บทที่ 103 : ยืนยันตำแหน่ง
นิ้วเพียงนิ้วเดียวของจ้าวเฟิงได้สร้างความตื่นตะลึงแก่คนทั้งหมด เหล่าเด็กหนุ่มต่างรู้สึกราวกับว่ามันไม่อาจหยุดยั้ง หยางชิงชั่นกระทั่งรู้สึกว่า ‘เป่ยโม่ย’ ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
ประกายแสงส่องวาบในดวงตาของเจ้าเมืองกว่านจวินก่อนที่มันจะกลับไปมืดหม่นเช่นเคย
ฟุ่บ!
ดรรชนีที่รวดเร็วราวสายฟ้าของเด็กหนุ่มพุ่งผ่านวิชาแรงดึงแห่งเซียนของหนานกงฟั่นไปและบังคับให้อีกฝ่ายต้องล่าถอย
เพียงกระบวนท่าเดียวก็ชัดเจนแล้วว่าผู้ใดได้เปรียบ
แรงลมดึงดูด!
หนานกงฟั่นพลันใช้วิชาเซียนของเขาออกอีกครั้งเพื่อที่จะไม่ปะทะกับคู่ต่อสู้โดยตรงเพราะเขาพบว่าการโจมตีของอีกฝ่ายนั้นทรงพลังเกินไป
ดรรชนีดารานั้นอยู่ที่ระดับหก ห่างจากระดับสูงสุดเพียงหนึ่ง นั่นหมายความว่าจ้าวเฟิงได้ฝึกฝนวิชาอรรธเซียนของเขาจนเกือบเข้าสู่ขั้นสุดยอด
สิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดนั้นคือ จ้าวเฟิงได้หลอมรวมกระบวนท่าวายุกรรโชกเข้าไปในวิชานี้และทำให้มันกระทั่งแข็งแกร่งกว่าเก่า ซึ่งทำให้เขาสามารถเอาชนะเหนือได้อย่างสมบูรณ์แบบได้ในหนึ่งกระบวนท่า!
“ข้าหลอมรวมเพียงห้าถึงหกส่วนของกระบวนท่าวายุกรรโชกเข้าไปในดรรชนีดาราทว่ากลับทรงพลังถึงเพียงนี้” จ้าวเฟิงประหลาดใจเล็กๆ
หลังจากที่สิ้นสุดการปะทะกันครั้งแรก หนานกงฟั่นพลันใช้วิชาแรงลมดึงดูดเพื่อเพิ่มความเร็วของเขา
“เมื่อใดกันที่เขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้? เขากระทั่งน่ากลัวกว่าหยางชิงชั่น”
หนานกงฟั่นพยายามอย่างที่สุดที่จะทดสอบอีกฝ่าย หากกระบวนท่าเมื่อครู่เป็นท่าไม้ตายของจ้าวเฟิง เช่นนั้นเขาก็อาจเอาชนะได้ แต่หากนิ้วหนึ่งนิ้วเป็นเพียงการโจมตีธรรมดา…
กระบวนท่าลมเคลื่อน! ย่างก้าวหมอกผันแปร!
วิชาเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิงนั้นพลันแปรเปลี่ยนไปพร้อมกับร่างของเด็กหนุ่มที่หายไป เขาเคลื่อนไหวไปกับสายลมโดยไร้ซึ่งเสียงและสามารถใช้ย่างก้าวหมอกผันแปรจนเข้าขั้นน่าผวา
จ้าวเฟิงนั้นกระทั่งสามารถใช้สายลมจากวิชาแรงดึงแห่งเซียนของหนานกงฟั่นเพื่อช่วยเหลือในการเคลื่อนไหวของเขาได้
หนานกงฟั่นพลันหวาดกลัวขึ้นทันทีเมื่อเขาไม่อาจมองเห็นได้ว่าร่างของคู่ต่อสู้อยู่ที่ใด
กระบวนท่าวายุกรรโชก! ดรรชนีดารา!
เสียงหวีดหวิวแสบแก้วหูดังขึ้นอีกครั้ง และพลังของมันนั้นมากกว่าเก่าเล็กน้อย หัวของของหนานกงฟั่นเย็นเยียบขณะที่เด็กหนุ่มพลันใช่วิชาเซียนของเขาออกอย่างเร่งรีบเพื่อป้องกันการโจมตีของอีกฝ่าย
กระบวนท่าทั้งสองปะทะกัน แรงลมที่เกิดจากการปะทะพัดกรรโชก
ฟุ่บ!
หนานกงฟั่นรู้สึกถึงความเจ็บที่แล่นขึ้นมาจากแขนของเขา เด็กหนุ่มเห็นรูบนชายเสื้อของเขาพร้อมกับเลือดที่หยดออกมาจากมัน
ในเพียงชั่วระยะสองสามกระบวนท่า หนานกงฟั่นกลับได้รับบาดเจ็บ และในไม่กี่กระบวนท่าต่อมา จ้าวเฟิงก็ยังคงเหนือกว่าเขาทั้งในด้านของความเร็วและพลัง
หนานกงฟั่นนั้นถูกกดดันอย่างมากเสียจนไม่อาจหายใจได้คล่อง และแม้ว่าเขาจะพยายามมากเพียงใด เขาก็ยังไม่อาจสร้างอาการบาดเจ็บให้คู่ต่อสู้ได้
“ตะปูแรงลมดึงดูด!”
หนานกงฟั่นปลดปล่อยการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของเขาออกมาในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง เสี้ยววินาทีนั้น ควันสีขาวก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นรูปตะปูจำนวนมากและพุ่งตรงไปยังร่างของจ้าวเฟิง พลังของมันนั้นกระทั่งสามารถคุกคามผู้ฝึกตนขั้นเก้าได้
ม่านป้องกันวายุเงิน!
จ้าวเฟิงนั้นไม่ขยับแม้แต่น้อยขณะที่แสงสีเงินปรากฏขึ้นรอบกายเขาพร้อมด้วยเสียง ‘เคร้ง’ ม่านพลังนั้นได้ป้องกันการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของคู่ต่อสู้ไว้
ม่านป้องกันวายุเงินนั้นไม่แม้แต่จะมีรอยขีดข่วน นั่นหมายความว่าการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของหนานกงฟั่นนั้นไม่อาจแม้แต่จะทลายพลังป้องกันของจ้าวเฟิงได้
“เป็นพลังป้องกันที่น่าหวาดกลัวอันใดเช่นนี้! เราไม่แม้แต่จะสามารถทำลายมันได้ในระยะเวลาสั้นๆ แม้ว่าเราทุกคนจะโจมตีเข้าไปพร้อมๆ กัน” หยางชิงชั่นมองไปยังร่างของจ้าวเฟิงด้วยความเหลือเชื่อ
“เจ้าสามารถฝึกฝนวิชากำแพงเงินได้จนถึงระดับนี้!”
เย่หลินเหลียนนั้นตื่นเต้นอย่างมาก ชายวัยกลางคนต้องยอมรับว่าเขามีความคาดหวังอย่างสูงต่อตัวของจ้าวเฟิง และอีกฝ่ายนั้นได้ทำสิ่งที่เกินความคาดหมายของเขาทุกครั้ง
“ไม่เลว”
เจ้าเมืองกว่านจวินที่มีสีหน้าไร้อารมณ์ตลอดมาเปิดปากของเขาออกในที่สุด
ด้วยระดับของเจ้าเมืองกว่านจวินนั้น เขาสามารถเห็นได้ว่าจ้าวเฟิงได้หลอมรวมวิชาเซียนเข้าไปยังการโจมตีของเขา ทว่าวิชาเซียนเหล่านั้นยากที่จะเข้าใจกว่าวิชาเซียนอื่นๆ และบัดนี้ อัจฉริยะเบื้องหน้าเขากลับสามารถหลอมรวมมันเข้ากับการโจมตีของเขาเองได้
ชัดเจนว่าจ้าวเฟิงนั้นชนะ การประลองนั้นไม่แม้แต่จะยาวนานถึงสิบกระบวนท่า
หนานกงฟั่นนั้นราวกับสูญเสียวิญญาณ ความตื่นตะลึงนี้มากเกินกว่าที่เขาจะรับได้ เขาไม่อาจและไม่สามารถที่จะเชื่อได้ว่าเขาพ่ายแพ้ให้แก่คนผู้หนึ่งที่มีพลังฝึกตนต่ำกว่า อายุน้อยกว่า และพรสวรรค์ต่ำกว่าเขา
ทว่านี่เป็นความจริง แม้ว่าเขาจะไม่อยากเชื่อ เขาก็ต้องเชื่อ
“ไม่เป็นไร แม้แต่เป่ยโม่ยยังพ่ายเขาในบางด้าน” หยางชิงชั่นเอ่ยปลอบด้วยเสียงแผ่วเบา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หนานกงฟั่นจึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
ใช่แล้ว กระทั่งสุดยอดอัจฉริยะเช่นเป่ยโม่ยยังพ่ายแพ้ให้แก่จ้าวเฟิงในบางด้าน
ในด้านของความจำ เป่ยโม่ยแพ้ ในการประลองครั้งก่อน จ้าวเฟิงก็ได้ทำลายสถิติ ‘การป้องกันสมบูรณ์แบบ’ ของเขาลง กระทั่งแต้มต่อสู้ในเหตุการณ์การบุกรุกของกองทัพสัตว์อสูรเขาเป่ยโม่ยก็ยังน้อยกว่าเด็กหนุ่มผู้นั้น สุดท้ายเป่ยโม่ยกระทั่งท้าประลองจ้าวเฟิงและให้ไปตัดสินกันในสำนัก และคนถูกท้าก็ได้ตอบรับโดยไร้ซึ่งความลังเล
“ใช่แล้ว! ไอ้หมอนี่มันเป็นสัตว์ประหลาด โชคดีที่พรสวรรค์ของเขาไม่ได้สูงมากเช่นนั้น”
เมื่อคิดถึงยามนี้ หัวใจของหนานกงฟั่นจึงรู้สึกดีขึ้นอีกครั้ง คำกล่าวของหยางชิงชั่นได้ทำให้ผู้อื่นตกอยู่ในห้วงภวังค์
ในด้านของพรสวรรค์นั้น จ้าวเฟิงนับได้ว่าห่างไกลจากเป่ยโม่ย และไม่แม้แต่จะสูงกว่าหนานกงฟั่น ทว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จ้าวเฟิงก็ยังคงสามารถเอาชนะเป่ยโม่ยได้ในบางด้าน เมื่อคิดถึงตอนนี้ เย่หลินเหลียนและเจ้าเมืองกว่านจวินก็ได้ลอบสบตากัน
ประกายแสงแห่งความหวังซีดเซียวปรากฏขึ้นในดวงตาของเจ้าเมืองกว่านจวิน ทว่ามันก็สลายหายไปในเวลาไม่นาน
ชัดเจนว่าเขานั้นไม่คิดว่าจ้าวเฟิงจะสามารถแทนที่เป่ยโม่ยได้ ในฐานะที่เคยอยู่ในสำนักมาก่อน บุรุษวัยกลางคนจึงตระหนักถึงความสำคัญของพรสวรรค์ยิ่งนัก
หลังจากเอาชนะหนานกงฟั่น จ้าวเฟิงจึงได้รับตำแหน่งไป ผู้อื่นนั้นกระทั่งคิดว่าเขานั้นแข็งแกร่งกว่าหยางชิงชั่น
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงจับการเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของผู้เป็นอาจารย์ได้ ทว่าแม้ความสามารถของเขาจะยอดเยี่ยม มันก็ไม่ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถแทนที่เป่ยโม่ยได้
หลังจากหนานกงฟั่นพ่ายแพ้ เขาก็ยังมีโอกาสหนึ่งครั้งในการท้าประลองผู้อื่น
“ข้าเลือกเฟิงฮันเยว่”
หนานกงฟั่นเยือกเย็นกว่าที่คาด เขารู้ว่าเขาไม่อาจเอาชนะจ้าวเฟิงได้ และเขาจะแพ้มากกว่าชนะหากเขาสู้กับหยางชิงชั่น ดังนั้นแล้วเขาจึงท้าประลองได้เพียงแค่เฟิงฮันเยว่
เขาเหนือกว่าอีกฝ่ายในด้านของพลังฝึกตน พรสวรรค์ และมีวิชาที่ดีกว่า
ไม่ช้า การประลองก็เริ่มขึ้นบนลานประลอง
หนานกงฟั่นและเฟิงฮันเยว่สู้กันห้าสิบกระบวนท่าก่อนที่เด็กหนุ่มผมเงินจะพ่ายแพ้ แม้ว่าเขาจะคิดว่าเขาพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วก็ตาม
ความแตกต่างของทั้งสองนั้นมีมากเกินไป
“เอาล่ะ ตำแหน่งทั้งสามถูกยืนยันแล้วในตอนนี้ เฟิงฮันเยว่ อย่าได้หดหู่ไป ข้ายังหวังว่าเจ้าจะกลายเป็นผู้สืบทอดของข้าได้อยู่” น้ำเสียงของเจ้าเมืองกว่านจวินนั้นสงบนิ่ง
ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นก่อนหน้า เขายังได้รับประหลาดใจเล็กๆ
หลังจากยืนยันตำแหน่งของพวกเขา จ้าวเฟิง หยางชิงชั่น และหนานกงฟั่นจะได้เข้าร่วมการทดสอบในอีกยี่สิบวัน
เหล่าศิษย์จากไปทีล่ะคน
“จ้าวเฟิงอยู่ก่อน” เจ้าเมืองกว่านจวินเรียกเด็กหนุ่มไว้คนเดียว
หอจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ภายในห้อง
มีเพียงร่างของจ้าวเฟิงและเจ้าเมืองกว่านจวิน
“นามของอาจารย์เจ้าคือเซว่ยัน และข้าได้เข้าร่วมสำนักจันทร์สลายเมื่อนานมาแล้ว ทว่าข้าไม่อาจจะเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้ก่อนอายุ 30 หลังจากนั้นข้าจึงรับหน้าที่ในโลกมนุษย์ในนครหลวงกว่านจวิน…” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยอธิบายถึงอดีตของเขา
จ้าวเฟิงตระหนักว่าแม้อีกฝ่ายนั้นจะเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณซึ่งเทียบได้กับหนทางแห่งเซียนในบัดนี้ เขาก็ยังไม่อาจที่จะกลายเป็นศิษย์หลักของสำนักได้
เจ้าเมืองกว่านจวินได้เข้าร่วมสำนักตั้งแต่เยาว์วัยและได้สร้างความขุ่นแค้นไว้กับบุรุษมากพรสวรรค์ผู้หนึ่ง บุรุษผู้นั้นได้ฉีกหน้าเขา และกระทั่งแย่งเอาสตรีอันเป็นที่รักของเขาไป
บุรุษวัยกลางคนได้เก็บสิ่งนี้ไว้ในใจและฝึกฝนหนักขึ้น ทว่าเขาก็ยังไม่อาจตามอีกฝ่ายได้ทัน ในทางกลับกัน ช่องว่างระหว่างพวกเขานั้นได้ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
เจ้าเมืองกว่านจวินไม่ต้องการที่จะยอมแพ้ เขาจึงใช้กองกำลังของเขาในการค้นหาอัจฉริยะข้ามจักรวรรดิ
“เป็นเพราะข้าไม่อาจทำความหวังของข้าให้สำเร็จได้ เขาจึงจำต้องพึ่งพาอัจฉริยะชนรุ่นหลังเมื่อเหล่ารุ่นก่อนนั้นจะตายจากไป และในอนาคตจะถูกเติมเต็มไปด้วยคนรุ่นใหม่ หากศิษย์ของข้าสามารถเอาชนะคนผู้นั้นได้ มันย่อมน่าพึงพอใจ” เจ้าเมืองกว่านจวินบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมาในที่สุด
จ้าวเฟิงรู้ว่าบุรุษที่เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยถึงนั้นคือไฮ่หยุน
“เหตุใดท่านอาจารย์จึงรั้งข้าไว้เพื่อบอกเรื่องนี้?” จ้าวเฟิงเอ่ยถาม
“เพราะข้านั้นได้รับความประหลาดใจจากเจ้าอย่างมาก และเจ้าสามารถเอาชนะเป่ยโม่ยได้ในบางด้าน บางทีเจ้าอาจมีโอกาสสักหนึ่งในสิบส่วนที่จะตัดสินกับเป่ยโม่ยในสักวัน” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
โอกาสหนึ่งในสิบส่วน?
เด็กหนุ่มไม่คิดเช่นนั้น แม้ว่าพรสวรรค์ของเป่ยโม่ยนั้นจะสูงยิ่งนัก และเขารู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล ทว่าเขาไม่คิดว่าเขาจะมีโอกาสเพียงแค่หนึ่งในสิบส่วน
“หากข้าไม่ได้มองผิดไป วิชากำแพงเงินของเจ้าคงเข้าสู่ระดับแปด ในด้านของร่างกายนั้นเจ้าแข็งแกร่งกว่าเป่ยโม่ย หากเจ้าสามารถครอบครองวิชาเก้ากำแพงทองแปรผันหลังจากเข้าสำนักได้ เจ้าย่อมมีโอกาสมากกว่าเดิม…”
ความคาดหวังแล่นผ่านในแววตาของเจ้าเมืองกว่านจวิน
เก้ากำแพงทองแปรผัน?
จ้าวเฟิงเดาะลิ้นอย่างไม่อาจช่วย ดูเหมือนว่าวิชาเก้ากำแพงทองแปรผันนั้นจะเป็นวิวัฒนาการสุดท้ายของวิชากำแพงเงิน
วิชากำแพงเงินนั้นได้นับเป็นวิชาเซียนแล้ว เช่นนั้นวิชาเก้ากำแพงทองแปรผันจะแข็งแกร่งเพียงใดกัน?
“แน่นอนว่าการได้รับมันนั้นยากยิ่ง มันเป็นวิชาที่โด่งดังอย่างมากภายในสำนักจันทร์สลาย ศิษย์สายในบางคนกระทั่งไม่ได้รับอนุญาตให้ฝึกฝนมัน” เจ้าเมืองกว่านจวินส่ายศีรษะ
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้น จ้าวเฟิงก็รู้ว่ามันย่อมเป็นเรื่องยากอย่างมากที่จะได้รับวิชานั้น ทว่าเขาก็ได้ตัดสินใจที่จะครอบครองวิชานั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แม้ว่ามันจะหมายความว่าต้องขโมยมัน
“ท่านอาจารย์ ข้าทดสอบความสามารถแฝงของข้าด้วยคริสตัลอีกครั้งได้หรือไม่?” จ้าวเฟิงพลันเอ่ยถามขึ้นอย่างกะทันหัน
คราที่แล้ว คะแนนของจ้าวเฟิงนั้นอยู่ที่ห้าวงแสงและอีกครึ่งหนึ่ง ซึ่งหมายถึงกายครึ่งจิตวิญญาณ