Skip to content

King of Gods 1011

King Of Gods

บทที่ 1011 มุ่งสู่สนามรบ

“คุณชายจ้าว เชิญ!”

ผู้อาวุโสด้านหน้าประตูหอคอยดาราม่วงยืนขึ้นเอ่ยด้วยความเคารพ

หลังจากนั้น จ้าวเฟิงเข้าไปภายในหอคอยดาราม่วงท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของลูกศิษย์จำนวนมาก

ขณะนี้จ้าวเฟิงไม่ต้องกังวลกับจำนวนครั้งเข้าออกและเวลาจำกัดของหอคอยดาราม่วงอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงตรงไปที่ชั้นแปดซึ่งเหมาะกับการฝึกฝนของเซียน

แน่นอนว่าผลกระทบที่ชั้นแปดมีต่อจ้าวเฟิงมากกว่าคราวก่อน ชั้นแปดเป็นสถานที่เหมาะกับการฝึกฝนของขั้นเซียน ย่อมรวมไปถึงขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นแรกเริ่ม ชั้นต้น และชั้นสูงด้วย

การแบ่งวิญญาณทำให้พลังวิญญาณของจ้าวเฟิงร่วงหล่นลงไปยังขั้นต่ำที่สุดของขอบเขตเทวาเร้นลับ และอานุภาพหมอกม่วงในชั้นแปดของหอคอยดาราก็สอดคล้องกับขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นต้น

ในชั้นแปดมีเบาะนั่งทั้งหมดห้าอัน ในเวลานี้ไร้เงาผู้ใด

“ดีที่หอคอยดาราม่วงสามารถช่วยให้ข้าหลอมรวมพลังวิญญาณได้อย่างรวดเร็ว!”

จ้าวเฟิงสุ่มนั่งบนเบาะรองนั่งอันหนึ่ง

‘วิชาแยกวิญญาณ’ เป็นวิชาวิญญาณที่หลอมฝึกวิญญาณ แนวคิดแรกสุดของวิชาเล่มนี้คือ หลังจากที่แบ่งวิญญาณออกเป็นสองดวงแล้ว นับได้ว่าจะมีความเร็วในการฝึกตนเป็นสองเท่า อีกทั้งวิญญาณทั้งสองนี้ยังสามารถผสานเข้าหากันในระดับหนึ่ง พลังวิญญาณจะเพิ่มระดับสูงอีกขั้น แต่ว่าวิญญาณที่จ้าวเฟิงแบ่งออกมาหลอมรวมเนตรมรณะเข้าไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่อาจหลอมรวมเข้าไปในวิญญาณร่างจริงของเขาได้อีก

ในตอนแรกสุด ‘วิชาแยกวิญญาณ’ มีไว้เพื่อหลอมรวมวิญญาณก็จริง เพียงแต่เมื่อจ้าวเฟิงได้มา เขาใช้เป็นเคล็ดวิชาแยกร่างเท่านั้น

จ้าวเฟิงโคจร ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ในระดับสมบูรณ์ หลอมรวมพลังวิญญาณ และใช้จิตใจหนึ่งทำหลายเรื่องเพื่อศึกษาเรื่องอื่นพร้อมกัน ในมิติดวงตาซ้าย พลังอัสนีเทวะในกะโหลกครึ่งเซียนเหลือเพียงสองส่วนเท่านั้น

เหตุเพราะจ้าวเฟิงแบ่งวิญญาณออก ตราอัสนีเทวะจึงถูกแบ่งออกไปส่วนหนึ่งด้วย

ตราอัสนีเทวะเป็นอาวุธสังหารของจ้าวเฟิง ในตอนนี้ถูกตัดกำลังลงไป ส่งผลต่อจ้าวเฟิงค่อนข้างมาก

ในมิติดวงตาซ้าย จ้าวเฟิงแบ่งห้วงความคิดออกเป็นจำนวนมาก และเริ่มเหนี่ยวนำอัสนีเทวะให้ผสานเข้าไปในดวงวิญญาณ พร้อมกันนั้น จ้าวเฟิงยังมีท่อนไม้ดำเมี่ยมที่แฝงด้วยพลังสายฟ้าบรรพกาลซึ่งเหลืออยู่เพียงน้อยนิด อีกทั้งพลังสายฟ้าบรรพกาลในนั้นเก็บเอาไว้นานจนเกินไป พลังอัสนีคงอยู่ไม่ได้ จึงกระจายออกไปไม่น้อยแล้ว

จ้าวเฟิงไม่พูดพร่ำทำเพลง โคจรห้วงความคิด ผสานพลังสายฟ้าบรรพกาลในนั้นเข้าไปในกายวิญญาณอัสนี

เวลาเคลื่อนคล้อยไป ในครั้งนี้จ้าวเฟิงยืนหยัดอยู่ชั้นที่แปดสิบชั่วโมงแล้วค่อยลุกจากไป

เมื่อมาถึงเรือนที่พัก จ้าวเฟิงพักผ่อนช่วงเวลาหนึ่ง แล้วจึงเข้าไปในห้วงฝันบรรพกาล

“ในเมื่อต้องการสร้างโลกมิติส่วนตัวเมืองมายา ต้องสร้างในห้วงฝันบรรพกาลจึงจะดีกว่ามาก!”

จ้าวเฟิงได้ลิ้มลองความหอมหวานของโลกมิติส่วนตัววายุอัสนีแล้ว

ถึงสุสานราชวงศ์ไม่ใช่มิติที่อยู่มาตั้งแต่บรรพกาล ในดินแดนทวีป โลกมิติส่วนตัววายุอัสนีของจ้าวเฟิงก็แข็งแกร่งกว่าโลกมิติส่วนตัวของขั้นจักรพรรดิทั่วไปมาก

แต่ว่า บุคคลที่จ้าวเฟิงประมือด้วยในตอนนี้ส่วนมากต่างเป็นเซียน ภายใต้พลังเงาโลกมิติส่วนตัวของพวกเขา โลกมิติส่วนตัววายุอัสนีของจ้าวเฟิงน่าจะสามารถต่อต้านได้จนหมดสิ้น

ดังนั้น ระดับขั้นของโลกมิติส่วนตัวเมืองมายา จะให้ดีที่สุดควรอยู่ในระดับเดียวกับโลกมิติส่วนตัววายุอัสนี

คราวก่อนขณะที่จ้าวเฟิงฝึกตนอยู่ในหอคอยดาราม่วง ก็เริ่มอนุมานขั้นตอนการสร้าง

โลกมิติส่วนตัวเมืองมายาทั้งหมด

วันนี้จ้าวเฟิงจึงเริ่มสร้างโลกมิติส่วนตัวทันที

“ใจกลางของโลกมิติส่วนตัวเมืองมายา เป็นเจ้าแล้ว!”

ในมือของจ้าวเฟิงปรากฏมุกผลึกสีขาวปลอดเม็ดหนึ่ง ด้านในลึกล้ำจนไม่เห็นก้น แผ่พลังประหลาดที่ชวนอกสั่นขวัญแขวน ผลึกเซียนเม็ดนี้จ้าวเฟิงได้มาจากพื้นที่ต้องห้ามหุบเขาวายุทมิฬ เพียงแต่พลังในผลึกเซียนชิ้นนี้สูญสลายไปบางส่วนแล้ว

แต่ถึงพลังด้านในจะมีเพียงครึ่งเดียว สำหรับจ้าวเฟิงแล้วก็ยังเป็นสมบัติล้ำค่าอยู่ดี

ผลึกเซียน นั่นเป็นถึงผลึกจากพลังของเทพแท้จริงทีเดียว

ฟู่ พรึ่บ!

ในห้วงฝันบรรพกาล ร้อยจั้งรอบตัวจ้าวเฟิงปรากฏหมอกมายาสีม่วงขึ้นรางๆ ภายในมีเขาวงกต ปราสาท น้ำพุ และสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ หมอกด้านบนเขาวงกตอบอวลหนักแน่น สายฟ้าลั่นแปลบปลาบ

โลกมิติส่วนตัวเมืองมายาของจ้าวเฟิง เมื่อสำแดงที่โลกภายนอกจะอยู่ในสภาวะที่เป็นรูปธรรมอย่างยิ่ง แต่เมื่ออยู่ในห้วงฝันบรรพกาลกลับมีสภาวะโปร่งแสง

วิ้ง!

ลำดับแรก จ้าวเฟิงเลี่ยมฝังผลึกเซียนเข้าไปภายในอย่างระมัดระวัง

ต่อมา จ้าวเฟิงเลือกหินสีดำสนิทก้อนหนึ่งออกมาจากสมบัติล้ำค่าต่างๆ ที่ได้จากใต้ดินของพื้นที่ต้องห้ามหุบเขาวายุทมิฬ

หินดำก้อนนี้คืออะไร จ้าวเฟิงก็ไม่แน่ใจ แต่มันสาดซัดพลังจิตวิญญาณที่ประหวั่นพรั่นพรึงออกมารอบตัว อีกทั้งจากการศึกษาอยู่หลายคราของจ้าวเฟิง ก็ไม่เจออะไรผิดปกติ ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงฝังหินสีดำสนิทก้อนนี้ไว้ด้านข้างผลึกเซียน

สมบัติมากมายที่ได้มากจากพื้นที่ต้องห้ามหุบเขาวายุทมิฬ จ้าวเฟิงยังไม่รู้จักชื่อของมันด้วยซ้ำไป แต่มูลค่าของสมบัติเหล่านี้ ทำให้จ้าวเฟิงไม่กล้าเอาออกไปทำอะไร จึงทำได้เพียงเก็บเอาไว้ก่อน

……

เช่นนี้เอง จ้าวเฟิงจึงไปมาระหว่างที่พัก ตำหนักส่วนตัวของเซียนซิงหมัว และหอคอยดาราม่วงตลอด พลังและความรู้ด้านวิญญาณของจ้าวเฟิงจึงค่อยๆ เพิ่มขึ้น การสร้างโลกมิติก็ก้าวหน้าขึ้นด้วย

เดือนกว่าต่อมา

จ้าวเฟิงฝึกฝน ‘วิชาเทพคืนวิญญาณ’ จนสำเร็จขั้นที่เก้าแบบสมบูรณ์ แต่โครงสร้างของโลกมิติส่วนตัวยังไม่สมบูรณ์

โลกมิติส่วนตัวเป็นงานที่ซับซ้อนยุ่งยาก เหมือนกับในตอนแรกที่จ้าวเฟิงสร้างโลกมิติส่วนตัววายุอัสนี ก็ยังต้องใช้เวลาถึงปีครึ่ง

จ้าวเฟิงเดาว่า การสร้างโลกมิติส่วนตัวเมืองมายา อย่างน้อยน่าจะต้องใช้เวลาหนึ่งปี

สตินึกคิดจ้าวเฟิงพลันกระตุกขึ้นน้อยๆ

“ดีมาก จ้าวหวางเข้าไปในสำนักวิญญาณทมิฬได้แล้ว!”

จ้าวเฟิงและจ้าวหวางอยู่ห่างไกลกันหลายมณฑล แต่ยังสามารถติดต่อกันได้โดยตรง จ้าวหวางถึงกระทั่งส่งภาพเหตุการณ์บางส่วนให้จ้าวเฟิงดูได้

ร่างแยกวิญญาณมีสายสัมพันธ์ในแต่ละด้านแนบแน่นเสียยิ่งกว่าตราผนึกดวงใจทมิฬ

ในตอนนี้ จ้าวหวางใช้พรสวรรค์ที่เก่งกาจของเขาเข้าเป็นศิษย์สายในของสำนักวิญญาณทมิฬ

สำนักศาสตร์ซากศพเป็นขั้วอำนาจสามดาวสำคัญที่ขึ้นต่อวังเก้านิรย ลูกศิษย์ในสำนักมีดาษดื่น จ้าวหวางแทบไม่โดนสงสัยเลยแม้แต่น้อย แต่ระบบการจัดการของสำนักศาสตร์ซากศพ กลับเลือดเย็นทารุณอย่างมาก การต่อสู้กันเองระหว่าศิษย์ภายในสำนัก พวกเขาจะปิดตาข้างหนึ่ง ขอแค่ไม่สังหารกันจนตายก็พอ

“คุณชายจ้าว จีหลานขอเข้าพบ!”

ในวันนี้ เสียงของจีหลานพลันดังขึ้นบริเวณที่พักอาศัยของจ้าวเฟิง

จ้าวเฟิงเปิดประตูออกอย่างรวดเร็ว

“คุณชายจ้าว จดหมายของท่าน!”

จีหลานส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้ แล้วถอยไปด้วยสีหน้าซับซ้อน

จ้าวเฟิงในวันนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของขั้วอำนาจสามดาวทั่วไป เป็นคนสำคัญที่สุดของรัชทายาทองค์ปัจจุบัน และยังเป็นคนที่มีฐานะไม่ด้อยไปกว่าเซียนซิงหมัวแห่งตระกูลจี

นางไม่เคยคิดเลยว่า คนที่เคยขอบเขตพลังยังไม่ถึงขั้นราชันอย่างจ้าวเฟิงจะเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ แถมยังเป็นการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วขนาดนี้

จีหลานทำได้เพียงเตือนตนเอง มุมานะฝึกฝน

เมื่อได้รู้จักกับจ้าวเฟิงในช่วงเวลาหนึ่ง นางรู้สึกได้ว่าจ้าวเฟิงไม่เคยเกียจคร้าน ถึงจะมีตำแหน่งเช่นนี้ ทั้งยังมีพลังที่สูงส่งกว่าคนระดับเดียวกัน แต่ก็ยังคงปิดด่านฝึกตนทั้งวันทั้งคืน

จ้าวเฟิงฉีกจดหมายออก ภายในเป็นกระดาษขาว สตินึกคิดดำดิ่งเข้าไปในนั้น ข้อมูลปรากฏขึ้นในหัวของจ้าวเฟิง

“เป็นข่าวคราวจากตาเฒ่าอิง!”

จ้าวเฟิงตกใจเล็กน้อย

สงครามของราชวงศ์ดำเนินมาสิบกว่าเดือนแล้ว ราชวงศ์ต้าเฉียนเริ่มพลิกขึ้นมาสูสีกับฝ่ายตรงข้ามเพราะใช้คำสั่งรวมพลจากแต่ละสำนัก แต่ก็ยังไม่ได้เปรียบอะไรมากนัก

ในสถานการณ์เช่นนี้ องค์ชายเก้าผู้มีฐานะเป็นองค์รัชทายาทจึงถูกจักรพรรดิและฮองเฮาส่งไปร่วมรบด้วย

หนึ่งเพื่อให้รัชทายาทเป็นตัวแทนราชวงศ์ต้าเฉียน เพิ่มความห้าวหาญให้กับหน่วยรบแนวหน้า สองก็เพื่อฝึกปรือพลังและกลยุทธ์ทางการทหารขององค์รัชทายาท

“เหอะๆ ข้ออ้างทั้งเพ!”

จ้าวเฟิงอดจะหัวเราะเยาะไม่ได้

หากองค์ชายเก้าอยู่ที่วังหลวงจะปลอดภัย ไม่เกิดเหตุเหนือความคาดหมายใดๆ โอกาสขึ้นเป็นจักรพรรดิก็จะมีมาก แต่หากส่งเขาไปเข้าร่วมรบแนวหน้าแล้ว เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นมีมากมายนัก

“ทั้งหมดนี้ องค์ชายคนอื่นและขั้วอำนาจเบื้องหลังคงร่วมกันเสนอองค์จักรพรรดิล่ะสิ วางแผนได้ดี!”

จ้าวเฟิงพึมพำเสียงต่ำ

หลังจากที่องค์ชายเก้าถูกส่งไปร่วมรบแล้ว องค์ชายที่เหลือก็เสนอตัวไปสนามรบด้วยเพื่อพิทักษ์บ้านเมือง

แรกเริ่มเดิมที หากมีแค่องค์ชายเก้าในสนามรบแนวหน้าก็ยังพอจะปลอดภัยอยู่บ้าง แต่นี่องค์ชายคนอื่นๆ ต่างไปที่สนามรบกันหมด

ในสนามรบนี้ไม่ใช่แค่ศึกระหว่างสองราชวงศ์แล้ว แต่ยังเป็นศึกภายในของราชวงศ์ต้าเฉียนด้วย และเหตุผลที่ตาเฒ่าอิงส่งจดหมายมาถึงจ้าวเฟิง ย่อมเป็นเพราะหวังว่าจ้าวเฟิงจะไปยังสนามรบเพื่อช่วยองค์ชายเก้า

“พอดีเลย ข้าเองก็ต้องการสังหารเพื่อฝึกปรือฝีมือสักครั้ง!”

สารในมือของจ้าวเฟิงกลายเป็นเถ้าธุลี

ตั้งแต่เกิดใหม่อีกครั้ง จ้าวเฟิงสังหารโจมตีมามาก แต่พลังของเขาในตอนนี้เก่งกล้ากว่าชีวิตก่อน น่าจะไปฝึกฝนจริงที่สนามรบสักครั้ง อีกทั้งจ้าวเฟิงได้ยินมาว่า ความดีความชอบจากการรบสามารถแลกเปลี่ยนสมบัติล้ำค่า โอสถวิญญาณ และอาวุธวิเศษได้

วันนี้จ้าวเฟิงมายังที่พักของเซียนซิงหมัว

“คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้!”

เซียนซิงหมัวสีหน้าตึงเครียดลงไปเล็กน้อย

เรื่องแบบนี้ย่อมไม่ส่งผลดีต่อองค์ชายเก้า

“สหายจ้าว หากจะไปยังแนวหน้า ขอฝากคนตระกูลจีสองสามคนของข้าไปด้วยสิ!”

เซียนซิงหมัวเสนอข้อเรียกร้อง

แต่เดิม ขั้วอำนาจแต่ละแห่งจะไม่วางใจให้อัจฉริยะขั้นกลางที่โดดเด่นมากจนเกินไปของสำนักเข้าร่วมสนามรบ นอกเสียจากว่าเป็นอัจฉริยะชั้นเลิศที่มีกำลังรบไร้เทียมทานอย่างเซวียนหยวนเหวินและหยูเทียนฮ่าว

เห็นได้ชัดเจนว่า เซียนซิงหมัวเชื่อถือในตัวจ้าวเฟิงอย่างมาก ถึงขั้นยินยอมฝากฝังอัจฉริยะตระกูลจีไว้กับจ้าวเฟิง

“ไม่มีปัญหา!”

ถึงแม้ว่าจ้าวเฟิงจะรู้สึกว่าค่อนข้างยุ่งยาก แต่ก็ยังตอบตกลง

อย่างไรเสีย ในช่วงเวลาที่เขาอยู่ตระกูลจีก็ได้รับการดูแลมากมายจากเซียนซิงหมัว ทั้งตำราล้ำค่านับไม่ถ้วน การเข้าออกหอคอยดาราม่วงตามอำเภอใจ ซ้ำยังช่วยจ้าวเฟิงไขข้อสงสัยและอนุมาน ‘วิชาแยกวิญญาณ’…

เซียนซิงหมัวมองจ้าวเฟิงเป็นเหมือนศิษย์คนสำคัญของเขา จุดนี้จ้าวเฟิงไม่มีอะไรจะตอบแทนได้

ในวันที่สอง จี๋อู๋เหยี่ย จีหลาน และจีเทียนหมิง เชื้อสายตระกูลจีทั้งสามรอคอยจ้าวเฟิงอยู่นอกตระกูลจี

ลูกหลานตระกูลจีทั้งสามคนนี้เป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมอย่างมากของตระกูลจี อายุยังน้อย ขาดประสบการณ์และความรู้ เป็นคนที่ต้องขัดเกลาที่สุด

“ภายหน้าต้องฟังคำสั่งข้าทั้งหมด!”

จ้าวเฟิงเอ่ยเรียบๆ และโคจรเนตรเทพเจ้าไปด้วย บนร่างของคนทั้งสามถูกประทับตราดวงตาเทพจับเป้าหมายเพื่อป้องกันเรื่องเหนือความคาดหมายที่อาจจะเกิดขึ้น

“เข้าใจแล้ว!”

ทั้งสามตอบรับพร้อมกัน

ตอนที่จ้าวเฟิงอยู่ในตระกูลจี ก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในชั้นแปดของหอคอยดาราม่วง เกือบทุกคนของตระกูลจีต่างล่วงรู้ถึงกิตติศัพท์ของเขากันทั้งสิ้น

สำหรับการจัดการและความเย็นชาของจ้าวเฟิง คนทั้งสามไม่มีความเห็นต่างทั้งนั้น

พวกเขาทั้งสามคนต่างเข้าใจว่านี่คือโอกาสในการเรียนรู้ที่ผู้อาวุโสสูงสุดมอบให้ และก็เป็นการฝึกฝนชีวิตครั้งหนึ่งด้วย

แววตาของจีหลานแน่วแน่ กำมือนวลเนียนแน่น ไม่รู้ยามใดที่จ้าวเฟิงกลายเป็นเป้าหมายที่จีหลานพยายามไปให้ถึง นี่เป็นโอกาสอันดีที่นางจะไล่ตามจ้าวเฟิง

“ออกเดินทางได้!”

จ้าวเฟิงนำพาหนะเพลิงวายุที่ไม่ได้ใช้นานแล้วออกมา ถึงแม้ว่าความเร็วของพาหนะเพลิงวายุจะไม่เร็วเท่าพวกเขา แต่ดีที่สะดวกสบายนัก

พวกเขานั่งบนพาหนะเพลิงวายุได้พอดี อีกทั้งนี่จะเป็นการเดินทางที่ยาวนานอย่างยิ่ง

ลูกหลานตระกูลจีสามคนผลัดเปลี่ยนกันควบคุมพาหนะเพลิงวายุ ส่วนคนอื่นที่เหลือก็ใช้เวลาพักผ่อนและฝึกฝนทำความเข้าใจ…

“เป้าหมายอยู่ที่ทิศเหนือ…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!