Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 818

ตอนที่ 818

เปลี่ยนแปลงโชคชะตา!!

“เจ้ามองอะไรอยู่? เขียนตั๋วสัญญาได้แล้ว! เจ้าคิดว่าชีวิตมีค่ามากเท่าใด ก็ให้เขียนจำนวนหินลมปราณลงไปให้มากเท่านั้น ถ้าเจ้าเขียนด้วยจำนวนที่น้อยไป ก็อย่าลืมว่าข้ามีหินลมปราณอยู่มากมายในถุงสมบัติ และข้าก็จะนำมันออกมาซื้อตัวเจ้า”

“เจ้า!!” ไท่หยางจื่อแผดร้องขึ้น แทบจะกระอักโลหิตออกมา ขณะที่มันจ้องไปยังเมิ่งฮ่าว หลังจากที่ผ่านไปนาน มันก็ถอนหายใจ จากนั้นก็เขียนลงไปเป็นจำนวนมากบนตั๋วสัญญา เมิ่งฮ่าวเก็บมันไว้ในชุดของตั๋วสัญญาที่เขารวบรวมไว้ด้วยความระมัดระวัง

เมื่อกลุ่มคนที่ด้านนอกและไท่หยางจื่อ มองเห็นตั๋วสัญญามากมายที่เมิ่งฮ่าวมีอยู่ในถุงสมบัติ พวกมันก็อ้าปากค้าง

“เมื่อในอดีตมันได้หลอกลวงผู้คนมาแล้วมากมายเท่าไหร่กัน…? ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะมีตั๋วสัญญามากมายเช่นนี้!”

“มันมาจากที่ไหนกันแน่? มันต้องไม่ใช่ผู้ฝึกตนจากดินแดนแห่งดาวหนานเทียน ใช่หรือไม่?”

“ไม่มีทาง ถึงดาวหนานเทียนจะเป็นสถานที่แปลกๆ แต่มันจะสร้างเจ้าสารเลวที่ไร้ยางอายเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร!?!?”

ไท่หยางจื่อมองไปยังตั๋วสัญญาทั้งหมด และทันใดนั้นก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยเกี่ยวกับสถานการณ์ของมัน พร้อมกับการฝืนยิ้ม มันมองไปยังเมิ่งฮ่าว

“พี่เมิ่ง…”

“วางใจได้ ข้า, เมิ่งฮ่าว ไม่เคยหลอกลวงทั้งชราและทารก เปิดเผยไร้เล่ห์เหลี่ยมใดๆ ข้าไม่มีทางจะเอาตั๋วสัญญามาบีบบังคับเจ้าอย่างแน่นอน” ทันใดนั้น เขาก็เบาเสียงลงจนกลายเป็นเสียงกระซิบ “เห็นแก่ที่เจ้าให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี มา มา มา ช่วยบอกข้าว่าท่ามกลางตัวบัดซบเหล่านั้น มีใครที่เจ้าอยากจะให้ข้าไปจับมันมาเป็นคนต่อไป”

“เจ้าคิดดูให้ดีๆ” ด้วยเช่นนั้น เมิ่งฮ่าวก็เดินไปที่ด้านข้าง ขุดขึ้นมาอีกหลุม และจากนั้นก็ใส่เม็ดยาลงไปบางส่วน

ไท่หยางจื่อจ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ฝูงชนที่อยู่ด้านนอกอ้าปากค้าง และมีอยู่ไม่น้อยที่เริ่มถอยออกไปที่ด้านหลัง บางคนยังได้หลบหนีออกไปโดยตรงอีกด้วย

ไท่หยางจื่องุนงงอยู่ชั่วขณะ จนกระทั่งในที่สุดดวงตามันก็แวบขึ้น และหันหน้ามองไปยังกลุ่มฝูงชน จากนั้นสายตามันก็ไปหยุดนิ่งอยู่ที่หวังมู่แห่งตระกูลหวัง

“หวังมู่!” ไท่หยางจื่อร้องออกมา สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเกลียดชัง “มันเอง! มันเคยขโมยโชคชะตาของข้าไปเมื่อปีนั้น มัน!”

เมื่อหวังมู่ ซึ่งยืนอยู่ยังที่ห่างไกล ได้ยินสิ่งที่ไท่หยางจื่อพูดขึ้นมา ดวงตามันก็แวบขึ้น ผู้พิทักษ์เต๋าที่อยู่ใกล้มัน ก้าวเท้าออกมา ดวงตาสาดประกายด้วยความเย็นชา

“เข้าใจแล้ว” เมิ่งฮ่าวกล่าว ยื่นมือออกไปปลดพันธนาการของไท่หยางจื่อออกอย่างรวดเร็ว และโยนมันออกไปที่ระแนงเถาองุ่น จากนั้นเขาก็หยิบเอากระถางสายฟ้าออกมา กระถางส่องประกายด้วยประจุไฟฟ้า ขณะที่เขามองไปยังหวังมู่ หวังมู่โคจรพื้นฐานฝึกตนขึ้นอย่างรวดเร็วเต็มกำลัง

อย่างไรก็ตามในชั่วพริบตาต่อมา เมิ่งฮ่าวก็เลื่อนสายตาไปยังซ่งหลัวตาน ฉับพลันนั้นคนทั้งสองก็หายตัวไป ซ่งหลัวตานไปปรากฏกายขึ้นที่ลานวิหาร แต่มันก็ยังคงลอยตัวอยู่กลางอากาศ เท้ายังไม่ได้แตะพื้น

“เจ้าคิดว่ามันคุ้มค่าพอที่จะเล่นไร้สาระเช่นนี้?” ซ่งหลัวตานหัวเราะหึๆ เสียงเย็นชา ผู้คนส่วนใหญ่ในกลุ่มฝูงชนที่ด้านนอกในตอนนี้ ต่างก็เตรียมตัวเผื่อว่าเมิ่งฮ่าวจะใช้กระถางสายฟ้าไว้แล้ว แต่ในตอนนี้เองที่ร่างจริงที่สองของเมิ่งฮ่าว ก็กระทืบเท้าลงไปบนพื้นอย่างรุนแรง ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ได้ยินมา ขณะที่เม็ดยาที่อยู่ใต้ร่างของซ่งหลัวตานระเบิดขึ้น

ซ่งหลัวตานกระอักโลหิตออกมา ขณะที่แรงระเบิดกระจายออกไป มันไม่มีเวลาที่จะหลบหนี เส้นผมหยุ่งเหยิงและแผดร้องอย่างน่าอนาถใจออกมา ในเวลาเดียวกันนั้น ร่างจริงที่สองก็เข้าไปใกล้มัน

ทันทีที่เมิ่งฮ่าวไปปรากฏกายขึ้นที่ด้านนอก เสียงระเบิดก็ดังเต็มอยู่ในอากาศ ขณะที่หลี่หลิงเอ๋อร์, ฟางอวิ๋นอี้, ฟางเซียงซาน รวมทั้งสมาชิกตระกูลจี้ และแม้แต่ผู้ถูกเลือกจากสำนักอื่นๆ พร้อมกับผู้พิทักษ์เต๋า คนทั้งหมดโจมตีมาโดยพร้อมเพรียงกัน

แสงของค่ายกลเวทปรากฏขึ้นบนพื้น ซึ่งได้ถูกติดตั้งไว้อย่างลับๆ ก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะทำให้เมิ่งฮ่าวไม่อาจจะหลบหนีจากไปได้

บางคนยังได้ใช้อาวุธเวทอีกด้วย เพียงชั่วพริบตาเสียงกระหึ่มกึกก้องก็ดังเต็มอยู่ในบริเวณนั้น เมิ่งฮ่าวกระอักโลหิตออกมากองโต จากนั้นก็ก้าวถอยหลังเข้าไปในรถศึก สายฟ้าแวบขึ้นขณะที่เขาเปลี่ยนตำแหน่งไปสองสามครั้งติดต่อกัน ก่อนจะในที่สุดก็สามารถหลุดรอดออกมาได้ แต่เมื่อเขาเกือบจะกลับเข้าไปในลานวิหารได้แล้ว กระบี่ก็พุ่งฝ่าอากาศตรงมา เป็นกระบี่ที่เต็มไปด้วยแสงสีดำเจิดจ้า และทิ้งร่องรอยของแสงนั้นไว้เป็นชั้นๆ อยู่ในอากาศ ขณะที่มันพุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว

กระบี่อันน่าตกใจนี้ทำให้สีหน้าเมิ่งฮ่าวเปลี่ยนไป เขารีบขยับมือร่ายเวทอย่างรวดเร็ว ทำให้ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ระเบิดออก ในเวลาเดียวกันนั้น ภาพแห่งธรรมก็ปรากฏขึ้นเพื่อขัดขวางกระบี่เล่มนั้น เสียงกึกก้องทำให้ทุกสรรพสิ่งสั่นสะเทือน ขณะที่กระบี่กรีดเฉือนผ่านภาพแห่งธรรมไปอย่างไม่คาดคิด และจากนั้นก็ตวัดลงมายังรถศึก

เสียงระเบิดขนาดใหญ่ดังเต็มอยู่ในอากาศ และโลหิตก็พ่นกระจายออกมาจากปากเมิ่งฮ่าว แต่เขาก็ยืมพลังจากแรงระเบิดพุ่งกลับเข้าไปในลานวิหาร เมื่ออยู่ที่ด้านในเขาก็กระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง และจากนั้นก็มองขึ้นไป ในตอนนั้นจี้ยินได้ปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าของประตูวิหาร มือขวาของมันยื่นออกมา ถูกห้อมล้อมด้วยพลังแห่งกรรมที่หมุนวนไปมา เห็นได้ชัดว่าแทบจะผ่านเข้ามาในลานวิหารได้แล้ว

จากนั้นมันก็ผ่านเข้ามาในลานวิหารได้อย่างสมบูรณ์ โดยไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากเวทป้องกัน เสียงกระหึ่มคล้ายกับสายฟ้ากระจายออกมาเป็นระลอกคลื่น ขณะที่มันยื่นมือออกไปในลานวิหารประมาณสามชุ่น (1 ชุ่น ยาวประมาณ 1 นิ้ว) แต่ในตอนนี้เองที่มันไม่อาจจะคืบหน้าไปได้อีก และค่อยๆ หดมือกลับไป

เสียงหอบหายใจมากมายได้ยินออกมาจากกลุ่มฝูงชน ขณะที่พวกมันมองไปยังจี้ยิน ซึ่งกำลังหันหลังให้กับพวกมันทั้งหมด ทำให้ยากที่จะมองเห็นสีหน้าของจี้ยินได้

ม่านตาเมิ่งฮ่าวหดเล็กลง และจิตใจก็สั่นสะท้าน ในตอนนี้ เขาได้ตระหนักถึงความแข็งแกร่งของจี้ยินแล้ว

“ถ้าให้ข้าเข้าไป ข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้า” จี้ยินกล่าว ยากที่จะบอกได้ว่าเสียงของมันเป็นเสียงของบุรุษหรือสตรี แต่ฟังดูเลือดเย็นโดยสิ้นเชิง และเต็มไปด้วยความต้องการที่จะต่อสู้ด้วย

เมิ่งฮ่าวยิ้มและกวาดเช็ดโลหิตที่มุมปาก จากนั้นก็หันหลังและเดินไปยังซ่งหลัวตานที่มีบาดแผลฉกรรจ์ ซึ่งถูกจับกุมและพันธนาการไว้อย่างแน่นหนาโดยร่างจริงที่สอง

ซ่งหลัวตานจ้องมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยความเกลียดชัง รังสีสังหารแวบขึ้นมาในดวงตา

เมิ่งฮ่าวไม่มีอารมณ์ที่จะคุยเล่นด้วย ดังนั้นเขาก็แค่ตบไปที่ใบหน้าของซ่งหลัวตานสองสามครั้ง ซึ่งก็แน่นอนว่าทำให้โทสะของมันพุ่งสูงขึ้นไปมากกว่าเดิม โดยไม่พูดอันใด เขาหยิบเอาถุงสมบัติของซ่งหลัวตานไป ตรวจสอบดูอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็หยิบเอากระดาษและพู่กันออกมา

“ข้าจะไม่เขียนอะไรทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าเจ้าจะสังหารข้าไปก็ตามที!” ซ่งหลัวตานแผดเสียงด้วยโทสะ ดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะรอยแผลเป็นที่พาดลงมาจากใบหน้าของมัน

“ไม่ยอมเขียน?” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบเสียงราบเรียบ หันหน้ามองไปยังชิงช้าเถาองุ่น ซึ่งได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงโลหิตสีดำหยดลงไปบนพื้นอย่างแผ่วเบา “เสี่ยวฮวา เจ้าไม่ใช่กำลังอยากได้สหายเพื่อเล่นชิงช้ากับเจ้า?”

จากสิ่งที่เมิ่งฮ่าวสามารถบอกได้ เสี่ยวชิงและเสียวฮวาได้มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นเล็กน้อย ตั้งแต่ที่ชายชราสติไม่สมประกอบให้คำรับรองต่อเมิ่งฮ่าว

ทันทีที่เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้น ชิงช้าก็หยุดเคลื่อนไหว จากนั้นซ่งหลัวตานก็ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างน่าประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่ามันไม่อาจจะควบคุมร่างกายตนเองได้แม้แต่น้อย จากนั้นร่างมันก็หดเล็กลง ในชั่วพริบตา มันก็ดูคล้ายกับว่ามีอายุเจ็ดถึงแปดปี ในที่สุดมันก็ลอยลงไปอยู่ที่เถาองุ่น และเริ่มแกว่งไปมา

มันมีสีหน้าที่งุนงง และความหวาดกลัวอย่างรุนแรงก็มองเห็นได้ในแววตาของมัน

ในตอนนี้ แสงจางๆ ของรุ่งอรุณเริ่มจะปรากฏมาให้เห็น ในที่สุดเหตุการณ์แปลกๆ ซึ่งอยู่ที่ด้านในลานวิหารก็จะหายไป

รังสีสังหารแวบขึ้นมาในดวงตาของกลุ่มฝูงชนที่ด้านนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนที่มาจากภูเขาไท่หยางและตระกูลซ่ง รวมทั้งผู้ถูกเลือกต่างๆ ที่ลุ่มหลงต่อความงามของฝานตงเอ๋อร์จากอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า

เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว หลังจากที่มองขึ้นไปในท้องฟ้า เขาก็เดินกลับเข้าไปในห้องโถงวิหาร มองไปรอบๆ ยังภาพสะท้อนเต๋า และตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณ ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา

“ทั้งหมดสี่สิบเก้าวัน แต่ก็ผ่านไปแค่ครึ่งทางเท่านั้น เห็นได้ชัดว่า…ไม่มีทางที่ข้าจะป้องกันคนเหล่านั้นได้นานนัก”

“พวกมันมีอยู่มากเกินไปที่ด้านนอก อย่างมากที่สุดข้าสามารถจะยืดเวลาออกไปได้อีกแค่สองวันเท่านั้น…” เขายืนอยู่ที่เบื้องหน้าตะเกียงสัมฤทธิ์ และมองไปยังเปลวไฟที่กำลังลุกโชนขึ้น ในช่วงตอนกลางวัน เปลวไฟจะดับไป แต่หลังจากที่เฝ้าสังเกตดูมันมาเป็นเวลานาน เมิ่งฮ่าวก็รู้ว่าเปลวไฟนั้นไม่ได้ดับลงไปจริงๆ หัวใจหลักของเปลวไฟยังคงลุกไหม้อยู่

ตัวตะเกียงเองลุกโชนให้แสงขึ้นมาในยามราตรีเท่านั้น

เมิ่งฮ่าวพูดพึมพำพร้อมกับหยดโลหิตบางส่วนลงไปในเปลวไฟอีกครั้ง จนเกิดเป็นเสียงซี่ๆ ขึ้น และจากนั้นก็กระจายกลิ่นหอมอันละเอียดอ่อนออกมา ทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้นหลังจากที่สูดดมเข้าไป

“ข้าต้องไม่ปล่อยให้ใครก็ตามเข้ามาในนี้ จับต้องไปที่ตะเกียงและทำให้มันแปดเปื้อนไปด้วยกลิ่นอายของพวกมัน นั่นคือ…หลักการที่เป็นไปไม่ได้ที่จะกระทำได้เช่นนั้น” เมิ่งฮ่าวถอนหายใจออกมา ยิ่งเขาคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าใด ก็ยิ่งดูเหมือนว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ท้องฟ้าก็แทบจะสว่างขึ้นมาแล้ว…

เมิ่งฮ่าวรับรู้ได้ถึงรังสีสังหารที่กระจายออกมาจากกลุ่มคนที่อยู่ด้านนอกของลานวิหาร เขาคล้ายกับเป็นหนามที่อยู่ข้างกายพวกมัน เป็นคนที่คอยขัดขวางเส้นทางที่จะได้รับโชควาสนาของพวกมัน ยิ่งไปกว่านั้น รังสีสังหารของใครบางคนก็เกิดขึ้นมาจากผลที่เขาไปทำให้พวกมันไม่พอใจ

“ถ้าข้าต้องร้องขอความช่วยเหลือจากเตียเหนียง (บิดามารดา) เพราะการทดสอบนี้ ข้าก็คงจะไม่ใช่เมิ่งฮ่าวแล้ว!” ดวงตาเขาเริ่มสาดประกายด้วยแสงอันเย็นชา ก่อนที่จะบรรลุขั้นค้นหาเต๋า เขาไม่เคยจะพึ่งพาความช่วยเหลือใดๆ จากบิดาและมารดา เขาอยู่ห่างจากเซียนแท้แค่ครึ่งก้าว ทั้งหมดนี้เป็นเพราะตัวเองทั้งสิ้น

เขาเคยพบเจอกับสถานการณ์อันเลวร้ายมามากมาย เคยต่อสู้กับปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวังในทะเลเทียนเหอ เคยเดินผ่านช่องแคบระหว่างความเป็นตาย เคยต่อสู้ในสงครามอันยิ่งใหญ่แห่งดินแดนด้านใต้ และมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วอย่างสูงสุด

ทั้งหมดนั้นทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกค่อนข้างจะภาคภูมิใจในตนเอง

“นอกจากนี้ เส้นทางของข้าก็ไกลเกินกว่าดาวหนานเทียน ในขณะที่เตียเหนียง…ต้องอยู่ที่นี่ไปถึงหนึ่งแสนปี ข้าต้องเดินไปบนเส้นทางของข้าตามลำพัง ถ้าข้าต้องการจะครอบครองโชควาสนา…ข้าก็จะเสี่ยงมันด้วยตัวเองและได้มันมาด้วยตนเอง!”

“ถ้าข้าไม่ทำในสิ่งที่แตกต่าง ข้าก็จะเหมือนกับกลุ่มคนทั้งหมดที่ด้านนอก” ความต้องการต่อสู้สาดประกายอยู่ในดวงตา เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แต่ทันใดนั้น ความคิดใหม่ๆ ก็ปรากฏขึ้นในจิตใจ เขาหยุดชะงักนิ่ง และท่าทางแปลกๆ ก็เต็มอยู่บนใบหน้า

“ไม่ถูกต้อง…”

“ชายชราสติไม่สมประกอบนั้นกล่าวว่า ข้าต้องไม่ปล่อยให้เปลวไฟดับลงไปเป็นเวลาสี่สิบเก้าวัน มันยังกล่าวด้วยว่าข้าต้องไม่ปล่อยให้ใครก็ตาม เข้ามาในนี้จับต้องไปที่ตะเกียงได้”

“ในทางกลับกัน จริงๆ แล้วการก้าวเท้าเข้ามาในที่แห่งนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ตราบเท่าที่ไม่มีใครมาจับต้องตะเกียง ก็จะไม่เป็นการละเมิดข้อกำหนด ใช่หรือไม่?” ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบขึ้น

“ถ้านั่นเป็นความจริง ก็อาจจะกล่าวได้ว่า…ไม่ว่าข้าจะทำอะไร แม้แต่การนำตะเกียงออกไปจากที่แห่งนี้ก็สามารถจะทำได้ ตราบเท่าที่ไม่มีใครสามารถแตะต้องมันได้ และมันยังคงไม่ดับลงไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะไม่มีปัญหา”

เมื่อครุ่นคิดมาถึงจุดนี้ เขาก็เริ่มหอบหายใจออกมา แสงแห่งความมุ่งมั่นปรากฏขึ้นในดวงตา และตัดสินใจได้ว่า เมื่อเขาไม่อาจจะขัดขวางไม่ให้คนทั้งหมดเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้ เขาก็จะ…ลองกระทำตามความคิดใหม่นี้ดู!

ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็ยื่นมือออก คว้าจับไปที่ตะเกียง ทันทีที่เขาพยายามจะยกมันขึ้นมา เขาก็ตระหนักว่าตะเกียงไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย จึงไม่มีทางที่เขาจะใส่มันเข้าไปในถุงสมบัติ แสงแปลกๆ สาดประกายขึ้นมาในดวงตา ขณะที่เขาโคจรพื้นฐานฝึกตนอย่างเต็มกำลัง ภาพแห่งธรรมปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง และเมิ่งฮ่าวก็ใช้พลังทั้งหมดที่สามารถรวบรวมได้ พยายามดึงตะเกียงสัมฤทธิ์ขึ้นมา

เสียงกระหึ่มอย่างน่าตกใจได้ยินออกมาจากภายในห้องโถงวิหาร พื้นดินสั่นสะเทือนและวิหารทั้งหลังก็สั่นไปมาด้วยเช่นกัน เสียงกระหึ่มกึกก้องที่อยู่ลึกๆ ใต้พื้นดินได้ยินมา รวมทั้งเสียงหัวเราะและร้องไห้ที่ดังออกมาจากลานวิหาร เทือกเขาหรือจริงๆ แล้ว ก็เป็นพื้นที่บริเวณนั้นทั้งหมด กำลังสั่นไหวไปมาอย่างรุนแรง

กลุ่มฝูงชนที่อยู่ด้านนอกลานวิหาร จ้องมองไปยังห้องโถงของวิหารด้วยความตกตะลึง

ทันใดนั้น ดินแดนทั้งหมดแห่งดาวหนานเทียนก็สั่นสะเทือน ยืดขยายออกไปจนดาวทั้งดวงหยุดการโคจรหมุนวนไปชั่วคราว!

ทะเลเทียนเหอส่งเสียงดังกระหึ่ม และทวีปทั้งหมดก็สั่นสะเทือน ผู้แข็งแกร่งที่ทรงพลังทั้งหมดในดาวหนานเทียนกำลังสั่นสะท้านด้วยความประหลาดใจ!

ในเจดีย์แห่งถัง บิดาและมารดาเมิ่งฮ่าว กำลังเล่นหมากรุกกันอยู่ แต่จู่ๆ สีหน้าของบิดาเมิ่งฮ่าวก็เปลี่ยนไป ขณะที่ท่านมองขึ้นไป สีหน้าของมารดาเมิ่งฮ่าวก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน

“นั่นคือ…”

“เซียนโบราณกำลังขยับตัวเคลื่อนไหว ไม่ดีแน่…ต้องมีอุบัติเหตุบางอย่างเกิดขึ้น!” บิดาเมิ่งฮ่าวลุกขึ้นมายืน และกำลังจะบินขึ้นไปในอากาศ แต่ทั้งท่านและมารดาเมิ่งฮ่าวก็ต้องหยุดชะงักนิ่ง สีหน้าของคนทั้งสองเปลี่ยนไป ขณะที่มองเห็นเงาร่างกำลังใกล้เข้ามาจากที่ห่างไกล

คนผู้นั้นมีเส้นผมที่ยาวเป็นสีเทา และสวมใส่เสื้อผ้าที่เรียบง่ายธรรมดา ดูเก่าแก่โบราณโดยสิ้นเชิง ดวงตาเต็มไปด้วยแสงแห่งท้องฟ้า ไม่เพียงแต่จะดูคล้ายกับเป็นคนที่อยู่ในภาพวาดเท่านั้น ท่านยังดูคล้ายกับเป็นคนที่สามารถวาดภาพของจักรวาลมากมาย ด้วยการโบกสะบัดมือไปเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

บิดามารดาเมิ่งฮ่าวสะท้านใจขึ้นในทันที ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ

“ซิ่วเฟิงขอคารวะ, ท่านผู้อาวุโส!”

“เมิ่งลี่ขอคารวะด้วยความเคารพ, ท่านผู้อาวุโส!”

นี่คือบุคคลคนเดียวกันที่ได้ปรากฏขึ้นบนดาวตงเซิ่ง (ชัยชนะตะวันออก) และให้คำแนะนำว่าพวกเขาควรจะมายังดาวหนานเทียน (สวรรค์ทิศใต้) ท่านคือคนที่แนะนำให้พวกเขามาเป็นผู้พิทักษ์ดาวดวงนี้เป็นเวลาหนึ่งแสนปี ท่านคือ…คนภายนอกคนนั้น!

ถ้าเมิ่งฮ่าวอยู่ที่นี่ เขาก็จะจดจำได้ในทันทีว่าคนผู้นี้คือ…สุ่ยตงหลิว!

“โอกาสที่เซียนจะถูกกลืนกินไปโดยกฎแห่งสวรรค์ วิถีแห่งเต๋าได้ซ้อนทับกันกับในสมัยโบราณ ข้าเห็นผีเสื้อเก้าตัวกระพือปีกขึ้นอีกครั้ง กำลังโบยบินเข้ามาใกล้แล้ว ข้าเห็นคนผู้หนึ่งหายตัวไป และได้มองเข้าไปในดวงตามัน ขณะที่มันหันหน้ามองกลับมา…ข้าไม่อาจจะทำนายได้อีก และข้าก็ไม่อาจจะมองมันได้อย่างทะลุปรุโปร่งอีกต่อไปแล้ว…มัน…กำลังเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเอง!” ท่านพึมพำ แสงแปลกๆ ปรากฏขึ้นในดวงตา ขณะที่จ้องมองตรงไปยังวิหารพิธีเต๋าเซียนโบราณ ซึ่งอยู่ในเขตเทือกเขาที่ห่างไกลออกไป

——————–

หมายเหตุ :

  1. 1. สุ่ยตงหลิวปรากฏตัวขึ้นในตอนที่ 194 และตอนที่ 197 ช่วงที่มีการคัดเลือกบุตรเขยตระกูลซ่ง ท่านได้ช่วยเมิ่งฮ่าวปิดผนึกดอกปี่อ้านให้เข้าไปอยู่ในภาพวาด ตอนที่ 208 ท่านได้ปรากฏตัวขึ้นในช่วงสั้นๆ ตอนที่ 383 เมื่อเมิ่งฮ่าวกลั่นสกัดดักแด้ไร้ตา ท่านขัดขวางไม่ให้จี้สือจิ่วตัดกรรมเมิ่งฮ่าวได้ ตอนที่ 425 สุดท้ายท่านช่วยให้เมิ่งฮ่าวได้ครอบครองอาณาจักรความเป็นนิรันดร์ ตอนที่ 693
  2. 2. ผีเสื้อทั้งเก้าตัวเคยกระพือปีกโบยบินมาแล้วหลายครั้ง ในตอนที่ 555, 587, 613, 652 และ 664

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!