็นอย่างมาก ท่านกล่าวถูกต้อง นี่คือน้ำยาฟ้าสวรรค์ การได้ครอบครองมันแม้เพียงแค่หยดเดียว ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง มันสามารถสร้างภาพลวงตาได้อย่างเข้มข้นหลากหลาย” นางส่งยิ้มให้กับบุรุษชุดเทา จากนั้นก็ชำเลืองมองไปยังเมิ่งฮ่าวและคนอื่นๆ
“สหายเต๋าทั้งหลาย, ข้ารู้ว่าพวกท่านมีคำถามอยู่มากมาย ในตอนนี้พวกเรากำลังยืนอยู่บนประตูโบราณ ที่จะนำไปสู่เขตผนึกด้านในของดินแดนสงบสุข จริงๆ แล้ว สำนักชิงหลัวรู้จักดินแดนสงบสุขนี้มานานหลายปีมากแล้ว แต่บุคคลที่ค้นพบมันจริงๆ ไม่ใช่ศิษย์จากสำนักชิงหลัว แต่เป็นบรรพบุรุษของตระกูลข้า”
“เนื่องจากดินแดนสงบสุขนี้ สำนักชิงหลัวจึงได้ให้บรรพบุรุษของข้าเข้าร่วมสำนัก ซึ่งเป็นเหตุให้สายเลือดตระกูลหานได้คงอยู่ในสำนักนี้ ในความเป็นจริง แผนที่ซึ่งใช้ในการเข้ามายังสถานที่นี้ ได้ถูกสร้างขึ้นจากการพยายามค้นคว้ามานานหลายปีของท่านลุงจากตระกูลข้า ท่านใช้วิชาเวทลี้ลับเพื่อสร้างและผนึกโลหิตของท่านเองเข้าไปในแผนที่นั้น เพราะ…”
นางเงียบไปอึดใจ จากนั้นก็กล่าวต่อ “เพราะดินแดนสงบสุขนี้ ครั้งหนึ่งเคยอยู่ใต้การปกครองของปรมาจารย์จากตระกูลหาน แต่ในที่สุดท่านก็กลายเป็นหนึ่งในเต๋าและหายสาบสูญไป ด้วยเหตุนั้น การที่จะติดต่อกับสถานที่นี้ได้ต้องใช้สายเลือดจากลูกหลานของท่าน”
“ข้าไม่แน่ใจว่าสำนักชิงหลัวกำลังวางแผนอะไรอยู่ แต่ก่อนที่ท่านลุงจะกลายเป็นแผนที่ ท่านได้บอกข้าว่าเนื่องจากสายเลือดของท่านได้เชื่อมต่อกับสถานที่นี้ ท่านจึงรับรู้ได้ถึงวิชาลับของตระกูลหานที่อยู่ด้านใน เป็นเวทแห่งกาลเวลาทั้งสามส่วน วิชาเวทนี้สามารถสร้างของวิเศษที่ใช้ทำลายกาลเวลาได้ ด้วยการกวัดแกว่งของวิเศษนั้น ก็จะสามารถดูดอายุขัยของคนอื่นๆ มาได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมถึงต้องใช้ต้นชุนชิวหรือสิ่งของที่มีพื้นฐานเหมือนกัน”
“แม้แต่ในสมัยโบราณ” นางกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลและชัดเจน “ของวิเศษที่ใช้ทำลายกาลเวลา ก็เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดและยากที่จะพบเห็น ปัจจุบันนี้ ทุกคนคิดว่ามันหายสาบสูญไปแล้ว ถ้ามันยังคงมีอยู่ ก็ต้องเป็นสถานที่แห่งนี้เท่านั้น! สำหรับส่วนแรกของต้นแบบแห่งกาลเวลา อืม…นี่เป็นสิ่งที่ถูกส่งต่อกันมาในแต่ละรุ่นของตระกูลข้า”
“ข้าต้องการรวบรวมทั้งสามส่วนเข้าด้วยกัน และสร้างเป็นของวิเศษที่ทำลายกาลเวลา มันเป็นเรื่องส่วนตัวของข้าเอง และไม่ต้องการให้สมาชิกในตระกูลหานคนอื่นๆ รู้เรื่องนี้ ข้ายังต้องหลีกเลี่ยงสายตาที่สอดรู้สอดเห็นของสำนักชิงหลัวอีกด้วย นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำไมข้าจึงได้เชื้อเชิญพวกท่านทั้งหมดมายังสถานที่นี้ในวันนี้ สำหรับศิษย์พี่เซี่ย ที่มาอยู่ที่นี้ได้ก็เพราะข้อตกลงก่อนหน้านี้ระหว่างพวกเราสองคน”
เห็นได้ชัดว่าทุกคนมีความคิดเห็นของตัวเอง ในการที่จะพิจารณาว่า สิ่งที่นางเพิ่งพูดไปเป็นความจริงแค่ไหน และโกหกมากเท่าไหร่ วิธีการที่นางใช้ที่ข้างนอกในการรวบรวมกลุ่มคนเข้าด้วยกันให้เบาะแสบางอย่าง ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายมองไปทั่วทั้งกลุ่ม แต่ด้านใน เขากำลังหัวเราะ
ดูเหมือนทุกคนกำลังคิดถึงบางอย่างที่แตกต่างกัน แต่นอกจากข้าแล้ว ก็ดูเหมือนไม่มีใครสนใจฟังคำอธิบายของหานเป้ยเลย และนางก็รู้ดี ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่ผิดปกติในเรื่องที่นางเพิ่งพูดไป
แต่…ต้นแบบแห่งกาลเวลาน่าจะเป็นเรื่องจริงเป็นอย่างมาก ในตอนนี้ ข้าไม่มีอาวุธเวทที่ทรงพลังอยู่เลย นอกจากกระบี่ไม้ ข้ายังมีต้นชุนชิวซึ่งสามารถใช้กระจกทองแดงผลิตซ้ำขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ถ้าข้าสามารถเรียนรู้วิชาจากต้นแบบแห่งกาลเวลา ปัญหานี้ของข้าก็จะหมดไป
ข้าต้องระวังตัวให้มากไว้ ถ้ามีอะไรผิดปกติ ข้าก็จะใช้เครื่องรางนำโชคออกจากสถานที่นี้ในทันที ในขณะที่เขาตัดสินใจอยู่นั้น หานเป้ยก็ขยับมือร่ายเวทอาคมอย่างรวดเร็ว เพื่อเปิดประตูโบราณที่ด้านล่างของทุกคน
เสียงกระหึ่มเก่าแก่โบราณดังออกมาจากด้านใน ราวกับว่ามีสัตว์ป่าบางตัวกำลังนอนหลับอยู่ ได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา ทันใดนั้น แสงเรืองรองก็สว่างขึ้นมา มันไม่ได้กระจายออกไปไกล เพียงปกคลุมพื้นที่รอบๆ หนึ่งร้อยจ้าง
เมื่อแสงปรากฎขึ้น หานเป้ยก็มองขึ้นไปในท้องฟ้า ราวกับว่านางกำลังคำนวนอะไรบางอย่าง จากนั้น ร่างของนางก็แวบขึ้น พุ่งลงไปในประตู ด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เซี่ยเจี๋ยก็เข้าไปด้วยเช่นกัน ตามติดไปด้วยฉือโหย่วเต้าและคนอื่นๆ
เมิ่งฮ่าวใช้จิตสัมผัสกวาดไปทั่วบริเวณนั้น เพื่อให้แน่ใจว่ามันไม่มีอะไรนอกไปจากประตูเคลื่อนย้ายทางไกลเท่านั้น หลังจากได้เห็นทุกคนเข้าไป และประตูนั้นก็เริ่มเลือนลางลง เขาก็ตามเข้าไป แสงเรืองรองนั้นกระจายออกไป และจากนั้นก็จางหายไป ทุกคนหายตัวไป
เมื่อพวกเขาปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง ท้องฟ้าที่ด้านบนเป็นท้องฟ้าเดียวกับดินแดนสงบสุข แต่พื้นดินปกคลุมไปด้วยรอยร้าว ที่ห่างไกลออกไป มองเห็นบางสิ่งได้ชัดเจน เมื่อดวงตาเมิ่งฮ่าวตกกระทบไปที่มัน ดวงตาของเขาก็สาดประกายเจิดจ้าสักพัก และจากนั้นก็กลับคืนเป็นปกติเหมือนเดิม
ตรงขึ้นไปข้างหน้า เป็นกระถางสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่โตมโหฬาร!
กระถางนั้นสูงหลายหมื่นจ้าง สูงขึ้นไปจนดูเหมือนจะยันค้ำท้องฟ้าไว้ มันดูทั้งโบราณและดึกดำบรรพ์ ราวกับว่ามันได้คงอยู่มานานหลายหมื่นปีจนนับไม่ได้ รัศมีที่แผ่กระจายออกมาอย่างไร้ที่สิ้นสุดของมัน ทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวอย่างรุนแรงแม้แต่หานเป้ย
ความคิดที่แตกต่างกัน เกิดขึ้นในจิตใจของทุกคนในตอนนี้
“กระถางเป็นของใช้ของเชื้อชาติ พวกมันถูกสร้างขึ้นจากผู้ที่มีโชคชะตาอันยิ่งใหญ่เท่านั้น กลายเป็นว่า…กระถางที่น่ากลัวนี้ปรากฎอยู่ในสถานที่นี้!”
“ช่างเป็นของวิเศษอย่างแท้จริง! ใครกันที่สามารถสร้างกระถางจากสวรรค์ได้เช่นนี้?!”
“รูปลักษณ์ของมันดูสวยงามโบราณจนดูเหมือนจะไร้ที่เปรียบ มันต้องอยู่ที่นี่มานานกว่าหลายหมื่นปี เป็นไปได้หรือไม่ว่า มันได้ถูกสร้างขึ้นมาจากชนเผ่าที่ยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณ…?”
ทุกคนต่างก็อ้าปากค้าง ขณะที่จ้องขึ้นไปยังกระถางยักษ์นั้น แม้แต่บุรุษใบหน้าเย็นชาในชุดยาวสีเทา ก็อ้าปากค้างด้วยเช่นกันเมื่อมันมองไป แสงแปลกๆ ส่องประกายขึ้นมาในดวงตาของมัน
ดวงตาของเซี่ยเจี๋ยหรี่เล็กลง และต้องใช้เวลาสักพักก่อนที่มันจะได้สติกลับคืนมา
เมิ่งฮ่าวจำมันได้ในทันที มันเป็นกระถางเดียวกันกับที่เขาได้เห็นในการส่งภาพมาจากต้นเถาวัลย์ก่อนที่มันจะตายไปในสิ่งที่ถูกเรียกว่าทางออก ขณะที่เขามองไปรอบๆ บริเวณนั้น เขาก็บอกได้ว่า…ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ นี้ ดูเหมือนกับสิ่งที่เขาได้เห็นในสิ่งที่ถูกสมมุติว่าเป็นทางออก
เขาหัวเราะอย่างเย็นชาอยู่ภายในใจ แต่สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เขาลอบหยิบเอาเครื่องรางนำโชคออกมา และตรวจดูให้แน่ใจว่ามันยังคงทำงานได้ตามปกติ ในจิตใจของเขาตอนนี้ ก็รู้สึกยอมรับในตัวของปรมาจารย์เอกะเทวะขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่แน่ใจว่าเครื่องรางนำโชคนี้มีความวิเศษอย่างไร แต่เขาก็รู้ว่ามันยังคงทำงานได้ดีในสถานที่แห่งนี้
ด้วยความรู้สึกอุ่นใจขึ้นเล็กน้อย เขามองกลับไปยังกระถางใหญ่ยักษ์นั่น เกิดความรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็น แต่การยืนอยู่เบื้องหน้ามันเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นเพียงแมลงเล็กๆ ตัวหนึ่ง
“กระถางใบนี้มีรอยร้าว…” ฉือโหย่วเต้ากล่าวขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ
ทุกคนสามารถมองเห็นกระถางสัมฤทธิ์ที่มีขนาดใหญ่โตจนน่ากลัวนี้ มีรอยร้าวขนาดใหญ่แตกลงไปถึงด้านล่าง รอยร้าวนี้ดูเหมือนต้องการจะแยกกระถางใบนี้ออกเป็นสองส่วน แต่ก็ยังไม่อาจทำได้
ทุกคนต่างก็คาดเดาอยู่ในใจว่า รอยร้าวนี้ต้องเกิดจากอาวุธเวทบางอย่างที่มีพลังอันน่าตกใจ แต่เมื่อเมิ่งฮ่าวได้เห็นมัน เขาก็เกิดความรู้สึกที่แตกต่างออกไป รอยร้าวนั้นไม่ได้เกิดจากอาวุธเวท เขามองขึ้นไปในท้องฟ้า และย้อนคิดกลับไปถึงความรู้สึกที่เขาถูกฟาดโดยทัณฑ์สายฟ้า มันเป็นความรู้สึกเดียวกับที่เขารับรู้ได้เมื่อมองไปยังรอยร้าวนี้ มันต้องเกิดจากทัณฑ์สายฟ้าอย่างแน่นอน!
“ใครก็ตามที่สามารถเป็นเจ้าของกระถางที่ใหญ่ยักษ์นี้ และใช้มันเป็นอาวุธเวทได้ ต้องเป็นคนที่สามารถสร้างความสั่นสะเทือนให้กับโลกแห่งผู้ฝึกตนนี้อย่างแน่นอน” คำพูดของเซี่ยเจี๋ยแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความชื่นชมยกย่อง