บทที่ 1143 การเตรียมตัวครั้งสุดท้าย
ทันทีที่จ้าวเฟิงหวนกลับมายังตำหนักราชัน ภายในตำหนักอีกแห่งหนึ่งของพื้นที่ต้องห้าม
“ถูกแล้ว บนร่างเขามีกลิ่นอายมังกรวารีล้างโลกาจริงๆ!”
จิตเทพปีศาจในร่างหนานกงเซิ่งตื่นตะลึงทันที
ช่วงระยะนี้ ในต้าเฉียนร่ำลือกันแต่เรื่องที่มังกรวารีล้างโลกาถูกจ้าวเฟิงปราบพยศ หากจิตเทพปีศาจไม่เห็นด้วยตาตนเอง อย่างไรก็ไม่มีทางเชื่อ
อย่างไรเสียในตอนแรก เจ้านายของเขาอย่างเทพบรรพกาลเสียหยางก็ยังไม่อาจสังหารมังกรวารีล้างโลกา ทำได้เพียงผนึกมันเอาไว้เท่านั้น
“คิดไม่ถึงเลยว่าพลังของจ้าวเฟิงจะมาถึงระดับขั้นนี้ กำราบมังกรวารีล้างโลกา และเอาชนะเทพแท้จริงเทียนฝา!”
สีหน้าหนานกงเซิ่งเคร่งขรึม คล้ายไม่ค่อยยินยอม
เขาที่เอาแต่หลอมรวมพลังเทพปีศาจเพื่อเพิ่มพลังให้กับตนเองไม่หยุด ก็ยังคงตามหลังจ้าวเฟิงไกลลิบ และทำได้เพียงมองดูแผ่นหลังของจ้าวเฟิงเท่านั้น
“เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องพวกนี้ ดวงตาของเขามีพลังแฝงของเนตรเทพเจ้าประเภทที่เก้า ในทันทีที่เนตรเทพเจ้าประเภทที่เก้าพัฒนาจนถึงที่สุด…”
ทั่วร่างจิตเทพปีศาจสั่นเทิ้ม เกิดความหวาดกลัวขึ้นในใจ
……
“มิติเก็บของของเทพแท้จริงเทียนฝาก็เป็นอาวุธเทพชั้นรอง!”
จ้าวเฟิงจ้องแหวนสีดำในมือ
ตอนที่สังหารเทพแท้จริงเทียนฝา ถึงแม้มิติเก็บของที่เป็นอาวุธเทพชั้นรองจะได้รับความเสียหาย แต่ไม่ได้พังยับเยินไปทั้งหมด
สตินึกคิดของจ้าวเฟิงดำดิ่งลงไปภายในนั้น และค้นพบว่าภายในว่างเปล่าอย่างยิ่ง หลงเหลือเพียงทรัพยากร อาวุธเทพระดับต่ำ และตำราโบราณเท่านั้น
“หืม? นี่คือ?”
แววตาของจ้าวเฟิงจดจ้องไปที่เศษเสี้ยวเหล็กดำชิ้นเล็กชิ้นหนึ่ง
เหล็กชิ้นเล็กสีดำนี้ธรรมดาอย่างยิ่ง ที่มันสามารถดึงดูดความสนใจของจ้าวเฟิงได้เป็นเพราะว่าชิ้นเหล็กดำกับ ‘ตราเทพบรรพกาล’ ที่เป็นอาวุธเทพของเขามีบางส่วนที่ละม้ายคล้ายคลึงกัน
จ้าวเฟิงเบิกดวงตาเทพเจ้า สำรวจเหล็กชิ้นเล็กที่เป็นแค่เศษเสี้ยวนี้อย่างละเอียด
“ก็แค่สิ่งของธาตุทองทั่วไปเท่านั้น!”
อีกนานหลังจากนั้น จ้าวเฟิงก็ได้ข้อสรุปออกมา
เหล็กชิ้นนี้เป็นเพียงแค่ธาตุทองทั่วไป ไม่ได้มีประโยชน์มากมายนัก แต่เทพแท้จริงเทียนฝากลับเก็บเอาไว้ในมิติเก็บของ สิ่งนี้ทำให้จ้าวเฟิงเกิดความสงสัย
จนตอนนี้ จ้าวเฟิงหวนรำลึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ประมือกับเทพแท้จริงเทียนฝา
ตอนที่ตนเองเอาตราเทพบรรพกาลออกมา เหมือนเทพแท้จริงเทียนฝาจะตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก
“หรือว่าของที่เทพแท้จริงเทียนฝามาหาที่นี่ก็คือ ‘ตราเทพบรรพกาล’?”
เมื่อปะติดปะต่อเบาะแสจากศึกระหว่างเทพแท้จริงในร่างเทพแล้ว จ้าวเฟิงจึงได้ข้อสรุปที่ชวนตื่นตะลึง
ยังจำตอนที่เทพแท้จริงเทียนฝามาถึงได้ ‘ตราเทพบรรพกาล’ ของจ้าวเฟิงก็เคยเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างมาก่อน คิดดูแล้ว ประโยชน์ของเหล็กสีดำชิ้นนี้ก็คือตามหาตำแหน่งที่ตั้งของ ‘ตราเทพบรรพกาล’
สำหรับเหตุผลที่เทพแท้จริงเทียนฝาและขั้วอำนาจเบื้องหลังเขาให้ความสำคัญกับ ‘ตราเทพบรรพกาล’ อย่างยิ่ง จ้าวเฟิงก็พอจะรู้แล้ว
“ดีที่เทพแท้จริงเทียนฝาตายไปแล้ว!”
จ้าวเฟิงถอนหายใจโล่งอก
หากปล่อยให้เทพแท้จริงเทียนฝาหนีกลับไปที่ดินแดนเทพรกร้างแล้วละก็ จ้าวเฟิงย่อมต้องตกเป็นเป้าของขั้วอำนาจเบื้องหลังเขาแน่
จากนั้นจ้าวเฟิงจึงมองที่สิ่งของชิ้นอื่นๆ
ทรัพยากรฝึกที่เหลืออยู่ในมิติไม่เข้าตาจ้าวเฟิงแม้แต่น้อย เขาหยิบตำราเก่าแก่ส่วนหนึ่งมา
“ทั้งหมดนี้เป็นวิชาขั้นนภาระดับสุดยอด และยังมีเคล็ดวิชาขั้นเทพด้วย!”
เหนือจากขั้นนภาก็จะเป็นขั้นเทพ ซึ่งเคล็ดวิชาขั้นเทพก็จะแบ่งเป็นระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง และระดับสุดยอดเหมือนกัน!
แต่ทว่าเคล็ดวิชาขั้นเทพที่มีที่นี่ไม่เหมาะกับจ้าวเฟิงแม้แต่น้อย
“ดูแล้วเทพแท้จริงเทียนฝาเปลี่ยนร่างถือกำเนิดใหม่ คงจะใช้ทรัพยากรส่วนมากไปหมดแล้ว!”
จ้าวเฟิงผิดหวังเล็กน้อย ในมิติเก็บของของเทพแท้จริงเทียนฝาไม่มีสิ่งของที่ดึงดูดใจจ้าวเฟิงได้เป็นพิเศษ แต่นี่ก็เป็นเพราะจ้าวเฟิงหัวสูงจนเกินไป อันที่จริงทรัพยากรฝึกและอาวุธเทพขั้นนภาในมิติเก็บของของเทพแท้จริงเทียนฝา หากอยู่ในดินแดนทวีปจะเป็นสมบัติล้ำค่าควรเมือง
หลังจากจัดแจงทุกอย่างจนเสร็จสรรพแล้ว จ้าวเฟิงจึงหยิบเคล็ดวิชาขั้นเทพสองเล่มในมิติเก็บของอย่าง ‘หอกมังกรทลายเก้าชั้นฟ้า’ ‘วิชาพลังเทพทมิฬ’’
ถึงแม้ว่าเคล็ดวิชาทั้งสองจะไม่เหมาะกับจ้าวเฟิงเท่าไหร่นัก แต่เคล็ดวิชาทั้งหมดต่างก็มีจุดเหมือนกัน
ผ่านไปไม่นานนัก จ้าวเฟิงก็จดจำเนื้อหาทั้งหมดในเคล็ดวิชาขั้นเทพทั้งสองเล่มได้แล้ว จากนั้นจึงบรรลุอย่างช้าๆ
เวลาหลายวันผ่านไป จ้าวเฟิงก็ลึกซึ้งในกลวิธีที่สูงส่งลึกล้ำมากมายในเคล็ดวิชาขั้นเทพทั้งสองเล่ม และได้เปิดโลกทัศน์ให้กับเขาในเวลาเดียวกัน
ยามนี้ จ้าวเฟิงได้รับข่าวสารเรื่องที่ตำหนักไท่หวงมีครึ่งเทพคนใหม่ผู้หนึ่ง และเทพแท้จริงหลงหวงเดินทางไปที่ดินแดนเทพรกร้างแล้ว
ทันทีที่หลงหวงจากไป ราชนิกุลในราชวงศ์ต้าเฉียนก็เก็บตัวเงียบลง
หลายวันผ่านไป จ้าวเฟิงพบว่าตำหนักราชันครึกครื้นกว่าที่ผ่านมา
คนระดับสูงจากขั้วอำนาจใหญ่น้อยในราชวงศ์ต้าเฉียนต่างทยอยมาตำหนักราชัน มีบางส่วนที่เหมือนอ้อนวอนขอเป็นขั้วอำนาจในสังกัดตำหนักราชัน
หลังจากที่จ้าวเฟิงขี่มังกรวารีล้างโลกาเดินทางรอบดินแดนทวีป อิทธิพลของตำหนักราชันในดินแดนทวีปก็เทียบเท่าได้กับขั้วอำนาจสี่ดาวสองแห่ง หรืออาจจะอยู่เหนือกว่าบ้างด้วยซ้ำ
ขั้วอำนาจสองดาวทั่วไปส่วนหนึ่งอยากจะเป็นขั้วอำนาจในสังกัดของตำหนักราชัน ก็ยังต้องถูกคัดเลือกทดสอบอย่างเข้มงวด
เรื่องพวกนี้จ้าวเฟิงย่อมไม่ไปใส่ใจ ปล่อยให้ปี้ชิงเยวี่ยจัดการทั้งหมด
“ในตอนนี้ พลังทั้งหมดของตำหนักราชันเทียบเท่าได้กับขั้วอำนาจสี่ดาวทั้งสองแห่ง แต่ตำหนักราชันมีศักยภาพที่พร้อมจะพัฒนามากกว่า…”
แววตาจ้าวเฟิงทอประกาย ขอแค่ให้เวลาตำหนักราชันอีกสักหลายสิบปีหรือสิบปี ศักยภาพโดยรวมของตำหนักราชันจะอยู่เหนือตำหนักไท่หวงและวังลอยฟ้า
วังลอยฟ้าไม่ได้ทะเยอทะยานมากนัก ส่วนตำหนักไท่หวงในตอนนี้สงบเสงี่ยมอย่างยิ่ง แทบจะเปิดตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่ง และอดทนเท่าที่จะทนได้กับทุกการกระทำของตำหนักราชัน
ตำหนักราชันอยู่ไม่ไกลจากเป้าหมายที่จ้าวเฟิงต้องการจะครอบครองดินแดนทวีปแล้ว
ในวันหนึ่ง ตระกูลหยูแห่งแปดตระกูลใหญ่ก็เดินทางมาถึงตำหนักราชัน
สายตาของหยูเทียนฮ่าวจ้องพื้นที่ต้องห้ามที่จ้าวเฟิงอยู่ เกิดความเคารพขึ้นในใจ
นึกถึงตอนอยู่ในสุสานราชวงศ์เมื่อกาลก่อน เขาและจ้าวเฟิงยังเสมอภาคกัน แต่ตอนนี้จ้าวเฟิงกลายเป็นคนที่ไม่มีใครในราชวงศ์กล้าล่วงเกินแล้ว
“จ้าวเฟิง เจ้าเป็นคนที่ข้าหยูเทียนฮ่าวเคารพนับถือที่สุด แต่ข้าจะต้องรีบไล่ตามเจ้าให้ทันให้ได้!”
ในดวงตาของหยูเทียนฮ่าวมีจิตมุ่งมั่นลุกโชน
ตอนที่ตำหนักราชันแผ่ขยายอำนาจอย่างรวดเร็ว ขั้วอำนาจกระจายตัวไปทั่วราชวงศ์ต้าเฉียน
จ้าวเฟิงเตรียมทุกอย่างจนพร้อมสรรพเพื่อเข้าไปในดินแดนเทพรกร้างแล้ว
ในวันนี้ จ้าวเฟิงมายังที่พักอาศัยของคุนอวิ๋น
“มีเรื่องอะไรกัน?”
แววตาคุนอวิ๋นเคร่งขรึม มองประเมินจ้าวเฟิง
“ข้าอยากจะแลกเปลี่ยนครั้งสุดท้ายกับเจ้า!”
จ้าวเฟิงนั่งลงอย่างสงบ เอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ
“แลกเปลี่ยนครั้งสุดท้าย?” สีหน้าคุนอวิ๋นชะงักไป
คุนอวิ๋นคิดว่าต่อจากนี้จ้าวเฟิงจะไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเขาอีก แต่คิดไปคิดมาก็จริงอยู่ พลังในตอนนี้ของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งไร้เทียมทานในราชวงศ์ กลายเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดต่อจากครึ่งเทพหลงหวงแล้ว
นี่ก็เป็นสาเหตุที่หลังจากหลงหวงไปดินแดนเทพรกร้างแล้วพวกต่างเผ่าพันธุ์ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
การรุ่งโรจน์ขึ้นของตำหนักราชัน ทำให้พลังของทั้งราชวงศ์ต้าเฉียนอยู่เหนือราชวงศ์จันทราทมิฬอยู่เลาๆ
“อาจใช้เวลาไม่นานนัก ข้าก็จะสามารถเข้าไปในดินแดนเทพรกร้าง!”
จ้าวเฟิงเอ่ยทอดถอนใจ
“อะไรกัน? เจ้าคิดจะทะลวงขอบเขตเซียนสวรรค์?”
นี่เป็นความคิดแรกที่ผุดขึ้นในหัวของคุนอวิ๋น
แต่หลังจากที่ครุ่นคิดดีๆ แล้ว คุนอวิ๋นก็รู้สึกว่าตนเองช่างโง่งมเหลือเกิน
ยามนี้จ้าวเฟิงเพิ่งจะอยู่ในขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นสูง ถึงระดับความเร็วในการฝึกจะมากเท่าไหร่ แต่ในทุกๆ สิบปีจะทะลวงขอบเขตเซียนสวรรค์ไปได้อย่างไร
“ไม่ ข้าจะไปดินแดนเทพรกร้างแล้วทะลวงขั้นเทพ…”
จ้าวเฟิงบอกแผนการของตนกับคุนอวิ๋น
ครึ่งเทพและเทพในช่วงชีวิตก่อนอย่างคุนอวิ๋น เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้วจึงเข้าใจ วิธีเช่นนี้พอจะเป็นไปได้
ขอแค่กลิ่นอายรกร้างดั้งเดิมมีมากพอในร่าง ก็น่าจะสัมผัสถึงการดำรงอยู่ของดินแดนเทพรกร้างได้!
“การแลกเปลี่ยนครั้งสุดท้ายก็คือ หลังจากที่ข้าไปแล้ว เจ้าต้องเฝ้าดูแลตำหนักราชันสามสิบปี ส่วนผลตอบแทนคือเจ้าจะเข้าไปในดินแดนเทพรกร้างได้ก่อน!”
จ้าวเฟิงบอกเงื่อนไขข้อแลกเปลี่ยน
ทันทีที่คุนอวิ๋นได้ยินก็เข้าใจ ผลตอบแทนที่จ้าวเฟิงเอ่ยมาก็คือการมอบกลิ่นอายรกร้างดั้งเดิมที่มากเพียงพอให้กับตนเอง ทำให้สามารถใช้วิธีเช่นนี้เข้าไปในดินแดนเทพรกร้างเช่นกัน
“ตกลง!”
คุนอวิ๋นไม่ได้พิจารณาอะไร ตอบตกลงเงื่อนไขของจ้าวเฟิงทันที
เดิมทีคุนอวิ๋นก็เตรียมตัวมาเป็นเวลาร้อยปีเพื่อทะลวงขอบเขตเซียนสวรรค์
แต่ขณะนี้จ้าวเฟิงแค่ให้เขาเฝ้าตำหนักราชันสามสิบปีเท่านั้น สามสิบปีต่อมาเขาก็จะสามารถเข้าไปในดินแดนเทพรกร้างได้แล้ว
สัดส่วนที่จะทะลวงผ่านขอบเขตเซียนสวรรค์มีมากกว่าในดินแดนเทพรกร้าง ผลประโยชน์ก็มากขึ้นตามไปด้วย การแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าเช่นนี้ ไยคุนอวิ๋นจะไม่ตกลง
ต่อมา จ้าวเฟิงและคุนอวิ๋นจึงลงนามในม้วนพันธะสัญญาเลือด
“พลังเท่านี้น่าจะเพียงพอแล้ว!”
จ้าวเฟิงยกมิติเก็บของแห่งหนึ่งให้กับคุนอวิ๋น
หลังออกจากตำหนักที่คุนอวิ๋นอยู่แล้ว จ้าวเฟิงเดินเล่นอยู่ในตำหนักราชันรอบหนึ่ง แลกเปลี่ยนพูดคุยกับปี้ชิงเยวี่ย เซียนราตรีทมิฬ และเฒ่าประหลาดสวีผู้เป็นข้ารับใช้ที่ภักดีติดตามตนเอง และแจ้งเรื่องนี้แก่พวกเขา
ต่อมา จ้าวเฟิงจึงกลับเข้ามาในมนตราอากาศและเริ่มปิดด่านฝึกตน
การจะเข้าไปในดินแดนเทพรกร้างก่อนมีเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่ง คืออย่างน้อยระดับขั้นชีวิตจะต้องเทียบเท่าขั้นครึ่งเทพ
ในมนตราอากาศ ด้านหน้าจ้าวเฟิงจึงปรากฏทรัพยากรบรรพกาลจำนวนมากลอยอยู่
เมื่อโคจร ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ แล้วจ้าวเฟิงดูดซึมฤทธิ์ในวัตถุดิบยาอย่างรวดเร็ว
ระดับชั้นชีวิตของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
ตราอัสนีเทวะห้าพันสายในกายวิญญาณอัสนี แผ่พลังอัสนีเทวะทำลายล้างระยิบระยับ จัดการเสริมสร้างกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์
อีกด้านหนึ่ง จ้าววั่นก็กำลังฝึกฝน ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ คนทั้งสองแบ่งปันประสบการณ์กัน จึงทำให้ผลในการฝึกฝนเพิ่มขึ้นสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
หนี่งปีต่อมา
กลิ่นอายวายุอัสนีทั่วร่างจ้าววั่นเพิ่มขึ้นไปอีกระดับขั้นหนึ่ง พลังศักดิ์สิทธิ์อัสนีสีเหลืองเข้มกลุ่มหนึ่งทะลักไปในฟ้าดิน
“ขอบเขตพลังทะลวงขั้นราชาเซียนด้วยตัวเองแล้ว!”
จ้าววั่นตื่นตะลึงเล็กน้อย จากนั้นจึงมองจ้าวเฟิง
เห็นเพียงรัศมีหมื่นลี้รอบสถานที่ฝึกตนของจ้าวเฟิงเป็นประหนึ่งโลกสายฟ้าที่มืดสลัว เพียงแค่มองดูจากไกลๆ ก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากสายฟ้าที่น่ากลัวในนั้น
กรอบ! กรอบ!
กระดูกทั่วร่างจ้าวเฟิงเกิดเสียงดังลั่น ลายสายฟ้าสีเหลืองเข้มบนผิวเขาเปล่งแสงอัสนีที่น่าหวาดกลัวออกมา
แซ่ด! สายฟ้าสีเหลืองเข้มที่อัดแน่นชั้นเป็นชั้นๆ หมุนวนรอบกายจ้าวเฟิง ปั่นป่วนขึ้นลงไม่หยุด
บึ้ม! จุดที่จ้าวเฟิงอยู่ยุบลงไปทันที กลายเป็นหลุมขนาดร้อยจั้งที่ภายในมืดมิด
“แข็งแกร่งเหลือเกิน!”
ห่างไปหลายหมื่นลี้ จ้าววั่นสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของร่างกายที่สะพรึง
“กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่เจ็ด!”
ใบหน้าของจ้าวเฟิงฉายแววลิงโลดและยินดี
เมื่อกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ไปแตะขั้นที่เจ็ด ก็จะเข้าสู่ขั้นเทพแท้จริงแล้ว
ภายในดินแดนทวีปตอนนี้ แทบไม่มีใครสามารถทำร้ายจ้าวเฟิงได้เลย
“นายท่านจะออกเดินทางเมื่อไหร่?”
ในดวงตามังกรวารีล้างโลกาทอประกายตื่นเต้น
ถึงแม้ขอบเขตพลังของมังกรวารีล้างโลกาจะเป็นราชาเซียน แต่กายมังกรล้างโลกาของเขาก็แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ไม่ด้อยกว่ากายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ดของจ้าวเฟิงแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้ มังกรวารีล้างโลกาเองจึงมีคุณสมบัติที่จะเข้าไปในดินแดนเทพรกร้างเช่นกัน
“เจ้าฝึกตนต่อ ข้าอนุญาตให้เจ้าฟื้นฟูขอบเขตพลังถึงขั้นครึ่งเทพได้!”
หลังจากเอ่ยจบแล้ว จ้าวเฟิงจึงเริ่มสร้างความมั่นคงให้กับกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งจะทะลวงมาได้
จนถึงวันหนึ่ง จ้าววั่นกลับมาถึงตำหนักราชัน ห้วงความคิดของจ้าวเฟิงเพียงขยับก็ดึงจ้าววั่นเข้าไปในมนตราอากาศ