บทที่ 1072 เพลิงดวงตาอัสนีเทวะ
สายตาและความสนใจของสำนักต่างๆ และขั้วอำนาจน้อยใหญ่ทั้งหมดในราชวงศ์ต้าเฉียน จับจ้องไปที่สนามรบแนวหน้าทั้งสิ้น
ส่วนจ้าวเฟิงเพียงทิ้งสมาชิกหน่วยข่าวกรองสองสามคนเอาไว้ที่สนามรบ แล้วเรียกสมาชิกทั้งหมดที่เหลือให้กลับไปขยายตำหนักราชัน
คนในระดับสูงของตำหนักราชันอย่างปี้ชิงเยวี่ย เซียนราตรีทมิฬ เฒ่าประหลาดสวี เซียนเกราะดำและคนอื่นๆ ไม่มีข้อกังขาใดกับตัดสินใจของจ้าวเฟิงแม้แต่น้อย
อีกอย่าง ตัวของจ้าวเฟิงเองก็รีบปิดด่านฝึกตน เพิ่มพูนขอบเขตพลัง เพื่อการสำรวจร่างเทพในอนาคต
ในห้วงฝันบรรพกาล จ้าวเฟิงโจมตีเผ่าพันธุ์วัวคลั่งพสุธาทลาย จับวานรสายฟ้านภาเพลิงมาเป็นทาสรับใช้ และยังได้รับทรัพยากรบรรพกาลล้ำค่ามาเป็นจำนวนมหาศาล
ส่วนดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงที่ครอบครองพลังการลอกเลียนแบบ สามารถคัดลอกทรัพยากรที่เขาต้องการทั้งหมดได้ไม่จำกัด อีกทั้งเค้นเอาประโยชน์ของทรัพยากรชิ้นนั้นออกมาใช้จนหมดสิ้น
การปิดด่านฝึกตนครั้งนี้ จ้าวเฟิงฝึกฝนขอบเขตพลังและวิชาดวงตาวิญญาณเป็นหลัก
ขอบเขตพลังฝึกตนสามารถย่นระยะห่างระหว่างเขาและเซียนให้ลดน้อยลงไปได้ ทำให้ยามที่เขาต้องเผชิญหน้ากับเซียนยังพอจะมีพลังปกป้องตนเองได้บ้าง
ส่วนวิชาดวงตาวิญญาณ เป็นกระบวนท่าสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดของจ้าวเฟิงนอกเหนือจากศรสังหารเทพ
ในตอนนี้ พลังวิญญาณของจ้าวเฟิงไปถึงขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นสูง วิชาดวงตาวิญญาณสามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งขั้นเซียนบาดเจ็บได้ในระดับหนึ่ง
ส่วนท่าไม้ตายอย่างเนตรเพ่งเทพเจ้าและเนตรเทพแยกส่วน ก็สามารถสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อคนในขั้นเซียนได้
แต่วิชาดวงตาทั้งสองกระบวนท่านี้ต่างก็มีจุดด้อย นั่นก็คือตอนที่จ้าวเฟิงสำแดงวิชาดวงตาทั้งสองประเภท จะไม่สามารถแบ่งจิตใจจำนวนมากไปใช้เรียกกระบวนท่าอื่นได้ เพราะโดยปกติแล้วผู้แข็งแกร่งขั้นเซียนจะมีร่างแยกกันทั้งสิ้น ดังนั้นจึงทำให้ผลลัพธ์จากวิชาดวงตาทั้งสองของจ้าวเฟิงลดลงไปมาก
ส่วนจ้าวหวังร่างแยกของจ้าวเฟิงอย่าง ในตอนนี้ยังมีพลังไม่มากพอ ไม่สามารถสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับจ้าวเฟิงได้
จ้าวเฟิงโคจร ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ใช้หนึ่งจิตใจทำหลายอย่าง
เขาแบ่งห้วงความคิดส่วนหนึ่งไปฝึกฝน ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ และ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’
‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ใช้เพื่อเพิ่มขอบเขตพลังฝึกตนของจ้าวเฟิง ส่วน
‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ สามารถเพิ่มพลังกับการป้องกันร่างกายของจ้าวเฟิง ไม่ให้ไร้พลังต้านทานยามที่เผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งขั้นเซียน
ส่วนห้วงความคิดอีกส่วนหนึ่ง จ้าวเฟิงใช้ฝึกฝนเคล็ดวิชาวิญญาณบางส่วน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้วิญญาณ และศึกษาค้นคว้าวิชาดวงตาวิญญาณ
ส่วนห้วงความคิดสุดท้าย จ้าวเฟิงใช้ไปกับการดูดซึมพลังอัสนีเทวะในกะโหลกอำนาจเทวะ ในเวลาเดียวกัน จ้าวเฟิงก็เอากะโหลกอำนาจเทวะอีกชิ้นไปไว้ในมิติดวงตาซ้ายเพื่อคัดลอก
ถ้าหาก ‘การคัดลอก’ ของจ้าวเฟิงตื่นขึ้นเร็วกว่านี้ บางทีพลังอัสนีเทวะในกะโหลกอำนาจเทวะอาจจะเพิ่มขึ้นมาส่วนหนึ่ง หากเป็นเช่นนั้น จ้าวเฟิงจะทำการคัดลอกก็คุ้มค่าไม่น้อย
ในตอนนี้ ทุกครั้งที่จ้าวเฟิงลอกเลียนแบบกะโหลกอำนาจเทวะชิ้นหนึ่ง จะได้พลังอัสนีเทวะมาครึ่งส่วนเท่านั้น
จ้าวเฟิงปิดด่านฝึกตนอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามของตำหนักราชันเช่นนี้ สายตาของขั้วอำนาจและสำนักทั้งหมดในราชวงศ์ต้าเฉียนต่างจดจ่ออยู่ที่การรบแนวหน้า มีเพียงตำหนักราชันที่ฉกฉวยโอกาสนี้พัฒนาตนเองให้เกรียงไกรขึ้นอย่างรวดเร็ว
สามเดือนต่อมา จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าความเร็วในการฝึกของตนเชื่องช้าลงไปมาก
เป็นเพราะจ้าวเฟิงเพิ่งจะทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับมาได้ไม่นาน และใช้ทรัพยากรล้ำค่าในห้วงฝันบรรพกาลซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงทำให้ประสิทธิภาพลดลงไปมาก
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ คงจะต้องใช้เจ้าแล้ว!”
ในมือของจ้าวเฟิงปรากฏมุกผลึกสีขาวสุกสกาวชิ้นหนึ่ง แผ่กลิ่นอายเทพเบาบางที่สูงส่งออกมา ไอสวรรค์ในฟ้าดินรอบบริเวณต่างสั่นสะเทือนด้วยความหวาดกลัว
ผลึกเซียนระดับล่าง เป็นของสิ้นเปลืองที่ใช้ในการฝึกตนของเซียนขอบเขตเทวาเร้นลับ เซียนทั่วไปจะใช้มันตอนทะลวงขั้น
แต่ในขณะนี้ จ้าวเฟิงเพิ่งจะถึงขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นแรกเริ่ม ก็ใช้ผลึกเซียนระดับล่างฝึกฝน เพิ่มพูนระดับพลัง
เวลาเดียวกัน จ้าวเฟิงก็ดูดผลึกเซียนระดับล่างเม็ดหนึ่งเข้าไปในมิติดวงตาซ้ายเพื่อคัดลอก ถึงอย่างไรผลึกเซียนระดับล่างในมือจ้าวเฟิงก็มีจำนวนน้อยนิดอย่างมาก
วิ้ง! จ้าวเฟิงกำผลึกเซียนระดับล่าง ดูดซึมปราณชีวิตที่แกร่งกล้าบริสุทธิ์ภายในเข้าไปในกาย หมุนวนไปทั่วร่าง สุดท้ายจึงกลับคืนสู่กลุ่มแสงวนพลังศักดิ์สิทธิ์ในจุดตันเถียน
“เป็นพลังระดับสูงที่บริสุทธิ์อย่างยิ่ง!”
จ้าวเฟิงอดปลื้มปีติไม่ได้
จ้าวเฟิงไม่จำเป็นต้องสกัดพลังในผลึกเซียนระดับล่าง ก็สามารถนำไปใช้ได้เลย
เมื่อจ้าวเฟิงใช้ผลึกเซียนระดับล่างเป็นครั้งแรก ปราณระดับสูงในนั้นก็ส่งผลกระตุ้นทั่วร่างเขา
อีกทั้งพลังในผลึกเซียนระดับล่างก็แข็งแกร่งนัก สามารถสร้างแสงวนพลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างจ้าวเฟิง ทั้งยังเพิ่มระดับความแข็งแกร่งของพลังศักดิ์สิทธิ์เทวาเร้นลับได้ในระดับหนึ่งด้วย
จ้าวเฟิงเริ่มใช้ผลึกเซียนระดับล่างมาช่วยทะลวงผ่านระดับพลังฝึกตน
หากเซียนส่วนหนึ่งในดินแดนทวีปล่วงรู้ว่า จ้าวเฟิงใช้ผลึกเซียนระดับล่างอย่างสิ้นเปลือง นำมันมาเป็นทรัพยากรในการฝึกทั่วไปเช่นนี้ เกรงว่าต้องกระอักเลือดกันเป็นแถว
“ถ้าหากใช้ผลึกเซียนระดับล่าง ก็จะเพิ่มระดับพลังไปถึงขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นต้นได้ก่อนสำรวจร่างเทพแน่!”
นัยน์ตาจ้าวเฟิงฉายแววครุ่นคิด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเพิ่มขอบเขตพลังอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังโดยที่รากฐานยังไม่มั่นคง แต่เพื่อโอกาสที่รออยู่ในร่างเทพ การเสียสละทั้งหมดที่เขาทำไปล้วนคุ้มค่าทั้งสิ้น
อนึ่ง พลังการลอกเลียนแบบของตาขวาจ้าวเฟิง สามารถใช้ผลึกเซียนระดับล่างได้ในขณะที่ลอกเลียนแบบด้วย จึงทำให้มีใช้อย่างไร้ขีดจำกัด ด้วยเหตุนี้จ้าวเฟิงจึงไม่ต้องกังวลว่าจะขาดแคลนผลึกเซียนระดับล่าง
แต่ในเวลาเดียวกันกับที่จ้าวเฟิงคัดลอก ไอสวรรค์และเจตจำนงดวงตาในร่างเขาก็สลายไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ลอกเลียนแบบ จ้าวเฟิงจึงยังต้องกินวัตถุดิบยาล้ำค่าประเภทต่างๆ อยู่ไม่ขาด หรือบางทีอาจต้องหยุดพักกลางคันครู่หนึ่ง
ในชั้นวิญญาณ ความคิดของจ้าวเฟิงหมุนวนอย่างรวดเร็ว ทฤษฎีและวิชาลับวิญญาณนับไม่ถ้วนในหัวปรากฏวูบวาบ ในเวลาเดียวกัน จ้าวเฟิงยังคัดกรองวิชาดวงตาวิญญาณและกลยุทธ์ต่างๆ ที่ตัวเองเคยฝึกฝนมาทั้งหมด
หลังจากครุ่นคิดไปชั่วขณะหนึ่ง
จ้าวเฟิงจึงเข้าใจว่าหากคิดจะพัฒนาวิชาดวงตาแบบใหม่ที่แกร่งกล้า วิชาดวงตาที่สามารถคุกคามและทำร้ายราชาเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ เขาไม่อาจใช้พลังดวงวิญญาณมาเป็นจุดหลักได้
ที่ผ่านมา การสร้างอาการบาดเจ็บถึงแก่ชีวิตจากวิชาดวงตาวิญญาณของจ้าวเฟิง มากกว่าครึ่งมาจากตราอัสนีเทวะ
“ถ้าหากใช้ตราอัสนีเทวะเป็นหลัก และใช้พลังวิญญาณมาส่งเสริมเล่า?”
จ้าวเฟิงเกิดความคิดใหม่
ก่อนหน้านี้ วิชาดวงตาวิญญาณของจ้าวเฟิงต่างใช้พลังวิญญาณและเจตจำนงดวงตาเป็นหลัก ตราอัสนีเทวะเป็นตัวช่วย เพราะวิชาดวงตาวิญญาณแบบเดิมก็ล้วนเป็นเช่นนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ จ้าวเฟิงจึงปรับเปลี่ยนแนวคิด เปลี่ยนแนวทาง เริ่มศึกษาวิชาดวงตาแบบใหม่จากตราอัสนีเทวะ
หนึ่งเดือนต่อมา จ้าวเฟิงพบว่าจะคิดค้นวิชาดวงตาที่แข็งแกร่งแบบใหม่จากจุดนี้ ก็ยังยากลำบากอย่างยิ่งอยู่ดี
ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงเลือกใช้ทางลัด ปรับเปลี่ยนพัฒนาวิชาดวงตาที่มีแต่เดิม
ในท้ายที่สุด จ้าวเฟิงเลือกใช้ ‘เพลิงอัสนีวายุเนตรเทพเจ้า’ วิชานี้
ลักษณะการใช้งานเพลิงอัสนีวายุเนตรเทพเจ้ามีมากมาย จากการพัฒนาของ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ พลานุภาพของมันก็เพิ่มขึ้นไม่หยุด ด้วยเหตุนี้ถึงถูกจ้าวเฟิงใช้มาโดยตลอดจนถึงตอนนี้
ขณะที่พัฒนาเพลิงอัสนีวายุเนตรเทพเจ้า จ้าวเฟิงก็รู้สึกว่าทุกอย่างราบรื่นอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรจ้าวเฟิงก็คุ้นเคยกับเพลิงอัสนีวายุเนตรเทพเจ้ามาก
สามเดือนต่อมา จ้าวเฟิงที่กำลังปิดด่านฝึกตนลืมตาซ้ายขึ้นทันที กลิ่นอายวิญญาณที่น่ากลัวกลุ่มหนึ่งพร้อมเสวียนอ้าวทำลายล้างกระเพื่อมออกมา
ในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิง ทอประกายด้วยตราอัสนีเทวะกลุ่มหนึ่ง บนตราอัสนีเทวะทุกสายเปล่งเพลิงเนตรวิญญาณ จนสุดท้ายกลายเป็นเพลิงวิญญาณอัสนีเทวะสีม่วงสว่าง
“ ‘เพลิงดวงตาอัสนีเทวะ’ บรรลุแล้ว!”
มุมปากจ้าวเฟิงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ
ความสำเร็จของ ‘เพลิงดวงตาอัสนีเทวะ’ แปลได้ว่าจ้าวเฟิงจะเข้าใจการใช้พลังอัสนีเทวะเพิ่มมากขึ้นไปอีก
ในระหว่างนี้ จ้าวเฟิงลอกเลียนแบบกะโหลกอำนาจเทวะได้สามชิ้น และดูดซึมพลังอัสนีเทวะภายในนั้น ก่อนตีตราเข้าไปในกายวิญญาณอัสนี
ตอนนี้ ภายในกายวิญญาณอัสนีจ้าวเฟิงมีตราอัสนีเทวะเกือบสี่พัน ถ้าหากรวบรวมตราอัสนีเทวะทั้งหมด แล้วปลดปล่อย ‘เพลิงดวงตาอัสนีเทวะ’ พลังของมันจะมากขนาดไหน จ้าวเฟิงก็ไม่อาจคาดเดาได้
อีกอย่าง ‘เพลิงดวงตาอัสนีเทวะ’ ต่างจาก ‘เพลิงอัสนีวายุเนตรเทพเจ้า’ เพลิงดวงตาอัสนีเทวะจะมีผลต่อชั้นวิญญาณโดยเฉพาะ โดยมุ่งทำร้ายวิญญาณจนถึงที่สุด
และพลานุภาพของ ‘เพลิงดวงตาอัสนีเทวะ’ ยังสัมพันธ์กับจำนวนของตราอัสนีเทวะ ด้วยเหตุนี้ ขอแค่จ้าวเฟิงไม่หยุดคัดลอกกะโหลกอำนาจเทวะและดูดซึมตราอัสนีเทวะเข้าไป ก็จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพลังของ ‘เพลิงดวงตาอัสนีเทวะ’ ได้
หลังจากฝึกฝนเพลิงดวงตาอัสนีเทวะจนสำเร็จ จ้าวเฟิงจึงออกจากการปิดด่าน และหยุดการฝึกไปชั่วคราว
ในการปิดด่านฝึกตนเป็นเวลาเจ็ดเดือน จ้าวเฟิงแบ่งหนึ่งจิตใจทำหลายอย่าง วิชาดวงตาวิญญาณฉบับใหม่ก็สำเร็จลุล่วงไปแล้ว แต่ในส่วนของขอบเขตพลังฝึกตน ถึงเขาจะมีผลึกเซียนระดับล่างมหาศาล ก็ไม่อาจทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นต้นไปได้
โชคยังดีที่ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงสามารถคัดลอกผลึกเซียนระดับล่างได้ ไม่เช่นนั้น ผลึกเซียนระดับล่างในตอนนี้อาจจะหมดไปแล้ว
การปิดด่านฝึกตนเจ็ดเดือนนี้ จ้าวเฟิงใช้ความสามารถในการคัดลอกของดวงตาซ้ายตลอดเวลา ส่งผลให้สภาพของจ้าวเฟิงในตอนนี้ไม่ได้ดีอะไรมากนัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องการเวลาพักฟื้นระยะหนึ่ง
เมื่อออกจากปิดด่านแล้ว จ้าวเฟิงติดต่อกับปี้ชิงเยวี่ยผ่านตราผนึกดวงใจทมิฬ
“นายท่าน พลังเทพในสนามรบแนวหน้าหายไปหมดสิ้น ตอนนี้ผู้แข็งแกร่งในดินแดนทวีปสามารถดำดิ่งลงไปใต้ดินห้าได้หมื่นลี้แล้ว…”
ปี้ชิงเยวี่ยรายงานสถานการณ์ส่วนหนึ่งแก่จ้าวเฟิง
“ลงไปใต้ดินได้ห้าหมื่นลี้แล้ว!”
จ้าวเฟิงตกใจเล็กน้อย พลังเทพหายไปเร็วกว่าที่จ้าวเฟิงจินตนาการเอาไว้มาก
เวลาไม่คอยท่า จ้าวเฟิงต้องรีบทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นต้นให้ได้โดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นพอถึงเวลาจะไม่สามารถเข้าไปค้นหาโอกาสในร่างเทพได้
“นายท่าน คนจากราชวงศ์มาเยือน!”
ในเวลานี้เอง เสียงของปี้ชิงเยวี่ยดังขึ้นในหัวจ้าวเฟิง
“ราชวงศ์?”
แววตาจ้าวเฟิงมองทะลุทุกสรรพสิ่ง เห็นสมาชิกราชวงศ์สองคนด้านนอกตำหนักราชัน คิดไม่ถึงว่าในนั้นจะมีราชาเซียนอวี่หลิงด้วย
ส่วนคนที่ติดตามราชาเซียนอวี่หลิงมาเป็นเชื้อพระวงศ์เซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นแรกเริ่มผู้หนึ่ง
“ราชาเซียนอวี่หลิงโผล่มาตอนนี้…”
จ้าวเฟิงมีความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีนัก
ยามนี้ แสงเทพต้องห้ามเหนือสนามรบดึงดูดความสนใจของสำนักและขั้วอำนาจทั้งหมดในดินแดนทวีป ส่วนราชาเซียนแทบจะวนเวียนอยู่แถวสนามรบ ไม่ยอมจากไปไหน
แต่จู่ๆ ราชาเซียนอวี่หลิงกลับมาถึงตำหนักราชันในตอนนี้
อีกทั้งจ้าวเฟิงและราชาเซียนอวี่หลิงก็ไม่เคยติดต่ออะไรกัน จ้าวเฟิงใช้เวลาไม่นานนัก ก็นึกเหตุผลการมาเยือนของราชาเซียนอวี่หลิงออก
“เข้ามาเถอะ ผู้อาวุโสอวี่หลิง!”
จ้าวเฟิงส่งกระแสจิตไป เชื้อเชิญราชาเซียนอวี่หลิงให้เข้ามาในตำหนักของเขา
พรึ่บ!
วินาทีต่อมา ราชาเซียนอวี่หลิงก็พาเซียนอีกคนหนึ่งเข้ามาภายในตำหนักของจ้าวเฟิง
ทันใดนั้น ณ บริเวณใกล้เคียง พลังกฎเกณฑ์ที่ไร้รูปร่างได้รับผลกระทบจากทุกอิริยาบถของราชาเซียนอวี่หลิงโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
“จ้าวเฟิง เหตุที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพราะเรื่ององค์ชายสิบสามถูกสังหารในวันนั้น!”
ราชาเซียนอวี่หลิงสีหน้าเย็นชา ท่าทางขึงขัง
“เซียนเกาหวงเป็นพยานได้ ในตอนนั้นข้าไม่ได้เดินทางออกจากเมืองเลย!”
จ้าวเฟิงไม่ลุกลี้ลุกลน เอ่ยพร้อมกับยิ้มน้อยๆ
“จ้าวเฟิง อย่าคิดจะแก้ตัวเลย เจ้ามีอาวุธเทพชั้นรองมนตราอากาศ ขอแค่ตีตราประทับระหว่างทางกลับขององค์ชายสิบสามเอาไว้ล่วงหน้า เจ้าก็เดินทางไปมาได้!”
ข้างกายเซียนอวี่หลิง เซียนชุดเขียวในขอบเขตขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นแรกเริ่มเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชาทันที
ผู้เฒ่าในขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นแรกเริ่มผู้นี้คือพระอัยกาของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน
จากการอ้อนวอนของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ ฮองเฮา และผู้เฒ่าชุดเขียว
ราชาเซียนอวี่หลิงจึงออกหน้าสืบเรื่องนี้ด้วยตนเอง
“ยิ่งไปกว่านั้น พวกเรายังพบกลิ่นอายวายุอัสนีกลุ่มหนึ่งในสถานที่ที่องค์ชายสิบสามโดนสังหารอีกด้วย!”
ผู้เฒ่าชุดเขียวยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์