Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 885

ตอนที่ 885

กลับไปยังสถานที่แห่งความทรงจำ

เมิ่งฮ่าวใช้เวลาตลอดทั้งปีอยู่ร่วมกับครอบครัว เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขที่พวกเขาได้อยู่ร่วมกันจะคงอยู่ในจิตใจเขาไปตลอดกาล

ในวันหนึ่งหลังจากผ่านไปหนึ่งปี ฟางอวี๋ก็จากไป นางไม่ได้กลับไปยังตระกูลฟางบนดาวตงเซิ่ง (ชัยชนะตะวันออก) ฟางซิ่วเฟิงได้จัดเตรียมการบางอย่างที่แตกต่างไปให้กับนาง ผู้อาวุโสจากนิกายตี้เซียน (เซียนจักรพรรดิ) ได้มายังดาวหนานเทียน (สวรรค์ทิศใต้) เพื่อนำตัวฟางอวี๋จากไปด้วยตนเอง

ฟางซิ่วเฟิงได้ตัดสินใจมานานแล้ว ที่จะให้ฟางอวี๋เข้าสังกัดนิกายตี้เซียน พรสวรรค์ของนางสอดคล้องกับเงื่อนไขการฝึกตนของนิกายนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อในอดีตที่ผ่านมา ฟางซิ่วเฟิงและผู้นำนิกายตี้เซียนในตอนนี้เคยฝ่าฟันความเป็นตายมาด้วยกัน

ด้วยการมีผู้นำนิกายคอยดูแลฟางอวี๋ และมีฟางซิ่วเฟิงเป็นบิดา จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครมาสร้างปัญหาให้กับนาง ถึงแม้ว่าฟางซิ่วเฟิงไม่อาจจะออกไปจากดาวหนานเทียนได้ก็ตามที

ฟางซิ่วเฟิงดูแลปกป้องบุตรีเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเป็นบุตรชาย ความคิดของท่านก็แตกต่างกันออกไป

ก่อนจะจากไป ฟางอวี๋กอดเมิ่งฮ่าวไว้แน่น และจากนั้นก็มองเขาเป็นเวลานาน ความรักในแววตาของนางทำให้จิตใจเมิ่งฮ่าวเต็มไปด้วยความไม่อยากที่จะจากนางไปอย่างลึกล้ำ

“เสี่ยวตี้ (น้องชาย) พวกเราจะได้พบกันอีกครั้งในหมู่ดาวที่ด้านนอก” ฟางอวี๋กล่าวพร้อมกับเอามือขยี้ผมของเขา ในตอนนี้นางไม่ได้มีความรุนแรงแม้แต่น้อย เป็นแค่พี่สาวที่อ่อนโยนเท่านั้น

ฟางอวี๋อำลาบิดามารดา จากนั้นก็สูดลมหายใจลึกๆ ติดตามผู้อาวุโสจากนิกายตี้เซียนไปอย่างนอบน้อม ขณะที่นางก้าวเท้าเข้าไปในประตูเคลื่อนย้ายทางไกล แสงอันเจิดจ้าได้แวบขึ้นและคนทั้งสองก็หายตัวไป

ฟางซิ่วเฟิงลูบไปที่ไหล่ของภรรยาอย่างอ่อนโยน มองดูขณะที่บุตรีจากไป แววตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความหวัง จากนั้นก็หันหน้ามองกลับมายังเมิ่งฮ่าว

ท่านรู้ว่าคงอีกไม่นานเมิ่งฮ่าวก็จะจากดาวหนานเทียนนี้ไปด้วยเช่นเดียวกัน

“ฮ่าวเอ๋อร์ เส้นทางของเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับเส้นทางของตระกูลฟาง ข้าได้เตรียมให้เจ้าไปเข้าสังกัดพิธีเต๋าเซียนโบราณเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าเจ้าไม่ยินดี ก็ไม่จำเป็นต้องไปที่นั่น”

“ไม่ว่าเจ้าจะเลือกเส้นทางใด แต่ก็มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เจ้าต้องทำก่อนสิ่งอื่นใด”

“เจ้าต้องกลับไปยังตระกูลฟางบนดาวตงเซิ่ง ข้าได้เก็บต้นเถาวัลย์ประกายเซียนไว้ให้เจ้าอยู่ที่นั่น เพื่อให้เจ้าสามารถกลายเป็นเซียนแท้ได้!”

“ที่สำคัญมากไปกว่านั้น…ผลเนี่ยผานทั้งสองผลของเจ้าก็กำลังรอคอยเจ้าอยู่ที่นั่นเช่นเดียวกัน!”

“ผลเนี่ยผานทั้งสองนั้นเป็นของเจ้า ตอนนี้เมื่อเจ้าเอาชนะทัณฑ์ทรมานของตนเองได้แล้ว ก็สามารถจะซึมซับพวกมันได้แล้วเช่นกัน พวกมันจะช่วยให้เจ้าบรรลุถึงขั้นสูงสุดของอาณาจักรเซียนในช่วงเวลาสั้นๆ ในวันข้างหน้าเจ้าจะต้องไม่อยู่ล้าหลังผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ แต่ต้องเหนือกว่าพวกมัน! ปล่อยให้พวกมันอยู่ด้านหลังเจ้าไปตลอดกาล!”

ผู้ที่กล่าวขึ้นเป็นคนต่อมาคือเมิ่งลี่

“ถ้าเจ้ามีโอกาส ก็ให้ไปยังขุนเขาทะเลที่แปด นั่นคือ…บ้านของเหนียงชิน (มารดา)”

เมิ่งฮ่าวพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม เขาเข้าใจถึงความหมายอันลึกซึ้งในคำพูดของบิดา เป็นความหมายที่ไม่อาจจะพูดออกมาได้ บิดาต้องการให้เขากลับไปยังตระกูลฟางเพื่อสร้างชื่ออยู่ที่นั่น ท่านต้องการให้คนทั้งหมดรู้ว่าบุตรชายของฟางซิ่วเฟิงไม่ได้พิการ แต่เป็นดวงตะวันอันเจิดจ้า!

ดังนั้นเมิ่งฮ่าวไม่เพียงแต่จะสาบานกับตัวเองว่า จะมีชื่อเสียงอยู่ในตระกูลฟางแห่งดาวตงเซิ่งเท่านั้น ในวันข้างหน้า…เขาจะต้องไปค้นหาเหยียเยี่ย (ท่านปู่) และไว่กง (ท่านตา) ให้จงได้

“เจ้าสามารถจากดินแดนแห่งดาวหนานเทียนนี้ไปได้ทุกเมื่อตามที่เจ้าต้องการ” ฟางซิ่วเฟิงกล่าวต่อไป “เมื่อเจ้าพร้อมแล้ว ก็แจ้งให้ข้าทราบ ข้าจะเตรียมให้ใครบางคนจากดาวตงเซิ่งมานำเจ้าไปยังที่นั่น จดจำไว้เส้นทางของเจ้าคือเซียนแท้ บนดาวตงเซิ่ง…เจ้าสามารถกลายเป็นเซียนแท้ได้ บังคับให้คนในตระกูลฟางทั้งหมดต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อมองมาที่เจ้า ทำให้พวกมันรู้ว่าเจ้าคือบุตรชายข้า” ฟางซิ่วเฟิงมองไปยังเมิ่งฮ่าวอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นทั้งบุตรชายและความภาคภูมิใจในชีวิตของท่าน

เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และจากนั้นก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น

ไม่กี่วันต่อมา เมิ่งฮ่าวก็ออกไปจากดินแดนตะวันออก ยังมีเรื่องราวอีกสองสามอย่างที่เขาต้องไปสะสาง ก่อนที่จะออกไปจากดาวหนานเทียน

“เส้นทางที่จะกลายเป็นเซียนแท้ของข้า แตกต่างไปจากคนอื่นๆ” เขาพึมพำกับตนเอง ขณะที่บินฝ่าอากาศไป “เมื่อชีพจรเซียนภายในร่างข้าตกผลึกอย่างสมบูรณ์ ข้าก็จะกลายเป็นเซียนแท้”

“อันที่จริงข้าได้รับมามากมายจากการแข่งขันในเศษซากเซียน ทั้งในแง่ของการสร้างความสามารถศักดิ์สิทธิ์และความก้าวหน้าเกี่ยวกับชีพจรเซียนของข้า…”

เมิ่งฮ่าวรู้สึกได้ว่าเมื่อเขาฝึกฝนการสูดลมหายใจเข้าออก ชีพจรเซียนของเขาก็จะเริ่มตกผลึกแข็งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องตามธรรมชาติ แต่ขั้นตอนนี้เชื่องช้าเป็นอย่างยิ่ง และน่าเสียดายที่สิ่งของเช่นแท่นศิลาตัวอักษรจากเศษซากเซียน เป็นสิ่งที่สามารถพบได้โดยบังเอิญเท่านั้น

“ในตอนที่ท่านอาจารย์เปิดประตูเซียน พลังที่กระจายออกมาจากภายในประตู ช่างเหมือนกับพลังของแท่นศิลาตัวอักษรเหล่านั้น พลังทั้งสองนี้สามารถที่จะใช้ในการกลายเป็นเซียนแท้”

“วิธีที่รวดเร็วมากที่สุดในการกลายเป็นเซียนแท้ก็คือใช้ประตูเซียนนั่น…”

“ในตอนนี้ไม่อาจจะกลายเป็นเซียนแท้ในดินแดนแห่งดาวหนานเทียนนี้จริงหรือไม่?” เมิ่งฮ่าวเร่งความเร็วพุ่งฝ่าอากาศไป ตกอยู่ในห้วงภวังค์ พุ่งผ่านทะเลเทียนเหอและจากนั้นก็บรรลุถึงดินแดนด้านใต้

เขาบินลงไปในสำนักจื่อยิ่น แต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็น ไปยืนอยู่บนภูเขาสูง มองออกไปทั่วทั้งสำนัก รูปปั้นของจื่อตงเจินเหรินไม่ได้อยู่ที่นั่นมานานแล้ว แต่ภูเขาที่เขายืนอยู่ในตอนนี้ก็เป็นหนึ่งในภูเขาที่ตานกุ่ยมักจะมายืนอยู่เสมอ

ขณะที่เขายืนอยู่ที่นั่น ก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และหลับตาลง โคจรหมุนเวียนพื้นฐานฝึกตน และชีพจรเซียนที่อยู่ภายในร่างอย่างเต็มกำลัง ชีพจรเซียนตกผลึกไปแล้วแปดในสิบส่วน และสาดประกายด้วยแสงระยิบระยับ ปราณเซียนอันเข้มข้นกระจายออกมาจากร่างเมิ่งฮ่าว และพลังของเซียนแท้แปดในสิบส่วนก็กระจายออกไปในพื้นดินรอบๆ บริเวณนั้น

ในชั่วพริบตา สายลมก็เริ่มโชยพัดขึ้น และพื้นดินก็สั่นไหวไปมา ผู้ฝึกตนทั้งหมดในดินแดนด้านใต้สั่นสะท้านอยู่ภายในใจ ในที่สุดก็ไม่เพียงแต่ดินแดนด้านใต้เท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบ ทะเลทรายตะวันตก, ดินแดนทางเหนือ และแม้แต่ดินแดนตะวันออก ทั้งหมดต่างก็ต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงที่แปลกๆ นี้

อย่างช้าๆ กระแสน้ำวนเริ่มก่อตัวขึ้นอยู่เหนือยอดเขาที่เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่ แต่แทบจะในทันทีที่กระแสน้ำวนปรากฏขึ้น พลังที่สะกดข่มอันน่าเหลือเชื่อบางอย่างได้ระเบิดออกมาจากสวรรค์และปฐพี ทำลายกระแสน้ำวนนั้นไป

กระแสน้ำวนจางหายไป และทุกสรรพสิ่งก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม ความเงียบปกคลุมไปทั่ว และผู้ฝึกตนแห่งดาวหนานเทียนต่างก็สงสัยต่อเหตุการณ์อันน่าประหลาดใจที่เพิ่งจะเกิดขึ้นนี้

เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้นมา และนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ เป็นเวลานานก่อนที่จะส่ายหน้าไปมา

“แน่นอนแล้วว่ามันไม่ได้ผล…ข้ารับรู้ได้ถึงเส้นทางแห่งเซียนแท้ แต่ก็ไม่อาจจะเรียกประตูเซียนออกมาได้ ในแต่ละขุนเขาทะเล โชคชะตาเซียนจะปรากฏขึ้นหนึ่งครั้งต่อดาวหนึ่งดวงในทุกๆ หนึ่งหมื่นปี เป็นกฎที่ไม่อาจจะละเมิดได้”

“แล้วถ้าข้าใช้ต้นเถาวัลย์ประกายเซียนล่ะ…?” ดวงตาเจิดจ้าขึ้น เมิ่งฮ่าวหยิบเอาต้นเถาวัลย์ประกายเซียนออกมาจากถุงสมบัติ เป็นต้นที่เขาได้มาจากสวนสมุนไพรที่อยู่ในเศษซากเซียน

หลังจากที่พึมพำอยู่เล็กน้อย เขาก็ส่ายหน้า

“ต้นเถาวัลย์ประกายเซียนสามารถทำให้กลายเป็นเซียนแท้ได้อย่างแน่นอน แต่ก็จะตัดอาณาจักรวิญญาณออกไปด้วยเช่นกัน และความก้าวหน้าทั้งหมดนั้นก็จะบังคับให้ต้องทะลวงผ่านขึ้นไป”

“ผู้ถูกเลือกจากสำนักต่างๆ ได้ฝึกฝนตนเองเป็นเวลานานหลายปี สะกดข่มพื้นฐานฝึกตนของตัวเองไว้จนกระทั่งถึงตอนที่วิกฤต จากนั้นก็จะใช้ต้นเถาวัลย์ประกายเซียนเพื่อทะลวงผ่านขึ้นไปในทันที”

“ตอนนี้เส้นทางเซียนแท้ของข้า ไม่อาจจะก้าวเดินไปบนดาวหนานเทียนแห่งนี้ บางทีการไปยังดาวตงเซิ่งตามที่ท่านพ่อได้บอกไว้ จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดจริงๆ” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น ขณะที่ยกเลิกความคิดที่จะใช้ต้นเถาวัลย์เพื่อทำให้ตนเองทะลวงผ่านขึ้นไป และจากนั้นก็สูดลมหายใจลึกๆ หมุนตัวและจากไป

ไม่มีใครรับรู้ในการมาถึงและจากไปจากสำนักจื่อยิ่นของเขาได้ ต่อมาเขาไปยังสำนักเซี่ยเยา ไปยืนอยู่ที่ด้านนอกถ้ำแห่งเซียนของปรมาจารย์อสูรโลหิต ที่เขาสามารถจะรับรู้ได้คือกลิ่นอายแห่งความตายเท่านั้น ดูเหมือนว่าแม้แต่พลังชีวิตเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีหลงเหลืออยู่เลยที่ด้านใน

ปรมาจารย์อสูรโลหิตไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น

หลังจากที่ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ เป็นเวลานาน เมิ่งฮ่าวก็ไปยังหุบเขาเจ้าสำนักน้อย ซึ่งถูกดูแลรักษาโดยศิษย์ของสำนักเซี่ยเยาอยู่เป็นประจำทุกวัน ทำให้ทั่วทั้งหุบเขาสะอาดเรียบร้อยเป็นระเบียบ เมิ่งฮ่าวมองไปยังกระท่อมไม้ และสิ่งอื่นๆ ที่ดูคุ้นเคยในหุบเขา ทันใดนั้นก็ดูเหมือนว่าเมื่อเขาเดินเข้าไปตรงทางเข้าเล็กน้อย ก็มองเห็นเป็นรูปร่างของหญิงสาว กำลังยิ้มอย่างอ่อนหวานมาที่เขา

“สวี่ชิง…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ เขาไม่เคยลืมคำสัญญาที่เขาและสวี่ชิงได้ตกลงร่วมกัน

“รอข้าก่อน…ข้าจะไปค้นหาท่าน!” สีหน้าอันอบอุ่นมองเห็นได้บนใบหน้าเมิ่งฮ่าว ขณะที่หวนรำลึกไปถึงช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกับสวี่ชิงในหุบเขาเจ้าสำนักน้อยแห่งนี้ หลังจากที่ผ่านไปสักพัก เขาก็ออกจากหุบเขาและเดินไปยังสถานที่ที่เขาและสวี่ชิงได้จัดงานวิวาห์ร่วมกัน

ไม่กี่วันหลังจากนั้น เมิ่งฮ่าวก็จากไป นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะมายังสถานที่เหล่านี้ เป็นสถานที่ซึ่งมีความทรงจำของสวี่ชิงประทับอยู่ ก่อนที่จะจากดาวหนานเทียนไป

หลังจากที่ออกมาจากสำนักเซี่ยเยา เขาก็ท่องเที่ยวไปทั่วในดินแดนด้านใต้ ไปหยุดอยู่ที่ด้านนอกตระกูลซ่ง และใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ม้วนกวาดออกไป เขามองเห็นปรมาจารย์ซ่ง ซึ่งไม่อาจจะรับรู้ถึงการคงอยู่ของเมิ่งฮ่าวได้

เมิ่งฮ่าวยังได้เห็นหญิงสาวที่เขาคุ้นเคยด้วยเช่นกันซึ่งก็คือซ่งเจี๋ย นางกำลังนั่งขัดสมาธิเข้าฌาณอยู่ที่นั่น ถึงแม้ว่านางจะมีความงดงาม แต่ก็พอจะมองเห็นสัญญาณแห่งความแก่ชราลงไปของนาง

“นางไม่ไปเข้าร่วมการแข่งขันเพื่อเข้าสังกัดสำนักในหมู่ดาวต่างๆ นางต้องการจะอยู่ที่ดาวหนานเทียนนี้ตลอดไปจริงๆ…?”

ภาพจากในอดีตได้ลอยผ่านจิตใจเมิ่งฮ่าวไป หลังจากที่ผ่านไปนาน เขาก็หันหลังและจากไป ทิ้งให้ซ่งเจี๋ยมีชีวิตอยู่อย่างสงบต่อไป

เขาไปยังถ้ำกำเนิดใหม่ เดินผ่านเข้าไปในแรงกดดันที่เคยเป็นเรื่องยากที่จะจัดการได้เมื่อหลายปีก่อนโน้น ในตอนนั้นมันเป็นเรื่องยากที่จะเดินไปได้ในแต่ละก้าว แต่ตอนนี้มันเป็นเรื่องง่ายที่จะเดินไปราวกับเป็นเส้นทางที่ราบเรียบ ผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ ในอาณาเขตของถ้ำกำเนิดใหม่มองไปยังเมิ่งฮ่าวที่กำลังเดินตรงไปยังถ้ำกำเนิดใหม่ด้วยท่าทางสบายๆ และสีหน้าของพวกมันก็เปลี่ยนไปด้วยความประหลาดใจ

“นั่นคือใคร?”

“มัน…มันกำลังเดินเข้าไปในส่วนลึกของอาณาเขตถ้ำกำเนิดใหม่จริงๆ! แรงกดดันในที่แห่งนี้แม้แต่ผู้แข็งแกร่งตัดวิญญาณก็ยังยากที่จะเดินเข้าไปได้”

“ทำไมมันถึงได้ดูคุ้นตานัก…?” ขณะที่เมิ่งฮ่าวเข้าไปใกล้ถ้ำกำเนิดใหม่ มีผู้คนเริ่มมองเห็นเขามากขึ้น และคนทั้งหมดต่างก็ประหลาดใจ

เขาเดินลึกเข้าไปในอาณาเขตของถ้ำกำเนิดใหม่อย่างเยือกเย็น และในที่สุดก็เข้าไปใกล้กับปากถ้ำ

ประมานห้าร้อยจ้างจากปากถ้ำ เขามองเห็นสองชายชราที่มีพื้นฐานฝึกตนอยู่ในขั้นตัดวิญญาณ พวกมันนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ต่อต้านแรงกดดัน จ้องมองซึ่งกันและกัน ราวกับว่าพวกมันเป็นศัตรูกัน พลังชีวิตของคนทั้งสองลดต่ำลง เห็นได้ชัดว่าพวกมันหวังว่าจะได้พบกับโชควาสนาบางอย่างภายในถ้ำกำเนิดใหม่นี้

ทันทีที่เมิ่งฮ่าวเข้าไปใกล้ คนทั้งสองก็จ้องมองมาที่เขาด้วยความตกตะลึง

“เจ้าคือใคร?” หนึ่งในสองร้องคำรามขึ้นมา แต่เมิ่งฮ่าวก็แค่เดินผ่านพวกมันไปอย่างเรียบง่าย

ทำให้พวกมันตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิง และพวกมันก็มองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ขณะที่เขาเดินผ่านเขตห้าร้อยจ้างเข้าไปได้อย่างง่ายดาย และจากนั้นก็เข้าไปในถ้ำ

พวกมันหอบหายใจ สบตากันไปมา มองเห็นความไม่อยากจะเชื่ออยู่ในแววตาของกันและกัน

“มันดูคุ้นตานัก…”

“มัน…หือ? นั่นคือเมิ่งฮ่าว! สวรรค์! มันเป็นเจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักเซี่ยเยา! มันผนึกผู้แข็งแกร่งค้นหาเต๋าจากดินแดนทางเหนือไว้ และทำให้ผู้ฝึกตนจากดินแดนทางเหนือนับแสนต้องกลายเป็นพลเมืองชั้นสองไป! นั่นคือเมิ่งฮ่าว!!”

เมื่อชายชราทั้งสองตระหนักว่าเขาคือเมิ่งฮ่าว จิตใจพวกมันก็เต็มไปด้วยเสียงกระหึ่มราวกับเป็นเสียงฟ้าผ่า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!