ตอนที่ 633
แขกผู้มีเกียรติ
เพียงชั่วพริบตา เจ็ดวันก็ผ่านไป
เมิ่งฮ่าวใช้เวลาช่วงนั้นด้วยการหลับตาเข้าฌาณอยู่ตลอดเวลา รักษาอาการบาดเจ็บตลอดทั้งช่วงเจ็ดวัน อาการบาดเจ็บค่อยๆ ฟื้นฟูกลับคืนมาประมาณสามในสิบส่วน แต่โชคร้ายที่กายเนื้อยังคงไม่อาจจะรวมตัวเข้าด้วยกันได้ ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือจากผีโต้ง เขายังคงต้องการเวลาที่จะทำให้ร่างกายเสถียรมั่นคง แต่บาดแผลก็ค่อยๆ เริ่มสมานปิดเข้าด้วยกันอย่างช้าๆ
ทุกวันเมิ่งฮ่าวจะกินอาหารที่เป็นผลไม้สามมื้อ ซึ่งถูกนำมาโดยหญิงสาวเยาว์วัยด้วยตนเอง นางมักจะมีท่าทีเคารพอย่างสูงสุดขณะที่มาพบเขา
นางยังได้เสนอจะมอบหินลมปราณบางส่วนให้อีกด้วย แต่เมิ่งฮ่าวก็สอบถามแต่ข้อมูลที่เขาอยากรู้เกี่ยวกับทะเลเทียนเหอ ซึ่งนางช่วยตอบให้รายละเอียดอย่างเต็มที่
นอกเหนือจากรักษาอาการบาดเจ็บของตนเองแล้ว เมิ่งฮ่าวก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับทะเลแห่งนี้มากขึ้น
ในช่วงเจ็ดวันนั้น พื้นผิวของทะเลเทียนเหอสงบราบเรียบ เรือตระกูลจางจากทะเลชั้นนอก มุ่งหน้าต่อไปอย่างกล้าหาญเหมือนเช่นตอนเริ่มต้น แน่นอนว่าตอนนี้เมิ่งฮ่าวได้อยู่บนเรือด้วย คนทั้งหมดรู้สึกกังวลมากกว่าก่อนหน้านี้อยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น
ขณะที่เวลาผ่านไป และเมิ่งฮ่าวก็นั่งเข้าฌาณตามลำพังต่อไป หญิงสาวเยาว์วัยก็ค่อยๆ รู้สึกสบายใจมากขึ้นกว่าเดิม กลับไปเป็นคนที่ร่าเริงสนุกสนานเหมือนเช่นก่อนหน้านี้อีกครั้ง เสียงหัวเราะของนางดังก้องออกไปเป็นระยะ เต็มไปด้วยความไร้เดียงสาของเด็กทารกอยู่เล็กน้อย
ผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณอีกสามคนบนเรือ ก็ยังคงกังวลใจอยู่เช่นเดิม ถึงพวกมันจะเข้าใจถึงความคิดของผู้นำตระกูล แต่ก็คิดว่าสิ่งที่นางกำลังทำอยู่นั้น คล้ายกับการถามหาผืนหนังจากพยัคฆ์ คาดหวังให้คนชั่วกลายเป็นคนดี ในความคิดเห็นของพวกมัน ผู้ที่มีอายุน้อยเช่นนาง ไม่มีทางจะเข้าใจถึงความโหดเหี้ยมของโลกผู้ฝึกตน ในทางกลับกัน คนทั้งสามได้ฝึกฝนพลังฝึกตนจนถึงระดับพื้นฐานลมปราณ และมีตำแหน่งอยู่ในตระกูลบนเกาะที่อยู่ในทะเลชั้นนอก เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับสถานการณ์อันวิกฤตร้ายแรงมามากมาย
พวกมันรู้ดีว่าในโลกแห่งการฝึกตน กฎแห่งป่าอยู่เหนือสิ่งอื่นใด และอันตรายก็เป็นเรื่องปกติ สิ่งเลวร้ายเพียงแค่อย่างเดียว ก็อาจจะนำไปสู่การทำลายล้างโดยสิ้นเชิง และมีผลกระทบต่อทุกตระกูล
เมิ่งฮ่าวได้ปรากฏกายออกมาจากหลุมดำแปลกๆ นั้น ถึงแม้เขาจะอ่อนแอและได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่การมองมาของเขาจากเมื่อเจ็ดวันก่อน ก็ทำให้พวกมันรู้สึกราวกับว่าเกือบจะถูกแช่แข็งจนตายไปในท่ามกลางฤดูหนาว
พวกมันมีความรู้สึกอย่างรุนแรงว่า ถ้าเมิ่งฮ่าวต้องการจะสังหารพวกมัน ต่อให้เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสมากกว่านี้ พวกมันทั้งหมดก็คงจะตกตายไปอย่างง่ายดาย
ตอนนี้ คนทั้งสามต่างก็ยืนอยู่ตรงท้ายเรือ กำลังขมวดคิ้วและพูดคุยถึงความกังวลใจในเรื่องเดียวกัน
“การกระทำในเรื่องนี้ของท่านผู้นำ…ไม่ค่อยฉลาดนัก!”
“คนผู้นั้นบาดเจ็บสาหัส และมาถึงโดยการเคลื่อนย้ายทางไกล เท่าที่เห็นมันต้องถูกใครไล่ล่ามา ถ้าคนที่ไล่ล่าตามมาทัน ก็จะทำให้พวกเราทุกคนต้องถูกกำจัดไปด้วย!”
“อ้าย! ข้ารู้ว่าท่านผู้นำกำลังคิดอะไรอยู่ การเดินทางไปยังเกาะศักดิ์สิทธิ์ ก็คือความหวังสุดท้ายของพวกเรา ถ้าสำเร็จพวกเราก็จะสร้างความหวาดกลัวให้กับตระกูลหลิว ทำให้พวกมันไม่กล้าจะกระทำการอย่างวู่วาม”
“พวกเราได้แต่หวังว่าหนานเอ๋อร์จะต่อสู้ได้อย่างยอดเยี่ยม หวังว่ามันจะโดดเด่นอยู่ในงานคัดเลือกศิษย์ใหม่ของสำนักเซียวเหยา”
คนทั้งสามสบสายตากันไปมา และจากนั้นก็ถอนหายใจอย่างแผ่วเบาออกมา
ปรมาจารย์ตระกูลจาง ได้ก่อตั้งเกาะของพวกมันอยู่ในทะเลชั้นนอก แต่หลังจากที่ท่านตายไปในการเข้าฌาณ พวกมันก็ถูกบีบบังคับให้ก้าวเดินไปด้วยความระมัดระวัง ราวกับกำลังเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งชั้นบางๆ ผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณคนอื่นๆ ไม่ได้ปรากฏขึ้นในตระกูลอีกเลย ซึ่งก็หมายความว่าเกาะที่พวกมันครอบครองอยู่ ในที่สุดก็จะตกเป็นเป้าสายตาที่ละโมบโลภมาก จากผู้ฝึกตนเพื่อนบ้านที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้น
ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะค่ายกลเวทที่เหลือทิ้งไว้ จากปรมาจารย์ก่อนที่ท่านจะตายไป รวมทั้งอาวุธเวทและความสัมพันธ์ที่ท่านได้สร้างไว้ พวกมันก็คงจะสูญเสียเกาะ และกลายเป็นตระกูลรองไปนานแล้ว
พวกมันพยายามยืนหยัดอยู่ต่อไปอีก จนกระทั่งในที่สุดวิกฤตก็ปรากฏขึ้น ตระกูลหลิวซึ่งเป็นเจ้าของเกาะที่อยู่ใกล้เคียง ได้เริ่มมองมายังพวกมันนานแล้ว คล้ายกับเป็นพยัคฆ์ที่กำลังจ้องมองเหยื่อของมัน เหตุการณ์นองเลือดแทบจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ
ตลอดช่วงเวลาวิกฤตที่อันตรายนั้น ผู้นำตระกูลจาง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็นหญิงสาวเยาว์วัยที่งดงามผู้นี้ ได้ทำการตัดสินใจอย่างยากลำบาก นางได้แอบนำผู้คนทั้งหมดออกไปจากเกาะ เพื่อส่งบุตรชายหนานเอ๋อร์ไปยังสำนักเซียวเหยา
ถ้าหนานเอ๋อร์กลายเป็นศิษย์ของสำนักเซียวเหยา ด้วยเช่นนั้นตัวตนของมันก็คงจะเพียงพอ ที่จะข่มขู่ใครก็ตามในทะเลชั้นนอกได้ มันจะช่วยปกป้องตระกูลจางไปอย่างน้อยก็เกือบหนึ่งร้อยปี
สามผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณ พูดคุยเรื่องนี้กันต่อไป
“เรื่องทั้งหมดเริ่มยุ่งยากมากขึ้น…โดยไม่ต้องแม้แต่จะพูดถึงว่า หลังจากที่ไปถึงเกาะศักดิ์สิทธิ์แล้ว หนานเอ๋อร์จะโดดเด่นอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน และเข้าไปสำนักเซียวเหยาได้หรือไม่ นอกจากนี้การเดินทางของพวกเรากำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างถึงที่สุด”
“นั่นก็ใช่แล้ว ข่าวลือจะถูกกระจายออกไป และข้อมูลก็จะรั่วไหล ตระกูลหลิวต้องไม่ยอมรับเรื่องเช่นนี้…พวกเราได้แต่หวังว่าพวกมันจะมีปฏิกิริยาเชื่องช้าบ้างเท่านั้น หวังว่าพวกเราจะจากไปได้รวดเร็วพอที่จะได้ครอบครองตำแหน่งที่เหนือกว่า และหลบเลี่ยงการไล่ล่าจากพวกมันได้”
“นอกจากตระกูลหลิวแล้ว ก็ยังมีสัตว์ทะเลอีกมากมาย ที่เตร็ดเตร่ไปมาอยู่ระหว่างทะเลชั้นนอกและวงแหวนที่สี่ โดยที่ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนเร่ร่อนอันดุร้าย แล้วเส้นทางของพวกเราจะสงบราบรื่นและปลอดภัยได้อย่างไรกัน?”
“แต่นี่ก็เป็นโอกาสเพียงอย่างเดียวของพวกเราจริงๆ…” คนทั้งสามถอนหายใจออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็ตกอยู่ในความเงียบ พวกมันเข้าใจถึงสิ่งที่ผู้นำตระกูลกำลังพยายามทำอยู่ และเมื่อนางได้ตัดสินใจไปเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลามานั่งกังวลใจ
ใครจะไปรู้ว่าบางทีแล้ว…การเชื้อเชิญผู้เชี่ยวชาญที่เต็มไปด้วยบาดแผลทั่วร่างผู้นั้น ให้อยู่ร่วมกับพวกมันจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่ธรรมดาก็เป็นได้
ในเวลาเดียวกันนั้น ขณะที่คนทั้งสามกำลังพูดคุยกัน ผู้นำตระกูลจาง หญิงสาวเยาว์วัยผู้นั้น กำลังยืนอยู่ที่หัวเรือ จับมือบุตรชายของนางไว้ มองออกไปในท้องฟ้าด้านบน ไม่อาจจะปกปิดสีหน้ากังวลใจและความไม่สบายใจของนางไว้ได้
“การเดินเรือของพวกเราจะดำเนินต่อไปอีกสามวัน ก่อนที่จะไปถึงวงแหวนที่สี่” นางพึมพำ “หลังจากที่ทิ้งทะเลชั้นนอกอยู่ด้านหลัง พวกเราก็จะหลบเลี่ยงตระกูลหลิวมาได้อย่างแท้จริง…” ถึงแม้ว่าตระกูลหลิวจะไม่อ่อนแอ แต่ก็พูดถึงในแง่ของทะเลชั้นนอกเท่านั้น ถ้าอยู่ในวงแหวนที่สี่ พวกมันก็เทียบได้กับแมลง ในการวิเคราะห์ของหญิงสาวเยาว์วัย เมื่อไหร่ที่คนทั้งหมดเข้าไปในวงแหวนที่สี่ ตระกูลหลิวก็คงต้องยกเลิกการไล่ล่า และไม่กล้าจะติดตามมา
นอกจากนี้ นางและตระกูลของนางก็มาถึงจุดสุดท้ายของเส้นเชือกแล้ว ในขณะที่ตระกูลหลิวไม่กล้าที่จะทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างวู่วาม
นางมองลงไปยังบุตรชาย และลูบไปที่ศีรษะของมัน “หนานเอ๋อร์ เจ้าต้องจดจำไว้ สำนักเซียวเหยาให้ความสำคัญต่อเรื่องลำดับอาวุโสเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่พวกเราไปถึง เจ้าต้องไม่อาจจะละเลยมารยาทได้”
ดูเหมือนเด็กชายจะไม่เข้าใจในความหมายของนาง แต่ก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ดวงตาเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก และนางกำลังจะย่อตัวลงไปอุ้มมันขึ้นมา แต่สีหน้าก็เปลี่ยนไป ทันใดนั้นนางก็มองไปยังด้านหลัง
ในเวลาเดียวกันนั้น สามผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณตรงท้ายเรือก็มองไปทางด้านหลังด้วยเช่นกัน
สิ่งที่พวกมันเห็นเป็นเรือสีดำสนิท กำลังมุ่งหน้าตรงมาด้วยความรวดเร็วอย่างสูงสุด ธงที่พริ้วไปมาอยู่บนเรือ มองเห็นได้ชัดว่าประดับด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่
หลิว! (刘)
นี่ก็คือเรือจากตระกูลหลิวแห่งทะเลชั้นนอก พวกมันไล่ติดตามมาอย่างเต็มกำลังเป็นเวลาหลายวัน และในที่สุดก็ติดตามมาจนทัน บนหัวเรือยืนไว้ด้วยผู้คนสี่คน สามคนมีสีหน้านับถืออย่างสูงสุด อีกหนึ่งคนเห็นได้ชัดว่าแตกต่างไปจากคนทั้งสาม
คนผู้นั้นเป็นชายชราที่มีสีหน้ากีดกันผู้คนจนห่างไกล ดวงตาแวบขึ้นราวกับเป็นสายฟ้า มันยืนประสานมืออยู่ที่ด้านหลัง เสื้อผ้าพริ้วสะบัดอยู่ในสายลม พร้อมกับเส้นผมที่ยาวสีขาว ทำให้ดูไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง
พื้นฐานฝึกตนของมันกระจายระลอกคลื่อนของขั้นต้นสร้างแกนลมปราณออกมา จึงเป็นเหตุผลที่เรือของตระกูลหลิว สามารถไล่ตามมาได้อย่างรวดเร็วเป็นเวลานานหลายวัน
ทันทีที่หญิงสาวเยาว์วัยมองเห็นชายชราผู้นั้น ใบหน้านางก็ซีดขาวราวไร้สีเลือด นางเริ่มหอบหายใจ และจับมือบุตรชายไว้จนแน่น
ผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณอีกสามคนของตระกูลจาง ก็รู้สึกว่าจิตใจพวกมันเริ่มเต้นรัวด้วยเช่นกัน ใบหน้าซีดขาว และดวงตาก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“ปรมาจารย์…ตระกูลหลิว!”
ขณะที่เรือตระกูลหลิวเข้ามาใกล้ รูปร่างหน้าตาของชายชรา และอีกสามคนที่อยู่ข้างกายมันเริ่มมองเห็นได้ชัดมากขึ้น ด้านหลังพวกมัน เป็นสมาชิกของตระกูลขั้นรวบรวมลมปราณเจ็ดถึงแปดคน ทั้งหมดต่างมีสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม
ที่กำลังยืนอยู่ข้างกายปรมาจารย์ตระกูลหลิว เป็นบุรุษวัยกลางคน มันยิ้มและกล่าวว่า “จางเหวินฟาง, ช่างรีบร้อนนัก เจ้าละทิ้งเกาะตระกูลจาง กำลังจะไปที่แห่งใดกันแน่?”
จางเหวินฟางเดินไปยังท้ายเรือ สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นก็กล่าวว่า “ผู้เยาว์ขอคารวะท่านผู้อาวุโสหลิว ผู้อาวุโส, พวกเราทิ้งเกาะไป และหวังว่าจะไปให้ไกลมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พวกเราทั้งสองตระกูลเป็นสหายกันมานาน อย่าบอกข้านะว่าท่านจะไม่ให้โอกาสพวกเรามีชีวิตรอดจากไป?” ผู้ฝึกตนตระกูลจางคนอื่นๆ มารวมกันอยู่รอบๆ ตัวนาง สีหน้าเต็มไปด้วยโศกเศร้าและไม่พอใจ
คำพูดของหญิงสาวเยาว์วัยไม่ได้กล่าวไปยังบุรุษที่เพิ่งจะพูดออกมา แต่กล่าวไปยังปรมาจารย์ตระกูลหลิวโดยตรง ถึงแม้เรื่องราวจะบรรลุมาจนถึงขั้นนี้ นางก็ยังคงกล่าวกับมันด้วยความเคารพ
ปรมาจารย์ตระกูลหลิวไม่กล่าวอะไร เพียงแต่มองมาด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ สมาชิกตระกูลที่ยืนอยู่ข้างกายมันเป็นคนกล่าวตอบ ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดุร้าย “ช่างน่าขันนัก! เจ้าคิดว่าพวกเราเป็นเด็กอายุสามขวบหรืออย่างไร? เจ้าคิดว่าพวกเราไม่รู้แผนการของเจ้าจริงๆ จางเหวินฟาง? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้ากำลังเดินเรือไปยังสำนักเซียวเหยา!”
“ผู้เยาว์ยอมละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ยังได้ส่งมอบเกาะของพวกเราให้กับท่าน ผู้อาวุโส ข้าขอสาบานว่าข้าไม่มีความตั้งใจที่จะรุกล้ำเบียดเบียนในสิ่งที่ไม่ใช่เป็นของข้า ข้าแค่ขอร้องให้ท่านช่วยผ่อนผันสักเล็กน้อย…” ใบหน้าจางเหวินฟางซีดขาว แต่ก่อนที่นางจะทันได้พูดจบ ปรมาจารย์ตระกูลหลิวก็ขมวดคิ้ว
“พอได้แล้ว!” มันกล่าวเสียงราบเรียบ ดังก้องออกไปทั่วทุกทิศทางราวกับเป็นเสียงฟ้าร้อง น้ำทะเลพลุ่งพล่านปั่นป่วน จิตใจของจางเหวินฟางและสมาชิกตระกูลเต็มไปด้วยเสียงหึ่งๆ
หนึ่งประโยค, สามคำพูด ทำให้สมาชิกตระกูลขั้นรวบรวมลมปราณทั้งหมดกระอักโลหิตออกมา มีแต่จางเหวินฟางและผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณคนอื่นๆ ที่มีใบหน้าแค่ซีดขาวเท่านั้น สีหน้าพวกมันเต็มไปด้วยความสิ้นหวังเพิ่มมากขึ้น
“ทำไมเจ้าถึงได้ไร้สาระมากมายเช่นนี้?” ปรมาจารย์ตระกูลหลิวกล่าว ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “สังหารพวกมันให้หมด! ชรา, เยาว์วัย อย่าให้มีชีวิตรอดไปได้แม้แต่คนเดียว!” ด้วยเช่นนั้น มันก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อ และสมาชิกตระกูลหลิวที่อยู่รอบๆ ก็บินขึ้นไปในอากาศ สีหน้าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมดุร้าย
จางเหวินฟางกัดฟันแน่น มองกลับไปยังห้องดาดฟ้าที่ท้ายเรือ “ผู้อาวุโสหลิว!” นางร้องตะโกนออกมาในทันที “ท่านมีข้อพิพาทกับตระกูลจาง ท่านสามารถสังหารพวกเรา แต่ท่านกล้าที่จะมีเรื่องกับแขกผู้มีเกียรติของพวกข้า?!”
“ยังคงกุเรื่องขึ้นมาอีก?” ปรมาจารย์ตระกูลหลิวกล่าวพร้อมกับแค่นเสียงเย็นชา “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อว่าตระกูลจางมีแขกขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง หรือผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณอยู่บนเรือ? นั่นก็คือคำข่มขู่ใช่หรือไม่?” มันได้ใช้จิตสัมผัสกวาดผ่านไปทั่วทั้งลำเรือเรียบร้อยแล้ว และตรวจพบว่ามีแค่ผู้ฝึกตนตระกูลจาง และมนุษย์ธรรมดาเท่านั้นที่อยู่บนเรือ ไม่มีใครอื่นอีก
ในตอนนี้ ผู้ฝึกตนตระกูลหลิวใกล้เข้ามา เกราะป้องกันเรืองแสงส่องสว่างขึ้นมาจากเรือตระกูลจาง ขัดขวางพวกมันไว้ แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรไปหยุดยั้งปรมาจารย์ตระกูลหลิวได้ เพียงฝ่ามือเดียวที่ฟาดลงไป ก็ทำให้เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องออกไป เรือได้จมลงไปในน้ำมากกว่าครึ่ง และเกราะป้องกันก็แตกกระจายไปเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ผู้ฝึกตนตระกูลหลิวมุ่งหน้าต่อไปด้วยรอยยิ้มอันโหดเหี้ยม ทันทีที่พวกมันบรรลุถึงตัวเรือ จางเหวินฟางและผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณอีกสามคน ก็ปลดปล่อยอาวุธเวทออกไป และขยับมือร่ายเวทอย่างรวดเร็วเพื่อใช้วิชาเวทออกไป เสียงระเบิดดังก้องออกไปในทันที
การสังหารหมู่ก็เริ่มต้นขึ้น
“ท่านปรมาจารย์ได้สั่งว่า สังหารขุดรากถอนโคลนพวกมันให้หมด! ได้แต่ตำหนิที่พวกมันแซ่จางเท่านั้น”
ผู้ฝึกตนขั้นรวบรวมลมปราณของตระกูลหลิวบางคน มีรอยยิ้มอันน่าเกลียดอยู่บนใบหน้า มุ่งหน้าตรงไปยังกลุ่มผู้เยาว์ทีมีใบหน้าซีดขาวและหวาดกลัว ดวงตาจางเหวินฟางกลายเป็นสีแดงก่ำ สมาชิกตระกูลที่อยู่ข้างกายนาง แทบจะเริ่มคลุ้มคลั่งและยอมเสี่ยงทีจะทำทุกอย่าง
ปรมาจารย์ตระกูลหลิวลอยตัวอยู่กลางอากาศ จ้องมองไปด้วยหางตาอย่างเย่อหยิ่ง สำหรับมันกลุ่มคนทั้งหมดเหล่านี้ คือแมลงตัวเล็กๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เอง เสียงอันเยือกเย็นทันใดนั้นก็ดังก้องออกมาจากภายในเรือตระกูลจาง
“พอได้แล้ว!”
เป็นเพียงแค่สามคำ แต่ขณะที่เสียงนั้นกระจายออกไป ก็สะกดข่มเสียงอื่นๆ ทั้งหมดลงไปในทันที เสียงนั้นดังก้องกว่าเสียงฟ้าร้อง ดังสะท้อนไปมาอยู่สามรอบ เต็มไปด้วยแรงกดดันอันรุนแรง กดทับลงไปยังทุกสรรพสิ่ง
ในเวลาเดียวกันนั้น ภายในห้องพักภายในเรือ ดวงตาเมิ่งฮ่าวก็ลืมขึ้นมา สายตาดูเหมือนจะทะลุผ่านผนังเรือออกไป ทำให้มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ด้านนอกได้อย่างชัดเจน