Skip to content

King of Gods 1191

King Of Gods

บทที่ 1191 ผู้ถูกเลือกแดนศักดิ์สิทธิ์

“ทุกสิ่งที่นี่เป็นสิ่งที่คนของแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งมิติทำขึ้น!”

จ้าววั่นมองไปยังที่ไกลๆ เช่นกัน จากนั้นก็พูดขึ้น

มีเพียงแค่ผู้แข็งแกร่งที่เชี่ยวชาญด้านเสวียนอ้าวมิติในแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งมิติเท่านั้น จึงจะสามารถค้นพบสถานที่ล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ในท้องฟ้านี้ได้

แต่ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง ด้วยพลังของพวกเขาคงไม่มีทางทำให้วังโปร่งแสงแห่งนี้ปรากฏออกมาได้ ทว่าที่โชคดีก็คือ วังแห่งนี้กำลังค่อยๆ ลอยออกมาจากในท้องฟ้าเอง

ทั่วบริเวณวังโปร่งแสงไม่มีคนแม้แต่คนเดียว เพราะรอบวังมีกระแสมิติเวลาวุ่นวายอันน่าหวาดหวั่นแผ่กระจาย จ้าวเฟิงคิดว่าต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นเทพโบราณก็ไม่กล้าเข้าใกล้ง่ายๆ มิฉะนั้นจะถูกกระแสมิติวุ่นวายฉีกทึ้งทันที

“แต่เดิมที่นี่ไม่ได้มีคนมากขนาดนี้ แต่เป็นเพราะหลังจากผู้แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งมิติค้นพบสิ่งก่อสร้างแห่งนี้ ก็เรียกกำลังคนทั้งหมดที่รวมตัวได้มาเฝ้าดูไว้ กระทั่งห้ามคนนอกเข้าใกล้อย่างเด็ดขาด พวกเขาทำเช่นนี้กลับยิ่งดึงดูดความสนใจจากคนอื่นๆ!”

ช่วงนี้จ้าววั่นอยู่ที่นี่มาโดยตลอด จึงเข้าใจสถานการณ์ที่นี่มาก เขาพูดเสริมต่อ

“หลังจากนั้น คนของแดนศักดิ์สิทธิ์กลืนนภาก็มาที่นี่ ได้ยินมาว่าทั้งสองฝ่ายเคยปะทะกันด้วย จากนั้นกองกำลังผู้แข็งแกร่งก็ถูกดึงดูดมามากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีอำนาจและอิทธิพลสูงทั้งสอง ก็ไม่มีทางสกัดกั้นขั้วอำนาจอื่นๆ ไว้ด้านนอกหมดได้ ดังนั้นจึงกลายเป็นสถานการณ์อย่างทุกวันนี้!”

จ้าวเฟิงฟังคำบรรยายของจ้าววั่น ในดวงตามีลายคลื่นสีทองอ่อนชั้นหนึ่งลอยเอ่อ เพ่งมองวังโปร่งแสงนั่นต่อไป

ถึงแม้ว่าวังจะโปร่งแสง แต่กำแพงทุกด้านเป็นฉากกั้นมิติ มิติในวังไม่มั่นคงเป็นอย่างมาก หลายที่มีรอยแยกมิติเล็กๆ อยู่

“สมบัติทั้งนั้นเลย!”

หลังสังเกตอยู่นาน จ้าวเฟิงอุทานอย่างตกตะลึงมาประโยคหนึ่ง

ในวังตบแต่งจัดวางเหมือนกับวังทั่วไป แต่ของทุกชิ้นที่จัดวางและตกแต่งข้างใน ดูแล้วล้วนล้ำค่ายิ่ง

นี่เป็นผลจากที่จ้าวเฟิงอาศัยเพียงการมองเท่านั้น อย่างไรเขาก็สัมผัสถึงกลิ่นอายของสิ่งเหล่านี้ไม่ได้

อีกทั้งในโถงใหญ่ใจกลางวังแห่งนี้มีวัตถุไม่ปรากฏชัดชิ้นหนึ่งอยู่ในมิติเป็นชั้นๆ แม้กระทั่งจ้าวเฟิงก็ไม่อาจสำรวจรูปร่างที่แท้จริงของมันได้

“ฮี่ๆ เป็นสถานที่ที่ล้ำค่าน่าตกใจจริงๆ แต่ถ้านายท่านคิดอยากจะเอาประโยชน์บางอย่างในนั้น ก็ยากมากเกินไป!”

มังกรวารีล้างโลกายิ้มน้อยๆ แต่เขาก็ปรารถนาโอกาสในวังโปร่งแสงมากเช่นกัน

มังกรวารีล้างโลกามองไม่เห็นสภาพในวัง แต่ด้วยประสบการณ์ของเขา นี่จะต้องเป็นขุมสมบัติอันน่าตื่นตกใจแห่งหนึ่งแน่นอน แค่เพียงได้รับโอกาสในนั้น ทั้งชีวิตนี้ก็อาจจะเกิดการพลิกผันได้ แต่ว่าพลังของมังกรวารีล้างโลกาในตอนนี้อ่อนแอเกินไป จึงไม่ได้หวังอะไรมาก

“นี่มันก็ไม่แน่ ของล้ำค่าอาศัยโชค หรือก็คือโอกาสและวาสนา โอกาสตัวเองต้องไขว่คว้า ส่วนวาสนาฟ้ากำหนดเอาไว้แล้ว!”

จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง

แต่ว่าความกังวลของมังกรวารีล้างโลกานั่นถูกต้อง ขั้วอำนาจทุกกลุ่มที่รวมตัวอยู่ที่นี่น่ากลัวมากนัก

กลุ่มที่สุดยอดที่สุด รวมทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพทั้งสอง หลายขั้วอำนาจห้าดาว ขั้วอำนาจใดในนี้ก็สามารถสังหารพวกจ้าวเฟิงได้อย่างง่ายดาย

สีหน้าของมังกรวารีล้างโลกาตะลึงเล็กน้อย ความมั่นใจและจิตใจอันห้าวหาญของจ้าวเฟิงทำให้เขาละอายใจ

“หากท่านให้ข้ามาที่นี่เร็วกว่านี้ ช่วยข้าฟื้นฟูพลังอย่างเต็มกำลัง ครั้งนี้บางทีอาจจะคิดอุบายที่เป็นประโยชน์บ้างก็ได้!”

มังกรวารีล้างโลกากล่าวโทษ

“เจ้าออกไปครั้งนี้ เก็บเกี่ยวมาได้ไม่น้อยเลยกระมัง!”

จ้าวเฟิงไม่ออกความเห็นใด

ด้วยความสามารถของมังกรวารีล้างโลกา จะต้องแย่งชิงทรัพยากรล้ำค่ามาได้มากมาย แต่ตอนนี้กลับกล้ามากล่าวโทษตน

เมื่อเผชิญหน้ากับสถานที่แห่งโอกาสแห่งนี้ มังกรวารีล้างโลกานับว่าเป็นแรงช่วยสำคัญจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่เเรงช่วยหลัก

วูบ! มือขวาของจ้าวเฟิงสะบัด จ้าวหวางปรากฏขึ้นข้างกาย

ต่อจากนั้น จ้าวเฟิงและจ้าวหวางก็เข้าไปในโลกมิติส่วนตัวในมนตราอากาศของจ้าวหวาง

“ข้าจะช่วยเจ้าควบคุมอาวุธเทพชิ้นนี้!”

จ้าวเฟิงปลดปล่อยคทาแห่งความตายออกมาจากมิติเนตรเทพเจ้า

หากจ้าวหวางสามารถใช้คทาแห่งความตายได้ ไม่ใช่แค่กำลังรบของเขาจะเพิ่มขึ้น แต่ในช่วงเวลาสำคัญยังเป็นไพ่ตายที่แข็งแกร่งอีกใบหนึ่ง สามารถผันเปลี่ยนความเป็นความตายได้

“ฝึกเสีย!” จ้าวเฟิงส่งคทาให้กับจ้าวหวาง

วู้ม!

จ้าวเฟิงโคจรดวงตาซ้าย เพ่งที่คทาแห่งความตายอันนี้ตลอด หากมันผิดปกติอะไร จ้าวเฟิงก็จะใช้มาตรการที่สอดคล้องกันทันที

วู้ม ฟู่!

จ้าวหวางโคจรพลังเทพมรณะ แทรกซึมเข้าไปในคทาไม่หยุด และเริ่มฝึกฝน

วู้ม วู้ม! คทาแห่งความตายย่อมรู้ว่าจ้าวหวางจะทำอะไร มันสั่นไหว ต้านทานพลังและเจตจำนงของจ้าวหวางทันใด

“เพลิงดวงตาอัสนีเทวะ!”

จ้าวเฟิงไม่พูดพร่ำทำเพลง โจมตีมันไปก่อนกระบวนท่าหนึ่งค่อยว่ากัน

หลังจากนั้นสามวัน จ้าวหวางก็เชื่อมเข้ากับคทาแห่งความตายได้เล็กน้อย สามารถลงตราผนึกวิญญานไว้ข้างในมันได้สำเร็จ

“คทาคำสาปมรณะ!”

จ้าวหวางถือคทาคำสาปมรณะ หมอกแห่งความตายโอบล้อมทั่วร่าง บางครั้งยังมีเสียงร้องโหยหวนของวิญญาณลอยมา ช่างมืดทะมึนและน่ากลัว

จ้าวเฟิงรู้สึกว่ากลิ่นอายบนร่างจ้าวหวางพลันเพิ่มขึ้นหลายเท่า ทั่วร่างของเขามีหมอกดำมากมาย ใบหน้าชั่วร้ายน่าพรั่นพรึง ดุจเทพแห่งความตาย ชวนให้คนมองไปแล้วหวาดกลัว

“คทาคำสาปมรณะ นี่ก็คือชื่อของมันรึ?”

จ้าวเฟิงจิตใจเย็นยะเยือก

จากชื่อก็สามารถเห็นได้ว่า คทานี้ไม่เพียงแต่แฝงด้วยเสวียนอ้าวมรณะ ทั้งยังมีเสวียนอ้าวคำสาปที่ยิ่งลึกลับอีก

“หินผนึกเทพก้อนนี้มอบให้เจ้า ในยามที่ไม่ใช้อาวุธเทพชิ้นนี้ก็ให้ใช้หินสะกดมันไว้!”

จ้าวเฟิงหยิบเอาหินผนึกเทพก้อนใหญ่ที่สุดก้อนหนึ่งออกมามอบให้จ้าวหวาง

ถึงแม้ว่าจ้าวหวางจะสยบคทาคำสาปมรณะแล้ว แต่มันก็แพร่คำสาปและกัดกินความคิดจิตใจของจ้าวหวาง หากไม่ใช่เพราะคทาคำสาปมรณะเดิมก็อ่อนแรงเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว เกรงว่าในยามที่จ้าวหวางฝึกฝนคงถูกมันทำให้จิตใจแปรเปลี่ยน กระทั่งตัวจ้าวหวางก็อาจจะถูกคทาคำสาปมรณะควบคุม

จ้าวหวางรับหินผนึกเทพมา แล้วนำมันทับไว้บนคทาคำสาปมรณะ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าความคิดชั่วร้ายในใจลดลง อดรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นไม่ได้

ตุบ!

จ้าวหวางนั่งขัดสมาธิทันใด ขจัดความคิดชั่วร้ายในใจ ในขณะเดียวกันก็ใช้คทาคำสาปมรณะฝึกฝนตระหนักรู้

วูบ! จ้าวเฟิงออกจากโลกมิติส่วนตัวในมนตราอากาศของจ้าวหวาง

“คทาคำสาปมรณะคิดอยากจะเปลี่ยนจ้าวหวางให้ชั่วร้ายก็ไม่ง่ายเลย!”

มุมปากของจ้าวเฟิงยกเป็นรอยยิ้ม

วิญญาณของร่างแยกทั้งสามร่างของจ้าวเฟิงเชื่อมต่อกับตัวเขา วิญญาณของจ้าวหวางเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็แล้วแต่ จ้าวเฟิงและร่างแยกอื่นๆ ล้วนสัมผัสได้

หากคทาคำสาปมรณะคิดจะกัดกินความคิดของจ้าวหวางอย่างสมบูรณ์ ก็มีแต่ต้องกัดกินความคิดของจ้าวเฟิงและร่างแยกอื่นทั้งหมดด้วย

“ข้าก็ควรต้องทะลวงขั้นแล้ว!”

จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิในถ้ำ ในขุมสมบัติแห่งนี้มีผู้แข็งแกร่งรวมตัวกันมากเกินไป จ้าวเฟิงมีเพียงทะลวงถึงขั้นครึ่งเทพเท่านั้นจึงจะมีโอกาสแย่งชิงกับพวกเขา มิฉะนั้นแล้วก็คงตกเป็นฝ่ายพลีชีพเท่านั้น

จ้าวเฟิงปลดปล่อยพลังโลกมิติส่วนตัวออกมาห่อหุ้มตนเองเอาไว้ จากนั้นก็หยิบเอาของล้ำค่ามากมายออกมาฝึกฝน

หากมองให้ละเอียดแล้วละก็ จะค้นพบว่าบนยอดเขาที่ทอดตัวเป็นแนวยาวนี้ จริงๆ แล้วก็มีคนมากมายฝึกฝนอยู่เช่นกัน

ทุกคนล้วนรู้ว่าที่ล้ำค่าแห่งนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน มิฉะนั้นแล้วเหตุใดต้องให้ผู้แข็งแกร่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพทั้งสองเฝ้ารักษาที่นี่เอาไว้

ขุมสมบัติที่สูงส่งเช่นนี้ มีเพียงพลังแข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะสามารถช่วงชิงโอกาสได้บ้าง

อีกทั้งบนยอดเขาที่ทอดตัวเป็นแนวยาวนี้ยังตลบอบอวลไปด้วยพลังที่แฝงด้วยเสวียนอ้าวมิติ เหมาะที่จะบรรลุเสวียนอ้าวมิติเป็นอย่างยิ่ง

บนยอดเขาที่ใกล้กับวังโปร่งแสงมากที่สุดลูกหนึ่ง มีผู้แข็งแกร่งนั่งขัดสมาธิอยู่เกือบยี่สิบคน ทุกคนมีกลิ่นอายแข็งแกร่ง ท่าทางไม่ธรรมดา

วู้ม วู้ม!

บนร่างของคนเหล่านี้รายล้อมไปด้วยระลอกคลื่นมิติชั้นหนึ่ง

เบื้องหน้าของคนยี่สิบคนมีชายหนุ่มผมขาวคนหนึ่ง คลื่นเสวียนอ้าวมิติบนร่างของเขาแข็งแกร่งที่สุดอย่างเห็นได้ชัด

วู้ม!

ชั่วขณะหนึ่ง เนตรแห่งความว่างเปล่าสีเงินหม่นข้างหนึ่งก่อตัวขึ้นข้างหลังของชายหนุ่มผมขาว

ทันใดนั้น ชายหนุ่มผมขาวก็ลืมตาสีเงินหม่นขึ้น ส่วนเนตรแห่งความว่างเปล่าข้างหลังเขาก็รวมร่างขึ้นหลายส่วน เปล่งประกายแสงสีเงินหม่น ลูกตาดำลุ่มลึกทับซ้อนกันราวกับนำทางไปสู่มิติที่ไม่สิ้นสุด

“ปฐมเทพคงหยวน (ต้นกำเนิดความว่างเปล่า) เสวียนอ้าวมิติของท่านถึงขั้นที่สี่แล้ว วันนี้น่าจะสามารถมองเห็นสภาพบางส่วนข้างในวังนั่นแล้วกระมัง!”

ข้างหลังชายหนุ่มผมขาว ชายชราที่มีกลิ่นอายลึกล้ำคนหนึ่งเอ่ยเสียงราบเรียบ

“เสวียนอ้าวมิติขั้นที่สี่!”

ผู้แข็งแกร่งทุกคนที่อยู่ที่นั่นจิตใจสั่นสะท้านเป็นอย่างยิ่ง

เป็นแค่เพียงปฐมเทพ เสวียนอ้าวมิติก็ถึงขั้นที่สี่แล้ว ทั่วทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งมิติ ในหมู่คนรุ่นใหม่ก็มีเพียงแค่ปฐมเทพคงหยวนเท่านั้นที่ไปถึงขั้นนี้ได้

“มองเห็นบ้างแล้ว ทุกที่ล้วนเป็นของล้ำค่า อีกทั้งส่วนมากเป็นของวิเศษประเภทมิติ!”

ดวงตาเงินหม่นของปฐมเทพคงหยวนหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่ชั่วขณะ

ได้ยินคำพูดนี้ คนที่เหลือรอบด้านล้วนยินดีกันยกใหญ่

และบนยอดเขาสูงชันอีกแห่งหนึ่งไม่ไกลจากยอดเขาลูกนี้ ก็มีคนเกือบยี่สิบคนเช่นกัน รูปร่างของพวกเขาค่อนข้างสูงใหญ่ ใบหน้าของคนจำนวนไม่น้อยมีรอยสลักอักษรสีดำที่แปลกประหลาด

“คิดไม่ถึงเลยว่าเสวียนอ้าวมิติของปฐมเทพคงหยวนจะถึงขั้นที่สี่แล้ว!”

ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งทอดถอนใจอย่างตื่นตะลึง

เสวียนอ้าวมิติ เป็นเสวียนอ้าวชนิดหนึ่งที่ผู้แข็งแกร่งคนใดก็แล้วแต่ต้องลองฝึกฝน หากควบคุมเสวียนอ้าวชนิดนี้ได้ จะสามารถสำแดงอภินิหารต่างๆ เช่นการเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา เคลื่อนย้ายระยะไกล ไม่ว่าจะหนี ไล่ล่าศัตรู หรือเดินทาง ก็ล้วนมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง

“ว่ากันว่า สายเลือด ‘เนตรมิติ’ ของปฐมเทพคงหยวนบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก กระทั่งเคยได้รับการชี้แนะจาก ‘ท่านผู้ครอบครองมิติเวลา’!”

ปฐมเทพของแดนศักดิ์สิทธิ์กลืนนภาอีกคนหนึ่งพูดขึ้น

“ต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่ใช่คู่มือของข้า!”

เสียงเย็นชาอันกำเริบเสิบสานดังมา ไม่หลบเลี่ยงอะไรแม้แต่น้อย ราวกับพูดให้ปฐมเทพคงหยวนฟัง

คนทั้งหลายที่นั่นไม่มีใครโต้กลับเลยสักคน

เพราะคนที่พูดประโยคนี้คือปฐมเทพทุนเทียน

ผู้ถูกเลือกขั้นปฐมเทพของแดนศักดิ์สิทธิ์กลืนนภา

“แน่นอนอยู่แล้ว เสวียนอ้าวมิติเอาไว้ใช้เดินทาง จะมาเทียบกับเสวียนอ้าวกลืนนภาของศิษย์พี่ได้อย่างไรกัน!”

ชายหนุ่มคนหนึ่งยกยอปอปั้นขึ้นทันใด

ทันใดนั้น ปฐมเทพทุนเทียนเหมือนจะรู้สึกอะไรได้ สายตามองไปยังทิศหนึ่ง

อีกด้านหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดของฝั่งแดนศักดิ์สิทธิ์มิติก็เหมือนจะพบอะไรเช่นเดียวกัน

ครืน ฟู่!

ท้องฟ้าที่ไกลๆ ลมเมฆพวยพุ่ง เรือรบขนาดมหึมาที่ยาวถึงร้อยลี้ลำหนึ่งแล่นมาดุจสายฟ้า

ข้างหน้าเรือรบ บัณฑิตหนุ่มคนหนึ่งยิ้มรับวายุคลั่งด้วยใบหน้าอบอุ่น

“นั่นคืออะไร? เป็นเรือรบที่ใหญ่จริงๆ!”

“นี่คือขั้วอำนาจใดกัน!”

ผู้แข็งแกร่งมากมายบนยอดเขาพากันแตกตื่นเพราะเรือรบขนาดใหญ่ลำนี้ ในใจสั่นสะท้านเป็นอย่างยิ่ง

“ไม่เสียทีที่เป็นคนของแดนศักดิ์สิทธิ์ชะตาสวรรค์ ช่างหรูหราเสียจริง!”

ปฐมเทพทุนเทียนผุดลุกขึ้นทันที ดวงตาเปล่งประกายจ้องไปยังเรือรบสีเหลืองเข้ม

แดนศักดิ์สิทธิ์ชะตาสวรรค์ คือแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพที่ก่อตั้งขึ้นเป็นลำดับท้ายๆ ในดินแดนเทพรกร้าง ถึงแม้ชื่อเสียงจะไม่เท่าแดนศักดิ์สิทธิ์อื่น แต่ก็ดูถูกไม่ได้เลย

“แดนศักดิ์สิทธิ์ชะตาสวรรค์ ปฐมเทพซือคง!” ปฐมเทพคงหยวนพูดเรียบๆ เทียบกับปฐมเทพทุนเทียนแล้ว เขาสนใจปฐมเทพซือคงมากกว่า

“เพราะกลัวว่าจะมาช้าจึงใช้เครื่องมือแทนการเดินเท้า หากไม่ได้อะไรเลยแล้วละก็ กลับไปคงไปรายงานกับท่านอาจารย์ไม่ได้!”

ปฐมเทพซือคงพยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆ คำพูดจาท่าทางล้วนอ่อนโยนและตามแต่อารมณ์ แตกต่างกับผู้ถูกเลือกขั้นปฐมเทพของแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองอย่างสิ้นเชิง

ในชั่วขณะเดียวกัน บนยอดเขาเตี้ยแห่งหนึ่ง

ในโลกมิติส่วนตัวที่จ้าวเฟิงอยู่พลันเปล่งแสงอัสนีสีทองที่เจิดจ้า ค่อยๆ แผ่กระจายคลื่นกลิ่นอายพลังเทพที่ชวนให้คนหวาดกลัวออกมา

“นายท่านใกล้จะทะลวงขั้นแล้ว!”

ใบหน้าของผู้เฒ่าชุดเขียวฉายแววยินดี

จ้าวเฟิงทะลวงขั้นครั้งนี้ก็สามารถเรียกว่าปฐมเทพได้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะมีพลังเทพแท้จริงขั้นใด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!