บทที่ 1187 อาวุธเทพมรณะ
นอกป่าแห่งความตาย มีเผ่าปีศาจวารีสวรรค์อยู่คนหนึ่ง
“ผ่านไปนานหลายวันขนาดนี้ เจ้าเด็กนั่นต้องตายไปแล้วอย่างแน่นอน!”
คนของเผ่าปีศาจวารีสวรรค์ยิ้มเย็นพร้อมพูดขึ้น
แต่ว่าตามคำสั่ง เขายังต้องเฝ้าอยู่ที่นี่อีกหนึ่งวันจึงจะจากไปได้
ครืน ฟู่!
ในเวลานี้เอง หมอกดำแห่งความตายที่ปกคลุมป่าผืนนี้พลันทะลักออก เสวียนอ้าวมรณะที่น่ากลัวสะเทือนทั่วฟ้า
ครืน ฟิ้ว ฟิ้ว!
หมอกดำแห่งความตายทั้งหมดล้อมใจกลางป่าเอาไว้ กระเพื่อมขึ้นลงราวกับคลื่นวนมหึมา เสวียนอ้าวมรณะไร้รูปร่างแผ่กระจายไปทั่วทุกทิศ
ปรากฏการณ์ประหลาดนี้ย่อมดึงดูดคนที่ยังอยู่รอบป่าแห่งความตาย
คนเหล่านี้มาใกล้ๆ ป่าแห่งความตาย ไม่ได้บุ่มบ่ามลงมือ เพราะทุกสิ่งที่นี่แปลกประหลาดและน่ากลัวเกินไป
อีกทั้งพื้นที่ลับรกร้างโบราณบุกเบิกมานานถึงเพียงนี้ ขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งบางกลุ่มจะรวมตัวกัน มุ่งไปยังจุดที่ลึกเข้าไปอีก วางแผนเอาโอกาสมากกว่าเดิม
ดังนั้นคนที่ถูกป่าแห่งความตายดึงดูด ส่วนมากคือปฐมเทพ เทพแท้จริงขั้นสองและสาม
ในหินผาห่างป่าแห่งความตายไปร้อยลี้ ร่างเงาสีม่วงฟ้าร่างหนึ่งปรากฏขึ้น
“ทำไมจู่ๆ ป่าแห่งความตายจึงมีปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้เกิดขึ้น?”
เสี่ยวหลิงตกใจเป็นอย่างยิ่ง
แต่เดิมจ้าวเฟิงเข้าไปในป่าแห่งความตายนานถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งนางยังมั่นใจว่าเขาตายแล้ว เตรียมจะกลับไปรายงาน
แต่ยามนี้ป่าแห่งความตายพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้นางรู้สึกประหลาด การเปลี่ยนแปลงของป่าบางทีอาจจะเกี่ยวกับจ้าวเฟิง
……
ใจกลางป่าแห่งความตาย
ใต้หินผนึกเทพ หมอกดำแห่งความตายที่น่าหวาดหวั่นพร้อมด้วยเสียงร้องของวิญญาณที่น่าสะพรึงกลัว พวยพุ่งออกมาจากช่องว่างและจุดที่อ่อนกำลังของผนึก
ฟู่ ฟู่!
หมอกดำแห่งความตายหุ้มล้อมหินผนึกเทพเอาไว้ กัดกร่อนมันไม่หยุด
ด้านหนึ่ง คนทั้งสองที่เหลืออยู่ของเผ่าพาหาทองมองมายังจ้าวเฟิงทั้งใบหน้าหวาดหวั่น ทำอะไรไม่ถูก
พวกเขาคิดไม่ถึงว่าในช่วงเวลาสุดท้าย จ้าวเฟิงจะพลันนำไพ่ตายที่ไม่เคยเห็นมาก่อนออกมา โจมตีพวกเขาทั้งสามจนล่าถอย กระทั่งส่งอวี๋เฮิ่นลงไปอยู่ใต้หินผนึกเทพแทน
แต่เดิมพวกเขาอยากได้ตัวช่วยที่มีพลังกายแข็งแกร่ง แต่พลังฝึกตนไม่สูง สามารถถูกพวกเขาทั้งสามควบคุมอย่างสิ้นเชิงคนหนึ่ง
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงจะเก็บซ่อนได้ลึกล้ำเช่นนี้ ชายเกล็ดดำที่อยู่ข้างกายเขาลึกล้ำยากเกินหยั่ง ทั้งท่าทางยังเหมือนว่าจ้าวเฟิงจะเป็นผู้นำอีก
“ไป!” ในใจของทั้งสองมีเพียงแค่ความคิดนี้เท่านั้น
เมื่ออาวุธเทพปรากฏ พวกเขาต้องแย่งจ้าวเฟิงไม่ได้อย่างแน่นอน ในตอนนั้นจ้าวเฟิงก็คงสังหารพวกเขาง่ายดุจพลิกฝ่ามือ
ฟุ่บ! ฟุ่บ! เผ่าพาหาทองทั้งสองไม่สนใจการกัดกินจากหมอกดำแห่งความตาย โคจรพลังเทพหนีไปทันที
“นายท่าน ไม่สนใจพวกมันรึ?”
มังกรวารีล้างโลกาถามขึ้น
“พวกมันต้องตายแน่!”
ใบหน้าของจ้าวเฟิงเย็นชา ท่าทางราวกับควบคุมสถานการณ์เอาไว้ทั้งหมด
มังกรวารีล้างโลกาไม่รู้ว่าประโยคนี้หมายถึงอะไร แต่ว่าจ้าวเฟิงไม่สนใจ เขาเองก็ขี้เกียจจะไปยุ่ง
“โชคของนายท่านช่างยิ่งใหญ่เสียจริง ได้โอกาสดีเพียงนี้เชียว!”
มังกรวารีล้างโลกาพูดขึ้นอย่างอิจฉาอยู่บ้าง
จากการคาดเดาของเขา อาวุธเทพใต้หินผนึกเทพชิ้นนี้ เป็นไปได้อย่างมากว่าคือขั้นเทพระดับสูง หรือกระทั่งระดับสุดยอด
ต่อให้เป็นมังกรวารีล้างโลกาที่อยู่ในช่วงสุดยอดก็ไม่มีทางครอบครองอาวุธเทพที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ได้ คิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวเฟิงที่ตอนนี้เพิ่งจะเป็นเทวาเร้นลับระดับบริบูรณ์ ก็ได้ครองโอกาสพลิกชะตาฟ้าเช่นนี้
แต่ว่า อาวุธเทพที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ทั้งยังเป็นประเภทมรณะชั่วร้าย คิดใช้พลังของมันเกรงว่าจะไม่ง่าย
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ทันใดนั้น เงาร่างสองร่างเฉียดผ่านมาที่นี่
มังกรวารีล้างโลกาจ้องมอง เป็นจ้าวหวางและจ้าววั่น เขาเข้าใจทันทีว่าประโยคเมื่อครู่ของจ้าวเฟิงหมายถึงอะไร เผ่าพาหาทองทั้งสองที่หนีไปเมื่อครู่ เกรงว่าคงถูกสองคนที่ตามมาสังหารไปแล้ว
ความจริงแล้ว ตอนที่ยังไม่ได้มายังป่าวิหคสวรรค์ จ้าวเฟิงก็ให้จ้าววั่นพาจ้าวหวางออกจากพื้นที่ ในเมื่อจ้าวเฟิงเดินอยู่ในที่ที่อันตรายเป็นอย่างมาก เพียงแค่การช่วยเหลือจากมังกรวารีล้างโลกาและแมวขโมยน้อยคงไม่เพียงพอ
“ช่างเป็นอาวุธเทพมรณะที่น่าหวาดหวั่นยิ่งนัก!”
จ้าวหวางทอดถอนอย่างตื่นตกใจ สายตาจ้องไปยังใต้หินผนึกเทพ
เขาที่ครอบครองเนตรมรณะ บรรลุเสวียนอ้าวมรณะ
สามารถสัมผัสได้ถึงเสวียนอ้าวมรณะอันน่าพรั่นพรึงที่อยู่ใต้หินผนึกเทพอย่างชัดเจน
“ถอยหลังไป เตรียมลงมือ ได้อาวุธเทพมาก็ออกไปทันที!”
จ้าวเฟิงตะโกนเสียงต่ำทุ้ม ทุกคนถอยหลังเว้นระยะห่าง
ครืน!
พลังผนึกรอบด้านหินถูกโจมตีอย่างรุนแรง จ้าวเฟิงและอีกหลายคนราวกับได้ยินเสียงร้องลั่นของวิญญาณนับไม่ถ้วน คิดจะทำลายพันธนการของหินผนึกเทพออกมา
ทุกคนเพียงแค่มองดูจากที่ไกลๆ ก็หวาดหวั่นพรั่นพรึง
กร๊อบ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ!
บนหินผนึกเทพเกิดรอยแตกเป็นเส้นๆ แผ่ลามไปทั่วด้าน
ครืน!
พลังมรณะที่น่าหวาดหวั่นไร้เทียมทานโจมตีไปบนหินผนึกเทพ หินผนึกทั้งก้อนแตกออกทันใด
พลังมรณะที่นำสรรพสิ่งไปสู่ความตายและทำลายทุกอย่างพุ่งขึ้นฟ้า ราวกับกระทั่งมิติก็จะถูกมันทำลาย
ส่วนจ้าวเฟิงและคนอื่นๆ โชคดีที่ก่อนหน้านี้ถอยหลังเว้นระยะไป มิฉะนั้นเสี้ยวขณะที่พลังมรณะกลุ่มนี้พุ่งออกมา พวกเขาก็กลายเป็นกองศพไปแล้ว
แต่ทุกคนรู้ดีว่า การโจมตีเมื่อครู่ เกรงว่าจะใช้พลังทั้งหมดของอาวุธเทพจนสิ้นแล้ว
ฟิ้ว! ในหุบเหวแห่งที่ความตายเข้มข้น เงาแสงสีดำพุ่งออกมาทันที
“จะไปไหน!”
จ้าวเฟิงโคจรเนตรเทพเจ้า ข้างในก่อเป็นคลื่นวนสีม่วงที่ลึกไม่เห็นก้นบึ้ง พลังต้องห้ามที่พุ่งเป้าไปยังความคิดจิตวิญญาณ เล็งไว้ที่เงาแสงสีดำนั้น
อาวุธเทพชิ้นนี้มีชีวิต สามารถเคลื่อนไหวด้วยตนเอง มีความคิดของตนเอง เช่นนั้นเนตรเพ่งเทพเจ้าของจ้าวเฟิงจึงมีผลกับมัน
วู้ม! เงาแสงสีดำนั้นหยุดค้างกลางอากาศ เผยรูปร่างเดิมออกมา
นี่คือคทาสีดำมืดที่สูงเท่าคนอันหนึ่ง บนคทามีอักขระบิดเบี้ยวถี่ยิบเต็มไปหมด เพียงแค่มองไปก็ทำให้คนรู้สึกถึงความมืดมนน่าสะพรึง
บนคทาคือมือเหี้ยมเกรียมดำทมิฬข้างหนึ่ง กลางมือมีดวงตามืดดำลุ่มลึกหนึ่งข้าง ดูคล้ายกับเนตรมรณะอยู่หลายส่วน
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ในขณะเดียวกัน มังกรวารีล้างโลกา จ้าวหวาง และจ้าววั่นบินไปยังคทา
ทั้งสามคนปลดปล่อยการโจมตีวิญญาณทันที โจมตีไปยังความคิดจิตวิญญาณของคทาทมิฬ
วู้ม วู้ม!
คทาดำทมิฬเดิมก็อ่อนแรงเป็นอย่างมากอยู่แล้ว ในยามนี้ถูกเนตรเพ่งเทพเจ้าของจ้าวเฟิงตรึงเอาไว้ ทั้งยังถูกอีกสามคนที่เหลือโจมตี คทาสีดำจึงสั่นไหวน้อยๆ
“เก็บ!”
จ้าวเฟิงเพิ่มแรงฉุดดึงของเนตรเพ่งเทพเจ้า ดูดเอาคทามรณะเข้าไปในมิติตาซ้ายทันที
“ไป!” จ้าวเฟิงตะโกนเสียงต่ำ เตรียมใช้มนตราอากาศจากที่นี่ไปกับทุกคน
แต่จ้าวเฟิงพบว่าพลังส่งข้ามของมนตราอากาศไม่อาจใช้ได้
และในยามนี้ หมอกดำแห่งความตายที่ปกคลุมที่นี่ตลบอวลไปทั่วทุกทิศ ค่อยๆ จางลง คนจำนวนไม่น้อยกระทั่งบุกเข้ามาในป่าแห่งความตาย
“หินผนึกเทพพวกนี้…”
สายตาของจ้าวเฟิงหยุดลงบนหินผนึกเทพที่แตกออกเป็นหลายก้อน
หินผนึกเทพที่สมบูรณ์ก้อนนี้ราคาไม่แพ้คทาดำมืดนี้เลย ต่อให้ในยามนี้มันแตกออกเป็นหลายก้อน แต่พลังผนึกยังอยู่อย่างเห็นได้ชัด มิฉะนั้นแล้วทำไมจ้าวเฟิงจึงยังใช้พลังมนตราอากาศไม่ได้กันเล่า
พรึ่บ! แขนเสื้อจ้าวเฟิงสะบัดเก็บเอาหินผนึกเทพทั้งหมดไป
วู้ม พรึ่บ!
เสี้ยวขณะต่อมา จ้าวเฟิง จ้าวหวาง และมังกรวารีล้างโลกาค่อยๆ หายไปในแสงสีเงินชั้นหนึ่ง
ส่วนจ้าววั่นจากไปด้านหลัง ซ่อนกายเข้าไปในหมอกสีดำ
……
รอบนอกห้วงฝันบรรพกาล บนยอดเขาแห่งหนึ่ง
วู้ม พรึ่บ!
เงาสีเงินยวงชั้นหนึ่งซ้อนทับกลางอากาศ ร่างของจ้าวเฟิงและคนอื่นๆ ค่อยๆ ปรากฏขึ้น
หลังจากกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว จ้าวเฟิงก็ยืนนิ่งไม่ขยับ ความคิดของเขายังหยุดอยู่ที่จ้าววั่น เขาต้องแน่ใจว่าจ้าววั่นจะออกมาจากป่าแห่งความตายอย่างปลอดภัย
เหตุที่จ้าวเฟิงให้จ้าววั่นอยู่ที่นั่นก็เพราะตัวเขาและจ้าวหวางล้วนต้องยกระดับพลังอย่างเร่งด่วน ดังนั้นจึงให้จ้าววั่นแฝงตัวอยู่กับผู้แข็งแกร่งพวกนั้น แล้วเอาข้อมูลข่าวสารมา
ด้วยความสามารถของจ้าววั่นในวันนี้ รวมกับกลุ่มเผ่าพันธุ์บรรพกาลทั้งหลาย เพียงแค่สืบข้อมูลข่าวสารคงไม่มีทางมีอันตรายอะไร
“โอกาสของเจ้าก็มาแล้วเช่นกัน!”
จ้าวเฟิงเผยรอยยิ้มบางให้กับจ้าวหวาง
“ใช่แล้ว มีอาวุธเทพนี้ ต่อให้ข้าไม่อาจควบคุมพลังของมันได้ในตอนนี้ ก็สามารถทำให้พลังฝึกฝนและพลังของข้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว!”
จ้าวหวางเผยรอยยิ้มที่ค่อนข้างชวนขนลุกออกมา
เดินทางสายไหน ฝึกวิชาอะไร ใจและบุคลิกของคนก็จะถูกเปลี่ยนไปอย่างไร้รูปร่าง จ้าวหวางฝึกฝนเสวียนอ้าวมรณะ ทั้งร่างมองไปแล้วราวกับจอมมารที่เย็นชาชวนขนลุก
เวลาต่อมา จ้าวเฟิงช่วยจ้าวหวางฝึกฝนคทาดำมืดก่อน
คทาดำมืดในมิติตาซ้ายราวกับถูกหินผนึกเทพผนึกเอาไว้ ปล่อยให้จ้าวเฟิงจัดการตามใจ
แต่ในเสี้ยวขณะที่นำออกมา คทาดำมืดแผ่กระจายเสวียนอ้าวมรณะที่ลึกซึ้งกลุ่มหนึ่งออกมา คิดจะสลัดให้หลุดจากมือจ้าวเฟิง
อาวุธเทพเลือกเจ้านาย คทาดำมืดแน่นอนว่าไม่ยินยอมอยู่ในมือของจ้าวเฟิงที่อ่อนแอเช่นนี้
ฟู่!
ในยามนี้เอง จ้าวหวางโคจรเนตรมรณะ ดูดเอาพลังมรณะที่แผ่กระจายออกมาจากคทาดำมืด ฉวยโอกาสทำความเข้าใจเสวียนอ้าวมรณะ
วู้ม! ยามสัมผัสถึงเนตรมรณะ คทาดำมืดสั่นเทาเล็กน้อย จากนั้นก็คิดจะสลัดให้หลุดจากมือจ้าวเฟิงอีกครั้ง
เห็นได้อย่างชัด ต่อให้จ้าวหวางมีเนตรมรณะ คทาดำมืดก็ไม่แยแสเขา
“เพลิงดวงตาอัสนีเทวะ!”
จ้าวเฟิงไม่พูดพร่ำทำเพลง โคจรพลังอัสนีเทวะมหาศาล ฟาดผ่ามันอย่างบ้าคลั่ง
หากเป็นช่วงที่สมบูรณ์พร้อม คทาดำมืดไม่มีทางกลัวพลังอัสนีเทวะเพียงแค่นี้เลย แต่ในยามนี้มันอ่อนแรงเกินไป ไม่อาจทนการทรมานจากพลังอัสนีเทวะได้
หลังจากยืดเยื้อไปครึ่งชั่วยาม จ้าวเฟิงดูดคทาดำมืดเข้าไปในมิติตาซ้าย
ส่วนจ้าวหวางก็ไปปิดด่านอยู่ข้างๆ เห็นได้ชัดว่าแค่เพียงสัมผัสกับคทาดำมืดอันนี้ เขาก็ได้รับประโยชน์มหาศาลมา รอถึงยามที่พลังของเขาแข็งแกร่งขึ้น จะต้องฝึกฝนอาวุธเทพมรณะชิ้นนี้ได้อย่างแน่นอน
หลังจากที่จ้าวหวางจากไป จ้าวเฟิงก็เริ่มปิดด่านทันที
พรึ่บ พรึ่บ!
เบื้องหน้าของจ้าวเฟิง ทรัพยากรของล้ำค่ามากมายปรากฏขึ้น รวมทั้งของล้ำค่าสำหรับฝึกฝนธาตุวายุ อัสนีและทอง อีกทั้งขนหางของยูงหางหงส์
ความคิดกลุ่มแรกของจ้าวเฟิงโคจร ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ฝึกฝนวายุอัสนีธาตุทอง
ความคิดกลุ่มที่สองใช้พลังของวายุอัสนีห้าสายและพลังอัสนีเทวะฝึกฝนกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์
ความคิดกลุ่มที่สาม จ้าวเฟิงนำมาศึกษาขนหางยูงหางหงส์
“ในขนหางแฝงด้วยพลังสายเลือดของยูงหางหงส์ เปลวเพลิงบนขนหางก็คือไฟดั้งเดิมที่หลอมออกมาด้วยพลังทั้งชีวิตของมัน…”
จ้าวเฟิงจิตใจสั่นสะท้าน ประเมินขนหางสามอันเบื้องหน้าอย่างละเอียด บนนั้นมีเปลวเพลิงแบ่งเป็นสีชาด ส้ม และม่วงสามสีลุกไหม้อยู่
จ้าวเฟิงทดลองดู พบว่าเปลวเพลิงสามสีแฝงด้วยลักษณะพิเศษที่ต่างกัน เปลวเพลิงสีชาดมีพลังทำลายล้างรุนแรง บ้าคลั่งเป็นอย่างยิ่ง เปลวเพลิงสีส้มร้อนแรงเป็นที่สุด ราวกับสามารถหลอมละลายทุกสรรพสิ่ง ส่วนเเปลวเพลิงสีม่วงแฝงด้วยพลังวิญญาณ ทำร้ายชั้นดวงวิญญาณได้รุนแรงยิ่งขึ้น
“หากใช้ขนหางทั้งสามอันฝึกฝนสายเลือดเพลิงมารโลหิตโบราณ จะต้องก้าวเข้าสู่ระดับสูงไปอีกขั้นแน่นอน เปลวเพลิงทั้งสามชนิดนี้กระทั่งว่าสามารถผสานเข้าไปในเพลิงอาทิตย์ของเพลิงมารโลหิตโบราณได้!”
ขนหางสามอันนี้สามารถทำให้สายเลือดของจ้าวเฟิงยกระดับขึ้นอีกขั้นใหญ่
ขณะเดียวกัน ขนหางทั้งสามยังมีสรรพคุณที่วัตถุดิบยาล้ำค่าหลายตัวไม่มี ช่วยกระตุ้นแก่นแท้ชีวิตของจ้าวเฟิงได้เป็นอย่างมาก