Skip to content

King of Gods 121

King Of Gods

บทที่ 121 : วิชากำแพงเงินระดับเก้า

เพราะการเปลี่ยนแปลงภายในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิง ประสิทธิภาพของยาชำระไขกระดูกจึงเหนือกว่าที่คาดนัก

เมื่อคนผู้หนึ่งกินยาชำระไขกระดูกเข้าไป พวกเขามักจะปรากฏชั้นของเหลวเหนียวเพียงแค่ชั้นเดียว ทว่าเด็กหนุ่มกลับปรากฏออกมาถึงสาม!

จ้าวเฟิงมั่นใจว่าดวงตาซ้ายลึกลับนั้นมีความสามารถเดียวกับยาชำระไขกระดูกและสามารถพัฒนาร่างกายของเขาได้ ทว่ามันได้เกิดขึ้นนอกเวลา

ในตอนนี้ ไม่เพียงแค่ความสามารถของดวงตาซ้ายได้หลอมรวมเข้ากับยาชำระไขกระดูก มันกระทั่งพัฒนาร่างของเขามากกว่าที่ยาเพียงอย่างเดียวจะสามารถทำได้

ชั้นของเหลวเหนียวแรกนั้นเหม็นที่สุด สองชั้นที่เหลือจึงได้เจือจางลง

เมื่อชั้นของเหลวที่สองถูกขับออกมา จ้าวเฟิงก็รู้สึกได้ว่าวิชากำแพงเงินของเขาได้เข้าสู่ขีดจำกัดของระดับแปดและห่างจากระดับเก้าเพียงแค่ก้าวเดียว

เด็กหนุ่มใช้โอกาสนี้ได้การโคจรวิชากำแพงเงินอย่างเต็มที่และดูดซึมพลังงานให้ได้มากที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถทำได้ วิชากำแพงเงินของเขาได้ทะลวงเข้าสู่ระดับเก้าในที่สุดเมื่อชั้นของเหลวเหนียวที่สามถูกจับออกมา จ้าวเฟิงนั้นยินดียิ่งนัก เขาได้เข้าสู่ระดับเก้าเร็วกว่าที่คาด

ที่นี่คือสำนัก ทรัพยากรของที่นี่นั้นเหนือกว่าที่โลกมนุษย์อย่างมาก ยาที่รองหัวหน้าตำหนักได้หยิบยื่นให้มาอย่างง่ายๆ นั้นได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่เขาโดยสิ้นเชิง

ยิ่งวิชาเสริมกายาของคนผู้หนึ่งสูงเท่าใด มันก็ยิ่งยากที่จะพัฒนาขึ้นเท่านั้น หลังจากเข้าสู่ระดับแปด วิชากำแพงเงินก็ยากที่จะพัฒนายิ่งนักเมื่อเทียบกับว่าวิชามนุษย์อื่นๆ

นี่ก็นับเป็นสาเหตุให้มีศิษย์สายนอกจำนวนไม่มากที่ให้ความสนใจในการฝึกวิชาเสริมกายา

“ศิษย์สายนอกเพียงผู้เดียวที่มีร่างกายเทียบเท่าข้าได้คือโฮวหยวน” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของจ้าวเฟิงพร้อมกับความมั่นใจที่เพิ่มขึ้น

ในเวลาเดียวกันนั้น เขานั้นคาดหวังในสองระดับสุดท้ายของวิชากำแพงเงินยิ่งนัก

วิชากำแพงเงินนั้นมีทั้งหมด 11 ระดับ และเมื่อคนผู้หนึ่งเข้าสู่ระดับสิบ นั่นหมายความว่าร่างกายของคนผู้นั้นเพียงอย่างเดียวก็เข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณแล้ว

ระดับสิบเอ็ด: ร่างกายอันสมบูรณ์ ยากที่จะทำลาย

จ้าวเฟิงนั้นมีพลังฝึกตนที่ขั้นเก้าและเขาสามารถเอาชนะผู้ที่อยู่ในขั้นเก้าของขอบเขตแห่งการรวบรวมได้ด้วยเพียงร่างกายเปล่าๆ

จากโลหิตสู่กระดูกสู่หลอดเลือดสู่อวัยวะภายใน ร่างของจ้าวเฟิงนั้นแข็งแกร่งกว่าผู้ที่อยู่ในขั้นเดียวกันมากนัก

จ้าวเฟิงปิดเปลือกตาของเขาลง ภายในมิติในดวงตาซ้ายนั้น แสงสีครามได้ขยายเข้าสู่ 8.8 ฟุต ยาชำระไขกระดูกทำให้เขาเข้าสู่ขั้นปลายของขั้นแปดแห่งขอบเขตแห่งการรวบรวม

ฟู่ว!

จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจยาวเหยียดออกมาอย่างช้าๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนหลังจากนั่งมานานกว่าหนึ่งชั่วยาม

ดวงอาทิตย์ด้านนอกปรากฏขึ้นแล้ว

จ้าวเฟิงลุกขึ้นยืนและเดินไปยังตำหนักหญ้าไพร ระหว่างทางเขาได้ไปยังที่ทำงานของหนานกงฟั่นและหยางชิงชั่น หยางชิงชั่นกำลังรดน้ำ งานของเขานั้นง่ายกว่าแต่ก่อนมาก

“ศิษย์น้องจ้าว หลังจากที่เจ้าสร้างอำนาจขึ้นแล้ว ศิษย์สายนอกเหล่านี้ได้มีขีดจำกัดมากขึ้นนัก” หยางชิงชั่นแย้มยิ้ม

แม้ว่าเขาจะยังต้องทำงานจำนวนมาก แต่ไม่มีผู้ใดกลั่นแกล้งเขา

จ้าวเฟิงผงกศีรษะและตรงไปยังสถานที่ที่หนานกงฟั่นอยู่

“เขาอยู่ที่นี่…”

เฉินเฟิงสะอึกเมื่อเขาเห็นร่างของจ้าวเฟิงปรากฏขึ้น ตั้งแต่ที่เด็กหนุ่มเอาชนะอี้เฟิงอวิ๋นและกลายเป็นว่าที่ศิษย์สายใน เฉินเฟิงก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

จ้าวเฟิงเดินตรงไปอย่างจงใจและพูดคุยกับหนานกงฟั่นเล็กน้อย

“เป็นเพราะศิษย์น้องจ้าว แม้ว่างานข้าจะยาก ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าสร้างปัญหา”

หนานกงฟั่นเต็มไปด้วยความซาบซึ้งขณะที่เขาเอื้อมมือไปจับไหล่เด็กหนุ่ม

หลังจากเห็นสภาพของศิษย์พี่ทั้งสองแล้ว จ้าวเฟิงจึงถอนหายใจออกมา

ไม่ช้าเด็กหนุ่มก็ไปถึงยังตำหนักหญ้าไพรและพบกับรองหัวหน้าตำหนักกวน

“เจ้ารู้สึกเช่นไรบ้างเมื่อวาน” ผู้เฒ่ากวนหัวเราะ

จ้าวเฟิงชะงักก่อนจะเอ่ยตอบขึ้นในทันที

“เป็นเพราะรองหัวหน้าตำหนักกวน ผลลัพธ์ของยาชำระไขกระดูกนับว่ายอดเยี่ยมโดยแท้”

เด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง ราคาของยาชำระไขกระดูกนั้นสูงนัก และสำหรับผู้ที่มีพลังฝึกตนต่ำกว่าขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ยานี้ปรากฏขึ้นได้เพียงในฝันเท่านั้น

“เกี่ยวอันใดกับยาชำระไขกระดูก? ข้าถามว่าเจ้ารู้สึกอย่างไรกับการท้าประลองศิษย์สายในต่างหากเล่า!”

ชายชราเหลือกตาใส่เด็กหนุ่ม ในฐานะของนักปรุงยาที่เก่งกาจที่สุดในสำนักคนหนึ่ง ยาชำระไขกระดูกเพียงหนึ่งเม็ดไม่อาจนับเป็นอันใดสำหรับเขา

เอ๋?

จ้าวเฟิงพลันเข้าใจว่าอีกฝ่ายนั้นไม่รู้ว่าเขาชนะ

“ความแข็งแกร่งของศิษย์สายในมากกว่าที่คาด… หากข้าประมาทเพียงเล็กน้อยคงพ่ายแล้ว…” เด็กหนุ่มถอนหายใจ

“อืมมม… ถูกแล้ว…”

ผู้เฒ่ากวนยังคงผงกศีรษะของเขา ทว่าสีหน้าพลันเปลี่ยนแปลงไปหลังจากได้ยินช่วงหลัง

“ช้าก่อน! เจ้ากำลังบอกว่า… เจ้าไม่ได้แพ้!!!!?”

“องค์หญิงอวิ๋นเมิงเซียงและศิษย์สายนอกคนอื่นสามารถบอกท่านได้ว่ามันเป็นความจริง”

จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง แม้ว่าอมิ๋นเมิงเซียงรู้ความจริง นางก็ไม่กล้าที่จะบอกข่าวนี้แก่ผู้เฒ่าผู้นี้เพราะชายชราต้องการให้เด็กหนุ่มพ่ายแพ้ ดังนั้นแล้วแล้วเขาจะได้ใส่ใจในการปรุงยา

เช่นที่คาด ผู้เฒ่ากวนไม่เชื่อในสิ่งนี้และเรียกอวิ๋นเมิงเซียงมาพบ

ภายใต้สายตาที่จับจ้องอย่างขมึงทึงของชายชรา เด็กสาวทำได้เพียงพูดอึกอักเสียงแผ่ว

“ศิษย์น้องจ้าวเอาชนะอี้เฟิงอวิ๋นได้จริง… เป็นการต่อสู้ที่เฉียดฉิวนัก…”

เฉียดฉิว?

หัวใจของชายชรารู้สึกดีขึ้นเล็กๆ ทว่าเขาก็ยังคงประหลาดใจ เขารู้ว่าว่าที่ศิษย์สายในแต่ล่ะคนนั้นแข็งแกร่งเพียงใด ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกตนขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณ

“ว่าที่ศิษย์สายในผู้นั้นครองอันดับที่เท่าไหร่?” รองหัวหน้าตำหนักกวนเอ่ยถามอย่างสบายอารมณ์

“อันดับที่ 13 เจ้าค่ะ” อวิ๋นเมิงเซียงเอ่ยตอบอย่างระมัดระวัง

เด็กสาวกลัวว่านางจะถูกจัดการด้วยความกราดเกรี้ยวของชายชราเบื้องหน้า

“อันใดนะ!? อันดับที่ 13!?”

ผู้เฒ่ากวนอ้าปากค้างขณะที่มองไปยังจ้าวเฟิงด้วยสายตาราวกับกำลังมองสัตว์ประหลาด หากเด็กหนุ่มเอาชนะอันดับที่ยี่สิบของศิษย์สายนอก มันอาจกล่าวได้ว่าเขานั้นโชคดี แต่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายคืออันดับที่ 13!!!

เมื่อรู้ความจริง ชายชราก็รู้สึกยินดีอย่างมาก แต่ก็รู้สึกเศร้าสร้อยไปในเวลาเดียวกัน

ผู้เฒ่ากวนตัดสินใจที่จะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก

จากนั้นชายชราจึงได้มอบหน้าที่ให้กับจ้าวเฟิงจำนวนหนึ่ง คราวนี้เขาได้ให้ตำราเกี่ยวกับการปรุงยาแก่เด็กหนุ่มสองสามเล่ม ตำราเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นความรู้พื้นฐานในการปรุงยา ทว่าล้ำลึกกว่าคู่มือเริ่มต้นสำหรับนักปรุงยา ทุกๆ เล่มต่างยากที่จะเข้าใจเช่นเดียวกับคู่มือหัวใจของเปลวเพลิงแห่งยา

นอกจากนี้ ผู้เฒ่ากวนยังได้อนุญาตให้จ้าวเฟิงดูเขาปรุงยา นักปรุงยาบางคนมีวิธีการของตนเอง นอกเหนือไปจากศิษย์ของพวกเขาหรือผู้ช่วยส่วนตัวแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถเฝ้ามองได้ โดยเฉพาะเมื่อผู้เฒ่ากวนนั้นเป็นหนึ่งในนักปรุงยาที่เก่งที่สุดในสำนัก

การกระทำเช่นนี้หมายความว่าจ้าวเฟิงนั้นได้รับการปฏิบัติเช่นศิษย์ของชายชรา เพื่อแสดงความเคารพและความหวังดี อวิ๋นเหยาเองก็ได้อนุญาตให้จ้าวเฟิงดูการปรุงยาของนางเช่นกัน

“ดีเลย ตอนนี้ข้ามียาสำคัญจำนวนหนึ่งที่ข้าต้องปรุงในตอนนี้…”

รองหวัหน้าตำหนักกวนผงกศีรษะและนั่นหมายความว่าเขาได้ติดหนี้น้ำใจหญิงสาวครั้งหนึ่งแล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้ จ้าวเฟิงจึงได้เดินไปในหนทางแห่งการปรุงยา

ในเวลาไม่กี่วันต่อมา สิ่งที่เด็กหนุ่มทำมีเพียงการมองกระบวนการปรุงยา ยาที่อวิ๋นเหยาปรุงนั้นง่ายกว่าเพราะทักษะของนางไม่ล้ำลึกเท่าผู้เฒ่ากวน และนางต้องสอนองค์หญิงอวิ๋นเหยาในเวลาเดียวกัน

นี่ก็นับว่าสร้างประโยชน์ให้แก่จ้าวเฟิงเช่นกัน เขาต้องออกไปกับเด็กสาวทุกวันเพื่อที่จะเรียนรู้เคล็ดลับและเล่ห์กลในการทำยา

อวิ๋นเหยาได้อธิบายในสิ่งที่นางทำในบางครั้ง และระหว่างที่พวกเขากำลังเรียนนั้น อวิ๋นเมิงเซียงจะเอ่ยถามคำถามจำนวนมาก ในขณะที่เด็กหนุ่มนั้นเงียบอยู่เกือบจะตลอดเวลา

อวิ๋นเหยาเองก็ได้จับตามองจ้าวเฟิงอยู่อย่างลับๆ และตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายนั้นให้ความสนใจเวลาที่นางจุดไฟและใส่สมุนไพรลงไปอย่างมาก

แม้ว่าจ้าวเฟิงจะไม่ได้เอ่ยถามคำถามจำนวนมาก คำถามที่เด็กหนุ่มเอ่ยถามทั้งหมดล้วนสำคัญ

ในยามกลางวัน จ้าวเฟิงจะดูอวิ๋นเหยาปรุงยาและดูการปรุงยาของผู้เฒ่ากวนเป็นบางครั้ง เคล็ดลับของชายชรานั้นซัยซ้อนกว่ามากและบางครั้งกระทั่งเป็นภาพพร่าเลือนในสายตาของผู้เฝ้ามอง

จ้าวเฟิงชอบที่จะดูการปรุงยาของอวิ๋นเหยามากกว่าเพราะรูปแบบของนางนั้นง่ายดายและเรียนรู้ได้ง่าย แน่นอนว่าสำหรับเขา

เด็กหนุ่มจะเรียนการปรุงยาในเวลากลางวันและฝึกตนในยามค่ำคืน หลังจากไปยังห้องปรุงยาเป็นเวลานาน เขามักจะได้รับยาจิตวิญญาณระดับต่ำหนึ่งหรือสองเม็ดหากเขาโชคดี และนี่นับว่ามีประโยชน์สำหรับผู้ที่อยู่ในขอบเขตแห่งการรวบรวมยิ่งนัก

4-5 วันต่อมา อวิ๋นเหยาจึงเริ่มที่จะทดสอบว่าอวิ๋นเมิงเซียงและจ้าวเฟิงได้เรียนรู้ไปมากเท่าใด

อวิ๋นเมิงเซียงสามารถตอบคำถามส่วนมากได้ ในขณะที่จ้าวเฟิงนั้นสามารถตอบได้ทั้งหมด

อวิ๋นเหยาถอนหายใจอยู่ในใจและต้องยอมรับว่าเด็กหนุ่มนั้นมีพรสวรรค์ในการปรุงยาสูงกว่าอวิ๋นเมิงเซียง ทั้งๆ ที่เด็กสาวเริ่มเรียนรู้การปรุงยาก่อนหน้าจ้าวเฟิง ทว่านางกลับไม่เชี่ยวชาญเท่าเด็กหนุ่ม

แน่นอนว่ามันไม่ได้หมายความว่าพรสวรรค์ของนางนั้นแย่ พรสวรรค์ของอวิ๋นเมิงเซียงในการปรุงยานั้นเหนือกว่านักปรุงยาส่วนมาก อวิ๋นเหยารับรู้และเห็นว่าเด็กสาวฝึกฝนอย่างหนัก

“ท่านป้า! จ้าวเฟิงสามารถจดจำทุกสิ่งที่เขาเห็นได้ แล้วข้าจะเหนือกว่าเขาในด้านความรู้ได้อย่างไร? เขาอาจไม่เก่งกว่าข้าในการปรุงยาจริงๆ” อวิ๋นเมิงเซียงยังคงไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้ได้

เมื่อได้ยินเช่นนี้ กระทั่งอวิ๋นเหยายังรู้สึกว่ามันมีเหตุผล จ้าวเฟิงอาจสามารถจดจำทุกสิ่งที่เขาเห็นได้ ดังนั้นแล้วอวิ๋นเมิงเหยาย่อมไม่อาจเอาชนะเขาในด้านของความรู้ได้ กระทั่งตัวนางเองก็ไม่อาจเอาชนะได้

วันที่สอง ภายในห้องปรุงยา

“วันนี้ข้าจะให้พวกเจ้าทั้งสองปรุงยา ข้าจะไม่แนะนำหรือช่วยเหลือใดๆ” อวิ๋นเหยาเอ่ยกับทั้งสอง

“ยาที่พวกเจ้าจะปรุงคือ ‘ยาโลหิต’ มันอาจเป็นยาที่หายากในโลกมนุษย์ ทว่าสำหรับที่นี่มันเป็นยาที่ระดับต่ำยิ่งนัก ดังนั้นแล้วพวกเจ้าสามารถลองปรุงมันได้”

เมื่อได้ยินว่าพวกเขาจะลองปรุงยาจริงๆ จ้าวเฟิงก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กๆ

‘ยาโลหิต’ นั้นเป็นยาที่พรรคจ้าวได้มอบให้เขาในฐานะของรางวัลเมื่อก่อน ยานี้สามารถเพิ่มพลังฝึกตนของคนผู้หนึ่งได้ ทว่าแทบจะไร้ประโยชน์สำหรับเหล่าผู้ฝึกตนขั้นเจ็ดในขอบเขตแห่งการรวบรวมหรือสูงกว่า

ในสำนัก ยาเหล่านี้คือขยะ ประโยชน์เพียงอย่างเดียวของมันคือการทำให้เหล่าศิษย์คุ้นเคยกับการปรุงยา

จ้าวเฟิงถอดถอนใจอย่างช่วยไม่ได้เมื่อจุดเริ่มต้นของทั้งสองโลกนั้นแตกต่างกันเกินไป

ภายในห้องปรุงยา

อวิ๋นเหยานำวัตถุดิบทั้งหมดออกมาและวางมันลงไปเพื่อดูว่าเหล่า ‘ผู้เรียนรู้การปรุงยา’ ทั้งสองมีความสามารถมากเพียงใด

“ศิษย์พี่อวิ๋นเชิญก่อน” จ้าวเฟิงโบกมือของเขา

อวิ๋นเมิงเซียงเริ่มจัดการวัตถุดิบและจุดไฟ จุดสำคัญของการปรุงยานั้นคือ ‘การควบคุมไฟ’ ความแข็งแกร่งของเปลวเพลิงนั้นส่งผลต่อการปรุงยาโดยตรง

ฟู่ววว!

ระหว่างกระบวนการควบคุมไฟนั้น เปลวไฟพลันมอดลงพร้อมกับที่เตาหลอมยาสั่นสะท้านเล็กๆ

“อ๊า!”

เด็กสาวอุทานออกมาและเกือบพยายามที่จะหยุดยั้งมัน ทว่าควันสีครามก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับกลิ่นแปลกประหลาด

กลิ่นนั้นราวกับผู้ใดตดออกมา…

จ้าวเฟิงหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้

ใบหน้าของอวิ๋นเมิงเซียงแดงก่ำจากความอับอาย

“เจ้าหัวเราะอันใดกัน!? ถ้าเจ้าเก่งนักก็ลองทำดูสิ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!