บทที่ 1056 เก็บตัวฝึกฝนในพื้นที่ต้องห้าม
“นี่ก็คือพลังที่แท้จริงของขอบเขตเทวาเร้นลับ!”
ทั่วกายของจ้าวเฟิงส่องสว่างวาววับ บนนั้นมีลายอัสนีสีเหลืองหม่นชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น ท้องฟ้ารอบด้านพลันหยุดนิ่งทันที เกิดเป็นแรงกดดันแก่นแท้พลังที่ราวกับขาดอากาศหายใจ
วายุอัสนีธาตุดินกลับไม่ได้มอบพลังที่แข็งแกร่งให้จ้าวเฟิงสักเท่าไหร่ แต่ทำให้การป้องกันของจ้าวเฟิงเพิ่มทบเท่าขึ้น ขณะเดียวกันยังสามารถผสานกับพลังแก่นแท้ของกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ท้องฟ้าในขอบเขตหนึ่งถูกปกคลุมอยู่ในแรงกดดันแก่นแท้พลังที่น่ากลัว
เทวาเร้นลับชั้นแรกเริ่มที่รายละเอียดพลังค่อนข้างอ่อนแอ คิดอยากจะยืนต่อหน้าจ้าวเฟิงก็ลำบากนัก
นอกจากนั้น ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ขั้นที่เก้ายังมีเคล็ดวิชาลับและกลยุทธ์การศึกธาตุดินมากมาย ส่วนมากเป็นประเภทช่วยป้องกัน จ้าวเฟิงล้วนทำความเข้าใจไปรอบหนึ่งแล้ว
“ตอนนี้ข้าคนเดียวอาจจะสามารถงัดข้อกับเซียนโม๋ยวนได้!”
จ้าวเฟิงหัวเราะอย่างมั่นใจ
จู่ๆ คนคนหนึ่งได้รับพลังที่แข็งแกร่งนั้นไม่น่ากลัว มีเพียงเขาสามารถใช้พลังกลุ่มนี้ได้อย่างสมบูรณ์ นั่นต่างหากจึงจะน่าสะพรึง
ในยามที่เพิ่งจะทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับ จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งที่ได้รับบาดเจ็บหนักล้วนไม่ใช่คู่มือของเซียนโม๋ยวน แต่ตอนนี้จ้าวเฟิงมั่นใจว่าสามารถสู้ซึ่งๆ หน้ากับเซียนโม๋ยวนได้เพียงลำพัง
แต่ว่าก็แค่สู้กับเซียนโม๋ยวนเท่านั้น หากคิดจะเป็นฝ่ายได้เปรียบหรือทำให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้ มีแต่ต้องนำไม้ตายที่สำคัญออกมา
“นายท่าน วังเก้านิรยมา!”
ปี้ชิงเยวี่ยส่งกระแสจิตหาจ้าวเฟิงผ่านตราผนึกดวงใจทมิฬ
จ้าวเฟิงยิ้มน้อยๆ รีบออกไปทันที
ในตำหนักมีผู้อาวุโสของวังเก้านิรยสามคนยืนอยู่ ผู้นำก็คือเซียนโม๋ยวน
เสี้ยวขณะที่จ้าวเฟิงปรากฏตัวขึ้นในตำหนัก เซียนโม๋ยวนก็เอ่ยขึ้นทันควัน
“จ้าวเฟิง ข้าวันนี้มาตำหนักราชันก็เพื่อจะขอโทษ!”
เซียนโม๋ยวนใบหน้ากระอักกระอ่วน รีบร้อนเอ่ย
“ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสระดับสูงของวังเก้านิรย แต่กลับใช้อำนาจส่วนตัวในทางที่ผิด ยุยงผู้อาวุโสคนอื่นๆ ของวังเก้านิรยให้ลงมือกับตำหนักราชันขั้วอำนาจสามดาวของแผ่นดินใหญ่ ณ ที่นี้ ข้าขออภัยต่อสมาชิกทุกคนของตำหนักราชัน!”
เซียนโม๋ยวนเอ่ยอย่างเจ็บใจเป็นอย่างมาก
แต่เรื่องนี้ทำให้ตำหนักไท่หวงตื่นตกใจจริงๆ สุดท้ายแล้วผู้อาวุโสสูงสุดของวังเก้านิรยออกหน้าเอง ลงโทษเซียนโม๋ยวน อีกทั้งให้ตัวเขาเองรีบไปขอโทษตำหนักราชันเพื่อจัดการเรื่องนี้
จ้าวเฟิงรักษารอยยิ้มน้อยๆ เอาไว้ มองมายังเซียนโม๋ยวน รอบทพูดต่อไปของอีกฝ่าย
เพียงแค่การขอโทษ จ้าวเฟิงจะยอมรับได้อย่างไร
“ข้าวังเก้านิรยนำทรัพยากรของขั้วอำนาจสำนักฟ้าทมิฬและประกายทมิฬมามอบให้กับตำหนักราชัน หวังว่าจ้าวเฟิงเจ้าจะปล่อยสมาชิกขั้วอำนาจเหล่านี้ไป!”
เซียนโม๋ยวนเอ่ยถึงสิ่งชดใช้ที่วังเก้านิรยยินยอมจะมอบให้
ปี้ชิงเยวี่ยตะลึงเล็กน้อย สำนักฟ้าทมิฬเป็นสำนักใหญ่สามดาว สำนักประกายทมิฬและขั้วอำนาจอื่นก็ล้วนเป็นขั้วอำนาจแข็งแกร่งสองดาวครึ่งขึ้นไป วังเก้านิรยกลับยอมมอบสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดให้กับตำหนักราชัน
จ้าวเฟิงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ของชดใช้เช่นนี้ยังไม่อาจทำให้เขาพอใจ
“จ้าวเฟิง เจ้าไม่พอใจของชดใช้เหล่านี้รึ?”
เซียนโม๋ยวนมองความคิดของจ้าวเฟิงออก คำพูดแฝงด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
ใช่ว่าวังเก้านิรยไม่เห็นด้วยที่เซียนโม๋ยวนลงมือกับตำหนักราชัน เพียงแต่เซียนโม๋ยวนลงมือล้มเหลว
เซียนโม๋ยวนเชื่อว่าผู้อาวุโสสูงสุดไม่มีทางปล่อยตำหนักราชันไปเป็นแน่
สำหรับเขาแล้ว จ้าวเฟิงจะช้าเร็วก็ต้องตาย แต่กลับยังมีใจละโมบถึงเพียงนี้
“ทรัพยากรพวกนี้แค่พอให้ข้าปล่อยคน แต่การกระทำของเจ้ากับตำหนักราชันจบลงเท่านี้ไม่ได้!”
จ้าวเฟิงพูดออกไปทันที สายตากวาดไปยังเซียนโม๋ยวน
ผู้อาวุโสสองคนข้างกายเซียนโม๋ยวนมีสีหน้าโกรธแค้น
วังเก้านิรยไม่เคยเสียเปรียบขนาดนี้มาก่อน ครั้งนี้เป็นเพราะไร้หนทาง ต้องมอบของชดใช้ด้วยตนเอง เจ้าจ้าวเฟิงนี่ยังจะไม่พอใจอีก
“จ้าวเฟิง เจ้าอย่ารังแกกันให้มากนัก!”
เซียนโม๋ยวนใบหน้าเย็นเยียบ
วังเก้านิรยนำทรัพยากรเหล่านี้มาเป็นของชดใช้ หากจ้าวเฟิงยังไม่พอใจ เช่นนั้นเซียนโม๋ยวนก็จะต้องเฉือนเอาผลประโยชน์ของตนเท่านั้น
“ที่นี่คือตำหนักราชัน!”
จ้าวเฟิงแค่นเสียงโมโห พลังเจตจำนงไร้รูปร่างที่แฝงไว้ด้วยเสวียนอ้าวกฏเกณฑ์แผ่ซ่านในทันใด
ในขณะเดียวกัน กายของจ้าวเฟิงก็กะพริบแสงศักดิ์สิทธิ์สีเหลืองทอง ในแสงมีลวดลายอัสนีเปล่งประกาย ความกดดันแก่นแท้พลังอันไร้รูปร่างแผ่กระจายไปเบื้องหน้า
ที่นี่คือตำหนักราชัน เซียนโม๋ยวนมาเพื่อขอโทษ แต่กลับยังมีท่าทีเช่นนี้
“อะไรกัน นี่…”
เซียนทั้งสองข้างกายเซียนโม๋ยวนรู้สึกว่าอากาศหนักอึ้งเหนือสิ่งอื่นใดขึ้นมาทันที ดั่งมีภูเขาลูกมหึมากดอัดพวกเขาเอาไว้โดยมั่น พลังศักดิ์สิทธิ์เทวาเร้นลับในกายราวกับแข็งตัว ยากที่จะโคจรได้
“พลังกลุ่มนี้….” เซียนโม๋ยวนใบหน้าเคร่งเครียด
พลังที่ก่อตัวขึ้นหลังจ้าวเฟิงโคจรเจตจำนงในยามนี้
มีแต่จะมากกว่าเซียนโม๋ยวน ส่วนเซียนทั่วไปสองคนข้างกายเขาไม่อาจต้านทานพลังและแรงกดดันของจ้าวเฟิงได้เลย แม้กระทั่งเซียนโม๋ยวนก็รู้สึกว่าหายใจค่อนข้างลำบาก แต่ว่าตัวเองอยู่ตำหนักราชัน ตอนนี้เขาไม่สามารถลงมือได้เเล้ว
ปี้ชิงเยวี่ยที่อยู่ข้างกายจ้าวเฟิงตื่นตะลึง ก่อนจะแปรเปลี่ยนยินดี
“จ้าวเฟิง สำหรับของชดใช้ ค่อยๆ ตกลงกันได้!”
เซียนโม๋ยวนวางท่าทีลง ใบหน้าเหนื่อยหน่าย
ฟู่! ความคิดของจ้าวเฟิงขยับ เก็บแรงกดดันแก่นแท้พลังและเจตจำนงกลับมา
เมื่อครู่ พลังเจตจำนงของเขาที่ส่งผลกระทบหลักๆ คือเสวียนอ้าวธาตุดิน ดังนั้นจึงมีผลลัพธ์แรงดึงดูดที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อรวมกับความกดดันแก่นแท้ของกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ เซียนทั่วไปเมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวเฟิงจึงแทบจะไร้พลังต้านทาน
“พลังของจ้าวเฟิง….” เซียนโม๋ยวนใบหน้าเคร่งเครียด
เวลาเพิ่งจะผ่านไปเดือนกว่าๆ จ้าวเฟิงก็คุ้นเคยกับพลังขอบเขตเทวาเร้นลับอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งพลังในตอนนี้ เกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้เสียอีก
จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เจรจากันเต็มที่ เซียนโม๋ยวนนำทรัพยากรของตนเองบางส่วนออกมา เซียนทั้งสองก็แทบจะเกลี้ยงกระเป๋า
สุดท้ายเซียนโม๋ยวนมีสีหน้าอัดอั้นตันใจ นำสมาชิกทั้งหลายจากตำหนักราชันไปอย่างเคืองแค้น
“ปี้ชิงเยวี่ย ใช้ทรัพยากรพวกนี้ให้เต็มที่ นอกจากนั้น นำ ‘ยาชำระเลือดบริสุทธิ์’ สามเม็ดนี้ไปมอบให้กับผู้อาวุโสสูงสุดของมุมมืดทมิฬ…”
จ้าวเฟิงสั่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จากไปทันที
ทรัพยากรที่ได้จากวังเก้านิรยครั้งนี้มากมายเพียงพอ สามารถเทียบได้กับพลังแฝงทั้งหมดของสำนักศักดิ์สิทธิ์สามดาวร้อยล้านปี หากใช้ให้เหมาะสม ความเร็วในการพัฒนาของตำหนักราชันก็จะยกระดับอีกขั้นหนึ่งอีกครั้ง
เช่นเดียวกัน จ้าวเฟิงก็รู้ว่าพลังของตนต้องยกระดับอย่างรวดเร็วถึงจะดี
ความเข้มแข็งอ่อนแอของขั้วอำนาจหนึ่งเกี่ยวกับสองประเด็นเท่านั้น หนึ่งคือทรัพยากรกำลังคน สองคือผู้แข็งแกร่งที่คอยดูแล
ในยามที่กลับมายังตำหนักพื้นที่ต้องห้าม
จ้าวเฟิงก็กวาดสายตาไปยังที่ที่หนานกงเซิ่งอยู่
ตำหนักที่หนานกงเซิ่งอยู่ พลังชั่วร้ายน่าหวาดหวั่นปกคลุมทั่วทุกทิศ ทำให้มองไปแล้วรู้สึกหวาดกลัว ที่นั่นไม่ใช่เขตพื้นที่ต้องห้าม แต่กลับเหมือนกับพื้นที่ต้องห้าม ไม่มีใครเข้าใกล้
อาจเป็นเพราะจ้าวเฟิงทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับ อีกทั้งสำแดงกำลังรบที่แข็งแกร่งออกมา หนานกงเซิ่งได้รับการกระตุ้น หลังจากที่ฟื้นฟูบาดแผลแล้วก็รีบเริ่มดูดซับพลังเทพปีศาจทันที
ตามที่จ้าวเฟิงรู้มา เสียหยางก็คือ ‘เทพโบราณ’ การดำรงอยู่ขั้นสุดยอดของขอบเขตเซียนสวรรค์
ขอเพียงแค่หนานกงเซิ่งไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้น รับมรดก ควบคุมพลังกลุ่มนี้ การทะลวงขอบเขตเซียนสวรรค์ก็ไร้ซึ่งความยาก บางทีอาจจะได้ตำแหน่งเทพชั้นสูง
“ขอบเขตเซียนสวรรค์!”
จ้าวเฟิงก็เฝ้าปรารถนาเป็นที่สุดเช่นกัน แต่ในตอนนี้เขายังห่างกับขอบเขตเซียนสวรรค์อีกไกลนัก
หลังจากที่กลับมายังพื้นที่ต้องห้ามข้างหลังตำหนักราชันแล้ว จ้าวเฟิงก็เข้าสู่สภาวะฝึกฝน
เมื่อทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับ พลังในชั้นวัตถุของจ้าวเฟิงได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด แต่ด้านวิญญาณกลับไม่ได้ยกระดับมากเท่าไร
สิ่งที่จ้าวเฟิงพึ่งพามากที่สุดยังคงเป็นเนตรเทพเจ้า
ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงยิ่งเพิ่มความระมัดระวังด้านวิญญาณ เหตุที่ฝึกฝนร่างกาย ทั้งหมดก็เพื่อรับมือกับ ‘ทัณฑ์อัสนีแห่งเทพแท้จริง’ ในภายภาคหน้า
นอกจากนั้น พลังใหม่ของตาซ้ายอย่างการลอกเลียนแบบผลาญเจตจำนงดวงตาเป็นอย่างมาก หากไม่มีกายวิญญาณที่แข็งแกร่ง พลังนี้ของจ้าวเฟิงก็จะถูกหักลบไปอย่างมาก
หลังโคจร ‘หมื่นห้วงความคิดเซียน’ แล้ว จ้าวเฟิงแบ่งหนึ่งใจใช้หลากหลาย เริ่มต้นฝึกฝน
อันดับแรก จ้าวเฟิงดื่มน้ำในสระ น้ำสระตอนนี้มีผลกับร่างกายของจ้าวเฟิงค่อนข้างน้อย พลังส่วนใหญ่ล้วนย้ายมาที่ด้านวิญญาณ
จากนั้น ความคิดส่วนหนึ่งของจ้าวเฟิงเริ่มฝึกฝนกลยุทธ์การต่อสู้กับเคล็ดวิชาลับบางอย่างในวายุอัสนีธาตุดิน
ความคิดส่วนสุดท้ายอยู่ในมิติเนตรเทพเจ้า
ในยามนี้จ้าวเฟิงมีกะโหลกอัสนีสองชิ้น หรือก็คือพลังอัสนีเทวะบางส่วนที่เหลือ ถึงจะมากเกินมาหนึ่งเท่า แต่ก็ยังคงน้อยมาก ซึ่งก็ยังดีกว่าไม่มีเลย
พลังอัสนีเทวะขึ้นอยู่กับวาสนา
จ้าวเฟิงไม่ได้รีบร้อนดูดซับพลังอัสนีเทวะ แต่เริ่มทดลองใช้ลูกทรงกลมสีทองลึกลับทำการ ‘ลอกเลียนแบบ’
จ้าวเฟิงลอกเลียนแบบทรัพยากรฝึกฝนที่ตนเองต้องการก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ ยกระดับคุณสมบัติ เขาอยากรู้ขีดจำกัดของความสามารถ ‘ลอกเลียนแบบ’ นี้
จ้าวเฟิงจึงเริ่มปิดด่านเป็นเวลานานและยกระดับพลังทุกด้านของตนเช่นนี้เอง
ในขณะเดียวกัน จ้าวเฟิงก็ติดต่อกับปี้ชิงเยวี่ยทุกเวลาผ่านตราผนึกดวงใจทมิฬ เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์โลกภายนอก
ในช่วงระยะเวลานี้ ผู้อาวุโสลัทธิมารพิภพก็มาขอโทษถึงที่ อีกทั้งมอบของชดใช้ให้เป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้น เรื่องการต่อสู้ของตำหนักราชันและวังเก้านิรยทำให้ชื่อเสียงของตำหนักราชันเป็นที่รู้จัก ตอนนี้ยิ่งได้รับทรัพยากรจำนวนมาก ตำหนักราชันจึงได้รับการพัฒนาขยายอำนาจไปอย่างรวดเร็ว และแผ่ขยายไปยังแผ่นดินใหญ่
ส่วนภารกิจลอบสังหารผู้นำระดับสูงวังเก้านิรยของหอสังหารเดียวดายก็ยังคงดำเนินต่อไป ในเมื่อวังเก้านิรยไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่านี่คือการกระทำของตำหนักราชัน
สำหรับเหตุการณ์เช่นนี้ วังเก้านิรยในตอนนี้ทำได้แค่เพียงใช้มาตราการปกป้องและสยบ เมื่อไม่นานมานี้นักฆ่าอันดับที่สิบเก้าของหอสังหารเดียวดายก็ถูกวังเก้านิรยจับได้ แล้วสังหารทันที
อีกด้านหนึ่ง มุมมืดทมิฬก็เงียบไม่พูดอะไรถึงหอสังหารเดียวดายที่พัฒนาผงาดขึ้นอย่างรุ่งเรือง
ชั่วพริบตาเดียว ครึ่งปีก็ผ่านไป
‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ขั้นที่เก้า และ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ขั้นที่หก ของจ้าวเฟิงก็อยู่ในระดับสุดยอดขั้นแรกเริ่ม พลังวิญญาณและพลังทั้งหมดเพิ่มขึ้นอย่างมาก
“นายท่าน หลังจากไปถึงสนามรบแล้ว ครึ่งเซียนคุนอวิ๋นก็ไม่ได้ไปไหน!”
ในวันนี้ ปี้ชิงเยวี่ยส่งข่าวสารนี้ให้กับจ้าวเฟิง
สถานการณ์สงครามยามนี้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ครึ่งเซียนคุนอวิ๋นมาถึงสนามรบ ก็ค้นพบว่าตนเองโดนหลอก ทว่าไม่ได้รีบเดินทางกลับ เลือกจะอยู่ที่สนามรบ
จ้าวเฟิงคิดว่าคุนอวิ๋นอาจต้องการสะสมผลงานการรบ เพื่อแลกทรัพยากรและยกระดับพลัง
แต่เดิมที่สนามรบไม่มีผู้แข็งแกร่งเทวาเร้นลับขั้นสูงปรากฏขึ้น สุดท้ายคุนอวิ๋นก่อกวนเช่นนี้ จึงยิ่งเพิ่มระดับของสงครามขึ้นอีก ระดับกำลังรบที่สนามรบยกระดับขึ้นอีกครั้ง
“ไม่ได้ ข้าต้องไปสนามรบ!”
สายตาของจ้าวเฟิงคร่ำเคร่งเล็กน้อย
แต่เดิมจ้าวเฟิงชักจูงให้คุนอวิ๋นไปที่สนามรบ คิดว่าอีกฝ่ายไม่เจอตนที่สนามรบก็จะรีบกลับมา
เช่นนี้แล้วเวลาส่วนใหญ่ของคุนอวิ๋นจะใช้ไปในระหว่างทาง พลังจะหยุดเพิ่มขึ้น
แต่สุดท้ายเกินการคาดเดาของจ้าวเฟิงไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จ้าวเฟิงก็ได้แต่อาศัยช่วงก่อนที่พลังของคุนอวิ๋นจะเพิ่มขึ้นมากเป็นฝ่ายไปหาเขาเอง จากนั้นจัดการกับบุญคุณความแค้นของทั้งสองซะ
ในเมื่อยามนี้ พลังของจ้าวเฟิงเสถียรยกระดับถึงช่วงสุดยอดแล้ว พอสูสีกับคุนอวิ๋น
มิฉะนั้นหากพลังของคุนอวิ๋นฟื้นฟูถึงระดับครึ่งเทพ จ้าวเฟิงจบเห่เป็นแน่
“หนานกงเซิ่ง จะไปสนามรบหรือไม่?”
จ้าวเฟิงส่งกระแสจิตให้กับหนานกงเซิ่ง
ครึ่งปีที่ผ่านมานี้ นอกจากจะดูดซับพลังเทพปีศาจแล้ว หนานกงเซิ่งยังรับภารกิจลอบสังหารบ่อยๆ ในยามนี้เขาเป็นขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นต้นแล้ว และเป็นนักฆ่าที่น่ากลัวอันดับหนึ่งของหอสังหารเดียวดาย