บทที่ 1144 ดินแดนเทพรกร้าง
พรสวรรค์ในการฝึกฝนของจ้าววั่นค่อนข้างด้อย ขอบเขตพลังในวันนี้จึงอยู่แค่เซียนชั้นต้น
ทว่าในสายตาของจ้าวเฟิง นี่ถือเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้จ้าววั่นก็จะสามารถฝึกในดินแดนเทพรกร้างได้เร็วขึ้น และชดเชยส่วนที่เขาขาดไป
“จ้าวเฟิง เจ้าจะพาพวกเขาเข้าไปในดินแดนเทพรกร้างด้วย?”
มังกรวารีล้างโลกามีสีหน้าตกใจ มองจ้าววั่นและจ้าวหวางไปมา
อันที่จริง ยามเข้าไปในดินแดนเทพรกร้างสามารถพาคนอื่นๆ เข้าไปพร้อมกัน อย่างเช่นชายชราเผ่าพันธุ์วิญญาณที่พาจ้าวหยูเฟยเข้าไปด้วยโดยตรง
แต่หากทำเช่นนี้ แรงกดดันมิติจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าต่อคนที่เข้าไปในดินแดนเทพรกร้าง
เท่ากับว่าหากจ้าวเฟิงพาสิ่งมีชีวิตหนึ่งสิ่งเข้าไปในดินแดนเทพรกร้างด้วย ก็จะต้องแบกรับแรงกดดันในการข้ามผ่านมิติของคนสองคน
ดังนั้นในประวัติศาสตร์ของดินแดนทวีป เทพแท้จริงที่เข้าสู่ดินแดนเทพรกร้างจึงเดินทางเพียงคนเดียวมาโดยตลอด
และระดับขั้นชีวิตของจ้าวเฟิงในตอนนี้เพิ่งจะถึงขั้นครึ่งเทพ ถ้าหากพาเจ้าแมวขโมยตัวน้อย จ้าววั่น และจ้าวหวางไปด้วย ย่อมไม่มีทางไปดินแดนเทพรกร้างได้อย่างราบรื่นแน่นอน
“จุดนี้เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป!”
จ้าวเฟิงย่อมเข้าใจในความวิตกกังวลของมังกรวารีล้างโลกา
สตินึกคิดของจ้าวเฟิงดำดิ่งลงไปในมิติเนตรเทพเจ้า ตรงดิ่งไปหาระลอกน้ำวนสายหนึ่งจากลูกทรงกลมสีทองลึกลับ วินาทีต่อมา จ้าวเฟิง จ้าววั่น และจ้าวหวางก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยภายในมนตราอากาศ
“ไปไหนแล้ว?” มังกรวารีล้างโลกาสีหน้าตื่นตะลึง
พวกจ้าวเฟิงทั้งสามหายตัวไปจากมิติแห่งนี้ ส่วนโลกภายนอกก็ไม่มีกลิ่นอายใด
พรึ่บ! จ้าวเฟิงปรากฏกายขึ้นในมนตราอากาศ เพียงแต่ครั้งนี้จ้าววั่นและจ้าวหวางไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น
“นายท่าน ท่านส่งพวกเขาไปที่ไหนแล้ว?”
มังกรวารีล้างโลกาตื่นตกใจอย่างยิ่ง ก่อนจะถามหยั่งเชิง
จ้าวเฟิงไม่ตอบ ออกจากมนตราอากาศทันที
จ้าววั่นและจ้าวหวางเป็นร่างแยกจากวิญญาณของจ้าวเฟิง ให้พวกเขาล่วงรู้ความลับของห้วงฝันบรรพกาลก็ไม่เป็นอะไร
อีกทั้งจ้าวเฟิงเชื่อว่าหากส่งพวกเขาเข้าไปในห้วงฝันบรรพกาล ตอนที่เข้าไปในดินแดนเทพรกร้างจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อตน
อนึ่ง จ้าวเฟิงและมังกรวารีล้างโลกาทั้งสองพาเจ้าแมวขโมยน้อยไปด้วยไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรมากนัก
จ้าวเฟิงยกหน้าที่ดูแลฝูงสัตว์อสูรอื่นๆ ในมนตราอากาศให้แก่ปี้ชิงเยวี่ย
พลังของฝูงสัตว์อสูรเหล่านี้ส่วนมากยังอยู่ในขั้นจักรพรรดิและเซียน ไม่มีประโยชน์ใดๆ ต่อจ้าวเฟิง แต่หากทิ้งพวกมันเอาไว้ในตำหนักราชันจะสามารถกลายเป็นกำลังรบที่แข็งแกร่งได้
พรึ่บ! จ้าวเฟิงโบกแขน ร่างอ่อนจางลงช้าๆ ท่ามกลางชั้นเงาสีเงินเข้ม
ณ ทะเลแดนใต้ ดินแดนฝูเมิ่ง ดินแดนพิณสวรรค์
จู่ๆ ชายหนุ่มผมทองผู้หนึ่งก็มาเยือนตำหนักเซียนพิณสวรรค์
ครั้งนี้ คนทุกระดับขั้นไม่ได้จ้องมองจ้าวเฟิงด้วยแววตาหวาดกลัวเหมือนที่ผ่านมา แต่มองเขาด้วยสายตาเคารพยำเกรงอย่างยิ่ง
“จ้าวเฟิง เจ้ามาหานางอีกแล้ว!”
เจ้าตำหนักพิณสวรรค์ยกยิ้มมุมปาก
จ้าวเฟิงจะมายังตำหนักเซียนพิณสวรรค์เพราะแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น
จ้าวเฟิงสนทนากับเจ้าตำหนักพิณสวรรค์อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงไปยังที่พื้นที่ต้องห้ามของตำหนักเซียนพิณสวรรค์
ในหุบเหวมีเมฆหมอกลอยอ้อยอิ่งอยู่รอบๆ จ้าวเฟิงยืนอย่างสงบนิ่ง ดวงตาจ้องอารามเก่าแก่ลี้ลับแห่งหนึ่งด้านหน้า
ต่อให้เป็นพลังมองทะลวงผ่านของดวงตาสีทองจ้าวเฟิง ก็ไม่อาจมองทะลุอารามลึกลับแห่งนี้ได้
จ้าวเฟิงยืนนิ่งเป็นเวลาสามวัน
แต่สิ่งที่เขาไม่ล่วงรู้เลยก็คือ ในชั้นที่สี่สิบเก้าของตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน ดวงตาอ่อนละมุนของหลิวฉินอินมองจ้าวเฟิงอย่างอาวรณ์ ยืนมาเป็นเวลาสามวันเช่นเดียวกัน
ชั่วขณะหนึ่ง สีหน้าจ้าวเฟิงเปลี่ยนเล็กน้อย
“ฉินอิน หากมีโอกาสข้าจะต้องกลับมาพบเจ้าให้ได้!”
สีหน้าจ้าวเฟิงสงบนิ่ง เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ
ในเมื่อเทพแท้จริงเทียนฝาเดินทางมาถึงดินแดนทวีปได้ ก็พิสูจน์แล้วว่าหลังจากเข้าไปในดินแดนเทพรกร้างแล้ว จ้าวเฟิงยังมีโอกาสได้กลับมาที่นี่ดินแดนทวีปอยู่
วูบ! มังกรวารีล้างโลกาปรากฏตัวขึ้นข้างจ้าวเฟิง
“เหอะๆ จะออกไปจากสถานที่ชั้นต่ำแห่งนี้ได้สักที!”
มังกรวารีล้างโลกาเหยียดยิ้มกล่าว
จ้าวเฟิงใช้วิธีที่มังกรวารีล้างโลกาบอก กระตุ้นกลิ่นอายรกร้างดั้งเดิมที่ส่วนลึกในร่าง ปลดปล่อยประสาทสัมผัสจิตวิญญาณออกมาในเวลาเดียวกัน แล้วสัมผัสดินแดนเทพรกร้างที่เวิ้งว้างไร้พรมแดนแห่งนั้น
วู้ม วู้ม! ทันใดนั้นเอง ณ บริเวณที่ห่างออกไปจากใจกลางผืนพสุธา พลันเกิดระลอกกระเพื่อมน้อยๆ
วิ้ง! รอบตัวคนทั้งสองปรากฏคลื่นมิติแปลกประหลาด กลิ่นอายรกร้างโบราณอ่อนๆ เอ่อล้นออกมา
ร่างของจ้าวเฟิงและมังกรวารีล้างโลกาค่อยๆ อ่อนจางลงในระลอกมิติแปลกประหลาดนั้น เสียง ‘พรึ่บ’ ดังขึ้น ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
นอกเหนือจากกลุ่มคนที่ถูกจ้าวเฟิงฝังตราผนึกดวงใจทมิฬเอาไว้ ก็ไม่มีใครสัมผัสได้ว่าจ้าวเฟิงผู้เป็นยอดฝีมือที่แกร่งที่สุดของดินแดนทวีปหายตัวไปจากมิติแห่งนี้แล้ว
บนยอดเขาแห่งหนึ่ง ณ ดินแดนเกาะข้างเคียงดินแดนพิณสวรรค์ ชายชราร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งยืนเอามือไพล่หลัง ทอดสายตามองไปไกล
ชายชราผู้นี้ใส่ชุดคลุมสีดำที่เงียบสงบราวรัตติกาล ดวงตาสองข้างดูขุ่นมัว แต่กลับลึกล้ำดุจราตรีที่เต็มไปด้วยดวงดาว ฉายแววชาญฉลาดและมากประสบการณ์
บนไหล่ของเขามีแมวขี้เกียจตัวยักษ์สีดำเงินหมอบอยู่ เหมือนกำลังหลับสนิท
“ในที่สุดเขาก็จากไป!”
ปราชญ์ลิ่วอูทอดถอนใจ
ดวงตาสุขุมของเขาทอดมองไปทางตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน
“ฉินอิน ชะตาของเจ้า กระทั่งข้ายังยากที่จะคาดเดาเสียแล้ว…”
ปราชญ์ลิ่วอูเผยสีหน้าซับซ้อน ก่อนส่ายศีรษะ
“เจ้าแมวขี้เกียจ พวกเราก็ควรจะกลับกันได้แล้ว!”
เมี้ยว~
เจ้าแมวตัวใหญ่ที่กำลังนอนหลับสนิทลืมตาอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะหาวด้วยท่าทางขี้เกียจ
……
“นี่ก็คือแรงกดดันในการข้ามมิติ?”
จ้าวเฟิงเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก
ณ ขณะนี้ จ้าวเฟิงและมังกรวารีล้างโลกาอยู่ท่ามกลางเงาสีเงินเข้มที่ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ
ในทุกครั้งที่ทะลุผ่านชั้นแสงสีเงินเข้ม ร่างของจ้าวเฟิงและมังกรวารีล้างโลกาจะถูกระลอกมิติที่น่ากลัวปะทะเข้าใส่
“นายท่าน ข้าและท่านพาแมวขโมยน้อยมาด้วย ดังนั้นแรงกดดันในการทะลุมิติจึงมีมากขึ้น แถมเวลายังค่อนข้างยาวนานอีกด้วย!”
ร่างของมังกรวารีล้างโลกาขาดวิ่นจนดูไม่ได้ไปแล้ว
……
ในมิติผืนพสุธาอันเวิ้งว้างไร้ขอบเขต
ใจกลางของผืนพสุธาแห่งนี้ มีพื้นที่ขนาดใหญ่เกินจะเปรียบแห่งหนึ่งนามว่าดินแดนเทพรกร้าง
รอบๆ ดินแดนเทพรกร้างมีแผ่นดินใหญ่เล็กจำนวนนับไม่ถ้วน ยิ่งออกไปรอบนอกเท่าไหร่ ฝุ่นธุลีเหล่านี้ก็ยิ่งเล็กลงไปเท่านั้น
พื้นที่ด้านนอกดินแดนเทพรกร้างจะเรียกโดยรวมว่ามิติรอบนอก
ในมิติรอบนอกมักเกิดการบิดเบี้ยวของมิติอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สิ่งชีวิตที่ทรงพลังจะสามารถสังเกตเห็นคลื่นมิติเลือนรางตรงดิ่งจากที่นี่ เข้าไปในดินแดนเทพรกร้างอย่างรวดเร็ว
บริเวณรอบนอกของดินแดนเทพรกร้าง จู่ๆ อากาศตรงป่าเขาเก่าแก่โบราณแห่งหนึ่งพลันบิดเบี้ยว
พรึ่บ! เงาโปร่งแสงสองร่างค่อยๆ ชัดเจนขึ้นจนปรากฏกายในที่แห่งนี้
คนหนึ่งในนั้นมีผมยาวสีทองสว่างพลิ้วไหว เมื่อสะท้อนกับแสงอาทิตย์จะแสบตาอย่างประหลาด
ส่วนทั่วร่างชายอีกคนปกคลุมด้วยเกล็ดสีดำสนิท ใบหน้าโหดเหี้ยมปรากฏรอยยิ้มที่หาดูได้ยากยิ่ง
“ไอสวรรค์ในฟ้าดินหนาแน่นนัก…”
ในวินาทีที่จ้าวเฟิงปรากฏกายขึ้น เขาก็สัมผัสได้ถึงไอสวรรค์ในฟ้าดินที่เข้มข้นจนเรียกได้ว่าอัดแน่น
ถ้าหากจ้าวเฟิงฝึกตนที่นี่ ผลลัพธ์จะเทียบเท่าได้กับการฝึกอยู่ในกองผลึกเริ่มต้นระดับสุดยอดที่ดินแดนทวีปเลยทีเดียว
อีกอย่าง ไอสวรรค์ฟ้าดินนี้บริสุทธิ์ยิ่งนัก เหมือนหลอมรวมเอากลิ่นอายบรรพกาลเข้าไปด้วยอย่างนั้น
พื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่สมบูรณ์ที่คงอยู่มาตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน
เมื่ออยู่ในมิติแห่งนี้ จ้าวเฟิงพลันรู้สึกได้ว่าดินแดนทวีปที่ตนเองอยู่เหมือนเป็นโลกมายาที่ไม่มีอยู่จริง เมื่ออยู่ที่นี่เขาสงบสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คล้ายรู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายไหลบ่าไปทั่วร่าง
ตุบ ตุบ! ตุบ ตุบ!
จู่ๆ ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงก็เต้นกระตุกขึ้น
จ้าวเฟิงรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในดวงตาเทพเจ้าของเขา
“ใช่สิ พวกเขาสองคน!”
สตินึกคิดของจ้าวเฟิงดำดิ่งลงไปในมิติดวงตาเทพเจ้า วินาทีต่อมาก็ปรากฏกายขึ้นในห้วงฝันบรรพกาล
สองร่างตรงหน้าจ้าวเฟิงก็คือจ้าววั่นและจ้าวหวาง
แต่ในตอนนี้ทั้งสองยืนนิ่งกับที่ แล้วสัมผัสห้วงฝันบรรพกาลที่มีไอสวรรค์ฟ้าดินถาโถมปั่นป่วน
“ระดับความเข้มข้นของไอสวรรค์ฟ้าดินกับกลิ่นอายรกร้างดั้งเดิมในห้วงฝันบรรพกาลกำลังเพิ่มขึ้น!”
นอกเหนือจากความตื่นตระหนกของจ้าวเฟิง ยังปรากฏความยินดีด้วย
เดิมทีไอสวรรค์ในฟ้าดินของห้วงฝันบรรพกาลเข้มข้นกว่าในดินแดนทวีปแค่ระดับหนึ่ง จ้าวเฟิงฝึกตนอยู่ภายในนั้น ผลประโยชน์มากที่สุดก็มีเพียงแค่กลิ่นอายบรรพกาล
แต่ในตอนนี้ ไอสวรรค์ฟ้าดินของห้วงฝันบรรพกาลกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนความเข้มข้นใกล้เคียงกับไอสวรรค์ของดินแดนเทพรกร้าง
ในทุกที่ที่แววตาของจ้าวเฟิงกวาดผ่าน พื้นหลังทั้งหมดจะเปลี่ยนแปลงไปช้าๆ
“อย่าเพิ่งสนใจเรื่องพวกนี้ก่อนแล้วกัน!”
สตินึกคิดของจ้าวเฟิงพาจ้าววั่นและจ้าวหวางออกจากห้วงฝันบรรพกาล
“มังกรวารีล้างโลกา ที่นี่คือที่ไหน?”
จ้าวเฟิงเอ่ยทันที
“นายท่าน เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน!” มังกรวารีล้างโลกาตอบตามตรง
“ดินแดนเทพรกร้างกว้างขวางเกินจะเปรียบ ต่อให้เป็นพื้นที่ที่ข้าเคยผ่านในตอนแรกก็คงไม่ถึงหนึ่งในพันส่วนของดินแดนเทพรกร้าง!”
ในตอนที่จ้าวเฟิงฉงนสงสัย ดวงตาของมังกรวารีล้างโลกาเต็มไปด้วยความเคารพนับถือ และเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“หืม? ด้านหน้ามี ‘คน’!”
สายตาของจ้าวเฟิงมองออกไปไกลหมื่นลี้ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่ง
ในกลุ่มมีคนอยู่เพียงสิบกว่าคนเท่านั้น และส่วนมากเป็นคนที่มีขอบเขตพลังจักรพรรดิและราชันระดับสุดยอด
วูบ! จ้าวเฟิงเก็บมังกรวารีล้างโลกาเข้าไปในมนตราอากาศ จากนั้นจึงบินเข้าไปหาคนกลุ่มนี้
ระหว่างทางที่บินไป จ้าวเฟิงก็รู้สึกได้ว่ากฎเกณฑ์มิติของดินแดนเทพรกร้างคล้ายคลึงกับห้วงฝันบรรพกาลมาก ความเร็วของเขาถูกกดจนถึงขีดสุด เมื่อเปรียบกับความเร็วในดินแดนทวีปแล้วเหมือนเต่ากับกระต่ายอย่างไรอย่างนั้น
ฟิ้ว! กลุ่มที่โบยบินอย่างรวดเร็วนั้นหยุดชะงักลง
“ท่านคือใคร?”
หมาป่าปีกสีฟ้าตัวยักษ์ตัวหนึ่งและชายวัยกลางคนหัวแพะใบหน้าซีดเผือด ระแวดระวังขึ้นทันที
ขอบเขตพลังของชายวัยกลางคนผู้นี้สูงถึงเซียนชั้นต้น เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม
ด้านหลังหมาป่ายักษ์ปีกฟ้าลากรถม้ามาคันหนึ่ง ม่านภายในถูกเลิกขึ้น หญิงผู้มีวงหน้างดงาม มีเขาสีเขียวสองข้างบนศีรษะ มองประเมินจ้าวเฟิงอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“ข้าน้อยใช้ค่ายกลขนส่งที่เสียหาย เคลื่อนย้ายมายังสถานที่นิรนาม เพียงอยากจะสอบถามแต่ละท่านสักหน่อยว่าที่นี่คือที่ไหน?”
จ้าวเฟิงเก็บงำกลิ่นอาย เอ่ยถามด้วยใบหน้าเป็นมิตร
“ไม่ใช่คนของเผ่าพันธุ์กวางยักษ์?”
ในกลุ่มคนด้านหน้ามีเสียงทอดถอนใจดังขึ้น
“ที่นี่คือป่าไม้แดงภายใต้การปกครองของเจ้าเกาะเทียนอวี่!”
ชายวัยกลางคนมองประเมิณจ้าวเฟิง
“ไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อน!”
เสียงมังกรวารีล้างโลกาดังขึ้นภายในมนตราอากาศ
“ไม่รู้ว่าแถวนี้มีที่ไหนพอจะมีคนพลุกพล่านบ้าง ข้าน้อยอยากจะหาซื้อแผนที่สักชุดหนึ่ง!”
จ้าวเฟิงเอ่ยถามอีกครั้ง
มาที่นี่เป็นครั้งแรก จ้าวเฟิงคิดแต่เพียงอยากจะหาที่พักชั่วคราวก่อน
หนำซ้ำรัศมีหลายหมื่นลี้จากที่นี่ก็มีแต่ป่าไม้ใบหญ้า นอกจากสัตว์อสูรแล้วก็ไม่เห็นเงาคนแม้แต่น้อย
“แถวนี้เป็นที่อยู่ของสัตว์อสูรทั้งนั้น พวกเรากำลังจะเดินทางไปเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทองทางทิศตะวันตกของป่าไม้แดงพอดี หากคุณชายไม่รังเกียจก็เดินทางไปกับพวกเราได้!”
สตรีผู้มีเขาหยกสองข้างเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“คุณหนูหลินเอ๋อร์ พวกเราจะพาคนอื่นไปด้วยอีกได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ยังเยาว์วัยนัก พลังก็…”
ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำเอ่ยโน้มน้าว
“ท่านอาชิงก็ช่วยคุณชายผู้นี้เถอะ ดูไปแล้วเขาก็เหมือนจะไม่ใช่คนเลวอะไร!”
อวี่หลินเอ๋อร์มองจ้าวเฟิงที่ไร้ที่พึ่งพิง
“เช่นนั้นก็ขอบคุณมาก!”
ยังไม่ทันรอให้มนุษย์ทั้งสองหารือกันเสร็จ จ้าวเฟิงรีบเดินเข้าไปรวมกลุ่ม
ท่านอาชิงมองจ้าวเฟิงอย่างไม่พอใจเท่าไหร่นัก ก่อนจะทอดถอนใจ คุณหนูจิตใจดีงามเกินไป คนดีคนชั่วไหนเลยจะมองออกในปราดเดียว ในตอนนี้เขาหวังแค่ว่าจ้าวเฟิงจะไม่ใช่คนชั่วช้าก็เพียงพอแล้ว