ตอนที่ 988
เหนียงจื่อ วิวาห์กันดีหรือไม่?!
ฟางซิ่วเฟิงมีสีหน้าแปลกๆ ขณะที่ยืนอยู่ที่นั่นบนดาวหนานเทียน มองไปยังอำนาจแห่งกรรมของเมิ่งฮ่าว ท่านสังเกตเห็นสีหน้าของเมิ่งฮ่าวด้วยเช่นกัน และต้องแอบถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ที่ด้านข้าง เมิ่งลี่กำลังหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อนางมองไปยังสีหน้าของฟางซิ่วเฟิง ก็รู้อย่างแน่ชัดว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่
“เจ้าเด็กผู้นี้มีเสน่ห์ตั้งแต่ตอนที่มันถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว” นางกล่าว หัวเราะออกมา
“มีเสน่ห์?” ฟางซิ่วเพิงพูดขึ้น อ้าปากค้าง ลังเลอยู่ชั่วขณะ “ก็มันเป็นบุตรชายของท่าน ก่อนที่มันจะจากไป มันเคยบอกว่าต้องการให้ผู้ถูกเลือกทั้งหมดในขุนเขาทะเลที่เก้าเป็นหนี้มัน…”
“เมื่อฮ่าวเอ๋อร์ถือกำเนิดขึ้นมา ข้าก็รู้ว่ามันจะต้องมีความใฝ่ฝันที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ ทั้งหมด สำหรับข้าแล้ว ข้าหวังว่าความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของมันคือ การที่ให้หญิงสาวที่น่ารักทั้งหมดในขุนเขาทะเลที่เก้า กลายมาเป็นภรรยาของมัน” เมิ่งลี่ยิ้มออกมา และจากสีหน้าของนางก็มองเห็นได้ถึงความรักที่นางมีต่อเมิ่งฮ่าวว่ามากมายเพียงใด
ฟางซิ่วเฟิงยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ส่ายหน้าและฝืนยิ้มออกมา มีแต่ท่านเท่านั้นที่รู้ว่าลึกลงไปในจิตใจ มีบางสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าไม่ค่อยจะพอใจนัก และนั่นก็คือ ‘อี้ฟู่’ (บิดาบุญธรรม) ที่เมิ่งฮ่าวได้เอ่ยถึง ในตอนที่เคอจิ่วซือมอบชีพจรเซียนให้กับเขา
ในฐานะที่เป็นบิดาที่แท้จริงของเมิ่งฮ่าว ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนั้นทำให้เกิดเป็นความไม่พอใจขึ้นมา ท่านยอมรับสถานการณ์นี้ไม่ค่อยจะได้นัก
“ท่านยังไม่ได้บอกข้าว่า ทำไมถึงส่งให้ฮ่าวเอ๋อร์ไปยังดาวตงเซิ่ง ข้ารู้ว่าไม่ใช่แค่เรื่องผลเนี่ยผานทั้งสองเท่านั้น ข้าได้ถามท่านมาหลายครั้งแล้ว แต่ท่านก็ไม่เคยบอกข้าเลย แต่ครั้งนี้ ข้าอยากรู้คำตอบนั้น!” เมิ่งลี่หันไปมองฟางซิ่วเฟิงด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
ฟางซิ่วเฟิงมองไปยังภรรยาอย่างเงียบๆ อยู่ชั่วขณะ ก่อนจะในที่สุดก็กล่าวว่า “ท่านจะได้รู้ในอีกไม่ช้า”
ตอนนี้ ขุนเขาทะเลที่เก้าตกอยู่ในความเงียบไปโดยสิ้นเชิง และคนทั้งหมดต่างก็กำลังจ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าว ซึ่งใช้เพียงมือเดียวก็เอาชนะผู้ถูกเลือกจากสำนักและตระกูลต่างๆ ในขุนเขาทะเลที่เก้าได้ทั้งหมด
พวกมันยังได้ร่วมมือกันอีกด้วย แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ไป กลุ่มผู้ชมมากมายต่างก็สั่นสะท้านใจไปโดยสิ้นเชิง
ขณะที่เมิ่งฮ่าวลอยตัวอยู่ที่นั่นในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว เขามองไปรอบๆ ยังกลุ่มผู้ถูกเลือกทั้งสิบกว่าคนเหล่านั้น ซึ่งกำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยความเกรี้ยวกราด แต่พวกมันก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ ในตอนนี้เองที่ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลอื่นๆ จู่ๆ ก็เปล่งแสงระยิบระยับขึ้นที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว
ฉับพลันนั้นจ้าวอีฝานก็เดินออกมาจากประตูเคลื่อนย้ายทางไกล ติดตามมาด้วยเสาแห่งปราณกระบี่ขนาดใหญ่ที่พุ่งออกมาจากร่างมัน ดวงดาวสั่นสะท้านขณะที่เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องออกไปในทั่วทุกทิศทาง ผู้ถูกเลือกเซียนแท้ในบริเวณนั้นจ้องมองไปที่มันในทันที
ผู้ฝึกตนแห่งขุนเขาทะเลที่เก้าทั้งหมด มองไปยังการปรากฏกายขึ้นของจ้าวอีฝาน
“เมิ่วฮ่าว หรือน่าจะเรียกว่า…ฟางมู่! ไม่พบกันนานเลย!” มันกล่าวขึ้น สวมใส่ชุดยาวสีฟ้าเหมือนเช่นเคย ซึ่งสะบัดพลิ้วไปมาขณะที่มันเดินตรงมา มีกระบี่หนี่งเล่มสะพายอยู่ที่ด้านหลัง ในตอนนี้พลังที่กระจายออกมาจากร่างมัน มีความเข้มข้นเกินกว่าในช่วงการแข่งขันของสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่มากนัก ช่างแตกต่างกันราวกับเป็นสวรรค์และปฐพี
จ้าวอีฝานแห่งสำนักกระบี่ไท่สิง!
เมิ่งฮ่าวเคยต่อสู้กับมันมาสองครั้งจากก่อนหน้านี้ ครั้งแรกตอนที่อยู่บนดาวหนานเทียน เมื่อคนทั้งสองอยู่ห่างกันค่อนข้างจะไกลมาก และได้โจมตีกันหนึ่งกระบี่ในกลางอากาศ
ครั้งที่สองอยู่ในช่วงการแข่งขันของสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ ทั้งสองแย่งชิงตำแหน่งอันดับหนึ่งกัน การต่อสู้นั้นเมิ่งฮ่าวถูกบังคับให้ต้องทุ่มพลังการต่อสู้ทั้งหมดออกมา และยังได้ปล่อยให้จิตมารที่แอบซ่อนอยู่ปรากฏออกมา ทำให้จิตใจต้องตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย แต่ทั้งหมดนั้นก็แค่ทำให้จ้าวอีฝานต้องได้รับบาดเจ็บไปเท่านั้น!
ตอนนี้คนทั้งสองจ้องมองซึ่งกันและกัน และภาพในอดีตก็กำลังผุดขึ้นมาอยู่ในจิตใจ
“จ้าวอีฝาน…” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นช้าๆ ทันใดนั้นความต้องการต่อสู้ก็พุ่งขึ้นมาในแววตา ไม่จำเป็นต้องพูดจาใดๆ อีก คนทั้งสองไม่มีความเป็นศัตรูต่อกัน มีเพียงแต่…การต่อสู้ที่จะยืนกรานเต๋าของตนเองในยุคแห่งเซียนแท้นี้
ผู้ถูกเลือกเซียนแท้ที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นเริ่มเงียบลงและถอยไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว พวกมันทั้งหมดพ่ายแพ้ไปแล้วและจะไม่โจมตีไปอีก ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันก็รู้ดีว่าจ้าวอีฝานมีความแข็งแกร่งมากแค่ไหน ดังนั้นดวงตาพวกมันต่างก็สาดประกายขึ้น ขณะที่เตรียมรอดูการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่นี้
ผู้ฝึกตนที่สังเกตการณ์อยู่ที่ด้านนอกในขุนเขาทะเลที่เก้า กำลังหวนรำลึกไปถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อในอดีตที่ผ่านมา ระหว่างเมิ่งฮ่าวและจ้าวอีฝาน
“การต่อสู้ระหว่างคนทั้งสองนี้ ต้องกลายเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจขึ้นอย่างแน่นอน!”
“ย้อนกลับไปในช่วงของการแข่งขัน จ้าวอีฝานต้องเสียใจต่อความพ่ายแพ้อันยิ่งใหญ่นั้น แต่ในตอนนี้…มันกลายเป็นเซียนแท้แล้ว มันได้ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง เป็นไปได้หรือไม่ว่า…มันอาจจะพ่ายแพ้ไปอีกครั้ง?”
“การที่ต้องมาต่อสู้กับคนที่ไม่ใช่มนุษย์เหมือนกับเมิ่งฮ่าวนี้…จ้าวอีฝานจะต้องพ่ายแพ้ไปอีกอย่างแน่นอน!” ขณะที่คนทั้งหมดพูดคุยเรื่องเหล่านี้กันไปมา เมิ่งฮ่าวและจ้าวอีฝานก็เผชิญหน้ากันด้วยความตึงเครียด ขณะที่คนทั้งสองกำลังจะระเบิดการต่อสู้ขึ้น ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลบานที่สองจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้น จากนั้นบานที่สามก็ปรากฏขึ้นในทันที แสงเจิดจ้ากระจายออกไปทั่วทั้งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ขณะที่ฝานตงเอ๋อร์เดินออกมา มีซากศพของหญิงสาวอยู่ที่ด้านหลัง เส้นผมปกคลุมไปทั่วร่างของซากศพนั้น กลิ่นอายแห่งผู้แข็งแกร่งอันน่าเหลือเชื่อกระจายออกมาจากร่างของฝานตงเอ๋อร์ในทันที
“เมิ่งฮ่าว!” นางกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่มีเสน่ห์ แต่ก็เยือกเย็นจนคล้ายกับว่าทุกสรรพสิ่งกำลังหนาวเย็นขึ้นมาราวกับอยู่ในช่วงฤดูหนาว
ซากศพที่อยู่ด้านหลังนางมีเส้นผมสีดำที่ยาวเหยียด และกระจายกลิ่นอายแห่งความตายออกมา ทำให้คนทั้งหมดที่มองไปยังมันต้องสั่นสะท้านอยู่ภายในใจ
“หือ?! เสี่ยวชิง สบายดีหรือไม่? ข้าคิดถึงเจ้านัก!” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้น ดวงตาสาดประกายเจิดจ้า หลังจากนั้นก็กล่าวต่อด้วยท่าทางที่กระอักกระอ่วนใจอยู่เล็กน้อย “ใช่แล้ว ตงเอ๋อร์เม่ยเหม่ย (น้องสาวตงเอ๋อร์) เจ้าควรจะชดใช้หนี้ข้าได้แล้ว!” คำพูดนี้ทำให้จู่ๆ ใบหน้าของฝานตงเอ๋อร์ต้องหมองคล้ำลงไป นางไม่รู้ว่าทำไม แต่ในทันทีที่มาเผชิญหน้ากับเมิ่งฮ่าว และได้ยินเสียงของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นสีหน้าของเขา…จิตเต๋าของนางก็เต็มไปด้วยความต้องการที่อยากจะเตะไปที่เขาอย่างรุนแรง จนแทบไม่อาจจะควบคุมตัวเองไว้ได้
ขณะที่นางกัดฟันจนแน่น ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลบานที่สามก็เปิดออกจากทางด้านหลังของนาง และหลี่หลิงเอ๋อร์ก็ค่อยๆ ก้าวเท้าออกมา นางสวมใส่ชุดยาวสีแดง และดวงตาก็สาดประกายขึ้นราวกับเป็นสายฟ้า ขณะที่จ้องไปยังเมิ่งฮ่าว สีหน้าดูเหมือนจะตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อย
เมิ่งฮ่าวขยิบตาให้ จากนั้นก็ยิ้มและกล่าวว่า “เฮโย! หลิงเอ๋อร์เหนียงจื่อ! (ภรรยาหลิงเอ๋อร์) เจ้าก็มาด้วย? ใช่ว่าจะมาวิวาห์หรือไม่?”
เมื่อกลุ่มผู้ชมที่อยู่ในขุนเขาทะเลที่เก้าได้ยินคำพูดของเขา ดวงตาพวกมันก็เบิกกว้างขึ้น ราวกับว่าหูของพวกมันถูกฟาดลงมาด้วยสายฟ้า
“มันเพิ่งจะเรียกหลี่หลิงเอ๋อร์ว่าอะไร?!?!”
“บัดซบ! มันบังอาจเรียกหลี่หลิงเอ๋อร์ว่าเหนียงจื่อ?!?!”
“ข้าจำได้แล้ว ฟางฮ่าวผู้นี้…เมื่อหลายปีก่อนโน้น ดูเหมือนว่าตระกูลฟางและตระกูลหลี่ ได้เกี่ยวดองกันด้วยการหมั้นหมาย…”
ขณะที่กลุ่มผู้ชมในขุนเขาทะเลที่เก้าตกอยู่ในความปั่นป่วนโกลาหล หลี่หลิงเอ๋อร์ที่จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าว จู่ๆ ก็ยิ้มออกมา ทันใดนั้นแววตาอันซับซ้อนของนางก็จางหายไป นางมีความงดงามตามธรรมชาติ และเมื่อยิ้มออกมา ประกายเสน่ห์อันน่าลุ่มหลงก็แผ่กระจายออกมาในทันที
“ฟูจวิน (สามี) ท่านมีหญิงสาวที่งดงามอยู่มากมายนัก เมื่อไหร่ที่ท่านตัดขาดจากพวกนางได้ พวกเราค่อยมาวิวาห์กัน” นางกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มที่งดงาม
ดวงตาเมิ่งฮ่าวเบิกกว้าง ไม่เคยคาดคิดว่าหลี่หลิงเอ๋อร์จะยอมรับคำพูดของเขา เมื่อมองไปยังรอยยิ้มที่เบิกบานของนาง ก็ทำให้รู้สึกว่าต้องมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลกับเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เขาหัวเราะออกมาอย่างอึดอัดใจ จากนั้นสายตาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาลงเมื่อหันหน้ามองไปยังจ้าวอีฝาน
ทันทีที่สายตาตกกระทบไปบนร่างจ้าวอีฝาน ปราณกระบี่ของมันก็ปะทุขึ้น จ้าวอีฝานเดินตรงมาหนึ่งก้าว ยื่นมือออกไป ภายในมือเป็นภาพลวงตาของกระบี่สีฟ้าปรากฏขึ้น ขณะที่นิ้วของมันกำไปรอบๆ ด้ามกระบี่ ไม่พูดอะไรออกมา แต่ร่างกลับโค้งตัวลงไปคล้ายกับเป็นคันธนู จากนั้นมันก็ตวัดกระบี่ตรงไปยังเมิ่งฮ่าวในทันที
กระบี่นั้นทำให้ทุกสรรพสิ่งสั่นสะเทือน สวรรค์มืดสลัวลงไป มังกรกระบี่เก้าสิบกว่าตัวปรากฏขึ้นอยู่ภายในประกายกระบี่ พวกมันรวมตัวกันอย่างรวดเร็วเพื่อก่อตัวเป็นมังกรสีฟ้าขนาดยักษ์ ส่งเสียงแผดร้องคำรามขณะที่กรีดเฉือนไปยังความว่างเปล่าด้วยกรงเล็บ หนวดเคราที่ยาวของมันลอยพลิ้วอยู่ในอากาศ ขณะที่พุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว ทุกๆ ที่ที่มันพุ่งผ่านไป ความว่างเปล่าแตกกระจายขาดสะบั้นออกจากกัน ราวกับว่ามังกรสีฟ้านี้สามารถจะทำลายสิ่งใดๆ ก็ตามที่มากีดขวางเส้นทางของมัน
ขณะที่มังกรสีฟ้าเข้ามาใกล้เมิ่งฮ่าว เขาก็ยกมือขวาขึ้นมาและชี้ออกไป ทันใดนั้นเสียงกระหึ่มขนาดใหญ่ก็ได้ยินมา ขณะที่เสียงคำรามของมังกรสีฟ้าขาดหายไป และไม่อาจจะเคลื่อนที่ตรงไปข้างหน้าได้อีกแม้แต่หนึ่งชุ่น (ประมาณ 1 นิ้ว)
“แตกกระจาย” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ เสียงระเบิดได้ยินมาขณะที่มังกรสีฟ้าแตกกระจายไป กลายเป็นประกายแสงระยิบระยับนับไม่ถ้วน ซึ่งจากนั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
ภาพที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ทำให้มีผู้คนอยู่ไม่น้อย ที่ต้องหวนรำลึกไปถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในการแข่งขันของสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ในทันที สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ค่อนข้างจะคล้ายคลึงกัน ยกเว้นแต่ว่าในตอนนั้นเมิ่งฮ่าวใช้ฝ่ามือ แต่ในตอนนี้เขาใช้เพียงแค่นิ้วเดียวเท่านั้น
ดวงตาจ้าวอีฝานสาดประกายเจิดจ้าขึ้น ขณะที่ยื่นมือขวาออกไป ทำให้กระบี่ธรรมดาปรากฏขึ้น มันไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเป็น…กระบี่ผนึกเมฆา!
จ้าวอีฝานเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วห้าก้าว ในแต่ละก้าวนั้น พลังของมันได้พุ่งทะยานขึ้นและแข็งแกร่งมากขึ้นไปเรื่อยๆ!
“กระบี่แรก ตกอยู่ในความตาย!”
“กระบี่ที่สอง วิญญาณสะท้าน!”
“กระบี่ที่สาม ประหารเซียน!”
“กระบี่ที่สี่ บรรพกาลสูญสลาย!”
“กระบี่ที่ห้า เหยียบย่ำสวรรค์!” ทุกก้าวที่มันเหยียบย่างไป พลังก็พุ่งขึ้นมา และมันก็ตวัดกระบี่กรีดเฉือนออกไป ห้าก้าว ห้ากระบี่ที่โจมตีไปจนทำให้สวรรค์ต้องสั่นสะท้าน ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวดูเหมือนว่าแทบจะพังทลายลงไป เสียงแตกร้าวได้ยินมาขณะที่รอยแตกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นจากภายใน ซึ่งมองเห็นเป็นกรงเล็บขนาดใหญ่ที่กรีดเฉือนลงไปยังเมิ่งฮ่าว
กรงเล็บนั้นดูคล้ายกับเป็นกรงเล็บห้าแฉกของมังกรกระบี่ ซึ่งก่อตัวขึ้นมาจากห้ากระบี่นั้น ในทันทีที่มันปรากฏกายขึ้น สวรรค์ก็สั่นสะท้าน และสีหน้าของกลุ่มผู้ชมก็เปลียนไปในทันที พวกที่มองดูอยู่ในขุนเขาทะเลที่เก้าอ้าปากค้างขึ้น
ความต้องการต่อสู้สาดประกายเจิดจ้ามากขึ้นในดวงตาเมิ่งฮ่าว สีหน้าเย็นชาขณะที่พลังของเขาได้พุ่งทะยานขึ้นไป และพลังของชีพจรเซียนหนึ่งร้อยยี่สิบสามจุดก็ปะทุขึ้น!
เขาเคยเห็นกระบี่เดียวกันนี้จากในครั้งก่อนที่ได้ต่อสู้กับจ้าวอีฝานมา แต่ครั้งนี้พวกมันมีความแข็งแกร่งกว่ามากนัก! ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้ เมิ่งฮ่าวก็ไม่ต้องการอะไรอื่นนอกจากอยากจะเห็นว่าตนเองมีความแข็งแกร่งมากแค่ไหนกันแน่
เขาเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และยกมือขึ้นไป ไม่ได้ใช้ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ใดๆ แค่ต่อยออกไปหนึ่งหมัด พุ่งตรงไปยังกรงเล็บห้าแฉกที่ใกล้เข้ามา!
ชีพจรเซียนหนึ่งร้อยยี่สิบสามจุดปะทุขึ้น หลอมรวมเข้ากับพลังของกายเนื้อ เพื่อก่อตัวเป็นกลิ่นอายอันน่าประหลาดใจ กระแทกเข้าไปยังกรงเล็บห้าแฉกในทันที
เสียงกระหึ่มขนาดใหญ่ดังเต็มอยู่ในอากาศ กรงเล็บนั้นสั่นไปมาอยู่ชั่วขณะ และจากนั้นก็แตกกระจายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วน เมิ่งฮ่าวเดินหน้าต่อไป เส้นผมพลิ้วไปมา กลิ่นอายพุ่งขึ้นไป
“จ้าวอีฝาน ถึงเวลาที่เจ้าต้องใช้เวทลับที่แข็งแกร่งมากที่สุดออกมาแล้ว มิเช่นนั้น…เจ้าไม่อาจจะสู้กับข้าได้!” เสียงเมิ่งฮ่าวดังก้องไปมา และน้ำเสียงที่ทระนงก็พุ่งขึ้นไปในแต่ละก้าวที่เขาเดินไป ฉับพลันนั้นจ้าวอีฝานก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันอันเข้มข้น ที่กดทับลงมาบนร่างอย่างรวดเร็ว สีหน้าฝานตงเอ๋อร์เปลี่ยนไป และม่านตาของหลี่หลิงเอ๋อร์ก็หดเล็กลง
จ้าวอีฝานเงยหน้าขึ้นและกู่ร้องออกมา จากนั้นก็ทำการร่ายเวทด้วยมือขวา
“ห้ากระบี่สูญสะบั้น กระบี่แรกปรากฏ!” มันโบกสะบัดมือขวา ทำให้ชีพจรเซียนโคจรหมุนวนอย่างเต็มกำลัง ชีพจรเซียนเก้าสิบกว่าจุดของมันในตอนนี้ ปะทุขึ้นด้วยพลังการต่อสู้ของชีพจรมากกว่าหนึ่งร้อยสิบจุด
“สะบั้นแรก กระบี่สะบั้นฟ้า!” ทันใดนั้นกระบี่บินหนึ่งหมื่นเล่มก็กระจายไปทั่วอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวที่ด้านบนของจ้าวอีฝาน ภายใต้เงาของกระบี่เหล่านั้นทั้งหมด จ้าวอีฝานคล้ายกับเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในท่ามกลางกระบี่ ดูน่าตกใจอย่างถึงที่สุด ตอนนี้พลังของชีพจรเซียนมากกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบจุดได้ระเบิดขึ้นมาจากภายในร่างของมัน!
“สะบั้นครั้งที่สอง…ขอถามเซียน ทำไมถึงได้ตัดขาดจากโลกียะ?!” กลิ่นอายของจ้าวอีฝานระเบิดขึ้นไป ในช่วงการต่อสู้ก่อนหน้านี้ของคนทั้งสอง มันถูกบังคับให้ต้องทำลายภาพแห่งธรรมของตนเอง เพื่อที่จะเพิ่มพลังให้กับสะบั้นครั้งที่สองนี้ แต่ในครั้งนี้มันไม่ต้องทำเช่นนั้นอีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นการใช้พลังนี้ ได้ทำให้พลังของมันพุ่งขึ้นไปจนเทียบเท่ากับการมีชีพจรเซียนมากกว่าหนึ่งร้อยสามสิบจุด!
นี่คือการแสดงออกที่แท้จริงของห้ากระบี่สูญสะบั้นแห่งสำนักกระบี่ไท่สิง และยังได้เป็นเวทลับสำหรับอาณาจักรเซียนของสำนักกระบี่ไท่สิงอีกด้วย ซึ่งทรงพลังเพียงพอที่จะสร้างเป็นชีพจรภาพลวงตาขึ้นมาได้อีกหลายจุด จนสามารถที่จะมีชีพจรได้มากกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบสามจุดตามปกติ อย่างไรก็ตามวิญญาณเซียนที่ถูกสร้างขึ้นมาจากชีพจรเหล่านี้ ก็ยังคงมีขีดจำกัดอยู่ที่หนึ่งวิญญาณต่อสิบชีพจร ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากข้อจำกัดของสวรรค์ทั้งสามสิบสามชั้น ทำให้จำนวนชีพจรที่มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อรวมเข้ากับชีพจรที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยเวทลับจะอยู่ที่สามร้อยสามสิบ ซึ่งถูกถือว่าเป็นวงจรอันยิ่งใหญ่
ตลอดหลายปีนับไม่ถ้วนที่ผ่านมา ไม่มีใครจะสามารถบรรลุได้ถึงระดับนี้มาก่อน!
เมิ่งฮ่าวเงยหน้าขึ้นไป และดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า คล้ายกับเป็นกระบี่อันเย็นเยียบและแหลมคม