ตอนที่ 872
นางปรากฏกายขึ้น!
เมิ่งฮ่าวเดินหน้าไปราวกับว่าเขากำลังบดขยี้กิ่งไม้ที่เน่าเปื่อยผุพัง เฉินฮ่าวล่าถอยไปทางด้านหลังอย่างต่อเนื่อง เพียงชั่วพริบตาการปะทะกันอย่างรวดเร็วระหว่างคนทั้งสอง คล้ายกับเป็นประกายสายฟ้าที่ฟาดลงมาสิบครั้ง เฉินฮ่าวกระอักโลหิตออกมาอยู่ตลอดเวลา พลังของมันลดลงไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายมันก็กระแทกลงไปนอนกองอยู่บนพื้นของสังเวียนการประลอง เปลวไฟที่ปกคลุมไปทั่วร่างมันมอดดับลง โลหิตสาดกระจายไปทั่ว หลังจากที่มันตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา ก็พบว่ามีหอกยาวมาจ่ออยู่ที่ลำคอของมัน
นี่คือหอกที่เมิ่งฮ่าวได้มาจากในศาลานักรบ ด้วยด้ามหอกที่สร้างขึ้นมาจากส่วนหนึ่งของต้นเจี้ยนมู่ และคมหอกที่สร้างขึ้นมาจากกระดูกอันแหลมคม ต้องขอบคุณพลังของขนนกสีดำ ทำให้มันดูแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง ทำให้ไม่มีใครสามารถจะจดจำมันได้
เฉินฮ่าวสั่นสะท้านขณะที่รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันน่ากลัว ที่กระจายออกมาจากคมหอก ทำให้ทั่วทั้งร่างของมันรู้สึกหนาวเย็นราวน้ำแข็ง จากนั้นก็เป็นเมิ่งฮ่าว ที่ดวงตายังคงเย็นชาอย่างเข้มข้นตั้งแต่แรกเริ่มการต่อสู้จนกระทั่งถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขากำลังรอให้เฉินฮ่าวกล่าวอะไรบางอย่างออกมา และถ้าเฉินฮ่าวไม่ยอมกล่าวขึ้น…หอกนี้ก็จะแทงทะลุลำคอมันไปในทันที
เมิ่งฮ่าวไม่พูดอะไรออกมา แค่มองไปยังเฉินฮ่าวอย่างเยือกเย็น
ที่โลกด้านนอกในขุนเขาทะเลที่เก้า ผู้ฝึกตนมองไปยังการต่อสู้นี้ด้วยจิตใจที่เต้นรัว ก่อนหน้านี้พวกมันไม่เคยรู้จักฟางมู่มาก่อน แต่ตอนนี้เขาได้สร้างความประหลาดใจให้กับพวกมันครั้งแล้วครั้งเล่า พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาแข็งแกร่งเกินกว่าที่คู่ต่อสู้จะคาดคิดได้!!
“มันต้องได้อันดับหนึ่งอย่างแน่นอน!!”
“สวรรค์ มันได้อันดับหนึ่งในด่านทั้งสิบไปเรียบร้อยแล้ว ถ้ามันยังได้อันดับหนึ่งในสังเวียนการประลองนี้อีก มัน…มัน…”
“นี่คือเรื่องที่น่าทึ่ง! ตลอดทั้งหลายปีมานี้ ไม่เคยมีใครทำได้เช่นนี้มาก่อน!”
“มันเป็นใครกันแน่? เป็นไปไม่ได้ที่ไม่มีใครรู้จักมัน!”
ขณะที่กลุ่มผู้ชมกำลังตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย ปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวังกำลังลอยตัวอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ดวงตามันสาดประกายเจิดจ้า ปราณเซียนหมุนวนไปมาอยู่รอบๆ ร่าง เป็นเวลานานก่อนที่มันจะดึงกลับไป ความต้องการต่อสู้ลุกไหม้ขึ้นมาอย่างรุนแรงในดวงตาของมัน
“เมิ่งฮ่าว…”
ใกล้กับดาวตงเซิ่ง (ชัยชนะตะวันออก) ใบหน้าของปรมาจารย์เอกะเทวสลับสับเปลี่ยนไปมาระหว่างยิ้มกว้างออกมา และกัดฟันแน่น ความรู้สึกที่มันมีต่อเมิ่งฮ่าวช่างซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง
คนทั้งหมดกำลังมองไป ขณะที่เฉินฮ่าวนั่งอย่างเงียบๆ ในสังเวียนการประลอง สูดลมหายใจเข้าไปอย่างเจ็บปวดลึกๆ มองขึ้นไปยังเมิ่งฮ่าว
“เจ้าใช้พื้นฐานฝึกตนออกมามากมายเท่าใด?” มันถามขึ้นในทันที
“มันสำคัญมากหรืออย่างไร?” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบเสียงราบเรียบ
“สำหรับข้าแล้ว ใช่!” เฉินฮ่าวกล่าวยืนยัน
“แต่ไม่ใช่ข้า” เมิ่งฮ่าวส่ายหน้า จ้องมองไปยังเฉินฮ่าวอย่างเย็นชา และรู้สึกรำคาญอยู่เล็กน้อย
จิตใจเฉินฮ่าวสั่นสะท้านเต็มไปด้วยความหนาวเย็น ทันใดนั้นมันก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องราวที่พูดกันมาในโลกด้านนอก มองไปยังฟางมู่ด้วยท่าทางแปลกๆ จากนั้นก็หยิบเอาถุงสมบัติออกมาจากเสื้อในทันที
“ในนี้มีหินลมปราณอยู่มากกว่าสามล้านก้อน วันนี้ข้านำมาไม่มากนัก แต่เจ้าจะได้มันไป ถ้ายอมตอบคำถามข้า”
ก่อนหน้านี้สีหน้าเมิ่งฮ่าวเย็นชาราวน้ำแข็ง ไร้อารมณ์ความรู้สึกเช่นเดียวกับมือสังหารที่เลือดเย็น ตอนนี้ดวงตาเขาหดเล็กลง และรอยยิ้มน้อยๆ ก็เริ่มมองเห็นได้บนใบหน้า มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเฉินฮ่าวต้องจ้องมองไปด้วยความตกตะลึง
เมิ่งฮ่าวรีบคว้าไปที่ถุงสมบัติอย่างรวดเร็ว และใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์กวาดผ่านไป ในที่สุดใบหน้าก็เปล่งประกายด้วยความพึงพอใจขึ้น
“พี่เฉิน ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ก็ได้” เขากล่าวพร้อมกับเลียริมฝีปากไปมา “แค่คำถามเดียว ใช่หรือไม่? ทำไมถึงได้หยิบเอาหินลมปราณออกมามากมายเช่นนี้? ตกลง ตกลง ถ้าข้าปฏิเสธมัน ก็จะเป็นการไม่ให้เกียรติท่าน ถ้าเช่นนั้นข้าขอรับมันไว้ก็แล้วกัน” สีหน้าเขาในตอนนี้แตกต่างเป็นอย่างมากกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เฉินฮ่าวจ้องมองไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ยังสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของเมิ่งฮ่าวในตอนนี้ มันแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเขาได้เปลี่ยนสีหน้าไปอย่างเป็นธรรมชาติมาก
“เมื่อนำสิ่งของของใครมา ก็ต้องช่วยแก้ปัญหาให้กับคนผู้นั้น…พี่เฉิน…เมื่อครู่นี้ข้าใช้พลังไป…”
“เจ็ดในสิบส่วน!” สี่คำสุดท้ายนี้ถูกส่งเข้าไปในจิตใจของเฉินฮ่าวโดยตรง แน่นอนว่าการที่เขาใช้พลังไปมากมายเท่าใด โดยปกติแล้วเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยจะเปิดเผยออกมาเลย
เฉินฮ่าวลุกขึ้นมายืนอย่างเงียบๆ มันไม่อยากจะเชื่อเมิ่งฮ่าว แต่คำตอบนั้นแทบจะใกล้เคียงกับความคิดและความเข้าใจของมัน มันมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยสายตาที่คมกริบเป็นเวลานาน ในที่สุดก็เอ่ยคำว่า ‘ข้ายอมแพ้’ ออกมา
ทันใดนั้นร่างมันก็จางหายไป และปรากฏกายขึ้นใหม่บนใบไม้ของระดับแรก
เมิ่งฮ่าวรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้รับหินลมปราณมาจากท่ามกลางการต่อสู้ ทันใดนั้นเขาก็มองขึ้นไปอย่างครุ่นคิด และจากนั้นสีหน้าขุ่นเคืองก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ข้าลืมหาเงินไปได้อย่างไรกัน? ถ้าข้าคิดทำเรื่องนี้ตั้งแต่แรก ก็อาจจะร่ำรวยขึ้นมาแล้วในการต่อสู้ที่ผ่านมา”
ขณะที่การต่อสู้เพื่อคัดเลือกแปดคนสุดท้ายดำเนินต่อไป เมิ่งฮ่าวก็นั่งลงขัดสมาธิ หลังจากที่มองไปยังการต่อสู้อื่นๆ ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่รอบๆ ตัว เขาก็มองลงไปยังสังเวียนการประลองขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง และเฉินฝาน
สังเวียนการประลองขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งก็อยู่ในท่ามกลางการคัดเลือกแปดคนสุดท้ายด้วยเช่นกัน เฉินฝานชุ่มโชกเต็มไปด้วยโลหิต ขณะที่มันต่อสู้กับหญิงสาวผู้หนึ่ง ท่าทางรำคาญใจมองเห็นได้บนใบหน้ามัน ขณะที่คนทั้งสองต่อสู้กันไปมา เมื่อต่อสู้ไปจนถึงจุดหนึ่ง เจตจำนงที่เศร้าหมองก็กระจายออกมาจากการโจมตีของเฉินฝาน ทำให้หญิงสาวรู้สึกถูกสะกดไว้อยู่เล็กน้อย
แต่หญิงสาวนางนี้ไม่ใช่หนึ่งในผู้เข้าร่วมการแข่งขันตั้งแต่ตอนแรก นางเป็นผู้ถูกเลือกขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งจากอีเจี้ยนเก๋อ (ศาลากระบี่เดียวดาย) มีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะเข้าไปอยู่ในสี่คนแรกได้อย่างแน่นอน ตอนนี้นางและเฉินฝานกำลังต่อสู้กันไปมา
เมิ่งฮ่าวมองไปยังการต่อสู้นั้นอย่างเงียบๆ จากระดับพื้นฐานฝึกตนของเขา ทำให้สามารถบอกได้ว่าเฉินฝานได้มาถึงจุดสิ้นสุดของการต่อสู้นี้แล้ว
ไม่นานหลังจากนั้น เฉินฝานก็พ่ายแพ้ ไม่อาจจะผ่านเข้าไปในแปดคนสุดท้ายได้ มันประสานมือให้กับหญิงสาวผู้นั้นอย่างเงียบๆ ขณะที่ร่างกายกำลังจางหายไป และไปปรากฏตัวขึ้นใหม่ที่ด้านล่าง
เมิ่งฮ่าวถอนหายใจออกมา เขารับรู้ได้ถึงความขมขื่นใจอย่างลึกๆ ในตัวเฉินฝานจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าในที่สุดสวี่ชิงได้จากไป เขาก็คงไม่เข้าใจว่าทำไมเฉินฝานถึงได้ตกต่ำลงไปมากมายเช่นนี้
เวลาผ่านไป เสียงระเบิดดังกระหึ่มกึกก้องออกมา ในที่สุดชัยชนะและพ่ายแพ้ก็ถูกตัดสินออกมาจากสังเวียนการประลองอื่นๆ แต่ในตอนนี้เองที่ทันใดนั้นเงาร่างมากมาย เริ่มปรากฏขึ้นที่ด้านนอกของต้นไม้เต๋า พวกมันลอยตัวอยู่ที่นั่น ใบหน้าว่างเปล่าขณะที่จ้องมองมายังสังเวียนการประลองบนต้นไม้เต๋า
แต่ละเงาร่างเหล่านั้นกระจายกลิ่นอายที่ทำให้ใครก็ตามต้องสั่นสะท้าน หลิงอวิ๋นจื่อและชายชราอีกสองคนจ้องมองไปด้วยความกังวลใจในทันที
เมื่อการต่อสู้เพื่อคัดเลือกแปดคนสุดท้ายได้ข้อสรุป เงาร่างที่อยู่ด้านนอกของต้นไม้เต๋าเริ่มมีจำนวนมากจนน่ากลัว หนึ่งในพวกมันมีร่างกายส่วนบนเป็นผู้ฝึกตน และท่อนล่างเป็นหางของอสรพิษ สิ่งมีชีวิตปรากฏขึ้นในกลางอากาศ จากนั้นก็มองมายังต้นไม้เต๋าอย่างเย็นชา ดวงตาแวบขึ้นด้วยแสงที่กระหายเลือด
ยังมีสิ่งที่น่าตกใจอื่นอีกที่ดูสะดุดตา มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่เป็นขวานสงครามขนาดใหญ่ คมขวานถูกแกะสลักเป็นรูปภูเขาและแม่น้ำ เต็มไปด้วยสนิม ขวานสงครามไร้สุ้มเสียงใดๆ ขณะที่มันปรากฏขึ้น แต่หลังจากที่โผล่ออกมาแล้ว สิ่งอื่นๆ ส่วนใหญ่ที่อยู่ใกล้มันก็เคลื่อนที่ห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
ขวานสงครามนี้ทำให้กลุ่มฝูงชนที่ด้านนอกในขุนเขาทะเลที่เก้าตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย แต่จริงๆ แล้วก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าขวานสงครามนี้เป็นตัวแทนของอะไร นอกจาก…เหล่าปรมาจารย์ที่อยู่ในวิหารบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
สามปรมาจารย์จากสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ต่างก็ลุกขึ้นมายืน สีหน้าเคร่งขรึมอย่างถึงที่สุด ภายในแววตามองเห็นแสงแห่งความหวังและความตื่นเต้นอยู่
ปรมาจารย์จากตระกูลหรือสำนักอื่นๆ ต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียดด้วยเช่นกันขณะที่พวกมันยืนขึ้น หนึ่งในเหตุผลหลักที่พวกมันเห็นด้วยที่จะจัดสังเวียนการประลองอยู่ในเศษซากเซียน ก็เนื่องมาจากแผนการที่วางไว้ ก่อนหน้าที่สามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่จะจัดการต่อสู้นี้ขึ้นมา
ถ้าแผนการนี้สำเร็จลุล่วง สำนักทั้งหมดก็จะได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน
“นาง…ปรากฏกายขึ้นแล้ว…?” ชายชราจากเต๋าคุนหลุนถาม เมื่อมันกล่าวคำว่า ‘นาง’ สุ้มเสียงก็สั่นสะท้านขึ้นเล็กน้อย
“อาจจะ, อาจจะไม่ แต่พวกเรายังคงมีโอกาสอยู่” ปรมาจารย์จากสำนักกระบี่ไท่สิงกล่าว
ย้อนกลับไปในสังเวียนการประลองของค้นหาเต๋า แปดคนสุดท้ายถูกเลือกออกมาแล้ว พวกมันยืนอยู่บนใบไม้สีเขียวของตนเอง กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจทั้งหมด
แปดผู้ฝึกตนเหล่านั้นรวมทั้งเมิ่งฮ่าว, ชายชราที่พูดมาก, จ้าวอีฝาน, ฝานตงเอ๋อร์ และหลี่หลิงเอ๋อร์ นอกจากคนทั้งห้านี้ ยังมีบุรุษหนุ่มจากกู่เซียนหลิง (สุสานเซียนโบราณ) ผู้ซึ่งต่อสู้ด้วยการใช้ซากศพและโลง
คนที่เจ็ดเป็นบุรุษที่มีร่างกายสูงใหญ่กำยำจากเต๋าคุนหลุน ซึ่งโจมตีด้วยภูเขาที่ตกลงมา มันคือคนที่เอาชนะซุนไห่มาได้
คนสุดท้ายเป็นวัยรุ่นที่มาจากเซียงหั่วเต้า (เต๋าธูปเผาไหม้) มันมีดวงตาที่สามอยู่บนหน้าผาก ตลอดการต่อสู้ทั้งหมดที่ผ่านมา มันไม่เคยโจมตีออกไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตลอดเวลาทั้งหมดนั้น มันเพียงแค่ถ่ายทอดคำพูดบางอย่างออกมา จากนั้นคู่ต่อสู้ของมันก็จะหมอบกราบลงไปบนพื้น และมองขึ้นไปยังมันด้วยสีหน้าที่ศรัทธาคลั่งไคล้
จากคนทั้งแปดเหล่านี้ หกคนเป็นผู้ถูกเลือก สองคนเป็นผู้ฝึกตนจากการแข่งขันตั้งแต่ด่านแรก ตอนนี้คนทั้งหมดได้กลายเป็นจุดสนใจของโลกที่ด้านนอกไปแล้ว
สายตานับไม่ถ้วนกำลังมองมาด้วยความมุ่งหวัง รอคอยที่จะได้เห็นว่าใครในคนทั้งแปดนี้จะเข้าไปสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ และหลังจากนั้นก็เป็นรอบตัดสิน!
“การต่อสู้รอบก่อนรองชนะเลิศนี้จะต้องแตกต่างเป็นอย่างยิ่งกับการต่อสู้ก่อนหน้านี้” หลิงอวิ๋นจื่อกล่าว เสียงของมันดังก้องออกไปทั่วทุกทิศทาง
“ชัยชนะจะไม่ได้ถูกตัดสินด้วยการต่อสู้แค่ครั้งเดียวอีกต่อไป พวกเจ้าแต่ละคนต้องต่อสู้กันอย่างน้อยก็สี่ครั้ง!”
“ครั้งแรก พวกเจ้าจะถูกตัดสินว่าใครจะเป็นสี่คนแรก และใครจะเป็นสี่คนสุดท้าย ผู้ชนะในการต่อสู้ครั้งแรกจะกลายเป็นสี่คนแรก ผู้พ่ายแพ้จะกลายเป็นสี่คนสุดท้าย”
“จากนั้นสี่คนแรกจะต่อสู้กันกับสามผู้เข้าร่วมการต่อสู้ที่ยังไม่ได้ต่อสู้กันมาก่อนหน้านี้ สุดท้ายสี่คนนี้ก็จะมีผู้ที่ได้รับชัยชนะมากที่สุด ซึ่งจะกลายเป็นสี่คนที่แข็งแกร่งมากที่สุด!”
“ผลลัพธ์ของแต่ละรอบ จะถูกตัดสินโดยการต่อสู้ครั้งสุดท้าย”
“พวกเจ้ามีเวลาพักผ่อนสามวัน หลังจากนั้นการต่อสู้รอบก่อนรองชนะเลิศก็จะเริ่มขึ้น!” วิธีการตัดสินในรอบสี่คนสุดท้ายนี้ จะป้องกันไม่ให้มีใครบางคนได้ชัยชนะมาด้วยโชคช่วย ยิ่งไปกว่านั้นรอบสี่คนสุดท้ายนี้ถือได้ว่าแข็งแกร่งทรงพลังมากที่สุด!
สามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ตัดสินใจที่จะใช้วิธีนี้ และไม่มีสำนักใดไม่เห็นด้วย
เวลาผ่านไปเมิ่งฮ่าวนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น รู้สึกค่อนข้างจะเชื่อมั่นอยู่เล็กน้อย แต่อีกเจ็ดคนก็เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจ้าวอีฝานและคนอื่นๆ เมิ่งฮ่าวเคยต่อสู้กับพวกมันมาแล้วในดาวหนานเทียน และอยากรู้เป็นอย่างยิ่งว่า ผลการต่อสู้ในครั้งนี้จะออกมาเป็นอย่างไร
ผู้ที่อยากรู้มากไปกว่านั้นก็คือ กลุ่มผู้ชมที่อยู่ด้านนอกในขุนเขาทะเลที่เก้า การพนันขันต่ออย่างมากมายได้วางเดิมพันกันสำหรับผู้ชนะคนสุดท้าย
“จ้าวอีฝานจะต้องเข้าไปสู่รอบรองชนะเลิศได้อย่างแน่นอน!”
“ฝานตงเอ๋อร์จะต้องทำได้เช่นเดียวกัน!”
“ไม่รู้ว่าฟางมู่จะสร้างตำนานของมันได้ต่อไปอีกหรือไม่!?”
สามวันต่อมา เมื่อเสียงของหลิงอวิ๋นจื่อดังก้องออกมา ประกาศให้รู้ว่าการต่อสู้รอบก่อนรองชนะเลิศได้เริ่มขึ้นแล้ว สายตาทุกคู่ในขุนเขาทะเลที่เก้าก็เพ่งมองไปบนหน้าจอกระแสน้ำวนด้วยความมุ่งหวัง…
ทันใดนั้นเสียงเพลงจากที่ห่างไกลก็ได้ยินลอยตรงมายังต้นไม้เต๋า เสียงเพลงนั้นลอยล่องมาอย่างช้าๆ ดังก้องอยู่ภายในหูผ่านเข้าไปในจิตใจ คนทั้งหมดที่ได้ยินทันใดนั้นก็รู้สึกโศกเศร้าเสียใจ เสียงเพลงนั้นมีอิทธิพลต่ออารมณ์ความรู้สึกของพวกมันในทันที
มันเป็นบทเพลงที่โศกเศร้า เต็มไปด้วยความหวนรำลึกนึกถึง ราวกับว่ามันกำลังนึกย้อนไปถึงสหายเก่าเมื่อในอดีต
ขณะที่เสียงเพลงนั้นดังก้องไปมา หญิงสาวก็เข้ามาใกล้จากที่ห่างไกลออกไป นางสวมใส่เสื้อคลุมยาวสีขาวราวหิมะ มีความงดงามอย่างน่าตกตะลึง ใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ มาหยุดอยู่ที่ด้านบนของต้นไม้เต๋า ใบหน้าเย็นชาราวน้ำแข็ง ดูเหมือนว่าจะไร้อารมณ์ความรู้สึกใดๆ
การปรากฏกายขึ้นอย่างฉับพลันของนาง ทำให้คนทั้งหมดต้องจ้องมองไปด้วยความตกตะลึง นางแตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในเศษซากเซียนราวกับเป็นสีดำที่แยกออกมาจากสีขาว ทันใดนั้นสายลมสีดำก็พัดผ่านไป วิหคยักษ์ส่งเสียงร้องแหลมเล็กออกมา พุ่งจากไปด้วยความรวดเร็วอย่างน่ากลัว
เห็นได้ชัดว่า วิหคยักษ์นี้ถูกหญิงสาวนางนี้สังหารไปเมื่อในอดีตที่ผ่านมา!
สำหรับดวงตาสีโลหิต มันพุ่งถอยไปทางด้านหลัง สั่นสะท้านไปมา จากนั้นก็หลบหนีจากไป เงาร่างที่ยิ่งใหญ่อื่นๆ ทั้งหมดคุกเข่าลงไป และจากนั้น…ก็โขกศีรษะให้กับหญิงสาว!
สำหรับผู้ฝึกตนที่มีครึ่งท่อนร่างเป็นอสรพิษ นางส่งเสียงร้องแหลมเล็กด้วยความประหลาดใจออกมา จากนั้นก็หลบหนีจากไปด้วยความหวาดกลัว