ตอนที่ 567
เคอจิ่วซือ
ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็ก้าวเท้าลงไปบนแท่นศิลา ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาลูกที่สี่ ถ้ามองมาจากที่ห่างไกล ภูเขาในส่วนนี้ดูเหมือนจะแหลมคม แต่จริงๆ แล้วก็แบนราบ
มีรูปร่างคล้ายกับลานสี่เหลี่ยมจัตุรัสอันกว้างใหญ่ ห้อมล้อมไปด้วยเก้ากระถางยักษ์ กระถางทั้งหมดเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว ตรงจุดกึ่งกลางของกระถางเป็นโลงไม้ โลงนั้นไม่มีฝาปิดและถูกแกะสลักไว้ ไม่ใช่เป็นสัญลักษณ์เวท แต่เป็นภาพโบราณของกลุ่มเมฆและสัตว์มงคลต่างๆ มีภาพของภูเขาและแม่น้ำอยู่ด้วย แม้แต่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวอันกว้างใหญ่ก็มีด้วยเช่นกัน
เพียงมองแค่แวบแรก ภาพสลักนั้นดูเหมือนจะซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง แต่หลังจากที่ตรวจสอบดูอย่างละเอียด ก็จะพบเห็นความเรียบง่ายซ่อนอยู่ภายในความซับซ้อนนั้น
ทำให้เกิดความรู้สึกถึงความขัดแย้งและความกลมกลืน อย่างที่ยากจะอธิบายออกมาได้
เมิ่งฮ่าวเข้าไปใกล้โลงไม้ที่ด้านข้าง มองลงไปด้านใน มีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีซากศพ ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ไม่มีอะไรเลย
ไม่มีร่างอาศัยอยู่ที่นี่
ขณะที่ในตอนนี้ มีเวลาเหลืออยู่เพียงแค่แปดสิบลมหายใจเท่านั้น ก่อนที่อาณาจักรที่สองจะเปิดออก เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ข้างโลงไม้ มองลงไปยังความว่างเปล่านั้นอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา
เป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าเขาไม่เสียใจ เขาได้ละทิ้งร่างอาศัยศิษย์สายในซึ่งฟางอวี๋มอบให้ เขาติดอยู่ในความคิดของตัวเอง แต่ความจริงอันโหดร้ายทำให้เขาได้แต่ถอนหายใจออกมา และยืนอยู่ที่นั่นเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันซับซ้อนอยู่ในจิตใจ
เมิ่งฮ่าวเลื่อนสายตาไปยังภาพที่ด้านล่างภูเขาอย่างเงียบๆ ตอนนี้เหลือเวลาอยู่เพียงแค่เจ็ดสิบลมหายใจเท่านั้น ไม่มีทางที่เขาจะสามารถค้นหาซากศพอื่นที่เหมาะสมอีกในตอนนี้ จากเส้นทางที่มายังที่แห่งนี้ เขาได้พบว่าบนครึ่งทางที่ขึ้นมายังยอดเขาลูกนี้ ไม่มีซากศพใดๆ เหลืออยู่เลย
จากจุดบนสุดที่อยู่บนภูเขา ทำให้ตอนนี้สามารถมองเห็นว่า ทั่วทั้งภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยเวทป้องกันอย่างแน่นหนา แน่นหนาจนแทบจะดูเหมือนว่าทั่วทั้งภูเขาลูกนี้ ถูกปกคลุมไปด้วยเวทป้องกันขนาดใหญ่เพียงหนึ่งเดียว ซึ่งป้องกันไม่ให้ผู้ใดเข้ามาถึงยอดเขานี้ได้
ไม่มีเวทป้องกันแม้แต่เวทเดียวที่จะถูกทำลายไป เมิ่งฮ่าวไม่เคยแม้แต่จะไปแตะต้องมัน ภาพของเวทป้องกันที่รวมตัวกันอย่างแน่นหนานี้ ทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกค่อนข้างสับสน
“จริงๆ แล้ว ข้ามาถึงด้านบนนี้ได้อย่างไร?” เป็นครั้งแรกที่เมิ่งฮ่าวเกิดคำถามนี้ขึ้นมา ตลอดช่วงการเดินทางขึ้นมาบนยอดเขานี้ เขาไม่ได้ให้ความสนใจใดๆ การเดินทางจากเชิงเขาขึ้นมาตลอดสองชั่วยาม ดูเหมือนจะค่อนข้างง่ายดาย
ตอนนี้เมื่อเมิ่งฮ่าวมองกลับลงไป ทั่วทั้งภูเขาก็ดูเหมือนจะเป็นเขตหวงห้าม ไม่มีใครจะสามารถผ่านเข้ามาได้
เมิ่งฮ่าวมองเห็นถึงโชคอันแปลกประหลาด ที่สามารถเดินผ่านเส้นทางมาได้สำเร็จ โดยไม่ไปกระตุ้นให้เวทป้องกันทำงานขึ้นแม้แต่เวทเดียว
“เว้นแต่ว่าจะมีใครบางคน ปล่อยให้ข้ามายังที่แห่งนี้…” เมิ่งฮ่าวคิด ดวงตาสาดประกาย ขณะที่ในตอนนี้ เหลือเวลาเพียงแค่สามสิบลมหายใจเท่านั้น เมิ่งฮ่าวมองจากยอดเขาลูกที่สี่ตรงไปยังวิหารที่อยู่ห่างไกลบนยอดเขาลูกแรก
จากสิ่งที่เมิ่งฮ่าวจำได้หลังจากตื่นขึ้นมา ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ในตำแหน่งเดียวกับบุรุษที่เคยเห็น เขามองออกไปยังที่ห่างไกล เส้นผมและเสื้อผ้าพริ้วสะบัดไปมาอย่างอ่อนโยนในสายลม
เมื่อเหลือเวลาอยู่เพียงแค่สิบลมหายใจ ความมุ่งมั่นก็ปรากฏขึ้นในดวงตาเมิ่งฮ่าว
“เมื่อท่านยอมให้ข้ามองเห็น” เมิ่งฮ่าวกล่าว “และท่าน…ก็ยอมให้ข้าขึ้นมาถึงยอดเขานี้ได้อย่างราบรื่น ถ้าเช่นนั้นการที่ท่านเป็นใครก็อาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญ” เหลือเวลาอีกห้าลมหายใจ เมิ่งฮ่าวหมุนตัว ก้าวเนิบนาบตรงไปยังโลงไม้ หลังจากที่สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เขาก็ก้าวเท้าเข้าไปในโลงไม้ นอนลงไป และหลับตาลง
สามลมหายใจ, สองลมหายใจ, หนึ่งลมหายใจ…
ตูม!!!
เสียงกระหึ่มกึกก้องขนาดใหญ่ ทันใดนั้นก็ดังเต็มอยู่ในอากาศของสำนักเซียนอสูรโบราณ ดังมากกว่าเสียงฟ้าผ่า ขณะที่มันม้วนตัวออกไปทั่วทั้งโลกแห่งนี้ ระลอกคลื่นทันใดนั้นก็กระจายออกไปจากท้องฟ้า ปกคลุมทุกสรรพสิ่งไว้ไกลสุดสายตา
ยกเว้นเมิ่งฮ่าว ทุกคนที่มายังโลกแห่งนี้ นั่งหลับตาขัดสมาธิอยู่ข้างร่างอาศัยที่พวกมันเลือกไว้ เมื่อระลอกคลื่นพุ่งเข้ามาถึงตัว ซากศพก็เริ่มเปล่งแสงเรืองรอง ภาพภูตผีของทั้งร่างอาศัยและผู้ฝึกตน ก็พุ่งขึ้นมาและจากนั้นก็เริ่มซ้อนทับ หลอมรวมเข้าด้วยกัน
สำหรับเมิ่งฮ่าว เขานอนหลับตาอยู่ที่นั่น ขณะที่เสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในท้องฟ้า เขาก็หมดสติไป ระลอกคลื่นที่กระจายออกไปทั่วทั้งอาณาจักรเซียนอสูรโบราณ ดูเหมือนจะไม่มีผลกระทบต่อเขาแม้แต่น้อย
แต่ในตอนนี้เองที่บุรุษชุดขาวได้ปรากฏขึ้น ยืนอยู่ตรงตำแหน่งเดียวกับที่เมิ่งฮ่าวเพิ่งจะยืนมาก่อน ซึ่งก็เป็นตำแหน่งเดียวกับที่เมิ่งฮ่าวได้สังเกตเห็น เมื่อเขาตื่นขึ้นมาในแม่น้ำแห่งดวงดาว
เส้นผมของบุรุษผู้นั้นยุ่งเหยิงเป็นกระเซิง และชุดยาวสีขาวของมันก็แปดเปื้อนไปด้วยคราบโลหิต เส้นผมปิดบังใบหน้าไว้ ทำให้ยากที่จะมองเห็นหน้าตาของมันได้ มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถมองเห็นได้เด่นชัดก็คือ มันไม่ใช่หญิงสาว
ขณะที่สายลมโชยพัดมา เส้นผมของมันก็ลอยขึ้นไปเล็กน้อย เผยให้เห็นดวงตาที่เก่าแก่โบราณสองดวง ซึ่งเต็มไปด้วยความสับสนและเสียใจ
กลิ่นอายเน่าเปื่อยพุ่งขึ้นมาจากตัวมัน จนดูเหมือนจะหลอมรวมเข้าด้วยกันกับอาณาจักรเซียนอสูรโบราณทั้งหมด ทำให้ทั้งสองสิ่งนี้ยากที่จะแบ่งแยกออกจากกันได้
บุรุษผู้นั้นมองไปยังทิศทางของยอดเขาลูกที่ห้า ดวงตาเต็มไปด้วยความทรงจำเมื่อในอดีตที่ผ่านมา กล่าวเสียงแผ่วเบา “เยี่ย (ราตรี)…ปล่อยให้มันเข้าไป ดีหรือไม่?”
ขณะที่คำพูดดังออกมาจากปากมัน ทั่วทั้งสำนักเซียนอสูรโบราณก็สั่นสะเทือน
เสียงหึ่งๆ ทันใดนั้นก็ดังก้องออกมา เป็นเสียงที่แทบจะดูเหมือนว่าผู้พูดกำลังนอนหลับอยู่ ราวกับเป็นเสียงที่พูดขึ้นมาโดยใครบางคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงความฝัน “นั่นไม่ได้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้”
“มันเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มองเห็นข้า หลังจากผ่านมานานหลายปี บางทีนี่อาจจะถูกกรรมลิขิตมา ยอมให้มัน…เป็นตัวแทนข้าเมื่อในอดีต ปล่อยให้มันกล่าวคำพูดเหล่านั้นต่อท่านผู้เฒ่า…ซึ่งข้าก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี” น้ำเสียงของบุรุษชุดขาวสั่นเครือ และดวงตามันก็ดูอบอุ่น แต่ภายในความอบอุ่นนั้น เป็นความคิดคำนึงที่มีมาช้านาน เห็นได้ชัดว่ามันไม่อาจจะหลุดพ้นจากความโหยหา และความโศกเศร้าเสียใจอย่างลึกล้ำได้
“ข้าได้เก็บซ่อนคำพูดเหล่านั้น ฝังลึกลงไปในจิตใจมานานถึงเก้าหมื่นปีแล้ว” บุรุษชุดขาวกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
ทั่วทั้งโลกแห่งนี้เงียบไปเป็นเวลานาน ในที่สุด เสียงหึ่งๆ ก็ได้ยินขึ้นอีกครั้ง เป็นเสียงที่ดังออกมาจนรู้สึกเหมือนกับเป็นคลื่นในมหาสมุทร “มันไม่มีตัวตน”
“ให้มันใช้ตัวตนของข้า” บุรุษชุดขาวกล่าวตอบ
ทั้งโลกเงียบลงอีกครั้ง
“ทำให้เวลาย้อนกลับไปยังปีนั้น…” บุรุษชุดขาวหลับตาลง ปกปิดความเจ็บปวดที่อยู่ในแววตา โชคร้ายที่มันไม่อาจจะปกปิดความโศกเศร้าภายในใจ ที่มีมาอย่างยาวนานได้
ตูม!!!
แสงสว่างในโลกแห่งนี้ทั้งหมด ฉับพลันนั้นก็ไหลเข้าไปในร่างเมิ่งฮ่าวจากทั่วทุกทิศทาง ร่างเขาค่อยๆ ดูเลือนลางโปร่งใส จากนั้นก็หายตัวไป ในทันใดนั้น เสียงขนาดใหญ่ที่คล้ายกับเสียงฟ้าผ่าอย่างไม่รู้จบก็ดังก้องออกมา
ในเวลาเดียวกันนั้น แสงอันอบอุ่นก็กระจายออก เต็มไปทั่วทั้งสำนักเซียนอสูรโบราณ ฉับพลันนั้นก็เริ่มมองเห็นโลกใหม่อยู่ภายในแสงสว่างนั้น เป็นโลกแห่งความทรงจำในสมัยโบราณ!
ลักษณะการหายตัวไปของเมิ่งฮ่าว แตกต่างไปจากผู้ฝึกตนคนอื่นๆ จากดินแดนแห่งดาวหนานเทียนโดยสิ้นเชิง พวกมันทั้งหมดหลอมรวมเข้ากับร่างอาศัย ในขณะที่เมิ่งฮ่าว…เข้าไปในอาณาจักรที่สองด้วยร่างของตัวเอง!
คนอื่นๆ เพียงแค่หยิบยืมตัวตนจากใครบางคน ในขณะที่เมิ่งฮ่าว…ไม่ได้ยืมตัวตนมาจากผู้ใด เขาได้รับมันมาโดยตรง!
การหยิบยืม และได้รับมา เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ขณะที่แสงกระจายออกปกคลุมเต็มไปทั่วทั้งสำนักเซียนอสูรโบราณ บุรุษชุดขาวยืนอยู่ที่นั่น หันหลังให้กับยอดเขาลูกแรกเหมือนก่อนหน้านี้ สิ่งที่มันมองเห็นอยู่ภายในใจเป็นชายชราผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังมองมายังมันพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
ในแววตานั้น, ข้าได้เห็นการให้อภัยในทุกเรื่อง การยกโทษในทุกสิ่งที่ข้าเคยทำผิดพลาดมา ราวกับว่าท่านกำลังเฝ้ามองดูข้าตลอดไป เฝ้ารอคอยช่วยแก้ไขความผิดพลาดทั้งหมดของข้าอย่างเงียบๆ
ในตอนนั้น, เมื่อข้าทำผิดพลาด แค่คำติเตียนเพียงคำเดียวของท่าน ก็ทำให้ข้าต้องมีโทสะ
ในตอนนั้น, ข้าวิ่งไปพร้อมกับคนอื่นๆ ข่มเหงรังแกผู้คนไปทั่ว แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นริ้วรอยในหางตา หรือท่าทางผิดหวังเสียใจในแววตาของท่าน
ในตอนนั้น, ข้าไม่ลังเลที่จะส่งมอบของวิเศษล้ำค่าของสำนักให้กับหญิงสาว แต่ก็ไม่เคยจะสังเกตเห็นว่าศีรษะที่ครั้งหนึ่งเคยหยิ่งทรนงของท่าน ต้องโค้งลงให้กับคนทั้งหมดในสำนักด้วยความละอายใจ
ในตอนนั้น, ข้าฝนกระบี่เพื่อโอ้อวดตัวตน แต่ก็ไม่เคยจะสังเกตเลยว่าท่านได้แก่ชราลงไปแล้ว
จนกระทั่งในวันหนึ่ง, ท่านได้ตายไปจากการเข้าฌาณ ร่างกลายเป็นเถ้าธุลี ข้าร้องไห้ จิตใจแหลกสลาย โลกของข้าหายสาบสูญไป ไร้สวรรค์และปฐพีอีกต่อไป ท่านพ่อ…ท่านจากไปแล้ว
ข้ามองเห็นใบหน้าที่แก่ชราของท่าน และข้าก็มองเห็นท่านคอยมาด้อมๆ มองๆ ข้า ข้าเห็นทั้งหมดในปีนั้น ไม่สำคัญว่าข้าเคยทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง ท่านก็มักจะให้อภัยข้าเสมอมา ตอนนี้ข้ารู้ตัวดีว่า…ข้าเป็นหนี้คำสัญญาต่อท่าน ข้าเป็นหนี้ท่าน…สำหรับคำพูดที่พิเศษบางคำ
คำพูดเหล่านั้น ได้รอคอยข้ามานานถึงเก้าหมื่นปี
…
ท้องฟ้าในสมัยโบราณเป็นสีคราม
เมื่อเมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เขามองเห็นก็คือท้องฟ้าสีครามนั่น จากนั้นเขาก็มองเห็นนกกระเรียนสีขาวกำลังบินไปมา สัตว์มงคลต่างๆ บินหมุนวนเป็นวงกลมในอากาศ เสียงสนทนาและการกระทำต่างๆ ได้ยินมาจากทั่วทุกที่ ดังก้องไปมา
เมิ่งฮ่าวมองเห็นเสาแห่งแสงขนาดใหญ่มากมายพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า ทุกสิ่งทุกอย่างดูสดใสและมีสีสันลำแสงพุ่งฝ่าอากาศออกไปทั่วทุกทิศทาง
ที่ห่างไกลออกไปเป็นภูเขา ที่เต็มไปด้วยสีเขียวและพลังแห่งชีวิต ในตอนนี้เองที่เมิ่งฮ่าวจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเก่าแก่โบราณดังก้องขึ้นมา กระจายเต็มไปทั่วในโลกแห่งนี้
“ข้าได้เทศน์สั่งสอนเกี่ยวกับเต๋ามาตลอดทั้งหนึ่งหมื่นปี ครั้งนี้ข้าจะพูดเกี่ยวกับตำนาน เป็นตำนานของวิญญาณที่แท้จริงซึ่งมีนามว่าเยี่ย (ราตรี) เมื่อมันหลับตาลงนอน ทั่วทั้งโลกก็จะกลายเป็นความฝันของมัน เมื่อมันลืมตา ก็จะตื่นขึ้นมาจากความฝัน สวรรค์และปฐพีต่างก็ไร้จุดสิ้นสุด…”
เสียงเก่าแก่โบราณนั้นค่อยๆ เริ่มแผ่วเบาลง ราวกับว่าเป็นแค่เสียงพึมพำอยู่ในหู แต่เวลาเดียวกันนั้น ก็ดังก้องออกไปในโลกแห่งนี้ทั้งหมด
“เวลาก็เหมือนกับความฝัน ยากที่จะบอกได้ว่าอะไรคือเรื่องจริง และสิ่งใดคือความเท็จ เมื่อเจ้าฝัน เจ้าก็จะมองเห็นผู้อื่น บางทีในโลกของคนอื่นๆ ก็อาจจะมีความฝันของเจ้าไปปรากฏขึ้น”
“หรือบางทีชีวิตของพวกเราก็เหมือนกับฟองสบู่ที่มองไม่เห็น ซึ่งอาจจะปะทุแตกออกไปได้ตลอดเวลา และทำให้พวกเราตื่นขึ้นมา ใครฝันถึงเจ้า และเจ้าได้ฝันถึงใคร…เป็นปริศนาที่ยากจะอธิบายให้เข้าใจได้อย่างแท้จริง…”
เสียงหญิงสาวเยาว์วัย ทันใดนั้นก็ได้ยินอยู่ในหูเมิ่งฮ่าว “ศิษย์พี่?”
เสียงนั้นทั้งประหลาดใจและกระวนกระวายใจ “ศิษย์พี่!”
แรงสั่นสะเทือนวิ่งผ่านไปทั่วร่างเมิ่งฮ่าว ราวกับว่าจู่ๆ วิญญาณก็กลับเข้ามาอยู่ในร่าง เมื่อมันกระแทกเข้ามาในร่าง เขาก็รู้สึกราวกับว่ากำลังถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ ความเจ็บปวดสั่นกระเพื่อมพุ่งผ่านไป ภาพภูติผีพุ่งขึ้นมาอยู่ทั่วทุกที่
เมิ่งฮ่าวหอบหายใจ ขณะที่ได้สติกลับคืนมาในสองสามอึดใจ เมื่อความรู้สึกนั้นหายไป ท้องฟ้าก็เป็นสีครามอีกครั้ง และโลก…ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“ศิษย์พี่ ท่านกำลังทำอะไรอยู่?!” ที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว ยืนไว้ด้วยหญิงสาวเยาว์วัย สวมใส่ชุดยาวสีชมพู ดวงตาเบิกกว้างและเต็มไปด้วยความสับสน มีท่าทางงุนงงและมีโทสะขึ้นด้วยเช่นกัน ขณะที่มองมายังเมิ่งฮ่าว
เมิ่งฮ่าวมองลงไปยังตัวเอง เขากำลังสวมใส่ชุดยาวสีขาว และมีเส้นผมที่ยาวเงางาม นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นบูชา ที่วางอยู่บนยอดเขา ถูกห้อมล้อมไว้ด้วยกระถางเก้าใบ ซึ่งมีควันสีเขียวค่อยๆ ลอยขึ้นมาอย่างช้าๆ
นี่ก็คือส่วนบนสุดของยอดเขาลูกที่สี่!
จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน ถึงแม้ว่าศีรษะจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ดวงตาก็ยังสาดประกายเจิดจ้า ขณะที่ในตอนนี้เขารู้ว่า…ได้เข้ามายังอาณาจักรที่สองแล้ว สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตกใจมากที่สุด ก็คือว่าจริงๆ แล้ว…เขาไม่ได้สูญเสียความทรงจำตามที่ฟางอวี๋ได้บอกไว้
ยิ่งไปกว่านั้น จู่ๆ ก็มีเสียงดังก้องอยู่ในจิตใจ ประกาศบอกตัวตนของเขาอย่างชัดเจน
“เคอจิ่วซือ…แห่งยอดเขาสี่…หนึ่งในเจ็ดศิษย์ชั้นยอด แห่งสำนักเซียนอสูร!”